Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ประเพณีกินวอ ชุมชนลาหู่ เชียงราย เฉลิมฉลองปีใหม่วัฒนธรรมเหนือ

วธ.ร่วมเฉลิมฉลองประเพณีกินวอ กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เชียงราย

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดยนางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และทีมงาน ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ หรือ ประเพณีกินวอ ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ เพื่อสืบสานและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีสำคัญของชุมชน

ประเพณีกินวอ: การเฉลิมฉลองที่มีเอกลักษณ์

ประเพณีกินวอ ถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวลาหู่ ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ศาสนา และวัฒนธรรมของเผ่า โดยการเฉลิมฉลองเริ่มต้นด้วย พิธีรดน้ำอวยพร เพื่อส่งความสุขและความเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ ต่อด้วย การเต้นจะคึ ซึ่งเป็นการเต้นรำเพื่อบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ และแสดงความกตัญญูต่อพระเจ้า

ชาวลาหู่ทั้งชายและหญิงต่างแต่งกายในชุดประจำชาติพันธุ์ที่มีสีสันสดใสและลวดลายที่สวยงาม เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของชุมชน นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การสาธิตตำข้าวปุ๊ก ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่น การละเล่นสะบ้า และ การตีลูกข่าง ที่สร้างความสนุกสนานและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชน

การส่งเสริมความสัมพันธ์และวัฒนธรรม

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชน การสืบทอดประเพณีให้แก่คนรุ่นใหม่ และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่มีคุณค่า โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากชุมชนลาหู่ในพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั้งในและต่างประเทศ

นางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ กล่าวว่า ประเพณีกินวอเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงความสามัคคีและความเป็นหนึ่งเดียวของชาวลาหู่ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชาติพันธุ์ต่าง ๆ

ความสำคัญของประเพณีกินวอ

ประเพณีกินวอของชาวลาหู่มีรากฐานมาจากความเชื่อและความศรัทธาในธรรมชาติและพระเจ้า โดยในอดีต การจัดงานกินวอมีขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญูต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองชุมชน รวมถึงการขอพรให้ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ความสุข และความสงบสุข

พิธีกรรมและกิจกรรมในงาน ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและมีเอกลักษณ์ของชาวลาหู่ แต่ยังเป็นการส่งต่อคุณค่าแห่งความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม

ประเพณีกินวอกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว

การจัดงานกินวอในปีนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้พื้นที่ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่กลายเป็นจุดหมายที่นักเดินทางหลายคนเลือกมาเยือนในช่วงเทศกาลปีใหม่ การเฉลิมฉลองในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

การสนับสนุนจากวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสืบสานประเพณีท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง โดยมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับวัฒนธรรมชาติพันธุ์

สรุป

การเฉลิมฉลองประเพณีกินวอของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมที่มีคุณค่า แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้วัฒนธรรมลาหู่และประเพณีกินวอ สามารถเยี่ยมชมงานประจำปีได้ที่ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย งานที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์วัฒนธรรมและความสนุกสนานที่ไม่ควรพลาด!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก จับมือขุดลอกแม่น้ำสาย แก้น้ำท่วมยั่งยืน

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก หารือแผนขุดลอกแม่น้ำสาย สร้างความร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อกำหนดแนวทางในการขุดลอกแม่น้ำสาย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและฟื้นฟูสภาพแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างยั่งยืน

ที่มาและความสำคัญของแม่น้ำสาย

แม่น้ำสาย หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “แม่น้ำละว้า” เป็นแม่น้ำที่มีความยาว 30 กิโลเมตร โดยแบ่งความยาวในประเทศไทย 15 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยและเมียนมา โดยมีต้นน้ำอยู่ในประเทศเมียนมาและไหลผ่านจังหวัดเชียงราย จนไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน

แม่น้ำสายเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญสำหรับการเกษตรกรรมและการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น แต่ปัญหาการกัดเซาะของแม่น้ำที่ทำให้ตลิ่งเปลี่ยนทิศทาง เกิดแผ่นดินงอกและแผ่นดินหด ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางทรัพยากรและพื้นที่ชายแดน

