Categories
TOP STORIES

‘อนุทิน’ สั่งผู้ว่าฯ ภาคเหนือ ถึงเวลาใช้กฎหมาย ‘ห้ามเผาเด็ดขาด’

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่แม่แจ่ม มอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

มอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าแม่แจ่ม

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 เวลา 08.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย เดินทางลงพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพบปะผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่

นายอนุทินพร้อมคณะได้ลงจอดเฮลิคอปเตอร์ที่โรงเรียนบ้านเนินวิทยา ก่อนเดินทางต่อไปยังสหกรณ์การเกษตรแม่แจ่ม จำกัด เพื่อพบปะและมอบแนวทางการแก้ไขปัญหา พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมในพื้นที่ เช่น การทำปุ๋ยจากเศษพืช การอัดก้อนเปลือกข้าวโพด และการทำอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

 

ความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อลดปัญหาหมอกควัน

นายอนุทินกล่าวถึงการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร ตำรวจ ไปจนถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อป้องกันการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหมอกควันและฝุ่น PM2.5

“หมอกควันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่มาจากการกระทำของมนุษย์ เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำเกษตร เช่น การไถกลบฟางข้าวโพดแทนการเผา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” นายอนุทินกล่าว

กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว

นอกจากการป้องกันไฟป่า นายอนุทินยังกล่าวถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของแม่แจ่มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว “เราต้องเปลี่ยนตอซังข้าวโพดเป็นโอกาส ให้ธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ของเราเป็นจุดขาย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน”

ทั้งนี้ นายอนุทินยังได้กล่าวถึงการสร้างความร่วมมือกับผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดมลภาวะ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการพัฒนาชุมชนในลักษณะยั่งยืน

คณะผู้บริหารร่วมสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหา

การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นต้น พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ

เน้นย้ำความสำคัญของกฎหมายและการบังคับใช้

นายอนุทินย้ำว่า การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดในระดับพื้นที่ พร้อมกระตุ้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันการเผาในที่โล่ง

“เราไม่สามารถปล่อยให้ประเทศไทยเจอปัญหาภัยพิบัติทุกปี ทั้งฝุ่นละออง น้ำท่วม และภัยแล้ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ เราต้องร่วมกันแก้ไขเพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลาน”

การสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการลงพื้นที่ครั้งนี้คือการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่เกษตรกรและประชาชน โดยมีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรที่ลดการเผาและส่งเสริมการใช้วัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล และคณะลงพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อมอบนโยบายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน พร้อมผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยมีการเน้นย้ำความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มหกรรมควายงามเชียงราย เสริมเศรษฐกิจ ยกระดับควายไทยสู่สากล

มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 ชูศักยภาพควายไทย เสริมเศรษฐกิจชุมชน

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 ณ สนามข้างหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายบุญศิลป์ วรินทรักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2568

งานนี้ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน อาทิ นายพืชผล น้อยนาฝาย ปศุสัตว์เขต 5 และนายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย โดยมีเจ้าของฟาร์มและผู้ประกอบการเลี้ยงควายจากทั่วประเทศเข้าร่วมประกวดควายงามกว่า 66 รุ่น ซึ่งมีมูลค่ารวมของควายที่เข้าร่วมงานสูงถึง 500 ล้านบาท

ควายชื่อดังที่สร้างสีสันภายในงาน

ภายในงานมีการจัดแสดงควายชื่อดังระดับประเทศ อาทิ “โก้เมืองเพชร” ควายเผือกที่ใหญ่ที่สุดในโลกจาก วนาสุวรรณฟาร์ม และ “ช้างภูแล” แชมป์ควายงามระดับประเทศในรุ่นควายดำเพศผู้ ฟันน้ำนมที่มีความสูงกว่า 140 เซนติเมตร สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมงาน

นายบุญศิลป์ วรินทรักษ์ กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมในครั้งนี้ถือว่ามีความพร้อมและสมบูรณ์แบบทั้งในด้านการจัดกิจกรรมและการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวงการเลี้ยงควายไทยให้ก้าวหน้า พร้อมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่

ด้านนายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย กล่าวว่า การพัฒนาวงการเลี้ยงควายไทยมีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างเศรษฐกิจในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มมูลค่าให้กับควายพันธุ์ดี และส่งเสริมอาชีพเลี้ยงควายให้ยั่งยืน

เสริมความเป็นศิลปะในงานมหกรรม

พ่อเลี้ยงเจ วนาสุวรรณ เจ้าของวนาสุวรรณฟาร์ม กล่าวว่า งานนี้ยังเป็นเวทีที่ผสมผสานศิลปะท้องถิ่น เช่น การเพ้นท์ควาย และการนำควายพ่อพันธุ์จากทั่วประเทศมาจัดแสดง ซึ่งเป็นการยกระดับภาพลักษณ์ของควายไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงควายเผือกและควายแคระ ซึ่งเป็นพันธุ์หายากที่มีมูลค่าสูงถึงหลักล้านบาท เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของควายไทยที่ไม่เพียงแต่เป็นสัตว์เลี้ยง แต่ยังเป็นทรัพย์สินที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ขอเชิญชวนร่วมงาน

งาน มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 จะจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมชมกิจกรรมมากมายและสนับสนุนการพัฒนาควายไทยเพื่อเศรษฐกิจชุมชนได้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดงานครั้งนี้ สามารถเข้าไปติดตามได้ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และข้อมูลเกี่ยวกับควายพันธุ์ดีจาก วนาสุวรรณฟาร์ม

มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย


มหกรรมประกวดควายงามเมืองเชียงราย ครั้งที่ 2 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2568 ชูความสำคัญของควายไทยในฐานะทรัพย์สินที่มีมูลค่า พร้อมกิจกรรมประกวดควายพันธุ์หายาก การแสดงศิลปะบนควาย และการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน งานจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘พญ.อัจฉรา’ ผ.อ. โฮงยาไทย สมัครชิง เลขาธิการ สปสช. คนใหม่

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เปิดรับสมัครเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ปี 2568

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อจ้างและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ โดยคณะกรรมการสรรหาได้ดำเนินการรับสมัครบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตั้งแต่วันที่ 6-20 มกราคม 2568 เพื่อเข้ามาทำหน้าที่สำคัญในการบริหารและพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

รายละเอียดการสรรหาและกระบวนการคัดเลือก

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานสำคัญที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยเลขาธิการ สปสช. ทำหน้าที่เป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการนโยบายหลักประกันสุขภาพให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมแก่ประชาชนทั่วประเทศ โดยคณะกรรมการสรรหาได้กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัคร เช่น

  1. อายุไม่เกิน 60 ปี
  2. ไม่เป็นกรรมการหรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง
  3. มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ด้านการบริหาร

สำหรับประวัติของทั้ง 9 ผู้สมัคร มีดังนี้ 

1.นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี

อายุ 58 ปี 6 เดือน 15 วัน

ประวัติการศึกษา

1) ปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2) ปี 2538 ได้รับอนุมัติเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสาธารณสุขศาสตร์ แพทยสภา
3) ปี 2541 บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
4) ปี 2541 วุฒิบัตรเวชศาสตร์ทั่วไป แพทยสภา 
5) ปี 2552 ปริญญาเอก ด้านนโยบายสาธารณสุข มหาวิทยาลัยลอนดอน

ประวัติการทำงาน

1) ปี 2533 แพทย์เวชปฏิบัติ รพ. ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี 
2) ปี 2534 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ รพ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
3) ปี 2538 ผู้อำนวยการ รพ.บางกรวย จ.นนทบุรี
4) ปี 2546 เข้าทำงานที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารทั่วไป ในการร่วมบริหารและขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 
5) ปี 2547 รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สปสช.
6) ปี 2552 ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สปสช.
7) ปี 2557 ประธานกลุ่มภารกิจนโยบายและยุทธศาสตร์ สปสช.
8) ปี 2559 ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สปสช.
9) 1 กุมภาพันธ์ 2564 – ปัจจุบัน เลขาธิการ สปสช.

ผลงานเด่น

1. ยกระดับบัตรทอง 4 บริการเพิ่มความสะดวก ลดยุ่งยากใช้สิทธิ เข้าถึงบริการเพิ่ม
• ประชาชนที่เจ็บป่วยไปรับบริการกับหมอประจำาครอบครัวในหน่วยบริการปฐมภูมิในระบบบัตรทองที่ไหนก็ได้ ตามนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่”
• ผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว
• โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม
• ย้ายหน่วยบริการได้สิทธิทันที ไม่ต้องรอ 15 วัน
2. เพิ่มประสิทธิภาพระบบบัตรทอง ภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่
3. เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ เพื่อดูแลประชาชนมากขึ้น
4. สนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศ
5. เพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการจัดบริการสุขภาพ

2. นายแพทย์ภาคี ทรัพย์พิพัฒน์

อายุ 50 ปี 8 เดือน 25 วัน

ประวัติการศึกษา

1) ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2) วุฒิบัตรแสดงความรู้ชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาเวชศาสตร์ครอบครัว แพทยสภา

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2548 ผู้อำนวยการ รพ.สหัสหัสขันธ์ สสจ.กาฬสินธุ์
2) พ.ศ. 2553 ผู้อำนวยการ รพ.หนองกุงศรี สสจ.กาฬสินธุ์
3) พ.ศ. 2557 นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สสจ.กาฬสินธุ์
4) พ.ศ. 2559 นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สสจ.ขอนแก่น
5) พ.ศ. 2560 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สสจ.ยะลา
6) พ.ศ. 2560นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สสจ.มหาสารคาม
7) พ.ศ. 2564 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สสจ.ขอนแก่น
8) พ.ศ.2566 สาธารณสุขนิเทศก์(นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สป.สธ.

3. นายแพทย์มาโนช อู่วุฒิพงษ์

อายุ 59 ปี

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2532 ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
2) พ.ศ. 2538 วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 
3) พ.ศ. 2556 ประกาศนียบัตร หลักสูตรพัฒนารองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลในสังกัดกรมต่าง ๆของกระทรวงสาธารณสุข รุ่นที่ ๗ วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุข
4) พ.ศ. 2560 ประกาศนียบัตร หลักสูตรนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง รุ่นที่ ๓๓วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุข
5) พ.ศ. 2563 ประกาศนียบัตร หลักสูตรการบริหาร โรงพยาบาลรุ่นที่ ๔๙ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2532 นายแพทย์ 4 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
2) พ.ศ. 2534 นายแพทย์ 5 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
3) พ.ศ. 2539 นายแพทย์ 6 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
4) พ.ศ. 2541 นายแพทย์ 7 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
5) พ.ศ. 2548 นายแพทย์ 8 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
6) พ.ศ. 2551 นายแพทย์ 9 โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
7) พ.ศ. 2551 นายแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
8) พ.ศ. 2561 ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
9) พ.ศ. 2563 ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสุโขทัย สสจ.สุโขทัย
10) พ.ศ.2567- ปัจจุบัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพุทธชินราช สสจ.พิษณุโลก

