Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘การบินไทย’ เปิดตัว ชั้นธุรกิจ A320 เส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงราย

การบินไทยเปิดตัวชั้นธุรกิจ Royal Silk Class บน A320 เส้นทางในประเทศ

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 เพจ Hflight รายงานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการให้บริการชั้นธุรกิจใหม่ Royal Silk Class บนเที่ยวบินในประเทศของการบินไทย โดยเครื่องบินที่ใช้คือ Airbus A320 ซึ่งจะครอบคลุมเส้นทางภายในประเทศทั้งหมด 8 เส้นทาง โดยเริ่มทยอยให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป และคาดว่าจะครบทุกเส้นทางในเดือนพฤษภาคมนี้

รายละเอียดเส้นทางการบิน

  • กรุงเทพฯ – ภูเก็ต และ เชียงใหม่: เริ่มให้บริการชั้นธุรกิจตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ และจะครบทุกเที่ยวบินในวันที่ 10 เมษายน
  • กรุงเทพฯ – ขอนแก่น, อุดรธานี และ หาดใหญ่: เริ่มให้บริการบางเที่ยวบินวันที่ 10 เมษายน และครบทุกเที่ยวบินในวันที่ 15 พฤษภาคม
  • กรุงเทพฯ – เชียงราย, อุบลราชธานี และ กระบี่: เริ่มให้บริการทุกเที่ยวบินตั้งแต่ 15 พฤษภาคม

การปรับปรุงห้องโดยสาร

การบินไทยมีการปรับปรุงห้องโดยสาร A320 จากเดิมที่มีเฉพาะชั้นประหยัด (Economy Class) และชั้นอีโคโนมีพลัส (Economy Plus) โดยเพิ่มที่นั่งชั้นธุรกิจ Royal Silk Class แบบ 2-2 จำนวน 12 ที่นั่ง และชั้นประหยัดแบบ 3-3 จำนวน 144 ที่นั่ง ซึ่งการปรับปรุงนี้คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนพฤษภาคม 2568

แนวคิด ONE THAI ONE FLY

การบินไทยได้เปิดตัวโครงการ “ONE THAI ONE FLY” เพื่อตอกย้ำความเป็นสายการบินแห่งชาติที่เชื่อมโยงเส้นทางบินอย่างราบรื่นไร้รอยต่อ โดยนำเครื่องบิน A320 ไปปฏิบัติการในเส้นทางต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และขยายเครือข่ายเส้นทางบินที่ครอบคลุมผู้โดยสารทั่วโลก

จุดเด่นของชั้นธุรกิจ A320

  • ที่นั่ง Royal Silk Class: ให้ความสะดวกสบายสูงสุดด้วยฟังก์ชันปรับเอน
  • ระบบ Wireless IFE: รับชมสื่อบันเทิงผ่านอุปกรณ์ส่วนตัว
  • การจัดการที่ยืดหยุ่น: ครอบคลุมทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศ

สิทธิพิเศษของผู้โดยสารชั้นธุรกิจ

ผู้โดยสารในชั้นธุรกิจจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น:

  • น้ำหนักสัมภาระฟรี 40 กิโลกรัม
  • สิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรอง Royal Orchid Lounge
  • ไมล์สะสมเพิ่มขึ้น 125-150% กับโปรแกรม Royal Orchid Plus
  • บริการที่นั่งปรับเอนสะดวกสบายและอาหารพิเศษบนเครื่อง

แผนเชื่อมโยงเส้นทางบิน

การบินไทยยังคงเดินหน้าภายใต้นโยบาย “ONE THAI ONE FLY” เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายเส้นทางบินในประเทศและกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) รวมถึงเส้นทางระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และไต้หวัน

ระบบบันเทิงและความสะดวกสบาย

การบินไทยจะติดตั้งระบบ Wireless IFE ให้ผู้โดยสารสามารถใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงสื่อบันเทิงและข้อมูลสำคัญได้ตลอดการเดินทาง

เส้นทางการบินในประเทศและต่างประเทศ

การบินไทยให้บริการในประเทศ 8 เส้นทางสำคัญ ได้แก่

  1. กรุงเทพฯ–เชียงใหม่ (5 เที่ยวบิน/วัน)
  2. กรุงเทพฯ–เชียงราย (2 เที่ยวบิน/วัน)
  3. กรุงเทพฯ–ขอนแก่น (4 เที่ยวบิน/วัน)
  4. กรุงเทพฯ–อุดรธานี (3 เที่ยวบิน/วัน)
  5. กรุงเทพฯ–อุบลราชธานี (2 เที่ยวบิน/วัน)
  6. กรุงเทพฯ–ภูเก็ต (8 เที่ยวบิน/วัน)
  7. กรุงเทพฯ–หาดใหญ่ (3 เที่ยวบิน/วัน)
  8. กรุงเทพฯ–กระบี่ (2 เที่ยวบิน/วัน)

