Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน เปิดบริการปี 2571 เชื่อมเศรษฐกิจไทย-ชายแดน

รถไฟทางคู่สายใหม่เหนือ-อีสาน คืบหน้า! เตรียมเปิดบริการปี 2571

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการก่อสร้าง รถไฟทางคู่สายใหม่ 2 เส้นทางสำคัญ คือ สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ และ สายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม ซึ่งเป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบรางให้ครอบคลุมพื้นที่ใหม่ๆ และเพิ่มศักยภาพในการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ

โครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

  • ระยะทาง 323 กิโลเมตร วงเงิน 72,921 ล้านบาท
  • สัญญา 1: เด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. ผลงาน 18.64% (เร็วกว่าแผน 4.75%)
  • สัญญา 2: งาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. ผลงาน 25.08% (ช้ากว่าแผน 6.30%)
  • สัญญา 3: เชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. ผลงาน 20.74% (ช้ากว่าแผน 16.70% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

โครงการก่อสร้างรถไฟสายบ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม

  • ระยะทาง 355 กิโลเมตร วงเงิน 66,848 ล้านบาท
  • สัญญา 1: บ้านไผ่-หนองพอก ระยะทาง 180 กม. ผลงาน 16.05% (ช้ากว่าแผน 21.40%)
  • สัญญา 2: หนองพอก-สะพานมิตรภาพ 3 ระยะทาง 175 กม. ผลงาน 0.33% (ช้ากว่าแผน 33.31% เนื่องจากติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน)

เป้าหมายเปิดบริการปี 2571

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการนี้จะช่วยพัฒนาโครงข่ายรถไฟในพื้นที่ที่ไม่เคยมีรถไฟมาก่อน พร้อมเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน โดยโครงการสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ จะรองรับการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวเชื่อมชายแดนไทย-ลาว ขณะที่โครงการสายบ้านไผ่ – นครพนม จะเชื่อมเศรษฐกิจภาคอีสานตอนบนไปยังท่าเรือแหลมฉบังและศูนย์ขนส่งชายแดน

จุดเด่นของโครงการ

  • สายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ
    • อุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในประเทศไทย
    • มี 26 สถานี (สถานีขนาดใหญ่ 4 สถานี สถานีขนาดเล็ก 9 สถานี และป้ายหยุดรถ 13 แห่ง)
    • สะพานรถไฟและถนนลอดรวม 254 จุด พร้อมลานขนถ่ายสินค้าและพื้นที่กองเก็บตู้สินค้าที่สถานีเชียงของ
  • สายบ้านไผ่ – นครพนม
    • มี 30 สถานี และย่านบรรทุกตู้สินค้า 3 แห่ง
    • ถนนยกข้ามทางรถไฟ 81 แห่ง และถนนลอดใต้ทางรถไฟ 245 แห่ง
    • เชื่อมโยงเศรษฐกิจแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก

ประโยชน์ที่คาดหวัง

โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพิ่มศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับการขยายตัวของการค้าชายแดนและเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมเพิ่มโอกาสด้านการท่องเที่ยวและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่

โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบรางของประเทศไทย และจะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงพร้อมรับปีใหม่ 2568 ด้วยบริการครบวงจร

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายยกระดับบริการรับเทศกาลปีใหม่ 2568

เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย เพื่อติดตามการให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับประชาชนที่เดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 โดยมีนาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ร่วมต้อนรับและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงาน

รองรับผู้โดยสารเทศกาลปีใหม่

คาดการณ์ว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 3-5 มกราคม 2568 จะมีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายกว่า 20,750 คน และมีเที่ยวบินรวม 124 เที่ยวบิน ท่าอากาศยานได้เปิดใช้งานระบบ Biometric เพื่ออำนวยความสะดวก ลดเวลาการตรวจบัตรโดยสาร การตรวจค้น และขั้นตอนก่อนขึ้นเครื่อง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เชิงรุกช่วยให้คำแนะนำในทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ ท่าอากาศยานยังบูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อให้บริการขนส่งสาธารณะผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างปลอดภัย โดยเน้นให้ผู้ให้บริการปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด สร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ

สถิติผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 2 มกราคม 2568 มีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายกว่า 46,190 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 1,117 คน และภายในประเทศ 45,073 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ถึง 13.05%

การเติบโตของเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 400% และเที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้น 9.22% จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 22.24% และผู้โดยสารภายในประเทศเพิ่มขึ้น 11.71% สะท้อนความสำเร็จของการพัฒนาท่าอากาศยานให้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการให้บริการ

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายมุ่งมั่นพัฒนาการให้บริการเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้โดยสาร พร้อมรองรับการเดินทางของกลุ่มลุ่มน้ำโขงและภูมิภาคจีนตอนใต้ในอนาคต นอกจากนี้ ท่าอากาศยานยังขอความร่วมมือผู้โดยสารให้เผื่อเวลาเดินทางมายังสนามบินอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการพลาดเที่ยวบินและให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

ทั้งนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ยังคงยกระดับการให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้โดยสารและเสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในภูมิภาคอย่างยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งรับมือไฟป่า หมอกควัน PM2.5 สร้าง “เชียงรายฟ้าใส”

เชียงรายเตรียมพร้อมรับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 ตั้งแนวทาง “เชียงรายฟ้าใส” 3 ระยะ

เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมหารือกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สำหรับปี 2568 โดยมีคณะทำงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม พร้อมนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และวางแผนการบริหารจัดการปัญหาในปีนี้

แนวทางการขับเคลื่อนมาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” จังหวัดเชียงรายได้กำหนดมาตรการสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  1. ระยะเตรียมความพร้อม
    ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน การจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยง และการเตรียมชุดปฏิบัติการเผชิญเหตุให้พร้อม
  2. ระยะเผชิญเหตุ
    ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดจากการเผาในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตร โดยมุ่งเน้นการเฝ้าระวัง การใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจจับจุดความร้อน (Hotspot) และการจัดการเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ
  3. ระยะฟื้นฟู
    ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 ตุลาคม 2568 โดยมีเป้าหมายฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าและหมอกควัน พร้อมทั้งฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

การดำเนินงานใน 3 พื้นที่เป้าหมาย

  • พื้นที่ป่า: จัดตั้งชุดลาดตระเวนและปฏิบัติการดับไฟป่า พร้อมเพิ่มการตรวจจับจุดเผาไหม้
  • พื้นที่เกษตร: ส่งเสริมการทำเกษตรปลอดการเผา และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการจัดการเศษวัสดุเกษตร
  • พื้นที่เมือง: เพิ่มจุดแจกหน้ากากอนามัยและสถานที่ปลอดฝุ่น PM2.5 พร้อมจัดทำศูนย์ข้อมูลและศูนย์ประชาสัมพันธ์ร่วม

การประชาสัมพันธ์เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง นายประเสริฐเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อกฎหมาย สิทธิประโยชน์ มาตรการต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจ เพื่อป้องกันการละเมิดข้อกำหนดและสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชน

มาตรการเสริมสร้างความร่วมมือ จังหวัดเชียงรายได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป่าไม้ กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานท้องถิ่น เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของการบริหารจัดการปัญหา นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีตรวจจับจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียม และจัดอบรมเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงาน

ผลกระทบและเป้าหมาย ปัญหาไฟป่าและหมอกควันเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ มาตรการ “เชียงรายฟ้าใส” จึงมุ่งหวังลดความรุนแรงของปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว

บทสรุป จังหวัดเชียงรายมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยการดำเนินงานในปีนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับพื้นที่จังหวัดเชียงรายและภูมิภาคโดยรอบ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

30 บาทรักษาทุกที่ ทั่วประเทศ เริ่มวันนี้ สุขภาพดีทั่วไทย

รัฐบาลเปิดตัว “30 บาทรักษาทุกที่” ครอบคลุมทั่วประเทศ ยกระดับสุขภาพคนไทย

วันที่ 3 มกราคม 2568 – รัฐบาลไทยได้เปิดตัวโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” ระยะที่ 4 ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นโครงการเรือธงที่มุ่งเน้นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับคนไทยทุกคน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์หรือเอกสาร เพียงใช้ “บัตรประชาชนใบเดียว” ก็สามารถรับบริการทางการแพทย์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง

ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า โครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2567 และได้รับการขยายผลอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ระยะที่ 3 ครอบคลุม 46 จังหวัด และล่าสุดได้ขยายเพิ่มเติมอีก 31 จังหวัดในปี 2568 ทำให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในประเทศ นับว่าเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสาธารณสุขไทย

ในปี 2567 เพียงปีเดียว โครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” มีผู้ใช้บริการกว่า 6,150,579 คน โดยให้บริการจำนวน 14,079,514 ครั้ง ซึ่งรวมถึง:

  • บริการเจาะเลือดใกล้บ้านผ่าน Lab Rider จำนวน 30 รายการ
  • บริการ Telemedicine หรือการพบแพทย์ออนไลน์ จำนวน 1,206,031 ครั้ง
  • บริการรับยาใกล้บ้านผ่านร้านยาเอกชน 93,927 ครั้ง
  • การจัดส่งยาทางไปรษณีย์ 573,612 ครั้ง
  • การส่งยาโดย Health Rider จำนวน 379,782 ครั้ง

โครงการนี้ช่วยลดระยะเวลาการรอคอยจากเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 7 นาที เหลือเพียง 56 นาทีต่อครั้ง และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งได้ถึง 160 บาท

ความสะดวกที่เพิ่มขึ้นในปี 2568

ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โครงการนี้ได้รับการพัฒนาและขยายผลเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม การใช้ บัตรประชาชนใบเดียว เป็นกุญแจสำคัญในการลดความยุ่งยากด้านเอกสาร และช่วยอำนวยความสะดวกในกระบวนการรักษา โดยประชาชนสามารถเข้ารับบริการได้ทั้งใน:

  • โรงพยาบาลรัฐ
  • คลินิกเอกชน
  • ร้านขายยาเอกชน ที่เข้าร่วมโครงการ (สามารถสังเกตสติกเกอร์ “30 บาทรักษาทุกที่” ได้)

ทั้งนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เตรียมความพร้อมในด้านการเบิกจ่าย และสนับสนุนหน่วยบริการในระบบเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

ประโยชน์และสิทธิใหม่ของประชาชน

นอกจากบริการเดิม โครงการนี้ยังมอบสิทธิประโยชน์ใหม่ อาทิ:

  • การเลือกสถานที่รักษาใกล้บ้าน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน
  • เพิ่มบริการตรวจและรักษาโรคทั่วไปในร้านขายยา
  • บริการจัดส่งยาและปรึกษาแพทย์ออนไลน์ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล

ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมไทย

นโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกในด้านอื่น ๆ:

  1. ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ โดยกระจายการรักษาไปยังหน่วยบริการอื่น ๆ
  2. เพิ่มโอกาสการเข้าถึงการรักษาในพื้นที่ห่างไกล โดยเฉพาะประชาชนในชนบท
  3. สนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่น ผ่านการมีส่วนร่วมของคลินิกและร้านขายยาเอกชน
  4. ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข ทำให้ประชาชนทุกคนได้รับโอกาสทางการรักษาที่เท่าเทียม

ก้าวต่อไปเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

ในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าที่จะพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เช่น ระบบ Telemedicine และการจัดส่งยาอัจฉริยะ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

นโยบายนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างระบบสาธารณสุขที่ทันสมัย เท่าเทียม และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างยั่งยืน

“30 บาทรักษาทุกที่” สุขภาพดีสำหรับคนไทยทุกคน เริ่มแล้วทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ประเพณีกินวอ ชุมชนลาหู่ เชียงราย เฉลิมฉลองปีใหม่วัฒนธรรมเหนือ

วธ.ร่วมเฉลิมฉลองประเพณีกินวอ กลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง เชียงราย

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 09.00 น. ณ ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดยนางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ และทีมงาน ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ หรือ ประเพณีกินวอ ของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ เพื่อสืบสานและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีสำคัญของชุมชน

ประเพณีกินวอ: การเฉลิมฉลองที่มีเอกลักษณ์

ประเพณีกินวอ ถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวลาหู่ ที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ศาสนา และวัฒนธรรมของเผ่า โดยการเฉลิมฉลองเริ่มต้นด้วย พิธีรดน้ำอวยพร เพื่อส่งความสุขและความเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่ ต่อด้วย การเต้นจะคึ ซึ่งเป็นการเต้นรำเพื่อบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ และแสดงความกตัญญูต่อพระเจ้า

ชาวลาหู่ทั้งชายและหญิงต่างแต่งกายในชุดประจำชาติพันธุ์ที่มีสีสันสดใสและลวดลายที่สวยงาม เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของชุมชน นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การสาธิตตำข้าวปุ๊ก ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่น การละเล่นสะบ้า และ การตีลูกข่าง ที่สร้างความสนุกสนานและส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชน

การส่งเสริมความสัมพันธ์และวัฒนธรรม

การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชน การสืบทอดประเพณีให้แก่คนรุ่นใหม่ และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่มีคุณค่า โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากชุมชนลาหู่ในพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั้งในและต่างประเทศ

นางสาวณพิชญา นันตาดี นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ กล่าวว่า ประเพณีกินวอเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงความสามัคคีและความเป็นหนึ่งเดียวของชาวลาหู่ นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชาติพันธุ์ต่าง ๆ

ความสำคัญของประเพณีกินวอ

ประเพณีกินวอของชาวลาหู่มีรากฐานมาจากความเชื่อและความศรัทธาในธรรมชาติและพระเจ้า โดยในอดีต การจัดงานกินวอมีขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญูต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองชุมชน รวมถึงการขอพรให้ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ความสุข และความสงบสุข

พิธีกรรมและกิจกรรมในงาน ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและมีเอกลักษณ์ของชาวลาหู่ แต่ยังเป็นการส่งต่อคุณค่าแห่งความสามัคคีและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม

ประเพณีกินวอกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว

การจัดงานกินวอในปีนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ทำให้พื้นที่ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่กลายเป็นจุดหมายที่นักเดินทางหลายคนเลือกมาเยือนในช่วงเทศกาลปีใหม่ การเฉลิมฉลองในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงศักยภาพของเชียงรายในฐานะเมืองแห่งวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์

การสนับสนุนจากวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสืบสานประเพณีท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง โดยมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชนในพื้นที่ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับวัฒนธรรมชาติพันธุ์

สรุป

การเฉลิมฉลองประเพณีกินวอของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมที่มีคุณค่า แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้วัฒนธรรมลาหู่และประเพณีกินวอ สามารถเยี่ยมชมงานประจำปีได้ที่ลานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ชุมชนวัดห้วยปลากั้ง จังหวัดเชียงราย งานที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์วัฒนธรรมและความสนุกสนานที่ไม่ควรพลาด!

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก จับมือขุดลอกแม่น้ำสาย แก้น้ำท่วมยั่งยืน

เชียงราย-ท่าขี้เหล็ก หารือแผนขุดลอกแม่น้ำสาย สร้างความร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 เวลา 13.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อกำหนดแนวทางในการขุดลอกแม่น้ำสาย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและฟื้นฟูสภาพแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างยั่งยืน

ที่มาและความสำคัญของแม่น้ำสาย

แม่น้ำสาย หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “แม่น้ำละว้า” เป็นแม่น้ำที่มีความยาว 30 กิโลเมตร โดยแบ่งความยาวในประเทศไทย 15 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ถือเป็นเส้นแบ่งเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยและเมียนมา โดยมีต้นน้ำอยู่ในประเทศเมียนมาและไหลผ่านจังหวัดเชียงราย จนไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน

แม่น้ำสายเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญสำหรับการเกษตรกรรมและการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น แต่ปัญหาการกัดเซาะของแม่น้ำที่ทำให้ตลิ่งเปลี่ยนทิศทาง เกิดแผ่นดินงอกและแผ่นดินหด ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางทรัพยากรและพื้นที่ชายแดน

ความร่วมมือข้ามพรมแดน

การประชุมในครั้งนี้มีการวางแผนการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาเกี่ยวกับสิทธิการเดินเรือและการใช้น้ำอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 16-17 มกราคม 2568 เพื่อกำหนดแนวทางการขุดลอกแม่น้ำและพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมระยะยาว

นอกจากนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation) ในการดำเนินโครงการเพื่อบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำสาย – ลุ่มน้ำรวก โดยเน้นการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าและปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบและการแก้ปัญหา

จากการประชุมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา หน่วยงานทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่และแก้ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้ชุมชนชายแดนทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์ โดยมีแผนการดำเนินการ 3 ขั้นตอน ได้แก่

  1. วางแผนสำรวจข้อมูล: ประเมินพื้นที่และเสนอความต้องการงบประมาณ
  2. ดำเนินการตามแผน: ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงแม่น้ำและตลิ่ง
  3. พัฒนาอย่างยั่งยืน: ติดตามผลการดำเนินการและพัฒนาระบบป้องกันในระยะยาว

ความสำเร็จในอนาคต

การขุดลอกแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวกและการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยคาดว่าจะช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ การมีเขตแดนที่ชัดเจนยังสร้างโอกาสให้เกิดความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเมียนมาในอนาคต

คำถามที่พบบ่อย

  • โครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างไร?
    ช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและเพิ่มความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำ

  • ใครเป็นผู้ดำเนินโครงการนี้?
    สทนช. และหน่วยงานในพื้นที่ร่วมมือกับประเทศเมียนมา

  • ระยะเวลาการดำเนินโครงการนี้นานเท่าไหร่?
    โครงการจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การขุดลอกแม่น้ำสายและความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่ยังเป็นตัวอย่างของความร่วมมือข้ามพรมแดนที่ส่งผลดีต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รายงานสถานการณ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

เฝ้าระวังอหิวาตกโรค ไทยย้ำสุขอนามัยรับปีใหม่

อหิวาตกโรคยังน่าห่วง! วช. เฝ้าระวังเข้มช่วงปีใหม่ ป้องกันการแพร่ระบาด

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นพ.สุภโชค เวชภัณฑ์เภสัช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การระบาดของอหิวาตกโรคเป็น ‘ภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่’ เนื่องจากพบผู้ป่วยจำนวนมากและการระบาดขยายวงกว้างในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นประกาศภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศเช่นเดียวกับโควิด-19

ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังอหิวาตกโรคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็น 1 ใน 57 โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตามกฎหมาย โดยหลังการระบาดในพื้นที่ชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา ซึ่งติดกับชายแดนจังหวัดตาก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตากได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค พบผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็นชาวต่างชาติ 2 ราย และคนไทย 2 ราย นอกจากนี้ยังพบผู้ติดเชื้อไม่มีอาการอีก 3 ราย ทุกคนได้รับการรักษาจนหายดีแล้วและไม่มีผู้เสียชีวิต

มาตรการป้องกันโรคเข้มข้นในช่วงเทศกาลปีใหม่

นพ.สุภโชค กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่มีกิจกรรมเลี้ยงสังสรรค์ ซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมโรค ดังนี้

  1. สุขาภิบาลตลาดและร้านอาหาร
    เจ้าของตลาดทุกแห่งต้องล้างตลาดและฆ่าเชื้อทุกวัน รวมถึงร้านอาหารและแผงลอยต้องปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหาร

  2. ทำความสะอาดห้องสุขาสาธารณะ
    หน่วยงานราชการ โรงเรียน และองค์กรเอกชนต้องล้างและฆ่าเชื้อห้องสุขาสาธารณะทุกวัน

  3. ควบคุมคุณภาพน้ำประปา
    ผู้รับผิดชอบระบบประปาต้องปรับปรุงคุณภาพน้ำให้มีค่าคลอรีนอิสระตามมาตรฐาน

  4. ตรวจคัดกรองผู้สงสัยติดเชื้อ
    ผู้ที่มีอาการหรือสงสัยว่าติดเชื้ออหิวาตกโรคต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองและรักษา

  5. ความร่วมมือจากสถานประกอบการ
    ร้านอาหาร สถานที่ผลิตน้ำดื่ม/น้ำแข็ง ต้องให้ความร่วมมือในการกำจัดหรือทำลายเชื้อ

  6. สื่อสารข้อมูลป้องกันโรค
    ขอความร่วมมือผู้นำชุมชนและเครือข่ายภาคประชาชนช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลความรู้การป้องกันโรคผ่านทุกช่องทาง

การเฝ้าระวังโรคและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า การจัดการกับอหิวาตกโรคจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

ในปี 2568 วช. ยังเตรียมพัฒนาระบบการส่งข้อความเตือนภัยผ่านโทรศัพท์มือถือให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันโรค

เน้นย้ำการป้องกันส่วนบุคคล

นพ.สุภโชคเน้นย้ำถึงความสำคัญของสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการกินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือ รวมถึงการเลือกบริโภคน้ำและอาหารที่สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของโรค

สรุป

กระทรวงสาธารณสุขยังคงเฝ้าระวังและดำเนินมาตรการป้องกันอหิวาตกโรคอย่างเข้มงวด พร้อมเรียกร้องความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรักษาสุขอนามัยและปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย สร้างคุณภาพชีวิตยั่งยืนในโรงเรียนภาคเหนือ

โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” โรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือ สร้างคุณภาพชีวิตยั่งยืน

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” โรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 ภายใต้พระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการต่อยอดและขยายผลต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้กับโรงเรียนในพื้นที่สูงและชุมชนใกล้เคียง รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนและมีสุขภาพแข็งแรง

