Categories
NEWS UPDATE

ผลสำรวจนิด้าโพลเผยคนไทยเหนื่อยหน่ายเศรษฐกิจและปัญหาสังคมในปี 2567

ผลสำรวจ “นิด้าโพล” เผยคนไทยเหนื่อยหน่ายเศรษฐกิจและปัญหาสังคมในปี 2567

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2567 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในหัวข้อ “เหนื่อยหน่ายกับอะไรบ้าง ในปี 2567 ที่ผ่านมา” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2567 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,310 รายทั่วประเทศ

ระดับความสุขของประชาชนในปี 2567

ผลการสำรวจระบุว่า ความสุขในปี 2567 ของประชาชนแบ่งเป็น 4 ระดับหลัก ได้แก่

  • ค่อนข้างมีความสุข (39.92%) โดยเหตุผลหลักคือชีวิตครอบครัวราบรื่น และไม่มีอุปสรรคในการทำงาน
  • ไม่ค่อยมีความสุข (32.52%) เหตุผลสำคัญคือปัญหาทางการเงินจากค่าครองชีพสูงและความวุ่นวายทางการเมือง
  • มีความสุขมาก (18.17%) เนื่องจากสุขภาพแข็งแรงและชีวิตไม่มีเรื่องกังวล
  • ไม่มีความสุขเลย (9.39%) เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่นำไปสู่หนี้สินและชีวิตที่ยากลำบาก

สิ่งที่ประชาชนเหนื่อยหน่ายในปี 2567

ปัญหาเศรษฐกิจ ครองอันดับแรกที่ประชาชนระบุว่าเหนื่อยหน่าย (52.14%) โดยมีปัจจัยสำคัญคือรายได้และค่าครองชีพ รองลงมาเป็น

  • ปัญหาภัยไซเบอร์ (28.09%) เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์และการแฮกข้อมูล
  • ปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง (27.86%)
  • ปัญหายาเสพติด (21.60%)
  • ปัญหาราคาพลังงาน (14.89%)

ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ก็เป็นหนึ่งในข้อกังวล โดยประชาชนร้อยละ 13.59 เห็นว่าภัยธรรมชาติและปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข

คุณลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง

ประชากรกลุ่มตัวอย่างมีความหลากหลาย ได้แก่

  • ภูมิลำเนา: ร้อยละ 33.35 อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และร้อยละ 17.86 ในภาคเหนือ
  • เพศ: ร้อยละ 48.09 เป็นชาย และร้อยละ 51.91 เป็นหญิง
  • อายุ: กลุ่มอายุ 46-59 ปีมีสัดส่วนสูงสุด (26.64%)
  • รายได้: ร้อยละ 30.53 มีรายได้เฉลี่ย 10,001-20,000 บาทต่อเดือน

แนวทางแก้ไขปัญหา

นิด้าโพลชี้ให้เห็นว่า ความเหนื่อยหน่ายของประชาชนในด้านเศรษฐกิจและสังคมสะท้อนถึงความจำเป็นที่รัฐต้องให้ความสำคัญกับการลดค่าครองชีพ เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และจัดการปัญหาสังคมอย่างจริงจัง

การสำรวจนี้สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในปีถัดไป ซึ่งสามารถใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดนโยบายที่ตอบสนองต่อปัญหาอย่างแท้จริง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ENVIRONMENT

กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ.ภูมิอากาศ หนุนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลักดันไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 4/2567 โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่รองประธานกรรมการ และ ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การประชุม กนภ. ครั้งนี้ มีมติเห็นชอบในหลักการของ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดนโยบายและกลไกส่งเสริมการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยเน้นการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อผลกระทบ และการสนับสนุนกลไกทางการเงินสำหรับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ:

  • ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก: กำหนดเป้าหมายการลดการปลดปล่อยคาร์บอน
  • กลไกการเงินคาร์บอนต่ำ: สร้างกลไกสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ปรับตัวต่อผลกระทบ: สนับสนุนทุกภาคส่วนให้พร้อมเผชิญกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ

รายงานความโปร่งใสรายสองปี (BTR1)

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบต่อ ร่างรายงานความโปร่งใสรายสองปี ฉบับที่ 1 (First Biennial Transparency Report: BTR1) เพื่อให้ประเทศไทยส่งรายงานนี้ไปยังสำนักเลขาธิการ UNFCCC ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ตามพันธกรณีในเวทีระหว่างประเทศ

ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

นายประเสริฐได้มอบนโยบายแก่คณะกรรมการฯ โดยเน้นให้ทุกภาคส่วนคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ของประเทศในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

แผนปฏิบัติการในอนาคต

  • เร่งนำเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
  • เสริมสร้างศักยภาพทุกภาคส่วนในประเทศไทย ให้พร้อมรับมือกับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาแนวทางเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเผชิญหน้ากับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ฟื้นฟูลำน้ำกรณ์-หนองแสนตอ เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อเชียงรายยั่งยืน

เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้าโครงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานสีฟ้าและสีเขียว ลำน้ำกรณ์ หนองแสนตอ

เชียงราย – เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นำทีมดำเนินโครงการฟื้นฟู “โครงสร้างพื้นฐานสีฟ้าและสีเขียว ลำน้ำกรณ์ บริเวณหนองแสนตอ” ในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยมีเป้าหมายพัฒนาเมืองสู่ความยั่งยืน พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต สร้างงาน และเพิ่มรายได้ให้กับคนรุ่นใหม่ รวมถึงส่งเสริมการจัดการน้ำและเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาลำน้ำกรณ์ หนองแสนตอ: จุดมุ่งหมายเพื่อความยั่งยืน

โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) โดยมีผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเข้าร่วม เช่น

  • นายภัคเกษม ธงชัย เจ้าหน้าที่แผนงานด้านน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำ
  • ดร.ภัทรียา สวนรัตนชัย หัวหน้าแผนงานประเทศไทย
  • คุณระวี ถาวร เจ้าหน้าที่รีคอฟ (แผนงานประเทศไทย)
  • นายฐปนันท์ จิระวิชิตชัย เจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการจังหวัดเชียงราย

แนวคิด “โครงสร้างพื้นฐานสีฟ้าและสีเขียว”

แนวคิดนี้ผสานการจัดการน้ำและพื้นที่สีเขียวเข้าด้วยกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายหลายด้าน ได้แก่

  • ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • ปรับปรุงคุณภาพน้ำ
  • เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อประโยชน์ของชุมชน

ลำน้ำกรณ์และหนองแสนตอถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญในเขตเทศบาลนครเชียงราย โครงการนี้มุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพน้ำ การจัดการน้ำฝน และการพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพื่อเชื่อมโยงกับชุมชน สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

องค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟูพื้นที่สีฟ้าและสีเขียว

1.การพัฒนาสวนสาธารณะและป่าสมัยใหม่

  • สร้างพื้นที่สีเขียวที่ตอบโจทย์ทุกวัย
  • เลือกใช้พืชพื้นเมืองที่เหมาะสมเพื่อลดการใช้น้ำและการดูแลรักษา
  • เพิ่มเส้นทางเดินและวิ่งเพื่อออกกำลังกาย

2.การฟื้นฟูธรรมชาติและการสร้างระบบนิเวศสมดุล

  • จำลองระบบนิเวศป่าธรรมชาติ
  • หนองแสนตอมีความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น นกกว่า 45 ชนิด และพืชพรรณ 40 ชนิด

3.การออกแบบพื้นที่อย่างยั่งยืน (Sustainable Design)

  • เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
  • พัฒนาพื้นที่ให้เอื้อต่อการใช้งานในชุมชน

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

โครงการนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเมืองยั่งยืน (Smart City) ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดผลกระทบจากน้ำท่วม และสร้างรายได้ให้ชุมชน การอนุรักษ์ธรรมชาติในหนองแสนตอจะช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้สมดุล ส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจของประชาชน และช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการอยู่อาศัยในระยะยาว

นายกเทศมนตรีนครเชียงรายกล่าวว่า “โครงการนี้เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเมืองเชียงรายให้เป็นเมืองที่ยั่งยืน โดยเน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติและการมีส่วนร่วมของชุมชน”

บทบาทของ IUCN และการสนับสนุนโครงการ

IUCN ได้ประสานความร่วมมือกับเทศบาลนครเชียงราย เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูพื้นที่ลุ่มน้ำกรณ์ หนองแสนตอ พร้อมให้คำปรึกษาด้านเทคนิค และผลักดันการสร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพชีวิตสูงและสมดุลกับธรรมชาติ

โครงการ “โครงสร้างพื้นฐานสีฟ้าและสีเขียว ลำน้ำกรณ์ หนองแสนตอ” นี้เป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สามารถขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน และเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมในระดับชุมชน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

