Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ป.ป.ช.เชียงราย ลุยตลาดร้าง 49 ล้าน ประชาชนร้องทิ้งขว้าง เทศบาลยังเงียบ!

ป.ป.ช.เชียงรายร่วมชมรม STRONG ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว หลังถูกปล่อยร้าง

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 (Reuters) – สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ ชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เทศบาลตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก ที่ใช้งบประมาณ 49.31 ล้านบาทในการก่อสร้าง แต่กลับถูกปล่อยร้าง ไม่มีการใช้งาน

การลงพื้นที่ติดตามและตรวจสอบข้อร้องเรียน

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายกิตติศักดิ์ พิมสาร ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายนั้ง แสงเพชรไพบูรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต พร้อมด้วย นางวันดี ราชชมภู ประธานกรรมการชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดเชียงราย นำคณะกรรมการชมรมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อร้องเรียนที่ได้รับจากสมาชิกเกี่ยวกับ โครงการตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก

โครงการก่อสร้างที่ยังไร้การใช้งาน

โครงการดังกล่าวได้รับการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 49,310,000 บาท แต่จากการตรวจสอบพบว่า ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ เทศบาลตำบลม่วงยายได้รับการถ่ายโอนโครงการจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อปี 2567 และแม้จะมีแผนการบริหารจัดการตลาด แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน

ป.ป.ช.ให้คำแนะนำแนวทางแก้ไข

ป.ป.ช.เชียงรายได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งพิจารณานำสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการถ่ายโอนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงตรวจสอบสาเหตุของความล่าช้าในการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายมีความโปร่งใสและคุ้มค่าต่องบประมาณที่ใช้จ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • งบประมาณโครงการก่อสร้างตลาดชายแดนไทย-ลาว ห้วยลึก: 49.31 ล้านบาท (ที่มา: กรมโยธาธิการและผังเมือง)
  • จำนวนโครงการก่อสร้างในเชียงรายที่ได้รับการร้องเรียนเรื่องความล่าช้าและการทุจริตในปี 2567: 12 โครงการ (ที่มา: ป.ป.ช.เชียงราย)
  • ตลาดที่ยังไม่เปิดใช้งานในพื้นที่ภาคเหนือ: มากกว่า 25 แห่ง (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ความล่าช้าเฉลี่ยของโครงการภาครัฐในภาคเหนือ: 12-18 เดือน (ที่มา: สำนักงานงบประมาณแห่งชาติ)

สำนักงาน ป.ป.ช.เชียงรายระบุว่า จะยังคงติดตามความคืบหน้าของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และเปิดรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนผ่านสายด่วน ป.ป.ช. หมายเลข 1205

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายสั่งเร่งแก้ไฟป่า PM2.5 เปิดคลินิกมลพิษออนไลน์

รองผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ย้ำตรวจสอบจุดความร้อน พร้อมหามาตรการแก้ไข

เชียงราย, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งตรวจสอบจุดความร้อนที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไข

ศูนย์ปฏิบัติการฯ เร่งหารือแนวทางแก้ปัญหา

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 จังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามและรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา

มาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ แก้ไขปัญหาหมอกควัน

รองผู้ว่าฯ เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM2.5 ไปเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มอบหมายมาตรการเร่งด่วน 4 ข้อ ได้แก่

  1. ประชาสัมพันธ์กฎหมายห้ามเผาในที่โล่ง – แจ้งโทษและข้อกฎหมายให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง
  2. ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง – บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหารือแนวทางแก้ไขปัญหา
  3. เพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ – หากค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ให้ฉีดพ่นละอองน้ำและดำเนินมาตรการอื่น โดยเฉพาะใน อำเภอแม่สาย
  4. ตรวจสอบจุดความร้อน – หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเข้าตรวจสอบจุดที่เกิดไฟป่า ค้นหาตัวผู้กระทำผิด และดำเนินคดีทางกฎหมาย

คลินิกมลพิษอำนวยความสะดวกประชาชน

ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายบริการ คลินิกมลพิษทางอากาศ ผ่านระบบ หมอพร้อม” โดยประชาชนสามารถนัดหมายออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือ Line OA ของหมอพร้อม เพื่อเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป 106 แห่งทั่วประเทศ รวมถึง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และโรงพยาบาลแม่สาย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จุดความร้อนสะสม (Hotspot) ในจังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 320 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • คุณภาพอากาศ (AQI) เฉลี่ยในเชียงราย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 162 (ระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ) (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
  • อัตราผู้ป่วยจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เข้ารับบริการคลินิกมลพิษที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มี เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับเดือนก่อนหน้า

ประชาชนที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ PM2.5 สามารถติดต่อ สายด่วนกรมอนามัย 1478 และ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันและไฟป่า

  1. ทำไมภาคเหนือถึงเกิดไฟป่าและหมอกควันบ่อยในช่วงต้นปี?
    • สาเหตุหลักมาจาก การเผาป่าเพื่อหาของป่าและทำเกษตร รวมถึงลักษณะภูมิอากาศที่เอื้อต่อการสะสมของฝุ่น
  2. การเผาป่าในเชียงรายผิดกฎหมายหรือไม่?
    • ผิดกฎหมาย โดยผู้ฝ่าฝืนอาจถูก จำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
  3. ค่าฝุ่น PM2.5 ที่อันตรายต่อสุขภาพคือระดับใด?
    • หากเกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
  4. มีวิธีป้องกันฝุ่น PM2.5 อย่างไรบ้าง?
    • สวมหน้ากาก N95, หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และเปิดเครื่องฟอกอากาศในบ้าน
  5. จะตรวจสอบคุณภาพอากาศในเชียงรายได้จากที่ไหน?
    • สามารถติดตามได้ที่ แอป Air4Thai, เว็บไซต์กรมควบคุมมลพิษ, และ GISTDA