ความร่วมมือข้ามพรมแดน

การประชุมในครั้งนี้มีการวางแผนการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับสิทธิการเดินเรือและการใช้น้ำอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 16-17 มกราคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางการขุดลอกแม่น้ำและพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมระยะยาว

นอกจากนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation) ในการดำเนินโครงการเพื่อบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย – ลุ่มน้ำรวก โดยเน้นการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าและปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบและการแก้ปัญหา

จากการประชุมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา หน่วยงานทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่และแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้ชุมชนชายแดนทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์ โดยมีแผนการดำเนินการ 3 ขั้นตอน ได้แก่

  1. วางแผนสำรวจข้อมูล: ประเมินพื้นที่และเสนอความต้องการงบประมาณ
  2. ดำเนินการตามแผน: ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงแม่น้ำและตลิ่ง
  3. พัฒนาอย่างยั่งยืน: ติดตามผลการดำเนินการและพัฒนาระบบป้องกันในระยะยาว

ความสำเร็จในอนาคต

การขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกและการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยคาดว่าจะช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ การมีเขตแดนที่ชัดเจนยังสร้างโอกาสให้เกิดความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเมียนมาในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย

  • โครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างไร?
    ช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและเพิ่มความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำ

  • ใครเป็นผู้ดำเนินโครงการนี้?
    สทนช. และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมมือกับประเทศเมียนมา

  • ระยะเวลาการดำเนินโครงการนี้นานเท่าไหร่?
    โครงการจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การขุดลอกแม่น้ำสายและความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือข้ามพรมแดนที่ส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รายงานสถานการณ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

เฝ้าระวังอหิวาตกโรค ไทยย้ำสุขอนามัยรับปีใหม่

อหิวาตกโรคยังน่าห่วง! วช. เฝ้าระวังเข้มช่วงปีใหม่ ป้องกันการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การระบาดของอหิวาตกโรคเป็น ‘ภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่’ เนื่องจากพบผู้ป่วยจำนวนมากและการระบาดขยายวงกว้างในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศเช่นเดียวกับโควิด-19

ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังอหิวาตกโรคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็น 1 ใน 57 โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตามกฎหมาย โดยหลังการระบาดในพื้นที่ชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา ซึ่งติดกับชายแดนจังหวัดตาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค พบผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 2 ราย นอกจากนี้ยังพบผู้ติดเชื้อไม่มีอาการอีก 3 ราย ทุกคนได้รับการรักษาจนหายดีแล้วและไม่มีผู้เสียชีวิต

มาตรการป้องกันโรคเข้มข้นในช่วงเทศกาลปีใหม่

นพ.สุภโชค กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่มีกิจกรรมเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ดังนี้

  1. สุขาภิบาลตลาดและร้านอาหาร
    เจ้าของตลาดทุกแห่งต้องล้างตลาดและฆ่าเชื้อทุกวัน รวมถึงร้านอาหารและแผงลอยต้องปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหาร

  2. ทำความสะอาดห้องสุขาสาธารณะ
    หน่วยงานราชการ โรงเรียน และองค์กรเอกชนต้องล้างและฆ่าเชื้อห้องสุขาสาธารณะทุกวัน

  3. ควบคุมคุณภาพน้ำประปา
    ผู้รับผิดชอบระบบประปาต้องปรับปรุงคุณภาพน้ำให้มีค่าคลอรีนอิสระตามมาตรฐาน

  4. ตรวจคัดกรองผู้สงสัยติดเชื้อ
    ผู้ที่มีอาการหรือสงสัยว่าติดเชื้ออหิวาตกโรคต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองและรักษา

  5. ความร่วมมือจากสถานประกอบการ
    ร้านอาหาร สถานที่ผลิตน้ำดื่ม/น้ำแข็ง ต้องให้ความร่วมมือในการกำจัดหรือทำลายเชื้อ