โครงการบัตรคนจน: ปัญหาตกหล่นและรั่วไหลเงินช่วยเหลือคนไทย

โครงการบัตรคนจน: ปัญหาตกหล่นและรั่วไหลในระบบช่วยเหลือสวัสดิการแห่งรัฐ

21 ธันวาคม 2567 – โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “บัตรคนจน” ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทย โดยในปี 2566 มีผู้ได้รับสิทธิ์รวมทั้งสิ้น 14.6 ล้านคน อย่างไรก็ตาม งานวิจัยจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ชี้ให้เห็นว่าโครงการนี้ยังคงมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะการ “ตกหล่น” และ “รั่วไหล” ที่ส่งผลให้เงินช่วยเหลือไม่ถึงมือคนจนจริงๆ อย่างเต็มที่

ปัญหาตกหล่นและรั่วไหล

ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ควรได้รับความช่วยเหลือกลับไม่ได้รับสิทธิ์อย่างครบถ้วน ขณะที่ผู้ที่ไม่ควรได้รับสิทธิ์กลับได้รับประโยชน์อย่างไม่เหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • การตกหล่น: คนจนที่ไม่ได้รับสิทธิ์มีสัดส่วนถึง 40.4% หรือประมาณ 1.4 ล้านคน จากคนจนทั้งหมด 3.5 ล้านคน
  • การรั่วไหล: ผู้ที่ไม่จนกลับได้รับสิทธิ์บัตรคนจนถึง 20.7% หรือประมาณ 10.1 ล้านคน จากคนไม่จนทั้งหมด 49 ล้านคน

สาเหตุของปัญหา

  1. เกณฑ์คุณสมบัติไม่ตรงเป้า:
    เกณฑ์การคัดเลือกผู้มีสิทธิ์สูงเกินไป ส่งผลให้คนที่ไม่ยากจนอย่างแท้จริงได้รับสิทธิ์ ตัวอย่างเช่น มีรายได้หรือทรัพย์สินสูงกว่าเกณฑ์ความยากจนถึง 3 เท่า

  2. กระบวนการคัดกรองไม่เข้มงวด:
    แม้จะมีการกำหนดเกณฑ์ชัดเจน แต่กระบวนการตรวจสอบกลับไม่รัดกุม ทำให้ผู้ที่ไม่สมควรได้รับสิทธิ์สามารถเข้าถึงโครงการได้

  3. ไม่มีการตรวจสอบซ้ำ:
    ผู้ถือบัตรจะได้รับสิทธิ์ไปอย่างต่อเนื่องหลายปี โดยไม่มีการตรวจสอบสถานะซ้ำว่าผู้ถือบัตรยังมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์หรือไม่

ผลกระทบที่ตามมา

  • คนจนไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ:
    ผู้ที่ยากจนจริงอาจไม่ได้รับสิทธิ์ หรือได้รับความช่วยเหลือในปริมาณที่ไม่ครอบคลุมความจำเป็น

  • งบประมาณสูญเปล่า:
    เงินช่วยเหลือที่ควรนำไปใช้กับคนจนกลับตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีฐานะดีกว่า

  • ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น:
    ความช่วยเหลือที่ไม่ตรงเป้าหมายทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม

ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหา

นักวิจัยจาก PIER เสนอว่า การปรับปรุงโครงการบัตรคนจนควรเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาเชิงระบบ ได้แก่:

  1. ปรับเกณฑ์คุณสมบัติให้เหมาะสม:
    ลดเกณฑ์การคัดเลือกให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

  2. เพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรอง:
    ใช้ข้อมูลรายได้และทรัพย์สินที่ถูกต้องและอัปเดตเพื่อคัดกรองผู้มีสิทธิ์

  3. ตรวจสอบสถานะซ้ำอย่างต่อเนื่อง:
    มีการตรวจสอบผู้ถือบัตรทุกปี เพื่อยืนยันว่าผู้ถือบัตรยังคงมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์

บทสรุป

แม้โครงการบัตรคนจนจะมีเป้าหมายที่ดีในการลดความเหลื่อมล้ำและช่วยเหลือผู้ยากจน แต่ปัญหาตกหล่นและรั่วไหลที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับปรุงเชิงโครงสร้าง หากสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ โครงการบัตรคนจนจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยในประเทศไทยอย่างแท้จริง

