Categories
WORLD PULSE

เปิดตลาดเมียนมา เชียงรายจับมือ สคต.ย่างกุ้ง

เชียงรายบุกตลาดเมียนมา จับมือ สคต. ย่างกุ้ง ผลักดันสินค้าท้องถิ่นสู่เมืองเศรษฐกิจ

ขยายโอกาสการค้า เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนไทย-เมียนมา

กรุงย่างกุ้ง, 12 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเดินหน้าขยายตลาดสินค้าท้องถิ่นสู่ประเทศเมียนมา โดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต. ย่างกุ้ง) เพื่อผลักดันสินค้าคุณภาพสูงของผู้ประกอบการในเชียงรายเข้าสู่ตลาดหลักของเมียนมา โดยเฉพาะในกรุงย่างกุ้งซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ

คณะผู้แทนจังหวัดเชียงราย นำโดย นาย นรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และ นาง ณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย พร้อมภาคเอกชน เช่น สมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดเชียงราย, บริษัท เวลคัมทูเชียงราย จำกัด และ บริษัท Bon Burma ได้เข้าพบ นายเอกวัฒน์ ธนประสิทธิ์พัฒนา ผู้อำนวยการ สคต. ย่างกุ้ง เพื่อหารือแนวทางขยายตลาดภายใต้แบรนด์ “Welcome to Chiang Rai”

แผนการตลาดและการขยายเครือข่ายค้าปลีกในเมียนมา

เชียงรายมีแผนกระจายสินค้าท้องถิ่นคุณภาพสูง เช่น ผลไม้อบกรอบ น้ำผึ้ง น้ำพริกหนุ่ม และข้าวซอยตัด ซึ่งได้รับมาตรฐานส่งออก โดยบริษัท เวลคัมทูเชียงราย จำกัด จะทำหน้าที่รวบรวมสินค้าและดำเนินการขอจดทะเบียน FDA เมียนมา รวมถึงขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

สำหรับการกระจายสินค้า บริษัท Bon Burma จะเป็นผู้รับผิดชอบโดยใช้เครือข่ายร้านค้า Traditional Trade กว่า 8,000 แห่ง ในย่างกุ้ง พร้อมทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับกลุ่ม Modern Trade เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและห้างสรรพสินค้า อาทิ Junction City และ Myanmar Plaza เพื่อเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายในตลาดระดับพรีเมียม

ต่อยอดจากโครงการ Business Matching เชื่อมโยงผู้ประกอบการไทย-เมียนมา

การเจรจาทางการค้าครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากโครงการ Business Matching ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีผู้ซื้อ (Buyer) จากเมียนมา ลาว และจีน เข้าร่วมเจรจากับผู้ประกอบการ 17 จังหวัดภาคเหนือ ผ่านโครงการร่วมค้าเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และโครงการเชื่อมโยงการค้าอนุภูมิภาค ซึ่งช่วยสร้างคู่ค้าและขยายตลาดชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม

แนวทางแก้ไขอุปสรรคทางการค้าและการขนส่ง

จากการประชุมหารือ สคต. ย่างกุ้ง ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ขั้นตอนการนำเข้าสินค้า อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และข้อจำกัดด้านการโอนเงิน รวมถึงแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหา เช่น การเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับผู้ถือใบอนุญาตส่งออก (Export License) ของเมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า

นอกจากนี้ยังมีการหารือเกี่ยวกับ แนวทางการขนส่งสินค้า โดยเสนอให้ใช้เส้นทางขนส่งทางบกผ่าน ด่านท่าขี้เหล็ก-ย่างกุ้ง และทางอากาศผ่าน สายการบิน Pattaya Airways ซึ่งอาจเปิดเส้นทางบินขนส่งสินค้าโดยตรงระหว่างเชียงราย-ย่างกุ้งในอนาคต

เป้าหมายขยายตลาดสินค้าไทยในเมียนมา

หากโครงการนำร่อง “Welcome to Chiang Rai” ประสบความสำเร็จ จังหวัดเชียงรายมีแผนขยายโมเดลไปสู่ “Welcome to Thailand” เพื่อเปิดโอกาสให้สินค้าท้องถิ่นจากจังหวัดอื่น ๆ ของไทยเข้าสู่ตลาดเมียนมา พร้อมศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายช่องทางสู่ มัณฑะเลย์ และตองจี ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับด่าน ท่าขี้เหล็ก-แม่สาย เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

ความร่วมมือไทย-เมียนมาครั้งนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการผลักดันสินค้าท้องถิ่นของเชียงรายสู่ตลาดโลก โดยมีเป้าหมายให้ SMEs และ OTOP ไทยเติบโตในตลาดสากล ผ่านโครงข่ายการค้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • มูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาในปี 2567: มากกว่า 150,000 ล้านบาท
  • อัตราการเติบโตของตลาดสินค้าส่งออกจากไทยไปเมียนมาในปี 2567: เพิ่มขึ้น 8%
  • จำนวนร้านค้าในเครือข่ายของ Bon Burma ในย่างกุ้ง: มากกว่า 8,000 แห่ง
  • เป้าหมายขยายตลาดสินค้าจากเชียงรายไปยังเมืองสำคัญในเมียนมา: มัณฑะเลย์ และตองจี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง (สคต. ย่างกุ้ง) / กระทรวงพาณิชย์ / สมาพันธ์ SME ไทย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เริ่มแล้ว ‘โฮงยาใกล้บ้านพลัส’ อบรมทันตบุคลากร เชียงราย

อบจ.เชียงราย ขับเคลื่อนโครงการ “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” เสริมศักยภาพทันตบุคลากร รพ.สต.

พัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) จัดโครงการพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ ภายใต้แนวคิด อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” (โฮงยาใกล้บ้าน Plus) เพื่อเพิ่มศักยภาพทันตบุคลากรของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ โดยมี นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เข้าร่วมอบรมให้การต้อนรับ

เพิ่มประสิทธิภาพงานทันตสาธารณสุขระดับตำบล

นายไพรัช มหาวงศนันท์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.เชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ ฟื้นฟูและพัฒนาองค์ความรู้ด้านทันตสาธารณสุข สำหรับบุคลากรของ รพ.สต. ที่อยู่ในสังกัด อบจ.เชียงราย ให้สามารถให้บริการที่ได้มาตรฐานมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคในช่องปากและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางทันตกรรมของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

โครงการนี้ยังช่วยให้ทันตบุคลากรได้รับข้อมูลและเทคนิคใหม่ ๆ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนได้จริง เพื่อให้การดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพมากขึ้น

ขับเคลื่อนนโยบาย “อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ”

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่าการดำเนินงานด้านทันตสาธารณสุขของ รพ.สต. เป็น หัวใจสำคัญของระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ซึ่งมีบทบาทในการให้บริการตรวจรักษาและส่งเสริมสุขภาพช่องปากสำหรับประชาชนทุกกลุ่มวัย

อบจ.เชียงรายให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนโครงการ อยู่ที่ไหน ก็ใกล้หมอ” (โฮงยาใกล้บ้าน Plus) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเดินทางไกล โดยการอบรมครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ทันตบุคลากร ให้เป็นบุคลากรต้นแบบและเป็นที่พึ่งของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบและประโยชน์ต่อประชาชน

การพัฒนาระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลเชิงบวกในหลายด้าน ได้แก่:

  • เพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการทางทันตกรรมของประชาชน
  • ลดอัตราการเกิดโรคในช่องปากในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
  • พัฒนาศักยภาพของทันตบุคลากรให้สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนได้ดีขึ้น
  • ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านทันตกรรมของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • อัตราผู้ป่วยโรคฟันผุในเด็กก่อนวัยเรียนในเชียงราย: 57%
  • ประชากรในพื้นที่ชนบทที่ขาดการเข้าถึงบริการทันตกรรม: ประมาณ 30%
  • จำนวน รพ.สต. ในสังกัด อบจ.เชียงรายที่ให้บริการทันตกรรม: กว่า 50 แห่ง
  • เป้าหมายลดอัตราการเกิดโรคฟันผุในเด็กอายุ 6 ปีให้ต่ำกว่า: 30% ภายในปี 2570

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย / กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย ช่วยเก็บข้าวโพด ลดรายจ่ายให้ประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกิจกรรมช่วยประชาชนเก็บข้าวโพด ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้

ทหารจิตอาสาเข้าช่วยเหลือเกษตรกรเชียงแสน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จัดกิจกรรม “ช่วยด้วยใจ ลดรายจ่าย สร้างรายได้” ด้วยการช่วยประชาชนเก็บข้าวโพดเพื่อใช้ทำอาหารสัตว์และเพื่อจำหน่าย ณ บ้านไร่ หมู่ 7 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งนำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพล เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือ ลดต้นทุนแรงงาน

หนึ่งในผู้ได้รับการช่วยเหลือคือ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง อายุ 73 ปี เจ้าของไร่ข้าวโพดพื้นที่กว่า 20 ไร่ ซึ่งทหารเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน และช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน กิจกรรมนี้ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนในพื้นที่

มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 คน ซึ่งต่างร่วมมือกันทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อสนับสนุนชุมชน

รณรงค์ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

นอกจากการช่วยเก็บข้าวโพดแล้ว หน่วยทหารยังได้ ประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ให้กับประชาชน โดยให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ซึ่งกำหนดห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่

แนวทางการลดปัญหาหมอกควันที่เผยแพร่ให้ประชาชน ได้แก่:

  • การไม่เผาขยะ ตอซังข้าว ข้าวโพด หญ้าแห้ง วัชพืช กิ่งไม้
  • การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง
  • การทำแนวกันไฟในพื้นที่เพื่อลดการเกิดไฟป่า

ชุมชนซาบซึ้งในความช่วยเหลือของทหาร

ครอบครัวของ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง และชาวบ้านในพื้นที่ได้กล่าวขอบคุณทหารที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นที่พึ่งพาในทุกโอกาส การปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดในตำบลแม่เงิน: กว่า 5,000 ไร่
  • อัตราการเผาทำลายวัชพืชในเชียงรายก่อนมีมาตรการควบคุม: มากกว่า 70%
  • ค่า PM 2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคม 2567: สูงถึง 150 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • ค่า PM 2.5 หลังเริ่มมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา” ในปี 2567: ลดลงกว่า 35%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เปิดเชียงราย Fam Trip ดึงสายการบินต่างชาติ