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพภาค 3 พัฒนาแหล่งน้ำ! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ป่าแดด

แม่ทัพภาค 3 ลุยป่าแดด! แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม สร้างความมั่นคง

เชียงราย, 25 กุมภาพันธ์ 2568 – แม่ทัพภาคที่ 3 ลงพื้นที่ติดตามโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน อ.ป่าแดด

พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้า “โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ” ณ พื้นที่สาธารณะประโยชน์ หลงช้างตาย อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างกองทัพบกและมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามแนวคิดที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยคำนึงถึงลักษณะภูมิสังคมและความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่

ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร

โครงการดังกล่าวเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 และได้แสดงผลสำเร็จที่ชัดเจนในการลดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งในอดีตเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง การดำเนินงานเน้นการพัฒนาระบบน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำเพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร

ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ

สำหรับปีงบประมาณ 2567 กองทัพภาคที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 9 โครงการ, จังหวัดพะเยา 4 โครงการ, จังหวัดลำพูน 2 โครงการ, จังหวัดขอนแก่น 6 โครงการ และจังหวัดชัยภูมิ 10 โครงการ รวมทั้งสิ้น 31 โครงการ การดำเนินงานเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 และมีกำหนดแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2568 โดยมีการขุดดินทั้งหมด 3,058,018 ลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ประชาชน 18,436 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรกรรม 1,507,515 ไร่ ได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ แต่ยังเพิ่มความมั่นคงในชีวิตและรายได้ให้แก่ชุมชนเกษตรกรในระยะยาว

หน่วยทหารช่าง

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ตรวจสอบการทำงานของหน่วยทหารช่าง ซึ่งกองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้หน่วยต่าง ๆ เข้าร่วมปฏิบัติงาน ประกอบด้วย กองพลพัฒนาที่ 3, กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 302 กรมทหารช่างที่ 3, กองพันทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 และกองพันทหารช่างที่ 8 กองพลทหารม้าที่ 1 หน่วยเหล่านี้ได้จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าปรับปรุงแหล่งน้ำอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้โครงการแล้วเสร็จตามกำหนดและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

การตอบรับอย่างดีจากชุมชน

นอกจากการติดตามความคืบหน้าโครงการแล้ว พลโท กิตติพงษ์ ยังได้มอบถุงยังชีพที่มีเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน พร้อมมอบอุปกรณ์กีฬาให้กับโรงเรียนในชุมชน เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในท้องถิ่น อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมและให้กำลังใจแก่กำลังพลจากหน่วยทหารที่จัดตั้งจุดบริการเคลื่อนที่ในพื้นที่ โดยมีทั้งการซ่อมรถยนต์, เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, บริการตัดผม และการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชน


ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต

อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญปัญหาการจัดการน้ำมาอย่างยาวนาน เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มสลับกับเนินเขา และมีแม่น้ำพุงไหลผ่าน ซึ่งในอดีตมักเกิดน้ำท่วมในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาน้ำในการเพาะปลูกพืชผล เช่น ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วลิสง และลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของพื้นที่


มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานราก

การดำเนินงานของกองทัพภาคที่ 3 และมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ถือเป็นตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านน้ำและเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ประชาชนในเขตชนบท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาท้องถิ่นและการเกษตรอย่างทั่วถึง

ในระหว่างการลงพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลและรักษาแหล่งน้ำที่ได้รับการปรับปรุง เพื่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว พร้อมทั้งยืนยันว่ากองทัพบกจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่มักถูกละเลยจากการพัฒนาในอดีต

โครงการนี้ยังสะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำฝนและความถี่ของภัยพิบัติในประเทศไทย โดยการฟื้นฟูแหล่งน้ำจะช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝน และกระจายน้ำไปยังพื้นที่เกษตรในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ปี 2567 พบว่า พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเฉลี่ย 20-30% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอำเภอป่าแดดที่มีประชากรราว 6,494 คน (ข้อมูลจากเทศบาลตำบลป่าแดด ปี 2561) และพึ่งพาการเกษตรเป็นหลัก
  • ข้อมูลจากมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ ระบุว่า โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำตั้งแต่ปี 2559 ได้ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บทั่วประเทศกว่า 150 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลดีต่อครัวเรือนกว่า 500,000 ครัวเรือน (ที่มา: รายงานประจำปี 2566 มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
CULTURE

“รสชาติ…ที่หายไป” เปิดตัวปี 2568 ตามหาอาหารไทยถิ่น มรดกวัฒนธรรม

เชียงรายผลักดันอาหารถิ่นสู่มรดกวัฒนธรรม ผ่านโครงการ ‘Thailand Best Local Food’

กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – กระทรวงวัฒนธรรม โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จัด การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นสู่มรดกทางวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ความเป็นไทย (Thailand Best Local Food) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้แนวคิด รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพมหานคร

แนวทางการขับเคลื่อนโครงการ

งานนี้มี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวรายงาน มีผู้เข้าร่วมงานจาก หน่วยงานรัฐ อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และวัฒนธรรมจังหวัดจาก 76 จังหวัด