  6. สื่อสารข้อมูลป้องกันโรค
    ขอความร่วมมือผู้นำชุมชนและเครือข่ายภาคประชาชนช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลความรู้การป้องกันโรคผ่านทุกช่องทาง

การเฝ้าระวังโรคและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า การจัดการกับอหิวาตกโรคจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

ในปี 2568 วช. ยังเตรียมพัฒนาระบบการส่งข้อความเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันโรค

เน้นย้ำการป้องกันส่วนบุคคล

นพ.สุภโชคเน้นย้ำถึงความสำคัญของสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการกินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือ รวมถึงการเลือกบริโภคน้ำและอาหารที่สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของโรค

สรุป

กระทรวงสาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการป้องกันอหิวาตกโรคอย่างเข้มงวด พร้อมเรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรักษาสุขอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย สร้างคุณภาพชีวิตยั่งยืนในโรงเรียนภาคเหนือ

โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” โรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือ สร้างคุณภาพชีวิตยั่งยืน

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” โรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 ภายใต้พระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการต่อยอดและขยายผลต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้กับโรงเรียนในพื้นที่สูงและชุมชนใกล้เคียง รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนและมีสุขภาพแข็งแรง

จุดเริ่มต้นของโครงการ

ด้วยสภาพพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่สูง ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งอาหารที่เพียงพอสำหรับนักเรียน กองทัพภาคที่ 3 จึงได้รับพระราชดำริให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมทั้งส่งเสริมการปลูกผักปลอดสารพิษ การเลี้ยงสัตว์ และการประยุกต์ใช้ทรัพยากรในพื้นที่อย่างยั่งยืน

ในปีงบประมาณ 2567 โครงการครอบคลุมโรงเรียนจำนวน 117 แห่ง และเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่งในปีงบประมาณ 2568 รวมเป็น 121 โรงเรียน ได้แก่

  1. โรงเรียนบ้านแม่แสะ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
  2. โรงเรียนแม่จะเราวิทยาคม ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
  3. โรงเรียนโมโกรวิทยาคม ตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
  4. โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 22 ตำบลแม่นาเติง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

กระบวนการดำเนินโครงการ

โครงการแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:

  1. การวางแผนและสำรวจข้อมูล

    • สำรวจข้อมูลและวางแผนการดำเนินงานร่วมกับโรงเรียน
    • จัดทำแผนงานและงบประมาณที่สอดคล้องกับความต้องการของโรงเรียน
  2. การดำเนินการตามแผนงาน

    • ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์โดยใช้พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และพันธุ์ปลาจากโครงการทหารพันธุ์ดี และศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ
    • บันทึกสถิติและผลการดำเนินงาน
  3. การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

    • ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
    • แก้ไขปัญหาและพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จและผลกระทบเชิงบวก

โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร โรงเรียน นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในหลายด้าน:

  • นักเรียนได้รับสารอาหารครบถ้วน ส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาพร่างกายและจิตใจ
  • ชุมชนรอบโรงเรียนได้แหล่งเรียนรู้ด้านการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ปลอดภัย
  • เพิ่มความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่น
  • สร้างความยั่งยืนในสังคมตามพระราชดำริ

เป้าหมายในอนาคต

โครงการมุ่งเน้นการขยายผลและสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ โดยตั้งเป้าหมายให้ชุมชนและโรงเรียนสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณและความใส่พระทัยในคุณภาพชีวิตของเด็กและชุมชนไทยบนพื้นที่สูง เพื่ออนาคตที่ดีและยั่งยืนของสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ววน. เปิดแผนเตือนภัยสึนามิ ยกระดับความปลอดภัยไทย

นวัตกรรมสู่ทางรอดภัยสึนามิ ววน. เร่งลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เปิดเวทีเสวนาวิชาการ “จากงานวิจัยและนวัตกรรม…สู่ทางรอดภัยสึนามิ” ณ จังหวัดพังงา ในงานรำลึกครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เป้าหมายเพื่อการป้องกันและลดผลกระทบจากสึนามิ