เชียงรายเปิดเส้นทางบินใหม่ ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

AOT ผนึกกำลัง ททท. เปิดตัวโครงการ FAM Trip เชียงราย

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมเปิดตัวโครงการสร้างการรับรู้และพัฒนาเส้นทางการบิน (Familiarization Trip : FAM Trip) ภายใต้ชื่อ “Discover Amazing Thailand Through The Skies FAM Trip” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงราย ณ โรงแรม เดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นของจังหวัดเชียงรายโดยใช้ศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยมีผู้แทนสายการบินและตัวแทนการท่องเที่ยวชั้นนำจากประเทศอินเดีย จีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์เข้าร่วมงาน เพื่อพัฒนาเส้นทางบินและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังเชียงรายมากขึ้น

เชียงรายพร้อมเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค

ในพิธีเปิดโครงการ FAM Trip ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเชียงรายในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่โดดเด่น อีกทั้งยังมีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน

AOT ได้จัดทำโครงการสนับสนุนการตลาด (Marketing Fund) เพื่อจูงใจให้สายการบินต่างชาติเพิ่มเที่ยวบินมายังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเส้นทางบินใหม่กับเมืองสำคัญทั่วโลก เพื่อยกระดับให้ ทชร. เป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งทางอากาศของภูมิภาค (Regional Hub)

โครงการ FAM Trip เปิดประสบการณ์ใหม่ให้นักลงทุนและสายการบิน

ในช่วงงานเลี้ยงต้อนรับ (Welcome Reception) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน พร้อมนำเสนอศักยภาพของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้แก่ผู้แทนสายการบินและบริษัทนำเที่ยวจากต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย และหอการค้าจังหวัดเชียงราย

ในโอกาสนี้ นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้บรรยายสรุปข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของ ทชร. รวมถึงแผนพัฒนาสนามบินเพื่อรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยผู้เข้าร่วมโครงการยังได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย อาทิ วัดร่องขุ่น ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่จริง

เป้าหมายเชียงราย: สู่ Aviation Hub ของภูมิภาค

รัฐบาลไทยมีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค ซึ่งนอกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว การพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง ทชร. ก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายเครือข่ายการบินระหว่างประเทศ

AOT วางแผนพัฒนา ศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO – Maintenance, Repair, and Overhaul) ในพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสายการบินทั่วโลก ตัวอย่างของประเทศที่ประสบความสำเร็จในแนวทางนี้คือสิงคโปร์ ซึ่งมีศูนย์ซ่อมอากาศยานชั้นนำระดับโลกและสถาบันฝึกอบรมด้านการบินอย่าง Singapore Aviation Academy (SAA)

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสถิติที่เกี่ยวข้อง

การพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศมายังเชียงรายคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2567 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนกว่า 1.2 ล้านคน และคาดว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปี 2569 หากมีการขยายเส้นทางบินใหม่เพิ่มเติม

นอกจากนี้ สถิติจาก AOT ชี้ให้เห็นว่าปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นกว่า 15% จากปี 2566 โดยมีจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ของภูมิภาค

สรุป

โครงการ FAM Trip เชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดสายการบินและนักลงทุนให้เห็นถึงศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ทั้งในด้านการท่องเที่ยวและการพัฒนาเส้นทางบินระหว่างประเทศ ด้วยการสนับสนุนจาก AOT และ ททท. เชียงรายกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่สามารถแข่งขันกับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำในเอเชียได้อย่างเต็มตัว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทอดพระเนตรผ้าไทย เชียงใหม่

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการ และการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชน ภาคเหนือ

เชียงใหม่, 14 มีนาคม 2568 – สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการ และการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคเหนือ ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

พระราชกรณียกิจสำคัญด้านการส่งเสริมผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชน

วันที่ 13 มีนาคม 2568 เวลา 13.42 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จไปทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคเหนือ ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ณ หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

โอกาสนี้ พระองค์ทรงพระดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการและการจัดแสดงผลงานภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนจาก 22 กลุ่มงานสำคัญ อาทิ กลุ่มเตาหลวงสตูดิโอ จ.เชียงใหม่ กลุ่มเชียงใหม่ศิลาดล ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ วิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ใยกัญชงทรายทอง จ.เชียงใหม่ กลุ่มเครื่องเคลือบดินเผาเวียงกาหลง จ.เชียงราย และวิสาหกิจชุมชนงานเครื่องปั้นเครื่องเคลือบเวียงกาหลง จ.เชียงราย เป็นต้น

การพัฒนาและส่งเสริมผ้าไทยภาคเหนือ

จากนั้น พระองค์ทรงพระดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการผ้าไทยจากเส้นใยธรรมชาติเพื่อความยั่งยืน โดยเฉพาะ “โครงการหลวงเลอตอ” ซึ่งเป็นโครงการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขา ลดการปลูกฝิ่น และฟื้นฟูป่าต้นน้ำลำธาร

นิทรรศการที่น้อมนำแนวคิดแฟชั่นแห่งความยั่งยืน (Sustainable Fashion) มานำเสนอ ประกอบด้วย หัตถอุตสาหกรรมกัญชง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำมาต่อยอดสู่อุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งสามารถสร้างรายได้สูงกว่าพืชเชิงเดี่ยวบนพื้นที่สูง 9,000 – 14,000 บาทต่อไร่ อีกทั้งยังมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพ อาทิ ผ้าปักชนเผ่าต่าง ๆ เช่น อาข่า ม้ง กะเหรี่ยง เมี่ยน และลีซู เป็นต้น