ในส่วนของเส้นทางต่างประเทศ การบินไทยยังให้บริการครอบคลุมกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม รวมถึงเส้นทางสำคัญในภูมิภาค เช่น อินเดีย มาเลเซีย ไต้หวัน เนปาล และศรีลังกา

การจองตั๋วและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบรายละเอียดเที่ยวบินหรือจองตั๋วได้ที่เว็บไซต์ www.thaiairways.com หรือโทร 02-356-1111 ตลอด 24 ชั่วโมง

ภาพรวมและเป้าหมายในอนาคต

การเปิดตัวชั้นธุรกิจในเส้นทางในประเทศครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของการบินไทยในการยกระดับการบริการให้ผู้โดยสารทุกคนได้รับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในตลาดการบินทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / www.thaiairways.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวป่าส้มแสง เชียงราย สัมผัสธรรมชาติและวิถีชีวิตไม่ซ้ำใคร

แอ่วล้ำแอ่วเหลือ: เชียงรายชวนสัมผัส “ป่าส้มแสง” ป่าชุ่มน้ำอัตลักษณ์หนึ่งเดียวในอาเซียน

เชียงรายเปิดบ้านต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน สู่ “ป่าส้มแสง” บ้านป่าข่า ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่โดดเด่นและไม่เหมือนใครในภูมิภาคอาเซียน ด้วยความพิเศษของระบบนิเวศป่าชุ่มน้ำตามฤดูกาล (Seasonal Wetland) ที่ผสมผสานความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวบ้านได้อย่างลงตัว

เสน่ห์ของป่าส้มแสง: อัตลักษณ์แห่งธรรมชาติ

ป่าส้มแสงมีพื้นที่ประมาณ 85 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของป่าลุ่มน้ำอิง อุดมไปด้วยต้นส้มแสง หรือชุมแสง ซึ่งมีอายุมากกว่า 300 ปี ระบบนิเวศของป่าส้มแสงมีความพิเศษ คือ ต้องแช่น้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก 4-5 เดือนต่อปี โดยระดับน้ำสามารถสูงถึง 4-6 เมตร เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจากแม่น้ำอิงและแม่น้ำโขง ในช่วงน้ำลด ป่าส้มแสงจะเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่น เป็นบ้านของสัตว์ป่า เช่น นก ไก่ป่า กระรอก และสัตว์ท้องถิ่นอื่น ๆ

ชุมชนบ้านป่าข่าได้พัฒนาป่าส้มแสงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยสร้างสะพานทางเดินชมธรรมชาติ (สกายวอร์ค) ยาว 378 เมตร ให้ผู้มาเยือนสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดกิจกรรมที่สะท้อนวิถีชีวิตพื้นบ้านเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้และดื่มด่ำกับความงามของพื้นที่

กิจกรรมแนะนำ: ใกล้ชิดธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวบ้าน

  1. เดินสกายวอร์ค ชมป่าส้มแสง เพลิดเพลินกับการเดินชมป่าส้มแสงผ่านสะพานไม้ยาว ที่เปิดให้เห็นวิวธรรมชาติรอบด้านทั้งในช่วงน้ำหลากและน้ำลด

  2. เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน ร่วมสัมผัสวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน เช่น การหาปลาด้วยแหและอวน การทำอาหารพื้นบ้านอย่างลาบปลา ต้มปลา และปลาเผาสดจากแม่น้ำอิง

  3. พายเรือในหนองมน สนุกกับการพายเรือในหนองมน แหล่งน้ำที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้าน พร้อมชมธรรมชาติที่เงียบสงบ

  4. จุดกางเต็นท์ริมแม่น้ำอิง สัมผัสบรรยากาศแคมปิ้งริมน้ำ ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามในยามเช้าและค่ำคืน

  5. ไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคล นมัสการพระครูวรกิติวิมล เจ้าอาวาสวัดบ้านป่าข่า และเดินชมทิวทัศน์รอบวัดที่เงียบสงบ

นโยบายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

ชุมชนบ้านป่าข่าได้รวมตัวกันตั้งคณะกรรมการดูแลพื้นที่และจัดการท่องเที่ยวให้มีความยั่งยืน โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการท่องเที่ยวจะถูกนำไปพัฒนาชุมชน เช่น การปรับปรุงเส้นทาง การจัดหาเครื่องจักรสำหรับแก้ปัญหาไฟป่าและ PM2.5 และการสร้างธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาได้สะดวกมากขึ้น ด้วยถนนเชื่อมสายใหม่จากทางหลวง R3A ระยะทางเพียง 1,200 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ง่ายดายและปลอดภัย