โครงการนี้มุ่งเน้น การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาอาหารถิ่นที่ใกล้สูญหาย ให้กลับมามีบทบาทในสังคม พร้อมส่งเสริมให้เป็น Soft Power ของไทย โดยเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยของจังหวัดเชียงรายนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางวนิดาพร ธิวงศ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการกล่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อตั้ง นครเชียงรายนิวส์ ในฐานะการขับเคลื่อนในรูปแบบอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คุณอนุสร เทพปินตา รองนายกเทศมนตรีตำบลแม่สรวย เครือข่ายผู้ประกอบการ เข้าร่วมประชุมปฏิบัติการในครั้งนี้

ภายใต้แนวคิด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste”

แนวทางการขับเคลื่อนโครงการ “Thailand Best Local Food” ประจำปีงบประมาณ 2568 ภายใต้แนวคิด “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” ณ โรงแรมทาวน์ อิน ทาวน์ กรุงเทพมหานคร

การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนายกระดับอาหารถิ่นให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทย โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดจาก 76 จังหวัด ข้าราชการ ผู้ประกอบการร้านอาหาร และอินฟลูเอนเซอร์เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

ภายในงานมีกิจกรรมหลัก 8 รายการ ได้แก่

  1. เสวนาในหัวข้อ “การยกระดับอาหารไทยถิ่น ผ่านการออกแบบประสบการณ์ของชุมชน (Designing for a Local Experience)” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เช่น คุณสมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Local Alike, คุณสันติ อาภากาศ ผู้ร่วมก่อตั้ง TASTEBUD LAB และ BIO BUDDY, เชฟคำนาง ณัฏฐภรณ์ คมจิต ผู้ก่อตั้งเฮือนคำนางแบรนด์, และคุณลภัตอร กาญจนชัยภูมิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
  2. บรรยายในหัวข้อ “การส่งเสริมและพัฒนาอาหารไทยถิ่น เชื่อมโยงไปสู่การสืบสานภูมิปัญญา” โดย ดร.สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและโภชนาการ
  3. บรรยายในหัวข้อ “การสร้างความเข้าใจในการขับเคลื่อนโครงการฯ” โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น คุณจรงค์ศักดิ์ รองเดช, เชฟไพศาล ชีวินศิริวัฒน์, พท.ป.อุบลรัตน์ มโนศิลป์, และคุณธนพัชร ทิ้งโคตร

โครงการ “รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste” มุ่งเน้นการรวบรวมและฟื้นฟูเมนูอาหารถิ่นที่กำลังจะเลือนหาย เพื่อสืบสานและพัฒนาให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและยกระดับเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ใน 11 ด้าน เช่น อาหาร ท่องเที่ยว เทศกาล/ประเพณี ภาพยนตร์ ศิลปะ และดนตรี

หลังพิธีเปิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะผู้บริหารได้เยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากเครือข่ายชุมชนต่างๆ ที่มาร่วมแสดงผลงานภายในงาน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมส่งเสริมวัฒนธรรม www.culture.go.th และเพจเฟซบุ๊ก “กรมส่งเสริมวัฒนธรรม” รวมถึงเพจเฟซบุ๊ก “อาหารไทยถิ่น THAILAND BEST LOCAL FOOD”

สถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • จากการสำรวจของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พบว่าในปี 2567 มีเมนูอาหารถิ่นที่เสี่ยงต่อการสูญหายกว่า 150 เมนู
  • โครงการ “Thailand Best Local Food” ได้ส่งเสริมและฟื้นฟูเมนูอาหารถิ่นกว่า 80 เมนูในปีที่ผ่านมา
  • การยกระดับอาหารถิ่นมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่นเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปี

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการ “Thailand Best Local Food” มีเป้าหมายหลักคืออะไร?
    เน้นการฟื้นฟูและพัฒนาอาหารถิ่นให้เป็นที่รู้จัก พร้อมยกระดับให้เป็นสินค้าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล
  2. เมนูอาหารถิ่นที่ฟื้นฟูมีอะไรบ้าง?
    ประกอบด้วยอาหารไทยดั้งเดิมจากทุกภูมิภาค เช่น แกงหอยจุ๊บแจง ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ไก่กะลาภาคเหนือ และข้าวยำบูดูภาคใต้
  3. อาหารถิ่นมีผลต่อเศรษฐกิจชุมชนอย่างไร?
    ช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก
  4. ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างไร?
    สามารถร่วมเสนอเมนูอาหารถิ่นที่ควรฟื้นฟูผ่านกรมส่งเสริมวัฒนธรรม หรือร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการนี้
  5. โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ Soft Power ไทยอย่างไร?
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Soft Power ไทย เพื่อผลักดันอาหารถิ่นสู่ระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พระราชทานดินฝังศพ “วีระ เย็นเต็ก” อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานดินบรรจุศพพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร

เชียงราย, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการ พระราชทานดินบรรจุศพพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (วีระ เย็นเต็กมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และอดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม ณ วัชระเจดีย์ธรรมสมาธิวัตรอนุสรณ์ วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

พระราชพิธีพระราชทานดินบรรจุศพ

วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2568) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จขึ้น วัชระเจดีย์ธรรมสมาธิวัตรอนุสรณ์ ทรงทอดผ้าไตร 10 ไตรที่จิตกาธานหน้าหีบศพ พระมหาเถระ 10 รูป พิจารณาผ้าไตร จากนั้นทรงหยิบกระทงข้าวตอกดอกไม้จากเจ้าพนักงานพระราชพิธีวางข้างหีบศพ และทรงหยิบดินห่อผ้าขาว-ดำ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 10 คู่ วางที่หน้าหีบศพ รวมถึงทรงหยิบดินส่วนพระองค์ 1 คู่ วางที่หน้าหีบศพ