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ PIER Research

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รมช.เกษตรฯ ติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง เชียงราย

รมช.เกษตรฯ ลงพื้นที่ติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง เชียงราย ย้ำเร่งสร้างให้เสร็จตามแผน

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2567 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมต้อนรับ พร้อมด้วยผู้อำนวยการกองพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง กรมชลประทาน ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 2 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมและรายงานความคืบหน้า

รายละเอียดโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้าง

โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างตั้งอยู่ที่หมู่ 14 บ้านใหม่เจริญ ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย มีความจุระดับเก็บกักสูงสุด 36 ล้านลูกบาศก์เมตร ออกแบบมาเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและการเกษตรในพื้นที่ตำบลป่าแดดและพื้นที่ใกล้เคียง

ลักษณะของโครงการเป็นเขื่อนดินแบบ Zone Type โดยมีทำนบดินยาว 657 เมตร คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2570 หลังการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ อ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างจะสามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ถึง 17,200 ไร่ในฤดูฝน และ 10,000 ไร่ในฤดูแล้ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่กว่า 2,843 ครัวเรือน หรือประมาณ 14,626 คน โดยเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

คำสั่งและข้อกำชับจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ

นายอัครา พรหมเผ่า ได้ย้ำให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างให้เสร็จตามแผนงาน เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำได้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ยังกล่าวขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งเพื่อขับเคลื่อนโครงการนี้

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้แสดงความมั่นใจว่าอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างจะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและช่วยลดผลกระทบจากภัยแล้งในอนาคต

ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

หากโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำให้แก่พื้นที่การเกษตรและชุมชนในตำบลป่าแดด รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีข้อดีดังนี้:

  • ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร: ส่งน้ำช่วยพื้นที่การเกษตรได้ทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง
  • เพิ่มรายได้เกษตรกร: ส่งเสริมผลผลิตทางการเกษตรและรายได้ที่มั่นคง
  • ยกระดับคุณภาพชีวิต: ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในครัวเรือน
  • สร้างความมั่นคงด้านน้ำ: รองรับประชาชนในพื้นที่กว่า 14,626 คน

การดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างนับว่าเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และสะท้อนถึงความตั้งใจของภาครัฐในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

ข้อมูลเพิ่มเติม:

โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ตาช้างยังคงดำเนินการตามแผนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อคนในพื้นที่ ทั้งนี้การติดตามความก้าวหน้าของโครงการจะดำเนินไปอย่างเข้มข้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

รู้ทันโรคหัวใจวายเฉียบพลัน กับบทเรียนชีวิตโจนัส แอนเดอร์สัน

รู้จักโรคหัวใจวายเฉียบพลัน กับชีวิตเฉียดตายของ โจนัส แอนเดอร์สัน” บนเวที Thailand Friendly Design Expo 2024

15 ธันวาคม 2567 – ที่งาน Thailand Friendly Design Expo 2024 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพมหานคร นายแพทย์ลิขิต กำธรวิจิตรกุล แพทย์อายุรศาสตร์หัวใจจากโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ได้รับเกียรติร่วมเสวนาในหัวข้อ รู้จักโรคหัวใจวายเฉียบพลัน กับชีวิตเฉียดความตายของ โจนัส แอนเดอร์สัน”

กิจกรรมดังกล่าวมี คุณมนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้บริหารสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมี โจนัส แอนเดอร์สัน ศิลปินลูกทุ่งชื่อดังร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตรงจากการต่อสู้กับโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

โรคหัวใจวายเฉียบพลันคืออะไร

ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือ หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure) เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้เพียงพอ ส่งผลให้เกิดการคั่งของเลือดในปอดและอวัยวะต่าง ๆ อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

สาเหตุของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน:

  • โรคหัวใจขาดเลือด
  • โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษ
  • การติดเชื้อที่ส่งผลต่อหัวใจ
  • การใช้ยาหรือสารเสพติด

อาการสำคัญที่ต้องระวัง

อาการของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ได้แก่:

  • เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก
  • แน่นหน้าอก
  • ตัวบวม ขาบวม
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ไอปนฟองสีขาวหรือชมพู

อาการที่ควรรีบนำส่งโรงพยาบาล:

  • เจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง
  • หายใจไม่อิ่มหรือมีอาการหอบเฉียบพลัน
  • หมดสติ