แพ็กเกจท่องเที่ยวสุดคุ้ม

  • เที่ยวป่าส้มแสงแบบ 1 วัน: ราคา 200 บาท/คน รวมมัคคุเทศก์นำเที่ยว
  • เที่ยวเชิงวิถีชีวิต 1 วัน 1 คืน: ราคา 1,200 บาท/คน รวมอาหารจากชุมชนและกิจกรรมทั้งหมด (รองรับได้สูงสุด 20 คนต่อทริป)

มุมมองอันล้ำค่า: เชียงราย เมืองแห่งความหลากหลายทางธรรมชาติ

เชียงรายเป็นจังหวัดที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่หลากหลาย การเที่ยวชมป่าส้มแสงไม่เพียงแต่เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ยังเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชน และช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติให้อยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน

“เชียงรายจะไม่หยุดอยู่แค่จุดหมายปลายทาง แต่จะเป็นที่ที่ผู้คนสามารถกลับมาเติมเต็มความสุขและแรงบันดาลใจได้เสมอ” ชาวบ้านป่าข่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

มาเป็นส่วนหนึ่งของการสัมผัสธรรมชาติและสร้างความทรงจำดี ๆ ที่ป่าส้มแสง จังหวัดเชียงราย พร้อมสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นไปพร้อมกัน!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทักษิณชูการเมืองท้องถิ่นฟื้นเศรษฐกิจเชียงราย ดึงพลังเพื่อไทยสู้ปี 2568

นายทักษิณปราศรัยเชียงราย ย้ำความสำคัญของการเมืองท้องถิ่น ฟื้นเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ปราศรัยช่วยหาเสียงในจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม บรรยากาศที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนที่สวมใส่เสื้อแดง ร่วมแสดงความยินดีและฟังการปราศรัยอย่างคึกคัก

เวทีปราศรัยแน่น 3 จุด

นายทักษิณขึ้นปราศรัยที่โรงเรียนปล้องวิทยาคม อำเภอเทิง, โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม อำเภอเชียงของ และโรงเรียนแม่จันวิทยาคม อำเภอแม่จัน โดยมีประชาชนจากหลายพื้นที่มาร่วมรับฟังนับหมื่นคน นายทักษิณกล่าวถึงเหตุผลที่มาช่วยหาเสียงครั้งนี้ว่า ตนคิดถึงประชาชนชาวเชียงรายหลังไม่ได้พบปะกันกว่า 20 ปี อีกทั้งยังต้องการสนับสนุนนายยงยุทธ ติยะไพรัช น้องรักที่ร่วมสร้างพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ต้น และเพื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของตน เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค

ย้ำการเมืองท้องถิ่นสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายทักษิณกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มี ส.ส. มากกว่า 200 คนเหมือนในอดีต และระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูโดยด่วน พร้อมระบุว่า หากเศรษฐกิจในต่างจังหวัดฟื้นตัว กรุงเทพฯ จะได้รับผลดีไปด้วย

นอกจากนี้ นายทักษิณยังเผยว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันทรุดหนัก แต่เขามั่นใจว่าสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาไม่นาน หากมีการบริหารจัดการที่ดี เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ

ความคาดหวังจากการบริหารรัฐบาลเพื่อไทย

นายทักษิณกล่าวถึงการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยภายในปีนี้ รวมถึงการลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย และยารักษาโรคเพื่อช่วยประชาชน นอกจากนี้ยังชี้แจงว่ารัฐบาลเพื่อไทยกำลังเร่งดำเนินการปราบปรามยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ประชาชนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย มีประชาชนตะโกนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่เขากล่าวว่า ตนแก่แล้วและขอสนับสนุนลูกสาวแทน พร้อมระบุว่าเคยมีทรัพย์สินมากถึง 60,000 ล้านบาท แต่หลังจากเผชิญปัญหาทางการเมือง ทำให้ทรัพย์สินลดลงจนเทียบเท่าประชาชนในเชียงราย

มุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายทักษิณกล่าวถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการพัฒนาคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจใหม่ เช่น การผลักดันคนไทยไปเป็นนางแบบระดับโลก หรือการสนับสนุนบุคลากรที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ผ่านการฝึกฝนและส่งเสริมศักยภาพ

สรุป

นายทักษิณ ชินวัตร แสดงจุดยืนสนับสนุนการเมืองท้องถิ่น พรรคเพื่อไทย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกด้าน พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมาหลายปี และสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนไทยทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / เพจสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คนไทย 151 คน ได้รับอภัยโทษเมียนมา กลับบ้านอย่างปลอดภัย