จากนั้น ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และเจ้าอาวาสวัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม ได้ถวายหนังสือที่ระลึก ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ

บุคคลสำคัญร่วมพิธี

พิธีดังกล่าวมีบุคคลสำคัญเข้าร่วม อาทิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัด ศาล ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ รวมถึงประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จ ทั้งนี้ ประชาชนชาวเชียงรายที่เข้าเฝ้าฯ ต่างเปล่งเสียง ทรงพระเจริญ” ด้วยความจงรักภักดี

ประวัติและคุณูปการของพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร

พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2479 มีนามเดิมว่า วีระ โพธิชาญประเสริฐ เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี ท่านเข้าบรรพชาอุปสมบทที่ วัดโพธิ์เย็น สังกัดจีนนิกาย อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2500 ได้รับฉายาทางธรรมว่า เย็นเต็ก”

หลังการอุปสมบท ท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา วัดโพธิ์แมนคุณาราม โดยได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสหลังการมรณภาพของพระอุปัชฌาย์ในปี พ.ศ. 2529 กระทั่งถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ กรุงเทพมหานคร สิริอายุ 87 ปี พรรษา 66

พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (วีระ เย็นเต็กมหาเถระ) เป็นพระมหาเถระผู้มีคุณธรรมและปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย โดยท่านได้อุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์แก่คณะสงฆ์ สังคม และประเทศชาติในด้านต่างๆ ได้แก่:

  • ด้านการปกครอง – เป็นผู้นำจีนนิกายในประเทศไทย และส่งเสริมการพัฒนาวัดจีน
  • ด้านการศึกษา – สนับสนุนการศึกษาพระธรรม และพัฒนาสถาบันสงฆ์
  • ด้านการเผยแผ่พุทธศาสนา – ส่งเสริมการเผยแผ่คำสอนพุทธศาสนาในชุมชนจีนและไทย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • อายุของพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรเมื่อมรณภาพ: 87 ปี (ที่มา: วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
  • จำนวนพรรษาที่รับใช้พระพุทธศาสนา: 66 พรรษา (ที่มา: วัดโพธิ์แมนคุณาราม)
  • จำนวนนักบวชจีนนิกายในประเทศไทย: ประมาณ 500 รูป (ที่มา: สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • จำนวนวัดจีนนิกายในประเทศไทย: กว่า 20 แห่ง (ที่มา: สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ)
  • จำนวนประชาชนที่เข้าร่วมพิธีในเชียงราย: กว่า 5,000 คน (ที่มา: สำนักข่าวท้องถิ่นเชียงราย)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ จึงเสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีนี้?
    เพื่อทรงพระราชทานเกียรติและแสดงความเคารพแด่พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อพุทธศาสนาในประเทศไทย
  2. วัดหมื่นพุทธเมตตาคุณาราม คือที่ใด?
    เป็นวัดจีนนิกายสำคัญในจังหวัดเชียงราย ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีพระราชทานดินบรรจุศพครั้งนี้
  3. พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรมีบทบาทอย่างไรในจีนนิกาย?
    ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย และเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนา
  4. ประชาชนสามารถร่วมรำลึกถึงท่านได้อย่างไร?
    สามารถสวดมนต์ถวายบุญกุศล หรือเดินทางไปสักการะที่วัดโพธิ์แมนคุณาราม
  5. จีนนิกายมีความสำคัญอย่างไรในพุทธศาสนาไทย?
    เป็นนิกายหนึ่งของพุทธศาสนาในไทย ที่มีอิทธิพลจากมหายาน และมีวัดสำคัญหลายแห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุมเข้ม สั่งทุกภาคส่วน “หยุดเผา” ป้องกันฝุ่น PM2.5

เชียงรายเดินหน้าป้องกันไฟป่าและหมอกควัน เน้นย้ำมาตรการ ‘หยุดเผา เพื่อคุณ เพื่อเรา’

ประเทศไทย, 24 กุมภาพันธ์ 2568 – นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย กำชับให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ดำเนินการตามข้อสั่งการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของการเผาป่าและการเผาในที่โล่ง ภายใต้แคมเปญ ‘หยุดเผา เพื่อคุณ เพื่อเรา’

มาตรการป้องกันและแนวทางปฏิบัติ

นายอำเภอเมืองเชียงรายได้สั่งการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามแนวทางของจังหวัดเชียงราย อย่างเคร่งครัด โดยมุ่งเน้นมาตรการเชิงรุกในทุกตำบลเพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าและหมอกควัน

ผลการดำเนินงานในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย

  1. การสร้างแนวกันไฟป่าในหมู่บ้านชุมชน
  • บ้านห้วยทรายขาว และบ้านศิริราษฎร์ ตำบลแม่ยาว – ผู้ใหญ่บ้านและประชาชนร่วมกันจัดทำแนวกันไฟภายในป่าชุมชน เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าในพื้นที่เสี่ยง
  • บ้านปางกอก ตำบลแม่กรณ์ – หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ส้าน หน่วยควบคุมไฟป่าลำน้ำกก และเจ้าหน้าที่ป้องกันอุทยานฯ ร่วมกันสร้างแนวกันไฟระยะทาง 6 กิโลเมตร
  • บ้านใหม่ ตำบลแม่กรณ์ – คณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ร่วมกับประชาชนและเจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าลำน้ำกกเชียงราย พัฒนาแนวกันไฟบริเวณ หนองช้างคตฝั่งตะวันออก
  • บ้านหัวดอย ตำบลท่าสาย – ประชาชนและเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ร่วมทำแนวกันไฟ ในป่าชุมชนและพื้นที่ดอยปุย เพื่อป้องกันไฟป่าลุกลาม