ผลงานเด่น

ผลงานวิจัย 
1. เรื่อง “ประสิทธิผลของยาต้านไวรัสสูตรผสมจีพีโอเวียร์ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ในโรงพยาบาลสุโขทัย
2. How to improve medical.students’ interest in rural area: Lessons from TAK. Poster presentation in The Association for Medical Education in Europe Conference 2019.Austria.
3. การศึกษาประสิทธิผลงโปรแกรมการสร้างความรู้แก่ผู้ป่วยนอกโรคเบาหวานคลินิกโรคเบาหวาน โรงพยาบาลสุโขทัย

4. นายแพทย์อภิชัย ลิมานนท์

อายุ 54 ปี 20 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2536 ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล
2) พ.ศ. 2545 หนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญ ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว แพทยสภา
3) พ.ศ. 2545 หนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญ ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสาธารณสุขศาสตร์ แพทยสภา
4) พ.ศ. 2548 ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (การพัฒนาสุขภาพชุมชน)มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2544 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 7) รพ. สหัสขันธ์สสจ. กาฬสินธุ์
2) พ.ศ. 2545 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 8) รพ.คำม่วงสสจ. กาฬสินธุ์
3) พ.ศ. 2547 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 8) รพ. สมเด็จสสจ. กาฬสินธุ์
4) พ.ศ. 2550 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 8) รพ. เขาวงสสจ. กาฬสินธุ์
5) พ.ศ. 2551 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์ 9) รพ. เขาวงสสจ. กาฬสินธุ์
6) พ.ศ. 2553 ผู้อำนวยโรงพยาบาล(นายแพทย์เชี่ยวชาญ) รพ. บรบือ สสจ. กาฬสินธุ์
7) พ.ศ. 2558 นายแพทย์เชี่ยวชาญ(ด้านเวชกรรมป้องกัน) สสจ.มหาสารคาม
8) พ.ศ. 2561 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) ประเภทอำนวยการ ระดับสูง สสจ.กระบี่
9) พ.ศ. 2562 นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) ประเภทอำนวยการ ระดับสูง สสจ.กาฬสินธุ์
10) พ.ศ. 2566 ถึง ปัจจุบัน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์)) ประเภทอำนวยการ ระดับสูง สสจ.ขอนแก่น

ผลงานเด่น

1. สร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดและลดอัตราตายมารดางทรกเขตสุขภาพที่ ๓/ (Health Literacy in High Risk Pregnancy) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
2. การบริหารการเงินการคลัง
3. ประสานความร่วมมือองค์การบริหารส่วนจังหวัดจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับประชาชน

5. แพทย์หญิงอัจฉรา ละอองนวลพานิช

อายุ 59 ปี 4 เดือน 4 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2515 – 2521 จบการศึกษาระดับประถมศึกษา โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม
2) พ.ศ. 2521 – 2524 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์
3) พ.ศ. 2524 – 2527 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม
4) พ.ศ. 2521 – 2533 ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5) พ.ศ. 2536 – 2539 วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
6) พ.ศ. 2536 – 2539 วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
7) พ.ศ.2562 อนุมัติบัตรสาขาเวชศาสตร์ป้องกันแขนงคลินิกจิตเวชชุมชน

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ.2551 – 2556 หัวหน้ากลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
2) พ.ศ.2556 -2560 รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
3) พ.ศ.2558 – 2560 รองผู้อำนวยการสำนักเขตสุขภาพที่ 1 เขตสุขภาพที่ 1
4) พ.ศ.2559 – 2560 รองผู้อำนวยการกองบริหารสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
5) พ.ศ. 2561 – 2562 ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี
6) พ.ศ. 2563 – 2565 ผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน จ.น่าน
7) พ.ศ. 2565 – ปัจจุบัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย

ผลงานเด่น

1) รางวัลเหรียญทอง จากการอบรมหลักสูตร”นักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง” รุ่นที่ ๓๑
2) รางวัลคนดีศรีโฮงยาไทยโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จังหวัดเชียงราย ประจำปี 2558
3) ข้าราชการพลเรือนดีเด่น “ครุตทองคำ” ประจำพุทธศักรศักราช 2564 จังหวัดน่าน
4) รางวัลคนดีศรีปฐมภูมิ แห่งประเทศไทย ปี 2567 ของสมาคมเวชกรรมสังคมแห่งประเทศไทศไทย
5) รางวัลแพทย์สตรีดีเด่น ปี 2567 ด้านบริการการแพทย์และสาธารณสุข ของสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์

6. นายแพทย์ดิเรก สุดแดน

อายุ 55 ปี 11 เดือน 15 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2537 วิทยาศาสตร์สุขภาพ สาขาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 
2) พ.ศ. 2544 แพทยศาสตรบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
3) พ.ศ. 2549 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน (สาขาระบาดวิทยา) สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
4) พ.ศ. 2550 อนุมัติบัตรแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (แขนงระบาดวิทยา)สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
5) พ.ศ.2552 สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล
6) พ.ศ.2555 อนุมัติบัตรแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทยสภา

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2545 แพทย์ประจำ รพ.น่าน จ.น่าน
2) พ.ศ. 2545 – 2547 ผู้อำนวยการรพ.ท่าวังผา จ.น่าน
3) พ.ศ. 2547 -2549 ผู้อำนวยการรพ.สองแคว จ.น่าน
4) พ.ศ. 2549 – 2551 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกันสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
5) พ.ศ. 2552 – 2559 ผู้อำนวยการรพ. ท่าวังผา จ.น่าน
6) พ.ศ. 2559 – 2565 นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกันสสจ.น่าน
7) ต.ค. 2562 – พ.ค. 2563 รักษาราชการแทนนายแพทย์สาธารณสุข จ.น่าน
8) พ.ศ. 2563 – 2565 รองผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
9) พ.ศ. 2565 – 2567 ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
10)พ.ศ. 2567 – ปัจจุบัน ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