จุดเริ่มต้นของโครงการ

ด้วยสภาพพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่สูง ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งอาหารที่เพียงพอสำหรับนักเรียน กองทัพภาคที่ 3 จึงได้รับพระราชดำริให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมทั้งส่งเสริมการปลูกผักปลอดสารพิษ การเลี้ยงสัตว์ และการประยุกต์ใช้ทรัพยากรในพื้นที่อย่างยั่งยืน

ในปีงบประมาณ 2567 โครงการครอบคลุมโรงเรียนจำนวน 117 แห่ง และเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่งในปีงบประมาณ 2568 รวมเป็น 121 โรงเรียน ได้แก่

  1. โรงเรียนบ้านแม่แสะ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
  2. โรงเรียนแม่จะเราวิทยาคม ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
  3. โรงเรียนโมโกรวิทยาคม ตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
  4. โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 22 ตำบลแม่นาเติง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

กระบวนการดำเนินโครงการ

โครงการแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:

  1. การวางแผนและสำรวจข้อมูล

    • สำรวจข้อมูลและวางแผนการดำเนินงานร่วมกับโรงเรียน
    • จัดทำแผนงานและงบประมาณที่สอดคล้องกับความต้องการของโรงเรียน
  2. การดำเนินการตามแผนงาน

    • ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์โดยใช้พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และพันธุ์ปลาจากโครงการทหารพันธุ์ดี และศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ
    • บันทึกสถิติและผลการดำเนินงาน
  3. การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

    • ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
    • แก้ไขปัญหาและพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จและผลกระทบเชิงบวก

โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร โรงเรียน นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในหลายด้าน:

  • นักเรียนได้รับสารอาหารครบถ้วน ส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาพร่างกายและจิตใจ
  • ชุมชนรอบโรงเรียนได้แหล่งเรียนรู้ด้านการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ปลอดภัย
  • เพิ่มความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่น
  • สร้างความยั่งยืนในสังคมตามพระราชดำริ

เป้าหมายในอนาคต

โครงการมุ่งเน้นการขยายผลและสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ โดยตั้งเป้าหมายให้ชุมชนและโรงเรียนสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณและความใส่พระทัยในคุณภาพชีวิตของเด็กและชุมชนไทยบนพื้นที่สูง เพื่ออนาคตที่ดีและยั่งยืนของสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

ววน. เปิดแผนเตือนภัยสึนามิ ยกระดับความปลอดภัยไทย

นวัตกรรมสู่ทางรอดภัยสึนามิ ววน. เร่งลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เปิดเวทีเสวนาวิชาการ “จากงานวิจัยและนวัตกรรม…สู่ทางรอดภัยสึนามิ” ณ จังหวัดพังงา ในงานรำลึกครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เป้าหมายเพื่อการป้องกันและลดผลกระทบจากสึนามิ

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม ตั้งแต่การพัฒนาระบบเตือนภัยที่ทันสมัย การวางแผนการอพยพที่มีประสิทธิภาพ ไปจนถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับชุมชนและระดับนโยบาย

วช. ยังเปิดเผยว่าการพัฒนาศูนย์เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและการทำงานร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันภัยพิบัติและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยุทธศาสตร์ ววน. สู่ความยั่งยืนในอนาคต

ศ.ดร.จักรพันธ์ สุทธิรัตน์ รองผู้อำนวยการ สกสว. เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์การวิจัยของ ววน. ปี 2566-2570 มุ่งพัฒนาแนวทางลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีงบประมาณวิจัยรวมกว่า 17.528 ล้านบาทในช่วงปี 2563-2567 เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านการป้องกันสึนามิ อย่างไรก็ตาม ยังต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมในด้านการฟื้นฟูเยียวยาหลังเกิดภัยพิบัติ

“การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนตั้งแต่การคิดโจทย์วิจัยจนถึงการนำไปใช้จริง จะช่วยให้ชุมชนสามารถปรับตัวและลดความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น” ศ.ดร.จักรพันธ์ กล่าว

ระบบเตือนภัยและการอพยพที่มีประสิทธิภาพ

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เน้นถึงความสำคัญของระบบเตือนภัยสึนามิที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและฝึกซ้อมแผนอพยพภายใต้สถานการณ์จำลองที่เหมาะสม ขณะที่ ผศ.ดร.ปานนท์ ลาชโรจน์ ระบุว่าควรมีการปรับปรุงกระบวนการอพยพในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการบำรุงรักษาอาคารหลบภัย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในกรณีเกิดคลื่นสึนามิสูง