เชียงใหม่: ศูนย์กลางงานหัตถกรรมและอัตลักษณ์ล้านนา

สำหรับจังหวัดเชียงรายนั้น ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางงานหัตถกรรมและอัตลักษณ์ล้านนา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซรามิกและเครื่องเคลือบดินเผา ซึ่งเวียงกาหลงเป็นแหล่งผลิตสำคัญที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ของเวียงกาหลง ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผาเคลือบเซรามิกที่ได้รับอิทธิพลจากยุคสุโขทัยและล้านนา รวมถึงผ้าทอพื้นเมืองที่มีลวดลายเฉพาะตัว อาทิ ผ้ายกดอกลำพูน ผ้าฝ้ายทอมือ และผ้าขิดจากชุมชนต่าง ๆ ซึ่งมีการพัฒนาและออกแบบให้ทันสมัยมากขึ้น

จากการสำรวจของ Google Maps และรีวิวจากนักท่องเที่ยว พบว่าจังหวัดเชียงรายมีสถานที่ที่ได้รับการรีวิวสูงสุดเกี่ยวกับงานหัตถกรรมและวัฒนธรรมล้านนา ได้แก่

  1. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ (Black House Museum) – มีรีวิวกว่า 12,298 รีวิว
  2. วัดร่องขุ่น – มีรีวิวกว่า 21,753 รีวิว
  3. วัดร่องเสือเต้น – มีรีวิวกว่า 22,374 รีวิว
  4. ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมล้านนาเชียงราย – ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
  5. กลุ่มหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาเวียงกาหลง – ได้รับการยกย่องจากนักท่องเที่ยวว่าเป็นหนึ่งในแหล่งเรียนรู้หัตถกรรมที่ดีที่สุดของภาคเหนือ

บทสรุปและแหล่งอ้างอิง

พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในครั้งนี้ เป็นการสืบสาน รักษา และต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยและหัตถกรรมท้องถิ่นของภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา นิทรรศการและโครงการต่าง ๆ ที่จัดขึ้นจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้เติบโตต่อไปในอนาคต พร้อมกับยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้าไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย / มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ / Google Maps / ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมล้านนาเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

AOT เปิดลงทุนรอบสนามบิน โอกาสทองอสังหาฯ 29 เม.ย. 68

AOT Property Showcase 2025: เปิดประตูสู่โอกาสทองด้านการลงทุนรอบสนามบิน

โอกาสครั้งสำคัญของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์

AOT หรือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดม่านงาน “AOT Property Showcase: The Six Pillars of Opportunity” งานแสดงโอกาสการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี เปิดโอกาสให้นักลงทุนและภาคเอกชนเข้ามาพัฒนาและใช้ประโยชน์จากพื้นที่ศักยภาพสูงรอบท่าอากาศยานทั่วประเทศ งานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 29 เมษายน 2568 เวลา 09:30 – 12:00 น.Harmony Grand Ballroom, BDMS Connect Center, Movenpick BDMS Wellness Resort Bangkok

ขยายวิสัยทัศน์สู่ Aviation Hub แห่งภูมิภาค

การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ของ AOT ในการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์จากที่ดินโดยรอบท่าอากาศยานหลัก 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่ และแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ซึ่งล้วนเป็น ทำเลทอง สำหรับการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์กระจายสินค้า ธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

จุดเด่นของงาน: The Six Pillars of Opportunity

AOT ได้นำเสนอแนวคิด “The Six Pillars of Opportunity” หรือ 6 เสาหลักแห่งโอกาส ที่จะช่วยผลักดันให้นักลงทุนได้รับข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาพื้นที่ โดยประกอบไปด้วย:

  1. ทำเลยุทธศาสตร์ระดับพรีเมียม – การเข้าถึงพื้นที่สำคัญรอบท่าอากาศยานที่เป็นศูนย์กลางของการเดินทางและขนส่ง
  2. สาธารณูปโภคครบครัน – รองรับการพัฒนาพื้นที่ในหลากหลายรูปแบบ
  3. โลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งระหว่างประเทศ
  4. โอกาสการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน
  5. การสนับสนุนจากภาครัฐและนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุน
  6. การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่อยู่รอบสนามบิน

การเสวนาพิเศษ: เจาะลึกศักยภาพอสังหาริมทรัพย์รอบสนามบิน

ภายในงานจะมีการเสวนาหัวข้อ โอกาสทองอสังหาริมทรัพย์ของ AOT ก้าวสู่การเป็น AVIATION HUB” โดยมีผู้เชี่ยวชาญในวงการมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ได้แก่:

  • คุณยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ – กรรมการอิสระและประธานกรรมการบริหารความเสี่ยง AOT
  • ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ – กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT
  • ดร.กิริฎา เภาพิจิตร – ผู้อำนวยการโครงการ TDRI Economic Intelligence Service

นักลงทุนได้รับอะไรจากงานนี้?