ผลงานเด่น

1) ริเริ่มการใช้ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยี จัดทำระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน (Financial Data Hub : FDH) กระทรวงสาธารณสุข และได้รับรางวัลในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2) ริเริ่มทำโปรแกรม HINT ในการดูแลกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิและบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย สามารถทำให้มีการเบิกจ่ายและลงทะเบียนโดยใช้ระบบ Bio Metric ในกลุ่มดังกล่าวได้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นระบบมีการดำเนินการทั่วประเทศ ทำให้กลุ่มเปราะบางดังกล่าวได้รับการบริการทีเข้าถึงและดีขึ้น 
3) เสนอและบริหารจัดการงบประมาณภาพรวมกระทรวงสาธารณสุข การเข้าสภาเพื่อเสนองบประมาณ ทั้งเงินงบประมาณ และเงินกู้โควิด-19
4) การวางแผนเพื่อตอบกระทู้ถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
5) วิเคราะห์ และจัดทำคำของบประมาณและจัดสรรงบประมาณของสำนักงานปลัดกระทรวงและกระทรวงสาธารณสุข
6) เป็นผู้ทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวง เสนอให้กับผู้บริหารระดับสูงเพื่อใช้เป็นนโยบายระดับประเทศ ทั้งด้านการเงินการคลังและด้านระบบการบริหารงานด้านสาธารณสุขทั้งประเทศ
7) บริหารจัดการระบบสาธารณสุข ในสถานการณ์โควิค-19 ขณะปฏิบัติหน้าที่นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชกรรมป้องกัน สสจ.น่าน

7. นางสาวรุ่งศิริวรรณ เพิ่มพูน

อายุ 27 ปี 8 เดือน 4 วัน

ประวัติการศึกษา

1. พ.ศ. 2557 ปวช. สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคนิคนครนายก 
2. พ.ศ. 2559 ปวส. สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคนิคนครนายก 
3. พ.ศ. 2562 ปริญญาตรี สาขาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ. 2557 เจ้าหน้าที่ธุรการทั่วไป อบต.บ้านพร้าว นครนายก
2) พ.ศ. 2559 เจ้าหน้าที่บุคคล ฝึกงาน บริษัท บิวคอน จำกัด
3) พ.ศ. 2563 เจ้าหน้าที่ธุรการ การเงิน บริษัท บีเยส จำกัด
4) พ.ศ. 2566 – เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท โพรเกรส เอช อาร์ จำกัด

8. นายกิตติศักดิ์ บุญพิทักษ์วุฒิ

อายุ 48 ปี

ประวัติการศึกษา

พ.ศ. 2547 ปริญญาตรี การบริหารธุรกิจ (การตลาด) มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

9. อาจารย์ดร .สุนันท์ ตระกูลโชคเสถียร

อายุ 55 ปี 5 วัน

ประวัติการศึกษา

1) พ.ศ. 2532 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รร. ชัยนาทพิทยาคม 
2) พ.ศ. 2534 ประกาศนียบัตรพยาบาลผดุงครรภ์ วพ.ชัยนาท 
3) พ.ศ. 2537 ปริญญาตรีวิทยาศาสตร์บัณฑิต ราชภัฏลพบุรี 
4) ปริญญาโทการจัดการบริหาร มหาวิทยาลัยรามคำแหง
5) ปริญญาเอกการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยนอร์ท รังสิต
6) ปริญญาเอก สาขาการบริหารการศึกษา (กำลังศึกษา)
7) มหาวิทยาลัยนอร์ท รังสิต
8) พ.ศ. 2558 Fellowship (2 ปี) Anti-Aging มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต

ประวัติการทำงาน

1) พ.ศ.2553 – 2559 อาจารย์พิเศษ วิทยาลัยพยาบาลชัยนาท
2) พ.ศ.2559 – 2567 อาจาจารย์ศูนย์ฝึกคณะการแพย์บูรณาการมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
3) อาจารย์พิเศษด้านการแพทย์บูรณาการ คณะวิทยาศาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คลองหก
4) ผู้บริหารปั๊มน้ำมันมาลีบริการ 9สาขา
5) ผู้บริหารกิจการออแกไนซ์ Miss Beauty Regent
6) ผู้บริหารเจ้าของเวทีและกรรมการ Miss International Thalland 2018
7) ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เวทีนางาม Mrs. Universe Thailand
8) ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เวทีนางงาม Mrs. Tourism Thalland
9) กรรมการเวทีนางงาม Mrs. Thailand Wold (2565 – 2567)
10) กรรมการเวทีนางงาม Mrs. Tourism

ขั้นตอนการสัมภาษณ์และแผนการประเมิน

ผู้สมัครจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหาในวันที่ 31 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุม 201 ชั้น 2 สำนักงาน สปสช. อาคาร B ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดยจะมีการประเมินความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง คะแนนรวม 100 คะแนน แบ่งเป็น

  • การสัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ 70 คะแนน
  • ใบสมัครและเอกสารประกอบ 30 คะแนน

ผลการพิจารณาจะประกาศรายชื่อผู้ได้รับการสรรหาไม่เกิน 3 คนในวันเดียวกัน และนำเสนอรายชื่อดังกล่าวให้คณะกรรมการ สปสช. พิจารณาแต่งตั้งต่อไป

พันธกิจสำคัญของเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. มีบทบาทสำคัญในการกำกับและดำเนินงานตามกฎหมายและนโยบายของสำนักงาน เช่น การส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เท่าเทียม การควบคุมคุณภาพบริการ และการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ความคาดหวังจากการแต่งตั้งเลขาธิการใหม่

สปสช. หวังว่าบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคนใหม่จะสามารถผลักดันนโยบายที่สำคัญ เช่น การเพิ่มความครอบคลุมของสิทธิประโยชน์ การพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ และการเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพ

ข้อมูลเพิ่มเติมและลิงก์ที่เกี่ยวข้อง

ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (www.nhso.go.th) หรือสอบถามรายละเอียดผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 06 2201 2846

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เยี่ยมคัดเลือกทหารปี 68 ชูระบบออนไลน์โปร่งใส

พล.ต.ชายแดน กฤษณสุวรรณ ตรวจเยี่ยมการคัดเลือกทหารกองเกินปี 2568 ด้วยระบบออนไลน์ที่เชียงราย

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. พล.ต.ชายแดน กฤษณสุวรรณ รองแม่ทัพภาคที่ 3 และรองผู้อำนวยการประจำกองอำนวยการประสานงานการรับสมัครและการคัดเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ได้เดินทางตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์การคัดเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ โดยวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ด้วยระบบออนไลน์ ประจำปี 2568 ณ สโมสรค่ายเม็งรายมหาราช มณฑลทหารบกที่ 37 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ พล.ต.ชายแดน ได้รับการต้อนรับจาก พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 พร้อมด้วยคณะนายทหารสัญญาบัตรมณฑลทหารบกที่ 37 และ พ.ท.ภาณุพันธ์ จานแก้ว ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 17 กองพันที่ 3 และประธานกรรมการคัดเลือกฯ ของหน่วยคัดเลือกจังหวัดเชียงราย

ระบบออนไลน์ มิติใหม่ของการคัดเลือกทหาร

ปีนี้การคัดเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการได้มีการนำระบบออนไลน์มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สมัคร ช่วยลดขั้นตอนและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการคัดเลือก โดยการดำเนินงานของคณะกรรมการคัดเลือกเป็นไปด้วยความราบรื่นและได้มาตรฐาน

พล.ต.ชายแดน ได้พบปะและพูดคุยกับผู้สมัคร รวมถึงครอบครัวและญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมทั้งอธิบายถึงวัตถุประสงค์และสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการเป็นทหารกองประจำการ โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของการรับสมัครวิธีร้องขอ (กรณีพิเศษ) ที่ช่วยส่งเสริมความเท่าเทียมและโอกาสในการเข้ารับราชการทหาร

สิทธิประโยชน์ของการเป็นทหารกองประจำการ

การรับสมัครครั้งนี้มุ่งเน้นให้ผู้สมัครได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น:

  1. การพัฒนาทักษะและความรู้ ในสายงานเฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
  2. โอกาสในการศึกษาต่อ ในสถาบันการศึกษาและหลักสูตรที่กองทัพสนับสนุน
  3. สวัสดิการและการดูแลสุขภาพ สำหรับผู้รับราชการและครอบครัว

นอกจากนี้ การสมัครผ่านระบบออนไลน์ยังช่วยลดความยุ่งยากและเปิดโอกาสให้ผู้สนใจจากทุกภูมิภาคสามารถเข้าร่วมได้อย่างเท่าเทียม

การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

กระบวนการคัดเลือกในวันดังกล่าวได้รับการตรวจสอบและดูแลอย่างใกล้ชิดจากคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้อง การดำเนินงานเป็นไปอย่างโปร่งใส มีมาตรฐาน และได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของผู้สมัครที่มาร่วมให้กำลังใจ

ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติม

สำหรับผู้สนใจสมัครทหารกองเกินหรือผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการรับสมัคร สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ กองทัพบก หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ACT ชวนผู้สมัครนายก อบจ.แสดงจุดยืนต้านโกง สร้างท้องถิ่นโปร่งใส

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดจดหมายเชิญผู้สมัครนายก อบจ. ร่วมต้านโกง

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกเชิญชวนผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปี 2568 แสดงเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ โดยในจดหมายดังกล่าวย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและติดตามความโปร่งใสของงบประมาณท้องถิ่น

ความกังวลของประชาชนต่อปัญหาคอร์รัปชันใน อบจ.

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่ระบุว่าประชาชนกว่า 93.6% ต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันใน อบจ. โดยกว่า 95% ของประชาชนรับรู้ว่ามีการโกงกินงบประมาณท้องถิ่นที่มหาศาล ทั้งที่งบประมาณรวมของ อบจ. ทั่วประเทศสูงถึง 80,000 ล้านบาทต่อปี

ปัญหาดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านความหน่ายการเมืองของประชาชน ซึ่งปรากฏชัดจากการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งก่อนที่มีผู้มาใช้สิทธิ์เพียง 48-53% เท่านั้น โดยหลายคนมองว่า นักการเมืองท้องถิ่นมักขาดความโปร่งใสและมุ่งเน้นผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการพัฒนาท้องถิ่น

เชิญผู้สมัครร่วมแสดงเจตนารมณ์

องค์กรฯ ได้เชิญชวนผู้สมัครนายก อบจ. ผ่านแบบตอบรับออนไลน์ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันในกระบวนการเลือกตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ โดยสามารถส่งกลับได้ภายในวันที่ 24 มกราคม 2568 ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบก่อนถึงวันเลือกตั้ง

นายมานะระบุว่า การเชิญผู้สมัครร่วมแสดงจุดยืนครั้งนี้เป็นการให้ประชาชนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกตั้งผู้ที่พร้อมดูแลผลประโยชน์ของท้องถิ่นอย่างโปร่งใสและซื่อสัตย์ พร้อมระบุว่า “การแสดงเจตนารมณ์ครั้งนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างการเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น”

เสียงสะท้อนจากประชาชน

แคมเปญรณรงค์ “พลิกชีวิตมหาศาล” โดยองค์กรฯ และภาคีเครือข่ายได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะคลิปวิดีโอและโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียที่มีผู้ชมกว่า 4.5 ล้านวิว ความคิดเห็นที่สะท้อนออกมาแบ่งเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่