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม ตั้งแต่การพัฒนาระบบเตือนภัยที่ทันสมัย การวางแผนการอพยพที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับชุมชนและระดับนโยบาย

วช. ยังเปิดเผยว่าการพัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและการทำงานร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันภัยพิบัติและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยุทธศาสตร์ ววน. สู่ความยั่งยืนในอนาคต

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการ สกสว. เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์การวิจัยของ ววน. ปี 2566-2570 มุ่งพัฒนาแนวทางลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีงบประมาณวิจัยรวมกว่า 17.528 ล้านบาทในช่วงปี 2563-2567 เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านการป้องกันสึนามิ อย่างไรก็ตาม ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมในด้านการฟื้นฟูเยียวยาหลังเกิดภัยพิบัติ

“การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตั้งแต่การคิดโจทย์วิจัยจนถึงการนำไปใช้จริง จะช่วยให้ชุมชนสามารถปรับตัวและลดความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น” ศ.ดร.จักรพันธ์ กล่าว

ระบบเตือนภัยและการอพยพที่มีประสิทธิภาพ

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เน้นถึงความสำคัญของระบบเตือนภัยสึนามิที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและฝึกซ้อมแผนอพยพภายใต้สถานการณ์จำลองที่เหมาะสม ขณะที่ ผศ.ดร.ปานนท์ ลาชโรจน์ ระบุว่าควรมีการปรับปรุงกระบวนการอพยพในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการบำรุงรักษาอาคารหลบภัย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในกรณีเกิดคลื่นสึนามิสูง

สร้างความรู้และเตรียมพร้อมในชุมชน

ผศ.ปัญจพาณ์ สุขโข แกนนำนักศึกษาพยาบาลจิตอาสา เผยว่าโครงการพัฒนาการเตรียมพร้อมรับแผ่นดินไหวเชิงรุก เน้นการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน การสร้างหลักสูตรเอาตัวรอด และการให้ความรู้แก่ครูและนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อสร้างทักษะการรับมือและการช่วยเหลือตนเอง

รำลึก 20 ปี เหตุการณ์สึนามิที่พังงา

งานรำลึกจัดขึ้นโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สวนอนุสรณ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา นอกจากพิธีรำลึกถึงผู้สูญเสีย ยังมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนและหน่วยงาน พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม

ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่มั่นคง

การเสวนาและกิจกรรมในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความพร้อมของประเทศไทยต่อภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมือในทุกระดับ เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยในอนาคต

การป้องกันภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของทุกคนในสังคม ที่จะช่วยสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนร่วมกัน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยดึงนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน สร้างรายได้ทะลุเป้า 1.8 ล้านล้านบาท

ไทยแลนด์ครองเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2567 เตรียมพร้อมสู่ปี Amazing Thailand Grand Tourism 2025

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 35,047,501 คน ในปี 2567 ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ สร้างรายได้กว่า 1.8 ล้านล้านบาท จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

มาตรการเสริมศักยภาพการท่องเที่ยว
ความสำเร็จในปี 2567 เป็นผลมาจากมาตรการที่หลากหลาย เช่น

  • ยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) สำหรับ 93 ประเทศ
  • ยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับ 16 ด่านชายแดนทางบกและน้ำ
  • ความร่วมมือกับสายการบินระหว่างประเทศในการเปิดเส้นทางบินใหม่ เพิ่มเที่ยวบิน และขยายความจุที่นั่งสายการบิน

โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น มีสายการบินเปิดเส้นทางบินใหม่ถึง 311 เที่ยวบิน เพิ่มความจุที่นั่งกว่า 70,000 ที่นั่ง

ตลาดนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูง
ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำสถิติสูงสุด (New High) เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้แก่

  • จีน: 6,667,610 คน
  • มาเลเซีย: 4,898,496 คน
  • อินเดีย: 2,100,645 คน
  • เกาหลีใต้: 1,847,276 คน
  • รัสเซีย: 1,705,198 คน
    นอกจากนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและยุโรปยังคงเติบโตต่อเนื่อง