คนไทย 151 คน ถูกปล่อยตัวจากเมียนมา กลับไทยพร้อมอภัยโทษในวันชาติเมียนมา

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 คนไทยจำนวน 151 คน ที่ถูกทางการเมียนมาจับกุมตั้งแต่ต้นปี 2567 ตามมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนพนันออนไลน์ของเมียนมา ได้รับการอภัยโทษและปล่อยตัวกลับประเทศไทยแล้ว โดยเดินทางกลับผ่าน ด่านถาวร สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย

การปล่อยตัวเนื่องในวันชาติเมียนมา

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางด้านเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการรับตัวคนไทยจากทางการเมียนมา คนไทยทั้ง 151 คนนี้ แยกเป็นชาย 74 คน และหญิง 77 คน โดยได้รับการอภัยโทษเนื่องในวันชาติเมียนมา ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มกราคมของทุกปี

คนไทยกลุ่มดังกล่าวถูกจับกุมในพื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เมื่อช่วงต้นปี 2567 ในข้อหาเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และบ่อนพนันออนไลน์ ซึ่งทางการเมียนมาดำเนินมาตรการปราบปรามอย่างเข้มข้น คนไทยที่ถูกจับกุมรวม 154 คน ในครั้งแรกนั้น มีเยาวชนบางส่วนที่ได้รับการปล่อยตัวก่อนหน้านี้

กระบวนการส่งตัวกลับไทย

เมื่อเวลา 18.30 น. ของวันที่ 4 มกราคม 2568 คนไทยทั้ง 151 คน ได้เดินทางถึง ด่านถาวร สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 โดยมีนายราชัน มีน้อย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับและดำเนินการตรวจสอบสถานะบุคคล

กระบวนการหลังส่งตัวประกอบด้วย:

  1. การคัดกรองโรค: เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ตรวจสอบสุขภาพร่างกายและโรคติดต่อ
  2. การประเมินสภาพจิตใจ: เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและประเมินความเครียดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
  3. การสอบปากคำเบื้องต้น: หน่วยงานด่านตรวจคนเข้าเมืองและสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย ได้สอบถามเพื่อหาข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่

แผนดำเนินการต่อไป

สำหรับคนไทยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานค้ามนุษย์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เจ้าหน้าที่จะปล่อยตัวให้กลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวและภูมิลำเนาเดิม โดยมีญาติที่มารอรับอยู่ที่ด่านตรวจ ส่วนคนที่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดี เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมา

การปล่อยตัวคนไทยในครั้งนี้เป็นผลมาจากการเจรจาและความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและเมียนมา โดยตลอดปี 2567 ทางการไทยได้ประสานงานอย่างต่อเนื่องเพื่อขออภัยโทษและส่งตัวคนไทยกลับบ้าน

เสียงสะท้อนจากผู้เกี่ยวข้อง

คนไทยที่ได้รับการปล่อยตัวและครอบครัวต่างแสดงความดีใจ พร้อมขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนไทยได้กลับบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ไทยยืนยันจะติดตามและช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนต่อไป

ข้อสังเกตและการเฝ้าระวัง

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการปัญหาค้ามนุษย์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในภูมิภาค ทั้งยังเป็นการเตือนภัยแก่ประชาชนให้ระมัดระวังการถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายการพนันออนไลน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ดราม่าใบกำกับภาษี โรงแรมในเชียงราย นักท่องเที่ยวจี้ถามขอเอกสาร

ดราม่านักท่องเที่ยวขอใบกำกับภาษีไม่ได้ โรงแรมปฏิเสธอ้างเหตุผลจากแพลตฟอร์มจอง

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย เมื่อมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งโพสต์บน Facebook ถึงความไม่พอใจหลังเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ แต่กลับไม่ได้รับใบกำกับภาษีตามคำขอ ทั้งๆ ที่ค่าที่พักได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เรียบร้อยแล้ว

จุดเริ่มต้นของเรื่อง

ผู้โพสต์เล่าว่า เขาและครอบครัวได้จองที่พักผ่าน Agoda และชำระเงินเป็นที่เรียบร้อย แต่เมื่อร้องขอใบกำกับภาษีจากโรงแรมกลับไม่ได้รับการตอบสนอง โดยพนักงานฟร้อนท์แจ้งว่าการออกใบกำกับภาษีเป็นหน้าที่ของ Agoda ทำให้เกิดการเจรจาระหว่างผู้โพสต์และพนักงานหลายครั้ง ซึ่งใช้เวลาถึงสองวันก่อนที่จะได้รับใบกำกับภาษี