  1. ความเหนื่อยหน่ายการเมือง: ประชาชนรู้สึกสิ้นหวังกับการเมืองท้องถิ่น เช่น “เห็นอยู่ว่าเลือกมาแล้วไม่ได้พัฒนาอะไรเลย แต่ยังเลือกคนเดิม”
  2. ความไม่เชื่อมั่นในระบบเลือกตั้ง: หลายคนตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของ กกต. และนักการเมือง
  3. ความหวังในการเปลี่ยนแปลง: ประชาชนบางส่วนเสนอแนะแนวทางแก้ไข เช่น “ไม่ขายเสียง ไม่เลือกคนทุจริต”

ขับเคลื่อนความโปร่งใสเพื่ออนาคตท้องถิ่น

องค์กรฯ ได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น สถาบันพระปกเกล้า, สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช), และกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย เพื่อสนับสนุนประชาชนในการตรวจสอบความโปร่งใสของงบประมาณ อบจ. พร้อมทั้งผลักดันแคมเปญสร้างจิตสำนึกการเลือกตั้งอย่างมีคุณภาพ

“บทบาทของ อบจ. มีความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนท้องถิ่น การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนจะได้ร่วมกำหนดอนาคตของพื้นที่ตนเอง” นายมานะกล่าว

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า องค์กรและภาคีได้ร่วมกันออกจดหมายเปิดผนึก ลงวันที่ 21 มกราคม 2568 เรียนเชิญผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปี 2568 ร่วมแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน ผ่านเครือข่ายและสื่อมวลชนโดยสามารถสื่อสารและส่งกลับมาผ่านแบบตอบรับออนไลน์ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScFYOtvPjszGqx09mcl7Hg-BitDnRBwRJuAAjPujhdzuzB42w/viewform ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 24 มกราคม หรือก่อนวันเลือกตั้ง 1 ก.พ.ศกนี้ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบในช่วงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

สรุป

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เชิญชวนผู้สมัครนายก อบจ. ร่วมแสดงจุดยืนต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความโปร่งใสในกระบวนการเลือกตั้งและการบริหารงบประมาณท้องถิ่น พร้อมย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

PEA ป้องกันความมั่นคงไทย ยุติจ่ายไฟบางพื้นที่ชายแดน ‘เมียนมา’

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคชี้แจงสถานการณ์จ่ายกระแสไฟฟ้าให้เมียนมา พร้อมมาตรการป้องกันความเสียหายต่อประเทศ

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ได้แถลงชี้แจงสถานการณ์การจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในปัจจุบัน โดยปัจจุบัน PEA จ่ายกระแสไฟฟ้าผ่าน 5 จุดสำคัญ ดังนี้:

  1. บ้านเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู (รัฐมอญ)
  2. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก (รัฐฉาน)
  3. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก (รัฐฉาน)
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – อ.เมียวดี (รัฐกะเหรี่ยง)
  5. บ้านห้วยม่วง – อ.เมียวดี (รัฐกะเหรี่ยง)

การระงับจ่ายไฟฟ้าบางจุดในปี 2566-2567

นายประสิทธิ์เปิดเผยว่า ในปี 2566 สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยประสานให้ PEA ระงับการจำหน่ายไฟฟ้าใน 2 จุด ได้แก่

  • บ้านวังผา อ.แม่ระมาด – บ้านก๊กโก๋ อ.เมียวดี
  • บ้านแม่กุใหม่ท่าซุง – อ.เมียวดี

นอกจากนี้ ในปี 2567 พื้นที่จุดจำหน่ายไฟฟ้า อ.เชียงแสน – เมืองพงษ์ จ.ท่าขี้เหล็ก ถูกยกเลิกเนื่องจากคู่สัญญาผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า ส่งผลให้ PEA ยกเลิกจุดซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 3 จุดดังกล่าวเพื่อป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่อาจเกิดขึ้น

ความร่วมมือเพื่อความมั่นคงและการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ

PEA ยืนยันว่าได้ดำเนินการร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงทั้งในประเทศไทยและเมียนมาอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้กลุ่มมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์นำสัญญาณโทรศัพท์จากไทยไปใช้กระทำความผิด ทั้งนี้ มาตรการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าในบางพื้นที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันประชาชนจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงป้องกันผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

PEA ยังย้ำว่าการดำเนินมาตรการดังกล่าวจะไม่กระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าภายในประเทศหรือระบบสื่อสารทั่วไป พร้อมแสดงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและผู้ใช้บริการทุกภาคส่วน

การบริหารจัดการในระยะยาว

เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ PEA ระบุว่าพร้อมดำเนินการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและควบคุมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อให้มั่นใจว่าการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่ชายแดนสามารถดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

PEA ยังได้เรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันสอดส่องและแจ้งเบาะแสกรณีพบการกระทำผิดหรือสถานการณ์ที่น่าสงสัยที่อาจส่งผลต่อความมั่นคง เพื่อร่วมกันป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่:

การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โทร. 1129
เว็บไซต์: www.pea.co.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร ฝ่ายบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TRAVEL

‘ห้วยตึงเฒ่า’ แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ใกล้ชิดพระราชดำริ

ห้วยตึงเฒ่า” โครงการหมู่บ้านตัวอย่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหาร จังหวัดเชียงใหม่

อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อปี พ.ศ. 2523 ทรงมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 3 สร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร และตั้ง โครงการหมู่บ้านตัวอย่างห้วยตึงเฒ่า” เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่

อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 ไร่ มีความจุประมาณ 1.4 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยราษฎรที่ได้รับจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและทำกินกว่า 61 ครอบครัว สามารถดำรงชีพด้วยอาชีพเกษตรกรรม และไม่มีการบุกรุกป่าเพิ่มเติม