นักลงทุนที่เข้าร่วมงานจะได้รับ:  การเข้าถึง ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับที่ดินโดยรอบท่าอากาศยาน โอกาสในการลงชื่อเพื่อ เยี่ยมชมพื้นที่จริง และสิทธิพิเศษและข้อเสนอเฉพาะสำหรับนักลงทุนในงาน รวมไปถึง Networking กับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้า

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีจำนวนผู้โดยสารมากกว่า 60 ล้านคนต่อปี (ที่มา: AOT Annual Report 2024)
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง รองรับเที่ยวบินภายในประเทศมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี (ที่มา: กรมท่าอากาศยาน)
  • การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รอบสนามบินในประเทศญี่ปุ่น เช่น นาริตะ และฮาเนดะ มีมูลค่าการเติบโตสูงกว่า 15% ต่อปี (ที่มา: Japan Civil Aviation Bureau)

ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้แล้ววันนี้

นักลงทุนและผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งเข้าร่วมงาน AOT Property Showcase 2025 ได้แล้ววันนี้ที่:

Line Official Account: https://lin.ee/rWBrKhe  Email: aotproperty@thegoodsun.net

หรือติดต่อ: น.ส.ปัทมา สินประเสริฐพร (08 1912 8358) และ น.ส.นภสร มากช่วย (09 7294 4245)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AOT Property Showcase 2025

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายไหว้ดอยตุง ตามรอยครูบาฯ สรงน้ำพระธาตุ

ดอยตุง 2007 ปี! ศรัทธาครูบาฯ เดินจาริกแสวงบุญ

เชียงราย, 13 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินจาริกแสวงบุญ ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง”

พิธีบวงสรวงและการเตรียมความพร้อม

เช้าวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ภายใต้ชื่อว่า “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ตลอดจนพระเถรานุเถระ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ในพิธีดังกล่าว พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา วางพานพุ่มดอกไม้สดสักการะครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ด้านหน้าวัดศาลาเชิงดอย เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีเดินจาริกแสวงบุญ จากนั้นได้มีการปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปไหว้สาพระธาตุดอยตุง

ความสำคัญของพระธาตุดอยตุง

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นโบราณสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระมหากัสสปเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 561 ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีกุนหรือปีช้างตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่าการเดินทางขึ้นมากราบไหว้พระธาตุเจดีย์ที่ดอยตุงจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

สำหรับปีนี้ ประเพณีดังกล่าวตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2568 จังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์และภาครัฐจัดให้มีกิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยตุง เพื่อรำลึกถึงครั้งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้เดินทางแสวงบุญและทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุดอยตุง เมื่อปีพุทธศักราช 2470

พิธีตักน้ำทิพย์และสรงน้ำพระธาตุดอยตุง

วันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่บ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อใช้ในการสรงน้ำพระธาตุดอยตุง โดยมีขบวนน้ำสรงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เข้าประดิษฐานในวิหารวัดน้อยดอยตุง

สำหรับบ่อน้ำทิพย์ของวัดพระธาตุดอยตุง ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกเพียง 2 เมตรจากพื้นดิน แต่มีน้ำใสสะอาดตลอดทั้งปี ซึ่งตามตำนานเชื่อว่าเป็นน้ำที่ใช้สรงน้ำพระธาตุดอยตุงมาตั้งแต่โบราณกาล

ขบวนแห่ศรัทธาและพิธีบวงสรวง

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่พระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีวางเครื่องสักการะและกล่าวขอสูมา ตามประเพณีล้านนา โดยมีการแสดง แสง สี เสียง ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งศรัทธา

ขบวนแห่ศรัทธาเริ่มต้นจากลานจอดรถหน้าทางเข้าพระธาตุดอยตุง มุ่งสู่ลานพระธาตุ ประกอบไปด้วยขบวนเสลี่ยงพุทธศาสนิกชนจากหลายพื้นที่ ขบวนน้ำทิพย์ ขบวนตุงพันวา และขบวนสักการะของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าวและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 มีประชาชนเข้าร่วมงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุงมากกว่า 50,000 คน และคาดว่าปี 2568 จะมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง

พระธาตุดอยตุงเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมวดศาสนสถานของจังหวัดเชียงราย ตามสถิติจาก Google Maps พบว่ามีการรีวิวมากกว่า 20,000 รีวิว โดยผู้เข้าชมส่วนใหญ่ชื่นชมในบรรยากาศที่สงบ วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้พระธาตุดอยตุงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย / ข้อมูลจาก Google Maps (ณ มีนาคม 2568) / กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เชียงรายติดอันดับ Google Maps เผย ที่เที่ยวรีวิวเยอะ

เชียงรายโดดเด่นบน Google Maps: สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการรีวิวมากที่สุดในประเทศไทย

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – Google Maps ฉลองครบรอบ 20 ปีของการเป็นเครื่องมือนำทางที่ทรงพลัง ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่การนำทางเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้คนค้นพบสถานที่ใหม่ ๆ ได้แบบเรียลไทม์ และเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นเติบโตผ่านการรีวิวจากผู้ใช้ ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร หรือคาเฟ่ได้ง่ายขึ้น

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และอาหารที่ขึ้นชื่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่ Google Maps ได้รวบรวม 10 อันดับสถานที่ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุดในประเทศไทย และจากข้อมูลดังกล่าว จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีสถานที่สำคัญติดอันดับสูงสุดในหลายหมวดหมู่ ได้แก่ วัดร่องเสือเต้น วัดร่องขุ่น และพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

เชียงราย: เมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรม

เชียงรายเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมไทยล้านนา ที่นี่เป็นบ้านเกิดของศิลปินชื่อดังอย่าง อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้สร้าง วัดร่องขุ่น และ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์บ้านดำ นอกจากนี้ยังมีวัดร่องเสือเต้น ซึ่งเป็นผลงานของ สล่านก (พุทธา กาบแก้ว) ศิลปินผู้สืบทอดงานศิลปะจากอาจารย์เฉลิมชัย ทำให้เชียงรายกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