คุณนุ (นามสมมติ) ผู้โพสต์เรื่องราวดังกล่าว เปิดเผยกับทีมข่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่พักโรงแรมในเชียงรายผ่าน Agoda ก่อนหน้านี้เคยใช้บริการในจังหวัดอื่นและไม่เคยมีปัญหาเรื่องใบกำกับภาษี ทุกครั้งที่ขอได้รับบริการที่รวดเร็วและโปร่งใส”

ข้อสงสัยเรื่องการเลี่ยงภาษี

คุณนุระบุว่า การเจรจากับพนักงานโรงแรมครั้งนี้เต็มไปด้วยความไม่ชัดเจน “ผมคิดว่าพนักงานไม่มีความรู้ด้านบัญชี และได้รับคำสั่งจากผู้บริหารให้ปฏิเสธลูกค้า หรือไม่ก็โรงแรมมีเจตนาเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน”

ในท้ายที่สุด โรงแรมออกใบกำกับภาษีให้กับคุณนุ หลังการเจรจาที่ยืดเยื้อถึงสองวัน แต่โรงแรมยอมออกใบกำกับภาษีให้ ซึ่งจำนวนเงินที่ระบุในใบกำกับภาษีไม่ตรงกับยอดที่ชำระจริง

การตอบสนองจากผู้เชี่ยวชาญ

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สอบถามเจ้าของโรงแรมในจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า ตามกฎหมาย โรงแรมในประเทศไทยที่จดทะเบียน VAT มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า โดยยอดเงินในใบกำกับต้องตรงกับยอดที่ลูกค้าจ่ายทั้งหมด แม้จะจ่ายผ่านแพลตฟอร์มตัวแทนเช่น Agoda”

ซึ่งเจ้าของโรงแรมได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ในกรณีการจองผ่าน Agoda โรงแรมจะได้รับเงินค่าที่พักหลังหักค่าคอมมิชชั่นจากแพลตฟอร์ม แต่ยอดเงินที่ต้องออกใบกำกับภาษีคือยอดเต็มที่ลูกค้าชำระ ไม่ใช่ยอดหลังหักค่าคอมมิชชั่น

ปัญหาเชิงระบบที่ใหญ่กว่าตัวบุคคล

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ต มีผู้มาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก หลายคนแชร์ประสบการณ์คล้ายกันที่เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพฯ โดยชี้ว่าเป็นปัญหาเชิงระบบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของธุรกิจโรงแรม

ปฏิกิริยาจากชาวเน็ตและผู้เชี่ยวชาญ

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจำนวนมาก หลายคนแชร์ประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันในหลายจังหวัด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีได้ออกมาให้ข้อมูลว่า โรงแรมที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในไทย มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีตามกฎหมาย โดยยอดเงินในใบกำกับภาษีต้องตรงกับยอดที่ลูกค้าจ่าย

ทางเพจ TaxBugnoms ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า โรงแรมที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยมีหน้าที่โดยตรงในการออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการจองผ่านแพลตฟอร์มหรือการจองโดยตรง เนื่องจากรายได้จากค่าที่พักเป็นของโรงแรมโดยตรง การอ้างว่าแพลตฟอร์ม OTA (Online Travel Agency) เช่น Agoda ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการออกใบกำกับภาษีนั้นไม่ถูกต้อง

ความสำคัญของใบกำกับภาษี

ใบกำกับภาษีเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการแสดงรายละเอียดการซื้อขายสินค้าและบริการ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการขอคืนภาษีหรือใช้เป็นเอกสารประกอบการยื่นภาษี นักท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าของธุรกิจหรือองค์กรที่จดทะเบียน VAT สามารถใช้ใบกำกับภาษีเพื่อลดภาระภาษีได้

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกใบกำกับภาษีในกรณีนี้

  1. หน้าที่ของโรงแรม: Agoda เป็นเพียงตัวแทนจองที่พัก ไม่ใช่ผู้ให้บริการโดยตรง ดังนั้นการออกใบกำกับภาษีเป็นหน้าที่ของโรงแรม
  2. การชำระ VAT: โรงแรมต้องทำ ภ.พ.36 ซึ่งเป็นการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มในกรณีซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ โดยยอดที่ต้องยื่นภาษีคือยอดเต็มตามราคาที่ลูกค้าจ่าย

กระแสตอบรับจากชาวเน็ต

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจในวงกว้าง ชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็น บางรายแชร์ประสบการณ์ที่เคยประสบปัญหาในลักษณะเดียวกันในหลายพื้นที่ เช่น เชียงใหม่และขอนแก่น พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกรมสรรพากร ลงมาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง

มาตรการแก้ไขปัญหา

กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาในเชิงระบบของการให้บริการในโรงแรม และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีการอบรมพนักงานในด้านกฎหมายภาษี รวมถึงการจัดการบัญชีอย่างโปร่งใส นอกจากนี้ กรมสรรพากรควรมีมาตรการตรวจสอบและลงโทษโรงแรมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

บทสรุป

กรณีการปฏิเสธออกใบกำกับภาษีของโรงแรมในเชียงรายถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย การปฏิบัติตามกฎหมายและการให้บริการที่โปร่งใสคือกุญแจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและส่งเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน เปิดบริการปี 2571 เชื่อมเศรษฐกิจไทย-ชายแดน

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน คืบหน้า! เตรียมเปิดบริการปี 2571

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้าง รถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางสำคัญ คือ สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ และ สายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่ใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ

โครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

  • ระยะทาง 323 กิโลเมตร วงเงิน 72,921 ล้านบาท
  • สัญญา 1: เด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 18.64% (เร็วกว่าแผน 4.75%)
  • สัญญา 2: งาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 25.08% (ช้ากว่าแผน 6.30%)
  • สัญญา 3: เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 20.74% (ช้ากว่าแผน 16.70% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

โครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม

  • ระยะทาง 355 กิโลเมตร วงเงิน 66,848 ล้านบาท
  • สัญญา 1: บ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม. ผลงาน 16.05% (ช้ากว่าแผน 21.40%)
  • สัญญา 2: หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม. ผลงาน 0.33% (ช้ากว่าแผน 33.31% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

เป้าหมายเปิดบริการปี 2571

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการนี้จะช่วยพัฒนาโครงข่ายรถไฟในพื้นที่ที่ไม่เคยมีรถไฟมาก่อน พร้อมเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน โดยโครงการสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ จะรองรับการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวเชื่อมชายแดนไทย-ลาว ขณะที่โครงการสายบ้านไผ่ – นครพนม จะเชื่อมเศรษฐกิจภาคอีสานตอนบนไปยังท่าเรือแหลมฉบังและศูนย์ขนส่งชายแดน

จุดเด่นของโครงการ

  • สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ
    • อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในประเทศไทย
    • มี 26 สถานี (สถานีขนาดใหญ่ 4 สถานี สถานีขนาดเล็ก 9 สถานี และป้ายหยุดรถ 13 แห่ง)
    • สะพานรถไฟและถนนลอดรวม 254 จุด พร้อมลานขนถ่ายสินค้าและพื้นที่กองเก็บตู้สินค้าที่สถานีเชียงของ
  • สายบ้านไผ่ – นครพนม
    • มี 30 สถานี และย่านบรรทุกตู้สินค้า 3 แห่ง
    • ถนนยกข้ามทางรถไฟ 81 แห่ง และถนนลอดใต้ทางรถไฟ 245 แห่ง
    • เชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก

ประโยชน์ที่คาดหวัง

โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพิ่มศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดนและเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมเพิ่มโอกาสด้านการท่องเที่ยวและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบรางของประเทศไทย และจะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงพร้อมรับปีใหม่ 2568 ด้วยบริการครบวงจร

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายยกระดับบริการรับเทศกาลปีใหม่ 2568

เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เพื่อติดตามการให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนที่เดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยมีนาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมต้อนรับและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงาน

รองรับผู้โดยสารเทศกาลปีใหม่

คาดการณ์ว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 3-5 มกราคม 2568 จะมีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายกว่า 20,750 คน และมีเที่ยวบินรวม 124 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานได้เปิดใช้งานระบบ Biometric เพื่ออำนวยความสะดวก ลดเวลาการตรวจบัตรโดยสาร การตรวจค้น และขั้นตอนก่อนขึ้นเครื่อง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เชิงรุกช่วยให้คำแนะนำในทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ ท่าอากาศยานยังบูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อให้บริการขนส่งสาธารณะผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างปลอดภัย โดยเน้นให้ผู้ให้บริการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด สร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ

สถิติผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2568 มีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายกว่า 46,190 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 1,117 คน และภายในประเทศ 45,073 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ถึง 13.05%

การเติบโตของเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 400% และเที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้น 9.22% จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 22.24% และผู้โดยสารภายในประเทศเพิ่มขึ้น 11.71% สะท้อนความสำเร็จของการพัฒนาท่าอากาศยานให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการให้บริการ

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้โดยสาร พร้อมรองรับการเดินทางของกลุ่มลุ่มน้ำโขงและภูมิภาคจีนตอนใต้ในอนาคต นอกจากนี้ ท่าอากาศยานยังขอความร่วมมือผู้โดยสารให้เผื่อเวลาเดินทางมายังสนามบินอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการพลาดเที่ยวบินและให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