การรณรงค์เชิงรุกและมาตรการเสริม

อำเภอเมืองเชียงรายมีแผนดำเนินการ รณรงค์และประชาสัมพันธ์มาตรการห้ามเผาอย่างเข้มงวด โดยออกคำสั่งห้ามเผาในที่โล่ง เป็นเวลา 92 วัน (1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568) พร้อมเน้นย้ำบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน

  • หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะติดตามและเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย
  • ตั้งจุดตรวจและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง
  • กระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแจ้งเบาะแส

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไฟป่าเชียงราย

  • พื้นที่ไฟป่าในเชียงรายปี 2567: มากกว่า 5,800 ไร่ (ที่มา: กรมป่าไม้)
  • จุดความร้อน (Hotspot) ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568: ตรวจพบ กว่า 150 จุด (ที่มา: GISTDA)
  • ค่า PM2.5 เฉลี่ยในเชียงรายปี 2567: สูงสุดที่ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐาน WHO (ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ)
  • การดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนมาตรการห้ามเผาในปี 2567: มากกว่า 250 ราย ถูกดำเนินคดี (ที่มา: สำนักงานตำรวจแห่งชาติ)
  • ระยะเวลาห้ามเผาในที่โล่ง: 92 วัน (1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568) (ที่มา: จังหวัดเชียงราย)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องห้ามเผาในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม?
    ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นฤดูแล้งที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่าและหมอกควัน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม
  2. หากพบเห็นการเผาป่าหรือการเผาในที่โล่งต้องแจ้งที่ไหน?
    สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย หรือสายด่วน 1784
  3. บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผาคืออะไร?
    ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกปรับสูงสุด 50,000 บาท หรือจำคุก ไม่เกิน 1 ปี ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันไฟป่า
  4. การทำแนวกันไฟช่วยลดปัญหาไฟป่าได้อย่างไร?
    แนวกันไฟช่วยป้องกันไม่ให้ไฟป่าลุกลามไปยังพื้นที่อื่น และช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมไฟป่าได้ง่ายขึ้น
  5. ประชาชนสามารถช่วยลดปัญหาหมอกควันได้อย่างไร?
    สามารถมีส่วนร่วมโดย ไม่เผาขยะหรือเศษวัสดุทางการเกษตร และสนับสนุนการใช้วิธีการกำจัดเศษวัสดุทางเลือก เช่น การทำปุ๋ยหมัก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เพื่อไทยปะทะภูมิใจไทย ปชช.เชื่อสุดท้ายจบลงดี

นิด้าโพลเผย ปชช. เชื่อเพื่อไทยและภูมิใจไทยจะยุติความขัดแย้งได้

ประเทศไทย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,310 คน

จากตัวเลขผลสำรวจของ นิด้าโพล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้มองว่าเป็นความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นแตกหัก โดยมีเพียง ร้อยละ 10.38 ที่เห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องจริงจังมาก ขณะที่ ร้อยละ 38.85 มองว่าเป็นเพียงความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงมากนัก

ในแง่ของ แนวโน้มการยุติความขัดแย้ง พบว่า ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และ ร้อยละ 37.40 มองว่าแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ทั้งสองพรรคจะยังคงร่วมรัฐบาลกันต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าวิกฤตครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม มีประชาชน ร้อยละ 17.40 ที่มองว่าอาจมีการ ยุบสภา และ ร้อยละ 10.31 เชื่อว่าอาจมีการ ปรับคณะรัฐมนตรี โดยดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายในรัฐบาล

ในภาพรวม ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าความขัดแย้งนี้จะได้รับการแก้ไขในที่สุด และไม่ได้คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เช่น การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยหรือการยุบสภา ซึ่งมีผู้สนับสนุนเพียง ร้อยละ 2.52 และ 7.10 ตามลำดับ

ในแง่ของประชากรกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มอายุที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 46-59 ปี (26.64%) และ กลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท (34.50%) ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มประชากรวัยกลางคนที่มีรายได้ปานกลางให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เป็นอย่างมาก

โดยสรุป ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าความขัดแย้งระหว่างสองพรรคจะรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าทั้งสองพรรคจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ในที่สุด

การรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างสองพรรค โดย:

  • ร้อยละ 38.85 ระบุว่า มีความขัดแย้งกันแต่ไม่รุนแรงมาก
  • ร้อยละ 32.91 เชื่อว่า มีความขัดแย้งกันอย่างจริงจังพอสมควร
  • ร้อยละ 17.40 มองว่า ไม่มีความขัดแย้งกันเลย
  • ร้อยละ 10.38 เห็นว่า มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
  • ร้อยละ 0.46 ไม่สนใจหรือไม่ตอบคำถาม

บทสรุปที่เป็นไปได้ของความขัดแย้ง

เมื่อถามถึงบทสรุปของความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ประชาชนให้ความเห็นดังนี้:

  • ร้อยละ 38.09 เชื่อว่า ทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 37.40 เชื่อว่า ความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกัน
  • ร้อยละ 10.31 คาดว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีและดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 7.10 เชื่อว่านายกรัฐมนตรีอาจ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 2.52 มองว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 2.21 เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทยจะยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.30 คิดว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 1.07 เห็นว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถูกปรับออกจากรัฐบาล

ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทางออกของปัญหา

เมื่อถามถึง ความต้องการของประชาชน เกี่ยวกับบทสรุปของความขัดแย้ง ผลสำรวจระบุว่า:

  • ร้อยละ 44.73 ต้องการให้ ทั้งสองพรรคตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 21.60 เห็นว่าความขัดแย้งควรดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  • ร้อยละ 17.40 สนับสนุนให้ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 9.24 ต้องการให้ มีการปรับคณะรัฐมนตรี
  • ร้อยละ 2.82 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.68 คิดว่าพรรคภูมิใจไทยควรยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.53 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถูกปรับออกจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.00 มองว่าพรรคเพื่อไทยควรยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

  • เพศ: ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี
    • ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี
    • ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี
    • ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี
    • ร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป
  • ภูมิลำเนา:
    • กรุงเทพฯ 8.55%
    • ภาคกลาง 18.63%
    • ภาคเหนือ 17.86%
    • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 33.35%
    • ภาคใต้ 13.82%
    • ภาคตะวันออก 7.79%

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนกลุ่มตัวอย่าง: 1,310 ราย (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ค่าความเชื่อมั่นของการสำรวจ: 97.0% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราส่วนเพศของกลุ่มตัวอย่าง: ชาย 48.09% หญิง 51.91% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราการรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้ง: ร้อยละ 71.76 เชื่อว่ามีความขัดแย้งกันในระดับหนึ่ง (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการตกลงกันได้: ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะยุติความขัดแย้ง (ที่มา: นิด้าโพล)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสำรวจนี้เชื่อถือได้หรือไม่?
    การสำรวจนี้มีค่าความเชื่อมั่น 97.0% และดำเนินการโดย นิด้าโพล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ
  2. ประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย?
    ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และร้อยละ 37.40 มองว่าความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  3. ผลสำรวจนี้มีผลต่อการเมืองไทยหรือไม่?
    แม้ว่าผลสำรวจนี้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชน แต่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองและรัฐบาลว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไร
  4. การสำรวจนี้จัดทำขึ้นอย่างไร?
    ใช้การสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลหลัก (Master Sample) และเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์
  5. ผลสำรวจนี้มีการเปรียบเทียบกับการสำรวจก่อนหน้าหรือไม่?
    ผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจล่าสุดและแสดงแนวโน้มของความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

Categories
WORLD PULSE

PETA แฉ! ลิงไทยถูกทรมานเก็บมะพร้าว ผลิตกะทิ จี้บอยคอตสินค้าไทย

PETA ประท้วงหน้าสถานทูตไทยในลอนดอน เรียกร้องให้ยุติการใช้ลิงเก็บมะพร้าว

กรุงลอนดอน, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ PETA (People for the Ethical Treatment of Animals) จัดการประท้วงด้านหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน เพื่อเรียกร้องให้ยุติการใช้ลิงในอุตสาหกรรมผลิตกะทิไทย โดยผู้ประท้วงได้ ราดน้ำกะทิ ใส่ตัวเองและใส่ชุดลายตารางขาวดำเหมือนนักโทษ พร้อมถือป้ายรูปทรงลูกมะพร้าวที่มีข้อความว่า ลิงถูกทรมานเพื่อผลิตกะทิไทย”

การเปิดโปงอุตสาหกรรมกะทิไทย

PETA เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กขององค์กรที่มีผู้ติดตามกว่า 5 ล้านคนว่า จากการสืบสวนในเอเชีย พบว่าลิงที่ถูกบังคับให้เก็บมะพร้าวในประเทศไทยต้องทนทุกข์ทรมาน โดยมีการ มัดลิงด้วยเชือกที่สั้นมากจนแทบขยับตัวไม่ได้ ถูกขังในกรงแคบ และถูกฝึกให้ทำงานตลอดชีวิต

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดโปงโรงเรียนฝึกลิง ซึ่งมีภาพลูกลิงถูกล่ามโซ่และขังอยู่ในกรงโดยไม่มีที่พักอาศัยที่เหมาะสม PETA ระบุว่าลิงเหล่านี้ ควรจะอยู่ในธรรมชาติ ไม่ใช่ถูกแยกออกจากครอบครัวและถูกบังคับให้ทำงานจนหมดแรง

การตอบโต้จากคนไทยและมุมมองที่แตกต่าง

เรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมออนไลน์ โดยมีทั้งผู้ที่สนับสนุนและคัดค้านการประท้วง หลายคนตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศไทยจะผลิตกะทิได้เป็นล้านกล่องต่อวันโดยอาศัยลิง? ในขณะที่คนไทยบางส่วนมองว่าการใช้แรงงานลิงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด พร้อมกล่าวว่า ถ้าชาวต่างชาติรู้ว่าคนไทยใช้กระต่ายขูดมะพร้าวจะคิดอย่างไร”

ผลกระทบและคำกล่าวอ้างจาก PETA

PETA Asia อ้างว่ารัฐบาลไทยอนุญาตให้มีการจับลิงตั้งแต่ยังเป็นทารกเพื่อฝึกให้เป็นเครื่องมือเก็บมะพร้าว ลูกลิงเหล่านี้ถูกแยกจากแม่และถูกล่ามโซ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้พวกมันต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทรมานและถูกใช้งานจนหมดแรง

ดร. Rally นักวิชาการด้านสัตวแพทย์จาก PETA Asia ได้ให้ความเห็นว่า ลิงที่ถูกขังในกรงเหล่านี้ต้องทนทุกข์จากความเครียด การขาดน้ำ อุณหภูมิที่ร้อนจัด และสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ” ซึ่งลิงบางตัวต้องถูกขังในกรงที่ไม่สามารถป้องกันตนเองจากแสงแดดและฝนได้