สถานที่ในเชียงรายที่ได้รับการรีวิวมากที่สุดบน Google Maps

  1. วัดร่องเสือเต้น (22,374 รีวิว)

วัดร่องเสือเต้นเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของเชียงราย ด้วยสถาปัตยกรรมสีน้ำเงินที่ตัดกับทองคำเปลวอย่างงดงาม วัดนี้สร้างโดยศิลปินท้องถิ่นและกลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัด การออกแบบของวัดเต็มไปด้วยรายละเอียดที่งดงาม ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาสัมผัสงานศิลปะที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมพุทธศาสนา

  1. วัดร่องขุ่น (21,753 รีวิว)

วัดร่องขุ่นเป็นผลงานสร้างสรรค์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วัดแห่งนี้มีโครงสร้างสีขาวบริสุทธิ์ที่สะท้อนแสงแดดอย่างสวยงาม และสื่อถึงความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา นอกจากความงดงามแล้ว วัดร่องขุ่นยังเป็นสถานที่ที่มีความหมายทางจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนมาเยี่ยมชมมากที่สุด

  1. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ (12,298 รีวิว)

บ้านดำ หรือ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ เป็นสถานที่ที่รวบรวมผลงานของ อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินระดับโลกที่สร้างสรรค์ศิลปะในรูปแบบของบ้านไม้สีดำขลับ ซึ่งภายในจัดแสดงงานศิลปะที่สะท้อนถึงความลึกซึ้งของปรัชญาชีวิตและวัฒนธรรมไทยล้านนา ความลึกลับและเสน่ห์ของบ้านดำทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของเชียงราย

เชียงราย: จุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักเดินทาง

นอกจากวัดและพิพิธภัณฑ์แล้ว เชียงรายยังมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม เช่น ดอยแม่สลอง ดอยตุง และดอยช้าง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟชั้นเลิศของประเทศไทย นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมไร่ชา เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตชา และสัมผัสอากาศเย็นสบายตลอดปี

ร้านอาหารและคาเฟ่ในเชียงรายที่ได้รับการรีวิวสูงสุดบน Google Maps

  • Chivit Thamma Da Coffee House, Bistro & Bar (คาเฟ่ริมแม่น้ำกกที่มีบรรยากาศอบอุ่น)
  • Melt in Your Mouth (คาเฟ่และร้านอาหารสไตล์ยุโรปที่มีวิวแม่น้ำสุดโรแมนติก)
  • ริมกกคาเฟ่ (คาเฟ่ที่ให้บรรยากาศธรรมชาติริมแม่น้ำกก เหมาะแก่การพักผ่อน)

10 อันดับ สวนสาธารณะและอุทยานฯ บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด 

  1. สวนลุมพินี กรุงเทพฯ (35,617 รีวิว)
  2. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา (15,423 รีวิว)
  3. อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จ.กาญจนบุรี (14,016 รีวิว)
  4. อุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (10,350 รีวิว)
  5. อุทยานหินเขางู จ.ราชบุรี (9,098 รีวิว)
  6. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา (8,534 รีวิว)
  7. พุทธอุทยานมหาราช หลวงปู่ทวด จ.พระนครศรีอยุธยา (7,874 รีวิว)
  8. อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จ.เชียงใหม่ (7,602 รีวิว)
  9. อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี (7,200 รีวิว)
  10. อุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา จ.ชลบุรี (6,892 รีวิว)

10 อันดับ พิพิธภัณฑ์ บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด 

  1. ปราสาทสัจธรรม จ.ชลบุรี (26,932 รีวิว)
  2. พิพิธภัณฑ์บ้าน จิม ทอมป์สัน กรุงเทพฯ (14,412 รีวิว)
  3. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ จ.เชียงราย (12,298 รีวิว)
  4. พิพิธภัณฑ์ ช้างเอราวัณ จ.สมุทรปราการ (11,127 รีวิว)
  5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ (7,692 รีวิว)
  6. พิพิธภัณฑ์ริปลีย์ บีลิฟอิท ออ นอท พัพิพทยา  จ.ชลบุรี (7,567 รีวิว)
  7. มิวเซียมสยาม กรุงเทพฯ (7,116 รีวิว)
  8. พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย กรุงเทพฯ (5,169 รีวิว)
  9. องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กรุงเทพฯ (4,583 รีวิว)
  10. ศูนย์ประวัติศาสตร์ช่องเขาขาด จ.กาญจนบุรี (4,344 รีวิว

10 อันดับ วัด บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด 

  1. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ (39,926 รีวิว)
  2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) กรุงเทพ (37,399 รีวิว)
  3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ (33,154 รีวิว)
  4. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์ (24,167 รีวิว)
  5. วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา (23,032 รีวิว)
  6. วัดร่องเสือเต้น จ.เชียงราย (22,374 รีวิว)
  7. วัดร่องขุ่น จ.เชียงราย (21,753 รีวิว)
  8. วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร กรุงเทพฯ (21,206 รีวิว)
  9. วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา (19,521 รีวิว)
  10. วัดพระธาตุดอยคำ จ.เชียงใหม่ (19,290 รีวิว)