ประสบการณ์เฉียดตายของโจนัส แอนเดอร์สัน

โจนัส แอนเดอร์สัน เล่าว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างที่เขากำลังออกกำลังกาย เขารู้สึกเจ็บแน่นหน้าอก ปวดร้าวไปที่แขนซ้ายและคอ ร่วมกับมีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ

“ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่ท้องอืด แต่พออาการไม่ดีขึ้น ผมตัดสินใจไปโรงพยาบาลทันที โชคดีที่แพทย์ตรวจพบอาการหัวใจวายและทำการรักษาได้ทันเวลา” โจนัสกล่าว

ทีมแพทย์ได้ทำการฉีดสีและรักษาด้วยการขยายหลอดเลือด ซึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ได้

 

เหตุเกิดก็คือเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว (4 มี.ค.) ผมก็ออกกำลังกายตามปกติที่หมู่บ้าน เช้าๆ จะเงียบมาก ไม่มีใคร ผมก็อยู่คนเดียว ออกกำลังกายไป แล้วอยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกเจ็บแน่นหน้าอกมากๆ เป็นช่วงบริเวณหน้าท้องกับหน้าอกทั้งหมดที่ปวด และปวดชาลงมาถึงแขนซ้ายด้วย แล้วก็ขึ้นมาที่คอด้วย

ตอนแรกผมคิดว่าท้องอืด เพราะอาการไม่ต่างกับโรคหัวใจมาก แต่สิ่งที่มาคู่กันคือรู้สึกเหมือนจะเวียนหัวเบาๆ ก็คิดว่าจะลองฝืนดู ถ้าท้องอืดพอออกกำลังกายก็คงจะหายเอง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น ก็ลองหยุดแล้วกลับบ้าน

แล้วอาการก็รุนแรงขึ้น เหงื่อท่วมอาบเลย ข้างในมันรู้สึกกระวนกระวายยังไงบอกไม่ถูก ผมก็เลยรีบมาที่โรงพยาบาล เพราะเริ่มรู้สึกได้ว่ามันน่าเป็นห่วง พอมาถึงอาการก็รุนแรงขึ้น แต่พอมาถึงทีมแพทย์พยาบาลก็มาดูอาการอย่างเร็วเลย ตอนนั้นก็ได้อัลตราซาวนด์ ก็ตกใจ เพราะเห็นว่ากล้ามเนื้อหัวใจไม่ทำงานอยู่จุดนึง

 

วิธีป้องกันภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารเค็มและไขมันสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปี

คำแนะนำจากแพทย์:

“ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีประวัติในครอบครัวควรตรวจสุขภาพหัวใจ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรค” นพ.ลิขิต กล่าว

กิจกรรมเสริมสุขภาพในงาน Friendly Design Expo 2024

นอกจากการเสวนาแล้ว โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ยังจัดบูธให้บริการตรวจสุขภาพและคลายกล้ามเนื้อด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ฟรี พร้อมกิจกรรมแจกของรางวัล

กิจกรรมดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของโรงพยาบาลในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้แก่ประชาชน และการสร้างความตระหนักถึงโรคหัวใจในสังคม

ความสำคัญของการตระหนักถึงสุขภาพหัวใจ

งานเสวนาครั้งนี้ไม่ได้เพียงแค่ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจวายเฉียบพลันเท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องกันและดูแลสุขภาพหัวใจในชีวิตประจำวัน

ข้อคิดจากโจนัส แอนเดอร์สัน

“ชีวิตเป็นสิ่งที่ล้ำค่า อย่ามองข้ามสัญญาณเตือนจากร่างกาย และอย่าฝืนตัวเอง เพราะสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” โจนัสกล่าวปิดท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Thailand Friendly Design Expo

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายฟ้าใส เดินหน้าปราบบุหรี่ไฟฟ้า ปกป้องเยาวชน

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” ปราบบุหรี่ไฟฟ้าปกป้องเยาวชน

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สั่งเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” ตามนโยบายกระทรวงมหาดไทย (มท.1) เพื่อต่อต้านและจัดการกับปัญหาการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน

เหตุการณ์การจับกุมร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้า

การปฏิบัติการในครั้งนี้ เกิดจากการสืบทราบว่ามีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านร้านค้าในพื้นที่ ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยร้านดังกล่าวใช้วิธีการสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน LINE และจัดส่งผ่านไรเดอร์ เพื่อปกปิดการกระทำผิด