ในปี พ.ศ. 2550 กองทัพบกมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตทหาร ได้จัดตั้ง สำนักงานโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า” ขึ้น โดยเน้นให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น และสนับสนุนกำลังพลในกองทัพบก รวมถึงประชาชนทั่วไป

กิจกรรมที่น่าสนใจในอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

  1. ชมจุดทรงประทับยืน ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมหอคอยชมวิว 5 ชั้น
  2. สักการะพระพุทธรูป “พระพุทธรัตนชัย สุรพลารักษ์” และองค์เจ้าแม่กวนอิม
  3. รับประทานอาหารในซุ้มริมน้ำ ชมวิวธรรมชาติ
  4. นั่งรถรางชมพื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำ
  5. เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยานรอบอ่างเก็บน้ำ ระยะทาง 4 กิโลเมตร
  6. กิจกรรมตกปลาและปั่นจักรยานน้ำ
  7. ป้อนอาหารน้องแกะและเล่นน้ำกับครอบครัว
  8. ถ่ายรูปกับ “ครอบครัวคิงคองยักษ์” และกังหันลมสวิตเซอร์แลนด์

 

ความสำคัญของอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า

โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ผสมผสานการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมอาชีพของราษฎร และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน โดยในปัจจุบันยังเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างสวัสดิการให้แก่ชุมชน

แม่ทัพภาคที่ 3

ได้เชิญชวนประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมบรรยากาศที่สวยงามของอ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า พร้อมสัมผัสลมหนาวและธรรมชาติบริเวณทิวเขาอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น.

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 053-121119 หรือเว็บไซต์ www.rta.mi.th/hueytuengtao

 

ข้อมูลสรุป

อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่าเป็นโครงการพระราชดำริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำของราษฎรในพื้นที่เชียงใหม่ นอกจากการเป็นหมู่บ้านตัวอย่าง ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ชมธรรมชาติ สักการะพระพุทธรูป ไปจนถึงการทำกิจกรรมกับครอบครัว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ไขข้อข้องใจ นิสิต-นักศึกษา ต่างกันอย่างไรในมหาวิทยาลัยไทย

ความแตกต่างระหว่างคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ในสถาบันการศึกษาไทย

ในประเทศไทย คำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา” ถูกใช้เรียกผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา แต่มีความแตกต่างกันทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละสถาบันการศึกษา

ที่มาของคำว่า “นิสิต” และ “นักศึกษา”

คำว่า นิสิต” มีรากฐานมาจากภาษาบาลี หมายถึง “ผู้อาศัยกับอุปัชฌาย์” ซึ่งในอดีตหมายถึงผู้เรียนที่พักอาศัยในบริเวณมหาวิทยาลัย เช่น ในยุคเริ่มแรกของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2459 ผู้เรียนจะต้องพักอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ทำให้มีการเรียกผู้เรียนว่า “นิสิต” สะท้อนถึงลักษณะการเรียนรู้แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในบริเวณมหาวิทยาลัย

ส่วนคำว่า นักศึกษา” เริ่มต้นใช้ในปี พ.ศ. 2477 พร้อมการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของไทย ผู้เรียนที่นี่ไม่จำเป็นต้องพักอาศัยในมหาวิทยาลัย คำว่า “นักศึกษา” จึงถูกใช้เพื่อแยกแยะลักษณะผู้เรียนที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น

มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ใช้คำว่า “นิสิต”

แม้ว่าคำว่า “นิสิต” จะเลือนหายไปในสถาบันใหม่ ๆ แต่ยังคงถูกใช้ในมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งมานาน เช่น

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  3. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  4. มหาวิทยาลัยนเรศวร
  5. มหาวิทยาลัยบูรพา
  6. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  7. มหาวิทยาลัยทักษิณ
  8. มหาวิทยาลัยพะเยา
  9. มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต
  10. มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
  11. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยเหล่านี้ยังคงรักษาประเพณีดั้งเดิมและวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันในลักษณะของการใช้ชีวิตแบบนิสิต

ความหมายของ “นิสิต” และ “นักศึกษา” ตามพจนานุกรม

  • นิสิต
    หมายถึงผู้ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยบางแห่ง หรือศิษย์ที่เล่าเรียนและอาศัยอยู่ในสำนักของครู
  • นักศึกษา
    หมายถึงผู้ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย หรือในสถานศึกษาระดับสูง

เหตุผลในการใช้คำเรียกที่แตกต่างกัน

การเลือกใช้คำว่า นิสิต” หรือ นักศึกษา” ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์และปรัชญาการศึกษาในแต่ละสถาบัน ตัวอย่างเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังคงใช้คำว่า “นิสิต” เพื่อสะท้อนถึงเอกลักษณ์ที่ผู้เรียนต้องมีการพักอาศัยและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ในขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลือกใช้คำว่า “นักศึกษา” เพื่อสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยและการเปิดกว้าง

ความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน

ในปัจจุบัน การใช้คำว่า “นักศึกษา” กลายเป็นที่นิยมในมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ เพราะแสดงถึงความทันสมัยและอิสระของผู้เรียน ขณะที่คำว่า “นิสิต” ยังคงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมหาวิทยาลัยดั้งเดิมเพียงไม่กี่แห่ง

สรุปความแตกต่างระหว่าง “นิสิต” และ “นักศึกษา”

  1. นิสิต: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่มีประเพณีให้ผู้เรียนอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. นักศึกษา: ใช้ในมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้าง และไม่จำเป็นต้องมีการพักอาศัยในมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