กิจกรรมเด่นดึงดูดนักท่องเที่ยว


ในปีที่ผ่านมา ททท. จัดกิจกรรมและอีเวนต์ระดับโลก เช่น

  • Amazing Thailand Countdown 2024
  • เทศกาลสงกรานต์ระดับชาติ
  • การท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์และภาพยนตร์ไทย
  • โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges

แผนงานปี 2568 สู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

ททท. วางเป้าหมายปี 2568 ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36-39 ล้านคน สร้างรายได้ 1.98 – 2.23 ล้านล้านบาท ภายใต้แผนงาน Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 โดยเน้นเสน่ห์ไทยที่แตกต่าง เช่น

  • จัดอีเวนต์ระดับโลก
  • เสริมประสบการณ์การเดินทางใหม่
  • เพิ่มสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว
  • เชิญผู้มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

การเปิดเส้นทางบินใหม่ในปี 2568
สายการบินจากทั่วโลกเตรียมเปิดเส้นทางใหม่ ได้แก่

  • Ruili Airlines: คุนหมิง-เชียงใหม่
  • British Airways: ลอนดอน-กรุงเทพฯ
  • Thai Airways: บรัสเซลส์-กรุงเทพฯ
  • Air Canada: แวนคูเวอร์-กรุงเทพฯ

การมุ่งสู่การเป็น Tourism Hub

การผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเน้นความสะดวกและสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง

บทสรุป

ความสำเร็จในปี 2567 เป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ที่สะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง โดยปี 2568 จะเป็นปีที่ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในการก้าวสู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ที่สุดแห่งปี 2567 หมูเด้งครองใจ ความหวังใหม่คนไทยปี 2568

“ที่สุดแห่งปี 2567” โดยสวนดุสิตโพล: หมูเด้งครองใจคนไทย สะท้อนความหวังปี 2568

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนหัวข้อ “ที่สุดแห่งปี 2567” โดยทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 14,246 คน ผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และภาคสนาม ระหว่างวันที่ 13-27 ธันวาคม 2567 พบว่าปีนี้ประชาชนให้ความสนใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ บุคคล และปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อสังคมไทยในหลากหลายมิติ

เหตุการณ์ที่สุดแห่งปี 2567

  1. หมูเด้ง โด่งดังทั่วโลก – ร้อยละ 26.43
    ปรากฏการณ์ “น้องหมูเด้ง” สร้างกระแสความนิยมในหมู่คนไทยและต่างชาติ ถือเป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดของคนไทยจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจ
  2. คดีดิไอคอน – ร้อยละ 24.54
    เหตุการณ์ที่สะท้อนการจับตามองปัญหาความโปร่งใสในสังคม
  3. ยุบพรรคก้าวไกล – ร้อยละ 17.95
    เป็นเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อความหวังและความคาดหวังของประชาชน

ที่สุดแห่งปีในหมวดบุคคล

  • นักร้องเพลงไทยสากลชาย: เจฟ ซาเตอร์ (ร้อยละ 30.65)
  • นักร้องเพลงไทยสากลหญิง: ปาล์มมี่ (ร้อยละ 28.38)
  • นักร้องลูกทุ่งชาย: ก้อง ห้วยไร่ (ร้อยละ 40.58) – ครองแชมป์เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
  • นักร้องลูกทุ่งหญิง: ลำไย ไหทองคำ (ร้อยละ 34.74)
  • ดาราชาย: ต่อ ธนภพ (ร้อยละ 30.41)
  • ดาราหญิง: ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก (ร้อยละ 29.22)
  • นักกีฬาชาย: วิว กุลวุฒิ (ร้อยละ 44.35)
  • นักกีฬาหญิง: น้องเทนนิส (ร้อยละ 46.22) – ครองตำแหน่งเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
  • นักการเมืองชาย: ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ร้อยละ 35.89)
  • นักการเมืองหญิง: แพทองธาร (ร้อยละ 36.77)
  • นักการศึกษาที่สุดแห่งปี: ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (ร้อยละ 31.13)
  • ผู้ทรงอิทธิพลแห่งปี: กรรชัย กำเนิดพลอย (ร้อยละ 40.69)