ร้านที่เป็นเป้าหมายตั้งอยู่ใกล้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งมุ่งเป้าไปที่นักเรียน นักศึกษา และเยาวชนในพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง

การปฏิบัติการจับกุม

ภายใต้การอำนวยการของผู้ว่าฯ ชรินทร์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูง ได้แก่

  • นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย
  • พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงราย

เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจวางแผนเข้าจับกุม โดยเริ่มจากการล่อซื้อสินค้าและเฝ้าสังเกตการณ์พฤติกรรมของผู้ต้องสงสัย พบว่ามีการจัดส่งบุหรี่ไฟฟ้าผ่านไรเดอร์หลายครั้ง เมื่อถึงจุดนัดหมาย เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวและเข้าตรวจค้นบ้านเช่าในพื้นที่ดังกล่าว

ของกลางและข้อกล่าวหา

จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบของกลางดังนี้:

  • บุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ กว่า 500 ชิ้น มูลค่ารวมหลักแสนบาท
  • บัญชีรายรับรายจ่าย ระบุรายได้วันละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท
  • ยาทรามาดอลและมอร์ฟีนชนิดน้ำ จำนวนมาก

ผู้ต้องสงสัย 2 ราย (ชาย 1 หญิง 1) ถูกตั้งข้อหา ดังนี้:

  1. ซ่อนเร้นและจำหน่ายสินค้าต้องห้าม ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560
  2. ผลิตและจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมาย ตามคำสั่งคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ

ทั้งนี้ ผู้ต้องหาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความสำคัญของปฏิบัติการ

ปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” เน้นการจัดระเบียบสังคมและป้องกันเยาวชนจากการยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นภัยร้ายแรงในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่จะเดินหน้าปราบปรามทั้งร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หน่วยแพทย์ พอ.สว. เชียงราย ดูแลชุมชนพญาเม็งรายครบวงจร

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำหน่วยแพทย์อาสา พอ.สว. ออกปฏิบัติงานในพื้นที่พญาเม็งราย

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 4 ณ หมู่บ้านห้วยก้างนาล้อม ม.11 ต.ไม้ยา อ.พญาเม็งราย

ความสำคัญของกิจกรรมและเป้าหมาย

กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงความจงรักภักดีในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระบรมวงศานุวงศ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าหมายในการสนองพระปณิธานด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคให้แก่ประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลคมนาคมและเป็นผู้ด้อยโอกาส

อำเภอพญาเม็งราย ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ อยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงราย ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 48 กิโลเมตร มีพื้นที่รวม 620 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 387,500 ไร่ แบ่งการปกครองออกเป็น 5 ตำบล 72 หมู่บ้าน ได้แก่

  • ตำบลแม่เปา: 20 หมู่บ้าน
  • ตำบลไม้ยา: 18 หมู่บ้าน
  • ตำบลเม็งราย: 14 หมู่บ้าน
  • ตำบลแม่ต่ำ: 11 หมู่บ้าน
  • ตำบลตาดควัน: 9 หมู่บ้าน

ประชากรทั้งหมดในพื้นที่รวม 41,651 คน โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้าง

บริการทางสุขภาพที่ครบวงจร

ในกิจกรรมนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ได้เยี่ยมชมและตรวจเยี่ยมหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้บริการประชาชน อาทิ

  • บริการรักษาพยาบาลและป้องกันโรค โดยโรงพยาบาลและสำนักงานสาธารณสุข
  • การส่งเสริมสุขภาพ เช่น การตรวจวัดสายตา บริการตัดผม และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
  • การเยี่ยมบ้านและดูแลผู้ป่วย ในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง และผู้ด้อยโอกาส

กิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานในพื้นที่ เช่น กิ่งกาชาด องค์การบริหารส่วนตำบล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย

การบูรณาการงานร่วมกันของหน่วยงานในพื้นที่

กิจกรรมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมี นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชน สมาชิกอาสาสมัคร พอ.สว. และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม

ผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนในพื้นที่

กิจกรรมหน่วยแพทย์อาสา พอ.สว. ครั้งนี้ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้รับการดูแลด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการดูแลสุขภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวช่วยภัยแล้ง เกษตรกรเชียงแสนได้ประโยชน์

พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ช่วยเหลือเกษตรกรเชียงแสนที่ประสบภัยแล้ง

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 เวลา 09.30 น. ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นายดนุชา สินธวานนท์ กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธี รับพระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 จาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมมอบเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวแก่เกษตรกรในพื้นที่