มาตรการของรัฐบาลไทยและแนวทางแก้ไข

รัฐบาลไทยได้ออกมาแถลงว่า อุตสาหกรรมกะทิของไทยไม่ได้พึ่งพาลิงในการผลิตเป็นหลัก และมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการใช้แรงงานสัตว์ พร้อมทั้งแนะนำให้เกษตรกรใช้วิธีการเก็บเกี่ยวแบบเครื่องจักรหรือแรงงานมนุษย์แทน

ในขณะเดียวกัน สมาคมผู้ผลิตกะทิไทยได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของ PETA โดยยืนยันว่า ไม่มีการใช้ลิงในกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ และได้มีการตรวจสอบกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองจากสากล

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนผู้ติดตาม PETA บนเฟซบุ๊ก: มากกว่า 5 ล้านคน
  • มูลค่าการส่งออกกะทิไทยในปี 2567: มากกว่า 20,000 ล้านบาท
  • จำนวนบริษัทผลิตกะทิที่ได้รับมาตรฐานสากล: มากกว่า 50 แห่ง
  • อัตราการใช้แรงงานมนุษย์แทนลิงในอุตสาหกรรมกะทิไทย: มากกว่า 90%
  • จำนวนลิงที่ PETA ระบุว่าได้รับผลกระทบ: ประมาณ 1,000 ตัว ในภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็ก

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. PETA กล่าวหาว่าประเทศไทยใช้ลิงในอุตสาหกรรมกะทิจริงหรือไม่?
    PETA อ้างว่ามีหลักฐานจากการสืบสวนในเอเชียเกี่ยวกับการใช้ลิงเก็บมะพร้าวในบางพื้นที่ของไทย แต่รัฐบาลไทยและผู้ผลิตกะทิปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
  2. ประเทศไทยใช้ลิงเก็บมะพร้าวในอุตสาหกรรมกะทิจริงหรือไม่?
    ในอุตสาหกรรมกะทิเชิงพาณิชย์หลักของไทย ใช้เครื่องจักรและแรงงานมนุษย์เป็นหลัก แต่ในบางพื้นที่ยังมีการใช้ลิงในฟาร์มขนาดเล็ก
  3. ประเทศอื่นมีการใช้แรงงานสัตว์ในการเกษตรหรือไม่?
    มีหลายประเทศที่เคยใช้แรงงานสัตว์ในการเกษตร เช่น ช้างในการลากซุง ม้าในการไถนา แต่ส่วนใหญ่ได้ลดลงเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า
  4. การรณรงค์ของ PETA มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกะทิของไทยหรือไม่?
    มีผลกระทบในระดับหนึ่ง โดยบางแบรนด์ในยุโรปและอเมริกาได้นำกะทิไทยออกจากชั้นวางสินค้า แต่ตลาดในเอเชียและในประเทศยังคงแข็งแกร่ง
  5. คนไทยสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อตอบสนองต่อข้อกล่าวหานี้?
    สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการผลิตกะทิของไทย และสนับสนุนผู้ผลิตที่มีมาตรฐานสากลในการไม่ใช้แรงงานสัตว์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : peta

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่าขี้เหล็กกวาดล้างบ่อน-KTV หลังไทยตัดไฟ-น้ำมัน

ทางการเมียนมาปิดบ่อนและ KTV ในท่าขี้เหล็ก หลังไทยงดส่งไฟฟ้าและน้ำมัน

เมียนมา, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – Tachileik News Agency รายงานว่า ทางการเมียนมาเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการจัดระเบียบสถานประกอบการใน จ.ท่าขี้เหล็ก และพื้นที่รัฐฉานตะวันออก หลังจากไทยงดส่งกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์

มาตรการปราบปรามและจัดระเบียบใหม่ในท่าขี้เหล็ก

การดำเนินมาตรการดังกล่าวส่งผลให้มีการ ปิดบ่อนการพนันและ KTV ที่ไม่มีใบอนุญาตทั่วเมืองท่าขี้เหล็ก ขณะที่สถานบันเทิงรายใหญ่ เช่น ผับม้าบิน, วันจีวัน, น้ำเต้าทอง และ KTV ติดโรงแรม 9 ชั้นของกลุ่มทุนว้า ยังคงเปิดให้บริการต่อไป อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่มีแนวโน้มที่จะดำเนินการตรวจสอบและจัดระเบียบธุรกิจเหล่านี้เพิ่มเติม

แรงกดดันจากไทยและผลกระทบต่อธุรกิจในพื้นที่

นับตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้งดส่ง กระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปยัง จ.ท่าขี้เหล็ก ทำให้ผู้ประกอบการในฝั่งเมียนมาต้องหาทางปรับตัว โดยมีการจัดหาไฟฟ้าจาก สปป.ลาว และนำเข้าน้ำมันจากแหล่งอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการ ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงบ่อนการพนันออนไลน์และการค้ายาเสพติด

คำสั่งปิดบ่อนและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ทางการเมียนมาได้ สั่งปิดบ่อนการพนันที่ได้รับอนุญาตทั้งหมด รวมถึงบ่อนที่เปิดภายในโรงแรม ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธุรกิจการพนันและสถานบันเทิงของท่าขี้เหล็ก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567

นอกจากนี้ บริการคาราโอเกะครบวงจร (KTV) ซึ่งเคยมีอยู่เกือบ 100 แห่งในท่าขี้เหล็ก ก็ถูกสั่งปิดจำนวนมาก แต่ยังคงมีบางแห่งที่สามารถดำเนินกิจการได้ เช่น ธุรกิจที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มทุนใหญ่