ความหวังของคนไทยในปี 2568

ผลสำรวจพบว่าความหวังที่ประชาชนอยากเห็นในปี 2568 ได้แก่ “คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” (ร้อยละ 30.15) ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของประชาชนให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นลำดับแรก

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจนี้สะท้อนถึงความหลากหลายของความสนใจของคนไทยในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะปรากฏการณ์ “หมูเด้ง” ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม แสดงถึงความต้องการผ่อนคลายความเครียดจากข่าวหนักหน่วง เช่น คดีดิไอคอน และการยุบพรรคก้าวไกล

ทั้งนี้ บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งปีอย่างกรรชัย กำเนิดพลอย สะท้อนพลังของวงการสื่อมวลชนที่สร้างแรงกระเพื่อมในสังคม และยังแสดงให้เห็นว่าประชาชนยังคงจับตามองประเด็นเศรษฐกิจและการเมืองเป็นสำคัญในปีหน้า

บทสรุปของปีแห่งความหวัง

ปี 2567 อาจเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง แต่ความหวังของคนไทยในปี 2568 ยังมุ่งไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และการสร้างความมั่นคงในชีวิต พร้อมกับการรับแรงบันดาลใจจากบุคคลที่โดดเด่นในหลากหลายวงการ ทั้งการบันเทิง การกีฬา การศึกษา และสื่อมวลชน ซึ่งยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดุสิตโพล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘เกาหลีใต้’ ดึงนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มทัวร์เข้าได้ไม่ต้องวีซ่า ‘เว้นไทย’

รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดมาตรการดึงนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มทัวร์เรือสำราญเข้าประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่า

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 จากรายงานของ Business Korea รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พิจารณามาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มทัวร์ โดยเสนอให้ เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า (Visa-free entry) เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและวิกฤติโควิด-19

มาตรการนี้เริ่มต้นสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาโดยเรือสำราญ และมีแผนขยายไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในประเภทอื่นๆ ภายหลัง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีสามารถเข้าพักในโฮมสเตย์ในเมือง (Urban Homestays) ซึ่งก่อนหน้านี้สงวนไว้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 

การประชุมยุทธศาสตร์ฟื้นฟูการท่องเที่ยว

แผนการเหล่านี้ถูกประกาศในที่ประชุมว่าด้วยยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยว จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกาหลี ในเขตยงซาน กรุงโซล เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 การประชุมมีผู้แทนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเอกชนประมาณ 60 คนเข้าร่วม โดยเน้นถึงความสำคัญของการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19

มาตรการสำคัญของรัฐบาล

  1. ขยายการยกเว้น K-ETA และค่าวีซ่า
    • รัฐบาลได้ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจาก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา และอินเดีย จนถึงสิ้นปีหน้า
    • ขยายระยะเวลาการยกเว้นชั่วคราวสำหรับ Korea Electronic Travel Authorization (K-ETA) ถึงสิ้นปี 2568
  2. สนับสนุนการเงินแก่ภาคการท่องเที่ยว
    • เงินกู้ทั่วไป 536.5 พันล้านวอน
    • การชดเชยเงินกู้รอง 100 พันล้านวอน
    • เงินกู้ค้ำประกัน 70 พันล้านวอน
    • มีแผนใช้งบประมาณด้านการท่องเที่ยว 1.3 ล้านล้านวอน โดย 70% ของงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในช่วงครึ่งปีแรก
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมและแคมเปญ
    • จัดงาน “Korea Grand Sale” ขยายระยะเวลาในครึ่งปีแรก
    • เตรียมจัดอีเวนต์ใหญ่ “Beyond K-Festa” ในเดือนมิถุนายน

ความสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเกาหลีใต้

ข้อมูลจาก องค์การการท่องเที่ยวเกาหลี (KTO) ระบุว่า เกาหลีใต้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 13.74 ล้านคนภายในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดตั้งแต่ปี 2562 ที่เคยมี 17.5 ล้านคนก่อนการระบาดของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 20 ล้านคนในปีนี้ สะท้อนถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกำลังเผชิญ

รัฐบาลเน้นย้ำความสำคัญของการสื่อสารใกล้ชิดกับภาคการท่องเที่ยว

รองประธานาธิบดีฮัน ดัก-ซู กล่าวในที่ประชุมว่า “เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของตลาดการท่องเที่ยว เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเชิงรุกและเร่งด่วน ผ่านการสื่อสารใกล้ชิดกับภาคการท่องเที่ยว”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความหวังในอนาคต

มาตรการที่เน้นการเปิดประเทศและฟื้นฟูการท่องเที่ยวนี้ คาดว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงในระยะยาว โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและการช็อปปิ้งที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาหลีใต้

จากแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งด้านการเงิน การยกเว้นวีซ่า และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว เกาหลีใต้หวังจะกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในปี 2568 และปีต่อๆ ไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : businesskorea

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียเหตุเครื่องบินไถลรันเวย์ที่เกาหลี

ผู้ว่าฯ เชียงรายเยี่ยมครอบครัวน้องเหมย เหยื่อเหตุเครื่องบินไถลรันเวย์ในเกาหลีใต้

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และคณะทำงานจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พมจ.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.) ได้เดินทางไปยังบ้านห้วยน้ำขุ่น หมู่ที่ 16 ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เพื่อเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจครอบครัวของนางสาวสิริธร จะอื่อ หรือ “น้องเหมย” อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินไถลออกนอกรันเวย์ที่ประเทศเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567

เยี่ยมครอบครัวด้วยความห่วงใย

เมื่อเดินทางถึงบ้านของน้องเหมย นายชรินทร์ และคณะได้รับการต้อนรับจากนายดีมา ดำรงชัยวิชิต ผู้ใหญ่บ้านห้วยน้ำขุ่น พร้อมผู้นำชุมชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ขณะเดียวกันตาและยายของน้องเหมย ได้แก่ นายจะหวัด จะอื่อ อายุ 75 ปี และนางนาโม จะอื่อ อายุ 70 ปี ยังคงอยู่ในอาการเศร้าโศกอย่างหนัก

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัว พร้อมสอบถามความคืบหน้าในการค้นหาและพิสูจน์อัตลักษณ์ศพของน้องเหมยผ่านวิดีโอคอลกับญาติที่อยู่ในเกาหลีใต้ โดยแจ้งว่าศพของน้องเหมยถูกพบแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างกระบวนการพิสูจน์ตัวตนร่วมกับศพอื่น ๆ อีก 5 ราย

แผนการจัดพิธีศพ

จากการพูดคุยกับครอบครัว ทราบว่ามารดาของน้องเหมยต้องการจัดพิธีศพที่ประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากอาศัยอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตาม หลังพิธีที่เกาหลีใต้ ครอบครัวมีแผนจะกลับมาทำบุญให้น้องเหมยที่บ้านห้วยน้ำขุ่นอีกครั้ง เพื่อให้ญาติและชุมชนได้ร่วมไว้อาลัย

การช่วยเหลือครอบครัวเบื้องต้น

นอกจากแสดงความเสียใจ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและคณะยังมอบถุงยังชีพและเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจากเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย จำนวน 9,000 บาท รวมถึงเงินช่วยเหลือ 3,000 บาทจาก พมจ.เชียงราย ที่ได้มอบไปก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ ครอบครัวของน้องเหมยยังมีน้องชายสองคน ซึ่งกำลังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและมัธยมศึกษา ทางจังหวัดเชียงรายวางแผนประสานงานเพื่อขอทุนการศึกษาสำหรับน้องชายของน้องเหมย เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษา

ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต

นายชรินทร์กล่าวว่า หากครอบครัวมีปัญหาหรือความต้องการใด ๆ ที่เกินกว่าความสามารถของหน่วยงานในจังหวัด ทางจังหวัดพร้อมประสานไปยังหน่วยงานระดับสูงหรือรัฐบาล เพื่อให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่