ทั้งนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ยังคงยกระดับการให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้โดยสารและเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งรับมือไฟป่า หมอกควัน PM2.5 สร้าง “เชียงรายฟ้าใส”

เชียงรายเตรียมพร้อมรับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 ตั้งแนวทาง “เชียงรายฟ้าใส” 3 ระยะ

เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมหารือกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สำหรับปี 2568 โดยมีคณะทำงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พร้อมนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และวางแผนการบริหารจัดการปัญหาในปีนี้

แนวทางการขับเคลื่อนมาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” จังหวัดเชียงรายได้กำหนดมาตรการสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  1. ระยะเตรียมความพร้อม
    ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยง และการเตรียมชุดปฏิบัติการเผชิญเหตุให้พร้อม
  2. ระยะเผชิญเหตุ
    ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดจากการเผาในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตร โดยมุ่งเน้นการเฝ้าระวัง การใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจจับจุดความร้อน (Hotspot) และการจัดการเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ
  3. ระยะฟื้นฟู
    ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 ตุลาคม 2568 โดยมีเป้าหมายฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน พร้อมทั้งฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

การดำเนินงานใน 3 พื้นที่เป้าหมาย

  • พื้นที่ป่า: จัดตั้งชุดลาดตระเวนและปฏิบัติการดับไฟป่า พร้อมเพิ่มการตรวจจับจุดเผาไหม้
  • พื้นที่เกษตร: ส่งเสริมการทำเกษตรปลอดการเผา และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการจัดการเศษวัสดุเกษตร
  • พื้นที่เมือง: เพิ่มจุดแจกหน้ากากอนามัยและสถานที่ปลอดฝุ่น PM2.5 พร้อมจัดทำศูนย์ข้อมูลและศูนย์ประชาสัมพันธ์ร่วม

การประชาสัมพันธ์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง นายประเสริฐเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อกฎหมาย สิทธิประโยชน์ มาตรการต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจ เพื่อป้องกันการละเมิดข้อกำหนดและสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชน

มาตรการเสริมสร้างความร่วมมือ จังหวัดเชียงรายได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป่าไม้ กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของการบริหารจัดการปัญหา นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีตรวจจับจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียม และจัดอบรมเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงาน

ผลกระทบและเป้าหมาย ปัญหาไฟป่าและหมอกควันเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” จึงมุ่งหวังลดความรุนแรงของปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว

บทสรุป จังหวัดเชียงรายมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยการดำเนินงานในปีนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับพื้นที่จังหวัดเชียงรายและภูมิภาคโดยรอบ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

30 บาทรักษาทุกที่ ทั่วประเทศ เริ่มวันนี้ สุขภาพดีทั่วไทย

รัฐบาลเปิดตัว “30 บาทรักษาทุกที่” ครอบคลุมทั่วประเทศ ยกระดับสุขภาพคนไทย

วันที่ 3 มกราคม 2568 – รัฐบาลไทยได้เปิดตัวโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” ระยะที่ 4 ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นโครงการเรือธงที่มุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับคนไทยทุกคน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์หรือเอกสาร เพียงใช้ “บัตรประชาชนใบเดียว” ก็สามารถรับบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง

ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2567 และได้รับการขยายผลอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ระยะที่ 3 ครอบคลุม 46 จังหวัด และล่าสุดได้ขยายเพิ่มเติมอีก 31 จังหวัดในปี 2568 ทำให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในประเทศ นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสาธารณสุขไทย

ในปี 2567 เพียงปีเดียว โครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” มีผู้ใช้บริการกว่า 6,150,579 คน โดยให้บริการจำนวน 14,079,514 ครั้ง ซึ่งรวมถึง:

  • บริการเจาะเลือดใกล้บ้านผ่าน Lab Rider จำนวน 30 รายการ
  • บริการ Telemedicine หรือการพบแพทย์ออนไลน์ จำนวน 1,206,031 ครั้ง
  • บริการรับยาใกล้บ้านผ่านร้านยาเอกชน 93,927 ครั้ง
  • การจัดส่งยาทางไปรษณีย์ 573,612 ครั้ง
  • การส่งยาโดย Health Rider จำนวน 379,782 ครั้ง

โครงการนี้ช่วยลดระยะเวลาการรอคอยจากเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 7 นาที เหลือเพียง 56 นาทีต่อครั้ง และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งได้ถึง 160 บาท

ความสะดวกที่เพิ่มขึ้นในปี 2568

ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โครงการนี้ได้รับการพัฒนาและขยายผลเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม การใช้ บัตรประชาชนใบเดียว เป็นกุญแจสำคัญในการลดความยุ่งยากด้านเอกสาร และช่วยอำนวยความสะดวกในกระบวนการรักษา โดยประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ทั้งใน:

  • โรงพยาบาลรัฐ
  • คลินิกเอกชน
  • ร้านขายยาเอกชน ที่เข้าร่วมโครงการ (สามารถสังเกตสติกเกอร์ “30 บาทรักษาทุกที่” ได้)

ทั้งนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เตรียมความพร้อมในด้านการเบิกจ่าย และสนับสนุนหน่วยบริการในระบบเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

ประโยชน์และสิทธิใหม่ของประชาชน

นอกจากบริการเดิม โครงการนี้ยังมอบสิทธิประโยชน์ใหม่ อาทิ:

  • การเลือกสถานที่รักษาใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน
  • เพิ่มบริการตรวจและรักษาโรคทั่วไปในร้านขายยา
  • บริการจัดส่งยาและปรึกษาแพทย์ออนไลน์ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล

ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมไทย

นโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกในด้านอื่น ๆ:

  1. ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ โดยกระจายการรักษาไปยังหน่วยบริการอื่น ๆ
  2. เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะประชาชนในชนบท
  3. สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ผ่านการมีส่วนร่วมของคลินิกและร้านขายยาเอกชน
  4. ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข ทำให้ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสทางการรักษาที่เท่าเทียม

ก้าวต่อไปเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

ในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าที่จะพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เช่น ระบบ Telemedicine และการจัดส่งยาอัจฉริยะ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

นโยบายนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างระบบสาธารณสุขที่ทันสมัย เท่าเทียม และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน

“30 บาทรักษาทุกที่” สุขภาพดีสำหรับคนไทยทุกคน เริ่มแล้วทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ประเพณีกินวอ ชุมชนลาหู่ เชียงราย เฉลิมฉลองปีใหม่วัฒนธรรมเหนือ

วธ.ร่วมเฉลิมฉลองประเพณีกินวอ กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เชียงราย

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดยนางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และทีมงาน ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ หรือ ประเพณีกินวอ ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ เพื่อสืบสานและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีสำคัญของชุมชน

ประเพณีกินวอ: การเฉลิมฉลองที่มีเอกลักษณ์

ประเพณีกินวอ ถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวลาหู่ ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ศาสนา และวัฒนธรรมของเผ่า โดยการเฉลิมฉลองเริ่มต้นด้วย พิธีรดน้ำอวยพร เพื่อส่งความสุขและความเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ ต่อด้วย การเต้นจะคึ ซึ่งเป็นการเต้นรำเพื่อบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ และแสดงความกตัญญูต่อพระเจ้า

ชาวลาหู่ทั้งชายและหญิงต่างแต่งกายในชุดประจำชาติพันธุ์ที่มีสีสันสดใสและลวดลายที่สวยงาม เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของชุมชน นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การสาธิตตำข้าวปุ๊ก ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่น การละเล่นสะบ้า และ การตีลูกข่าง ที่สร้างความสนุกสนานและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชน

การส่งเสริมความสัมพันธ์และวัฒนธรรม

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชน การสืบทอดประเพณีให้แก่คนรุ่นใหม่ และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่มีคุณค่า โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากชุมชนลาหู่ในพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั้งในและต่างประเทศ

นางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ กล่าวว่า ประเพณีกินวอเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงความสามัคคีและความเป็นหนึ่งเดียวของชาวลาหู่ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชาติพันธุ์ต่าง ๆ

ความสำคัญของประเพณีกินวอ

ประเพณีกินวอของชาวลาหู่มีรากฐานมาจากความเชื่อและความศรัทธาในธรรมชาติและพระเจ้า โดยในอดีต การจัดงานกินวอมีขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญูต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองชุมชน รวมถึงการขอพรให้ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ความสุข และความสงบสุข

พิธีกรรมและกิจกรรมในงาน ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและมีเอกลักษณ์ของชาวลาหู่ แต่ยังเป็นการส่งต่อคุณค่าแห่งความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม

ประเพณีกินวอกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว

การจัดงานกินวอในปีนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้พื้นที่ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่กลายเป็นจุดหมายที่นักเดินทางหลายคนเลือกมาเยือนในช่วงเทศกาลปีใหม่ การเฉลิมฉลองในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

การสนับสนุนจากวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสืบสานประเพณีท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง โดยมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับวัฒนธรรมชาติพันธุ์

สรุป

การเฉลิมฉลองประเพณีกินวอของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมที่มีคุณค่า แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้วัฒนธรรมลาหู่และประเพณีกินวอ สามารถเยี่ยมชมงานประจำปีได้ที่ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย งานที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์วัฒนธรรมและความสนุกสนานที่ไม่ควรพลาด!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News