แม้ว่าคำสองคำนี้จะมีความหมายและประวัติที่แตกต่างกัน แต่ทั้ง “นิสิต” และ “นักศึกษา” ต่างก็เป็นผู้แสวงหาความรู้ในระดับอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : campus / มหาวิทยาลัยพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

แกร็บเผยเทรนด์ท่องเที่ยว 2024 ไทยจุดหมายยอดนิยมในอาเซียน

แกร็บเผยอินไซต์นักท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2024: ไทยครองแชมป์จุดหมายยอดนิยม

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 แกร็บ ผู้นำซูเปอร์แอปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยรายงาน Travel Insights 2024 สะท้อนพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวใน 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย จากกลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถาม 11,074 คน พบว่า 81% วางแผนเดินทางไปต่างประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 72% โดย 52% ต้องการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาคือจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ไทยยังครองอันดับ 1 จุดหมายปลายทางยอดนิยม ตามด้วยสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ วัฒนธรรม และเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์และลอยกระทง

นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพาณิชย์และการตลาด แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวอาเซียนสูงถึง 10.6 ล้านคน คิดเป็น 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด” ทั้งนี้ แกร็บเผย 5 อินไซต์สำคัญที่สะท้อนแนวโน้มการท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล ได้แก่:

    1. ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวกสบาย: 86% ของนักท่องเที่ยวระบุว่าใช้เทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น Augmented Reality (AR) Virtual Reality (VR) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยว ตั้งแต่การหาข้อมูล การพรีวิวที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว การเปรียบเทียบราคา ไปจนถึงการวางแผนตารางการเดินทางอย่างละเอียด
    2. ชอบวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง:  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ (81%) เลือกวางแผนการเดินทางด้วยตัวเอง โดยเกือบสองในสามของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะจองตั๋วออนไลน์ทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน ที่พัก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว ขณะที่ 18% ยอมซื้อแพคเกจทัวร์เพื่อประหยัดเวลาในการวางแผน
    3. มีการบริหารงบประมาณอย่างรอบคอบ: 82% ของนักท่องเที่ยวมีการวางแผนงบประมาณและกำหนดค่าใช้จ่ายต่อทริปล่วงหน้า แม้ว่ากว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มักใช้จ่ายเกินกว่างบที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่า 56% เพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายต่อทริปสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ขณะที่ 53% มีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
    4. ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย: โดยพบว่า 68% จะเลือกซื้อประกันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมด้านความเสียหายหรือสูญหายของกระเป๋าเดินทาง ประกันการล่าช้าหรือการยกเลิกของเที่ยวบิน รวมถึงประกันสุขภาพ
    5. ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: นักท่องเที่ยวในปัจจุบันให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดย 45% เลือกสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณการใช้พลาสติก รวมถึงการสนับสนุนผู้ประกอบการหรือชุมชนในท้องถิ่น  ขณะที่ 78% ระบุว่ายินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวคิดดังกล่าว

นอกจากนี้ 78% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน โดยข้อมูลทั้งหมดสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : grab

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย ผ่านมาตรฐาน GI เสริมศักยภาพเกษตรกร

ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย” กับการประชุมพิจารณาคุณภาพและแหล่งผลิต ปี 2568

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุมสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาคำขอ ตรวจสอบกระบวนการผลิต ควบคุมคุณภาพสินค้า และแหล่งที่มาของสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย” ครั้งที่ 1/2568 โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเชียงรายเข้าร่วมประชุมอย่างคึกคัก

พิจารณาคำขอการใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์

ในที่ประชุมมีการพิจารณาคำขอจากสมาชิกผู้ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ “ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย” จำนวน 74 ราย โดยคณะกรรมการฯ ได้ตรวจสอบกระบวนการผลิตและควบคุมคุณภาพอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงรายมีมาตรฐานตรงตามที่กำหนด และสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อย่างโปร่งใส

จากผลการตรวจสอบ พบว่าเมล็ดพันธุ์ที่ใช้เพาะปลูกเป็นพันธุ์ ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 8974 เชียงราย ที่มีแหล่งที่มาถูกต้อง ชัดเจน พร้อมการจดบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยคณะกรรมการตรวจประเมินแปลงเกษตรกรให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทั้งหมด

สถิติการขอต่ออายุและขึ้นทะเบียนสินค้า GI

ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 มีผู้ขอต่ออายุสินค้า GI จำนวน 31 ราย และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีผู้ขอต่ออายุจำนวน 9 ราย พร้อมทั้งมีผู้ขอขึ้นทะเบียนใหม่จำนวน 34 ราย รวมทั้งหมด 43 ราย ซึ่งสะท้อนถึงการตื่นตัวของผู้ผลิตที่มุ่งมั่นรักษาคุณภาพสินค้าและภาพลักษณ์ที่ดีของ ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย”

การส่งเสริมและผลักดันสินค้า GI ระดับจังหวัด

จังหวัดเชียงรายยังคงมุ่งมั่นผลักดัน “ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย” ให้เป็นสินค้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยคุณภาพและมาตรฐานที่โดดเด่น โดยเฉพาะการเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวเหนียวเขี้ยวงูในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่จัน อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน และอำเภอพาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกพันธุ์ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 8974

สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) กับความสำคัญต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

การที่ “ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย” ได้รับสถานะ GI ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า แต่ยังเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่รักษามาตรฐานการผลิตอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

สรุป

การประชุมพิจารณาคุณภาพ “ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเชียงราย” ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมสินค้าเกษตรพื้นเมืองของเชียงรายให้ก้าวสู่ตลาดที่กว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมทั้งรักษาความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของข้าวเหนียวเขี้ยวงู ที่เป็นทั้งสมบัติทางภูมิศาสตร์และภูมิปัญญาของท้องถิ่น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News