จบด้วยความห่วงใย

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแสดงถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของน้องเหมย แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนครอบครัวผู้ประสบเหตุ เพื่อให้พวกเขาสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความสูญเสียและดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พิธีตักบาตรปีใหม่เชียงราย 2568 เสริมสิริมงคล ต้อนรับความสุข

พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และตักบาตรรับปีใหม่ เชียงราย ปี 2568

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ที่บริเวณแยกสุริวงค์ ถนนธนาลัย อำเภอเมืองเชียงราย เทศบาลนครเชียงรายได้จัดพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์จาก 9 วัด ประดิษฐานบนราชรถบุษบกศิลปะล้านนา 9 คัน พร้อมพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2568

พิธีนี้มีพระรัตนมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารเทศบาลนครเชียงราย พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง

ราชรถบุษบก 9 คันแห่งศรัทธา

ราชรถบุษบกที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 องค์ ถูกออกแบบและสร้างสรรค์ด้วยศิลปะล้านนาที่วิจิตรบรรจง สะท้อนเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวล้านนา โดยราชรถเหล่านี้ถูกใช้ในพิธีสำคัญที่เชียงรายมาตลอดหลายปี ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลที่สร้างแรงศรัทธาให้แก่ผู้พบเห็น

พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 องค์ ได้แก่

  1. พระพุทธสิหิงค์
  2. พระพุทธชินราชจำลอง
  3. พระแก้วมรกตจำลอง
  4. พระพุทธเมตตา
  5. พระพุทธโสธรจำลอง
  6. พระพุทธไตรรัตนนายก
  7. พระพุทธมหามุนีจำลอง
  8. พระพุทธปางลีลา
  9. พระพุทธชินบัญชรจำลอง

ตักบาตรปีใหม่ สืบสานวัฒนธรรมไทย

พิธีทำบุญตักบาตรในครั้งนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 25 โดยมีพระภิกษุสงฆ์และสามเณรจากวัดต่างๆ ในเขตเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 129 รูป ออกรับบิณฑบาตจากประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมงาน ตั้งแต่แยกสุริวงค์ ถนนธนาลัย ไปจนถึงแยกศาลแขวงเชียงราย รวมระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความศรัทธาและความอบอุ่น ประชาชนจำนวนมากร่วมกันทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง และดอกไม้เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันเริ่มต้นปีใหม่ ทั้งยังถือเป็นการส่งเสริมและสืบสานประเพณีอันดีงามของชาวไทย

ความสำคัญของพิธี

พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และทำบุญตักบาตรในวันขึ้นปีใหม่ ไม่เพียงเป็นการเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของชุมชนในการสืบสานวัฒนธรรมไทยที่งดงาม อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีให้ประชาชนได้แสดงความกตัญญูและความเคารพต่อพระพุทธศาสนา

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “พิธีนี้เป็นประเพณีสำคัญที่ชาวเชียงรายร่วมกันสืบสานมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความสุข อีกทั้งยังส่งเสริมภาพลักษณ์ของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาและการท่องเที่ยวเชิงศาสนา”

ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ

นอกจากจะเป็นพิธีที่สำคัญต่อชาวเชียงรายแล้ว ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศและชาวต่างชาติให้มาสัมผัสบรรยากาศของประเพณีไทยที่งดงาม พิธีนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย

เทศบาลนครเชียงรายได้ย้ำถึงความพร้อมในการจัดงาน พร้อมเชิญชวนทุกคนมาร่วมสัมผัสความงดงามและศรัทธาในปีหน้า เพื่อสืบสานประเพณีนี้ต่อไปอย่างยั่งยืน

พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปและตักบาตรปีใหม่ที่เชียงราย เป็นมากกว่าพิธีกรรมทางศาสนา แต่เป็นสะพานเชื่อมโยงชุมชนและวัฒนธรรมไทยให้ยืนยาวต่อไปในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News