สร้างความรู้และเตรียมพร้อมในชุมชน

ผศ.ปัญจพาณ์ สุขโข แกนนำนักศึกษาพยาบาลจิตอาสา เผยว่าโครงการพัฒนาการเตรียมพร้อมรับแผ่นดินไหวเชิงรุก เน้นการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน การสร้างหลักสูตรเอาตัวรอด และการให้ความรู้แก่ครูและนักเรียนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อสร้างทักษะการรับมือและการช่วยเหลือตนเอง

รำลึก 20 ปี เหตุการณ์สึนามิที่พังงา

งานรำลึกจัดขึ้นโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สวนอนุสรณ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา นอกจากพิธีรำลึกถึงผู้สูญเสีย ยังมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชนและหน่วยงาน พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม

ความร่วมมือเพื่ออนาคตที่มั่นคง

การเสวนาและกิจกรรมในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาความพร้อมของประเทศไทยต่อภัยพิบัติ โดยมีเป้าหมายลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมสร้างความตระหนักรู้และความร่วมมือในทุกระดับ เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยในอนาคต

การป้องกันภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของทุกคนในสังคม ที่จะช่วยสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนร่วมกัน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยดึงนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน สร้างรายได้ทะลุเป้า 1.8 ล้านล้านบาท

ไทยแลนด์ครองเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2567 เตรียมพร้อมสู่ปี Amazing Thailand Grand Tourism 2025

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 35,047,501 คน ในปี 2567 ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ สร้างรายได้กว่า 1.8 ล้านล้านบาท จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

มาตรการเสริมศักยภาพการท่องเที่ยว
ความสำเร็จในปี 2567 เป็นผลมาจากมาตรการที่หลากหลาย เช่น

  • ยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) สำหรับ 93 ประเทศ
  • ยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับ 16 ด่านชายแดนทางบกและน้ำ
  • ความร่วมมือกับสายการบินระหว่างประเทศในการเปิดเส้นทางบินใหม่ เพิ่มเที่ยวบิน และขยายความจุที่นั่งสายการบิน

โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น มีสายการบินเปิดเส้นทางบินใหม่ถึง 311 เที่ยวบิน เพิ่มความจุที่นั่งกว่า 70,000 ที่นั่ง

ตลาดนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูง
ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำสถิติสูงสุด (New High) เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้แก่

  • จีน: 6,667,610 คน
  • มาเลเซีย: 4,898,496 คน
  • อินเดีย: 2,100,645 คน
  • เกาหลีใต้: 1,847,276 คน
  • รัสเซีย: 1,705,198 คน
    นอกจากนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและยุโรปยังคงเติบโตต่อเนื่อง

กิจกรรมเด่นดึงดูดนักท่องเที่ยว


ในปีที่ผ่านมา ททท. จัดกิจกรรมและอีเวนต์ระดับโลก เช่น

  • Amazing Thailand Countdown 2024
  • เทศกาลสงกรานต์ระดับชาติ
  • การท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์และภาพยนตร์ไทย
  • โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges

แผนงานปี 2568 สู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

ททท. วางเป้าหมายปี 2568 ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36-39 ล้านคน สร้างรายได้ 1.98 – 2.23 ล้านล้านบาท ภายใต้แผนงาน Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 โดยเน้นเสน่ห์ไทยที่แตกต่าง เช่น

  • จัดอีเวนต์ระดับโลก
  • เสริมประสบการณ์การเดินทางใหม่
  • เพิ่มสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว
  • เชิญผู้มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

การเปิดเส้นทางบินใหม่ในปี 2568
สายการบินจากทั่วโลกเตรียมเปิดเส้นทางใหม่ ได้แก่

  • Ruili Airlines: คุนหมิง-เชียงใหม่
  • British Airways: ลอนดอน-กรุงเทพฯ
  • Thai Airways: บรัสเซลส์-กรุงเทพฯ
  • Air Canada: แวนคูเวอร์-กรุงเทพฯ

การมุ่งสู่การเป็น Tourism Hub

การผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเน้นความสะดวกและสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง

บทสรุป

ความสำเร็จในปี 2567 เป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ที่สะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง โดยปี 2568 จะเป็นปีที่ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในการก้าวสู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News