 

พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 แก่เกษตรกร 449 ราย

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 จำนวน 73,050 กิโลกรัม ให้แก่เกษตรกรและราษฎร จำนวน 449 ราย จาก 19 หมู่บ้าน ในตำบลศรีดอนมูล ตำบลแม่เงิน ตำบลบ้านแซว ตำบลโยนก และตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยแล้งถึง 4,870 ไร่

เกษตรกรได้รับเมล็ดพันธุ์เพื่อการเพาะปลูกและสร้างรายได้

พันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ที่ได้รับพระราชทานครั้งนี้เป็นพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ซึ่งเกษตรกรสามารถนำไปใช้เพาะปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือน และจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในช่วงวิกฤตภัยแล้ง

โครงการผลิตพันธุ์ข้าวพระราชทานโดยมูลนิธิชัยพัฒนา

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า มีรับสั่งให้มูลนิธิชัยพัฒนา ดำเนินการผลิตพันธุ์ข้าวเพื่อสำรองไว้เป็นพันธุ์พระราชทานแก่เกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติ โดยมอบหมายให้ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธุ์เพ็ญศิริ จังหวัดเชียงราย เป็นผู้ดำเนินการผลิตพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ซึ่งมีเกษตรกรจากตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เข้าร่วมโครงการนี้

การช่วยเหลือที่ครอบคลุมและยั่งยืน

โครงการดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของพระมหากรุณาธิคุณในการส่งเสริมให้เกษตรกรมีความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ ผ่านการจัดหาเมล็ดพันธุ์คุณภาพที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการ

ความร่วมมือในพิธีมอบเมล็ดพันธุ์

พิธีครั้งนี้มี นายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน พร้อมด้วยส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเกษตรกร เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการแก้ปัญหาภัยแล้ง

เป้าหมายในการพัฒนาชุมชนเกษตรกร

พันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ที่พระราชทานช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรฟื้นตัวจากผลกระทบภัยแล้ง พร้อมทั้งพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชนผ่านการสร้างรายได้จากการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงราย-โอเวอร์บรุ๊ค ยกระดับบริการสุขภาพพร้อมสร้างสะพานลอยใหม่

เทศบาลนครเชียงรายจับมือโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค ยกระดับบริการทางการแพทย์และความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 เทศบาลนครเชียงราย ได้ร่วมมือกับ โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค เพื่อพัฒนาบริการทางการแพทย์และเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมี นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานต้อนรับคณะผู้บริหารจากโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค นำโดย นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค พร้อมด้วยทีมผู้บริหาร

โครงการขยายบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม

ในที่ประชุม โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊คได้หารือถึงโครงการขยายบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม จากเดิม 24 เตียง เพิ่มเป็น 44 เตียง เพื่อลดระยะเวลาการรอคอยของผู้ป่วยโรคไต พร้อมยกระดับมาตรฐานการดูแลรักษาให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ก่อสร้างสะพานลอยเพิ่มความปลอดภัย

อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือการก่อสร้างสะพานลอยบริเวณด้านหน้าโรงพยาบาล เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรที่ต้องข้ามถนน โดยสะพานลอยนี้จะช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการในการเข้าถึงโรงพยาบาล

การก่อสร้างอาคารสนับสนุนขนาด 5,000 ตารางเมตร

เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊คได้วางแผนการก่อสร้างอาคารสนับสนุนขนาด 5,000 ตารางเมตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและการดูแลผู้ป่วยในพื้นที่นครเชียงราย

ความร่วมมือที่ดีระหว่างเทศบาลและโรงพยาบาล

นายแพทย์ณัฐชัย เครือจักร ได้กล่าวขอบคุณเทศบาลนครเชียงรายที่ให้ความสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของโรงพยาบาลด้วยดีเสมอมา พร้อมอวยพรให้คณะผู้บริหารเทศบาลมีสุขภาพแข็งแรงในโอกาสวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่

เทศบาลพร้อมสนับสนุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ย้ำว่าเทศบาลพร้อมสนับสนุนทุกโครงการที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะด้านการแพทย์ที่เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน

ความสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้

การร่วมมือระหว่างเทศบาลนครเชียงรายและโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊คสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้ก้าวหน้า พร้อมสร้างความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในทุกมิติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News