10 อันดับ ร้านอาหาร บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด

  1. ร้านอาหารปูเป็น ซีฟู้ด จ.ชลบุรี (15,862 รีวิว)
  2. Tandoori จ.ภูเก็ต (15,854 รีวิว)
  3. ชอคโกแลต วิลล์ กรุงเทพฯ (14,548)
  4. สุกี้ตี๋น้อย ศรีนครินทร์-สมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ (14,237 รีวิว)
  5. นานาพลาซ่า กรุงเทพฯ (14,108 รีวิว)
  6. มุมอร่อย สาขานาเกลือ จ.ชลบุรี (13,308)
  7. โคตรทะเล เดอะ ริเวอร์ ฟร้อนท์ ซีฟู้ด บุฟเฟ่ต์ กรุงเทพฯ (14,753 รีวิว)
  8. ระเบียงทะเล จ.สมุทรปราการ (13,158 รีวิว)
  9. The Village Farm To Café จ.กาญจนบุรี (12,725  รีวิว)
  10. โคตรทะเล ซีฟู้ด บุฟเฟ่ต์ กรุงเทพฯ (12,520 รีวิว)

10 อันดับ คาเฟ่ บน Google Maps ประเทศไทย ที่ได้รับการรีวิวมากที่สุด

  1. maidreamin MBK กรุงเทพฯ (17,380 รีวิว)
  2. The Village Farm To Café จ.กาญจนบุรี (12,725 รีวิว)
  3. Cafe Phuket Viewpoint จ.ภูเก็ต (8,662 รีวิว)
  4. เพลินคาเฟ่ บางปู จ.สมุทรปราการ (6,314 รีวิว)
  5. Nami_Dessert&Coffee by Chaokhun (Nami Central Mahachai) จ.สมุทรสาคร (5,684 รีวิว)
  6. ป้าบุญคาเฟ่ สาขาพัทยา จ.ชลบุรี (5,353 รีวิว)
  7. มีนา คาเฟ่ จ.กาญจนบุรี (4,769 รีวิว)
  8. THE COFFEE CLUB – River City กรุงเทพฯ (4,405 รีวิว)
  9. Café 8.98 Ao Nang จ.กระบี่ (4,144 รีวิว)
  10. โอทู คอฟฟี่ แอนด์ บิสโตร จ.นครปฐม (3,716 รีวิว)

ข้อสรุป

เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยการผสมผสานระหว่างศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักท่องเที่ยว Google Maps ได้แสดงให้เห็นถึงความนิยมของสถานที่ท่องเที่ยวในเชียงรายผ่านจำนวนรีวิวที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น วัดร่องเสือเต้น วัดร่องขุ่น หรือพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

นอกจากนี้ เชียงรายยังมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม คาเฟ่บรรยากาศดี และอาหารเหนือที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Google Maps (2568) / การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) / สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘สมศักดิ์’ ชื่นชมรัฐบาล ปราบบุหรี่ไฟฟ้า หมอเตรียมแฉโทษ

รัฐบาลยืนยันนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาดภายใน 30 วัน ด้านแพทย์เตรียมเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้

สมศักดิ์” หนุนแนวทางรัฐบาล “แพทองธาร” จัดการบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แสดงความพอใจต่อ นโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยสั่งการให้ ดำเนินมาตรการกวาดล้างภายใน 30 วัน เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

ในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 นายสมศักดิ์ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการบูรณาการของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะในด้านกฎหมายที่กระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจครอบคลุมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กระทรวงยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าให้เต็มที่ตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่

“บุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษที่อันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะ กลีเซอรีนและโพรไพลีนไกลคอล ที่เกิดปฏิกิริยากลายเป็นฟอร์มาลีน หรือสารดองศพ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน” นายสมศักดิ์กล่าว

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การที่รัฐบาลให้ความสำคัญและมีแนวทางที่ชัดเจน ย่อมทำให้การบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

นายกรัฐมนตรีสั่งเดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เข้มงวดห้ามขายใกล้สถานศึกษา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพการประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเน้นเป้าหมายไปที่เยาวชนและสถานศึกษา

นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบและกวาดล้างการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบริเวณใกล้สถานศึกษา พร้อมย้ำว่าหากพบเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องได้รับโทษทางวินัยและอาญา

“ดิฉันมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกรมศุลกากร ปราบปรามการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดภายใน 30 วัน โดยเริ่มจากการสกัดกั้นการนำเข้าที่ด่านศุลกากร ปิดช่องทางการลักลอบนำเข้า และจับกุมผู้ค้าที่ลักลอบจำหน่าย” นายกรัฐมนตรีระบุ

เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็น หน้าที่ของทุกภาคส่วนในการร่วมกันปกป้องเด็กและเยาวชน หากพบเห็นการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดีต่อไป”

ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์ แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า

วันที่ 11 มีนาคม 2568 ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนา หมอไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า: ข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องรู้” ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี ภายในงานจะมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสมองเด็ก, บุหรี่มือหนึ่ง มือสอง และมือสาม, สารเสพติดที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้า และความเสี่ยงที่นำไปสู่การเสพติดสารเสพติดชนิดอื่น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) รายงานว่าประเทศไทยมีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 2.6% เป็น 4.8% ของประชากรกลุ่มวัยรุ่นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
  • กรมควบคุมโรค (2567) เปิดเผยว่า 80% ของเยาวชนที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้า มีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่การสูบบุหรี่แบบมวนในอนาคต
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและปอด มากกว่าบุหรี่ทั่วไปถึง 30% หากใช้ในระยะยาว