การปราบปรามการพนันออนไลน์และการสืบสวนภายในรัฐฉาน

Tachileik News Agency รายงานว่าในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีการ จับกุมกิจกรรมการพนันออนไลน์ของชาวไทยในวอร์ดสันทรายของท่าขี้เหล็ก รวมถึงบ่อนภายในโรงแรมหลายแห่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่มักแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนการจับกุม ทำให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้งหลังจากชำระค่าธรรมเนียมให้ทางการ

แหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนระบุว่า เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตำรวจเขตได้สั่งให้โรงแรมที่มีบ่อนการพนันปิดบริการชั่วคราว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการขออนุญาตเปิดดำเนินการอีกครั้งก็ตาม

ผลกระทบและแนวโน้มในอนาคต

มาตรการเข้มงวดของทางการเมียนมาอาจเป็นสัญญาณของ การจัดระเบียบธุรกิจสีเทาในท่าขี้เหล็กและรัฐฉานตะวันออก อย่างจริงจัง โดยเฉพาะหลังจากที่ไทยตัดเส้นทางส่งไฟฟ้าและน้ำมัน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจในพื้นที่

นักวิเคราะห์เชื่อว่า ทางการเมียนมาอาจกำลังใช้โอกาสนี้เพื่อควบคุมอิทธิพลของกลุ่มทุนที่ครอบงำธุรกิจการพนันและสถานบันเทิงในภูมิภาคนี้ พร้อมกับเดินหน้าปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่หลบซ่อนอยู่ในพื้นที่

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสั่งปิดบ่อนการพนันในท่าขี้เหล็กส่งผลกระทบอย่างไร?
    ส่งผลให้ธุรกิจการพนันในพื้นที่ต้องหยุดชะงัก และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของกลุ่มทุนที่ควบคุมธุรกิจเหล่านี้
  2. ทำไมไทยจึงงดส่งไฟฟ้าและน้ำมันไปยังท่าขี้เหล็ก?
    เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติและการกดดันให้ทางการเมียนมาปราบปรามเครือข่ายผิดกฎหมายในพื้นที่
  3. KTV ในท่าขี้เหล็กทั้งหมดถูกปิดหรือไม่?
    แม้ว่าจะมีการสั่งปิดหลายแห่ง แต่ KTV รายใหญ่บางแห่งยังคงเปิดให้บริการต่อไปภายใต้การควบคุมของกลุ่มทุนขนาดใหญ่
  4. การลักลอบเปิดบ่อนการพนันในท่าขี้เหล็กยังมีอยู่หรือไม่?
    ยังคงมีอยู่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในรูปแบบออนไลน์และสถานที่ลับที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
  5. มาตรการจัดระเบียบสถานบันเทิงของเมียนมาจะดำเนินต่อไปอีกนานแค่ไหน?
    มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปจนกว่ารัฐบาลเมียนมาจะสามารถควบคุมสถานการณ์และลดอิทธิพลของกลุ่มอาชญากรรมในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : mgronline / tachileik

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

แพเปียก ‘แม่สรวย’ เปิดแล้ว อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ล่องแพเปียกแม่สรวย เปิดฤดูกาลปี 2568

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวกิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชน “การล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย” อย่างเป็นทางการ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีเปิดกิจการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

พิธีเปิดกิจกรรมล่องแพเปียกแม่สรวย

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. ณ บริเวณลำน้ำแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวณิชาภา สันธิ หัวหน้าฝ่ายกิจการคณะผู้บริหาร และ นางสาวสุมิตรา บางขะกูล หัวหน้าฝ่ายการท่องเที่ยว ร่วมเปิดตัวกิจกรรมสำคัญนี้

ในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางสาวสุภาภรณ์ ยาลังคำ ปลัดอำเภอแม่สรวย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมรับฟังรายงานจาก นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก และมีผู้นำท้องที่และท้องถิ่นเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้

การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน

กิจกรรม ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย – ลำน้ำแม่ลาว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นเวทีสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นอกจากนี้ การจัดงานยังมุ่งเน้นการสร้างเอกลักษณ์และวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ล่องแพเปียก ท่ามกลางความงดงามของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กิจกรรมการล่องแพเปียกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิด การสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ อย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่เจ้าของแพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น และธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก กล่าวว่าการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดความร่วมมือระหว่างชาวบ้านในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

แนวทางการพัฒนาในอนาคต

อบจ.เชียงราย มีแผนพัฒนาโครงการล่องแพเปียกให้มีความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย – กำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ช่วยชีวิตและการอบรมไกด์นำเที่ยว
  • การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ – ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ปรับปรุงท่าเทียบแพ จุดจอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว

สรุป

การเปิดตัว ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่สามารถสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐและการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้กิจกรรมนี้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การล่องแพเปียกแม่สรวยมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
    ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เลือก โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกลุ่มแพเปียกแม่สรวยได้
  2. การล่องแพเปียกเหมาะกับทุกวัยหรือไม่?
    กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับทุกวัย แต่ควรมีการดูแลเด็กและผู้สูงอายุเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัย
  3. นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
    ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม เตรียมอุปกรณ์กันน้ำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
  4. สามารถจองล่องแพล่วงหน้าได้หรือไม่?
    สามารถจองล่วงหน้าผ่านกลุ่มแพเปียกแม่สรวย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความสะดวก
  5. มีมาตรการด้านความปลอดภัยอะไรบ้าง?
    มีอุปกรณ์ชูชีพ การอบรมไกด์นำเที่ยว และการตรวจสอบสภาพแพเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News