สรุป

รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้สั่งการให้ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดภายใน 30 วัน โดยเน้นเป้าหมายไปที่ กลุ่มเยาวชนและพื้นที่สถานศึกษา ด้านกระทรวงสาธารณสุขยืนยันดำเนินมาตรการตามกรอบกฎหมายอย่างเข้มงวด ขณะที่ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์เตรียมเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้ามองว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องเพื่อปกป้องสุขภาพของเยาวชนและประชาชนทั่วไป ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านชี้ว่าการแบนอาจ ทำให้เกิดตลาดมืดและการลักลอบนำเข้า ซึ่งอาจเป็นอันตรายมากขึ้นจากการขาดมาตรฐานในการควบคุม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / กรมควบคุมโรค / กระทรวงสาธารณสุข / องค์การอนามัยโลก (WHO)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กรุงศรีเผย 3 อินไซต์ รถมือสองฮิต Gen X-Y สนใจ

กรุงศรี ออโต้ เจาะลึกพฤติกรรมผู้ใช้รถยนต์ไทยปี 2568: ตลาดรถยนต์มือสองและ EV กำลังมาแรง

แนวโน้มตลาดยานยนต์ไทย: เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภค

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรุงศรี ออโต้ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดยานยนต์ไทยผ่านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคจากงานมหกรรมยานยนต์ทั่วประเทศ พบว่า ตลาดรถยนต์มือสองกำลังเติบโตขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค Gen X และ Gen Y เนื่องจากปัจจัยด้านราคาและความคุ้มค่า ในขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังได้รับความนิยมในกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานอายุ 25-44 ปี ซึ่งให้ความสำคัญกับสมรรถนะ ฟังก์ชันการใช้งาน และต้นทุนระยะยาวมากกว่าชื่อเสียงของแบรนด์

นาย คงสิน คงคา ประธานเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ผู้บริโภคต้องปรับตัวและวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบมากขึ้น ส่งผลให้การเลือกซื้อรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความต้องการรถยนต์มือสองและ EV ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

Gen Z และวัยทำงาน: พลังขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

  • ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้าสู่ จุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากกลุ่ม Gen Z และวัยทำงานอายุ 25-44 ปี
  • รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) และรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
  • ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสูงถึง 84.7% โดย 3 แบรนด์ที่มียอดจดทะเบียนสูงสุด ได้แก่ BYD, MG และ NETA
  • กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นพื้นที่หลักที่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการชาร์จ EV ได้ดีกว่าพื้นที่อื่น ๆ

ตลาดรถยนต์มือสอง: โอกาสทองของผู้บริโภค

  • ปี 2567-2568 เป็นช่วงเวลาสำคัญของตลาดรถยนต์มือสอง เนื่องจาก ราคาปรับลดลง 10-30%
  • รถยนต์อายุ 3-5 ปี ครองตลาดสูงสุดที่ 52% รองลงมาคือ รถอายุไม่เกิน 3 ปี (20%) และ 6-8 ปี (19%)
  • ประเภทพลังงานที่ได้รับความนิยมสูงสุด:
    • รถยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) 54%
    • รถไฮบริด (HEV) และปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) 38%
    • รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี (BEV) 9%

แนวโน้มสินเชื่อยานยนต์ไทย: บทบาทของกรุงศรี ออโต้

กรุงศรี ออโต้ เดินหน้าพัฒนา สินเชื่อยานยนต์ดิจิทัล (Digital Auto Lending) เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถขอสินเชื่อผ่าน แอปพลิเคชัน “โก บาย กรุงศรี ออโต้” ได้สะดวกขึ้น ลดขั้นตอนการดำเนินการ และทราบผลอนุมัติสินเชื่อภายใน 30 นาที

มุมมองจาก 2 ฝ่ายต่อแนวโน้มตลาดยานยนต์

ฝ่ายสนับสนุน

นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถมือสอง เป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อรถยนต์ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อของตนเอง ในขณะที่ผู้ให้บริการสินเชื่ออย่าง กรุงศรี ออโต้ ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

ฝ่ายกังวล

ในขณะเดียวกัน มีความกังวลเกี่ยวกับ มูลค่าขายต่อของรถ EV ที่อาจลดลงเร็วกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาป นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อรถยนต์ ที่อาจเป็นภาระสำหรับผู้บริโภคที่มีสถานะทางการเงินไม่มั่นคง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนสูงถึง 84.7% (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • ราคาตลาดรถยนต์มือสองปรับตัวลดลง 10-30% เมื่อเทียบกับปี 2566 (ที่มา: สมาคมผู้ประกอบการรถยนต์ใช้แล้วไทย)
  • อัตราการขอสินเชื่อบิ๊กไบค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มอายุ 21-40 ปี (ที่มา: กรุงศรี ออโต้)
  • อายุการใช้งานเฉลี่ยของรถยนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 7 ปี เป็น 10 ปี (ที่มา: กระทรวงอุตสาหกรรม)

สรุป

แนวโน้มตลาดยานยนต์ไทยปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการซื้อรถยนต์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเลือกซื้อรถมือสองที่มีราคาลดลง หรือการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นด้าน มูลค่าขายต่อของรถ EV และอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ ที่ต้องติดตามในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรุงศรี ออโต้

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News