Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ขยายผลเครือข่ายโรงเรียนคุณธรรม จัดกิจกรรม “โชว์ แชร์ เชื่อม” ที่เชียงราย

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 เวลา 09.00 น. ณ หอประชุมสุนทราภิรมย์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 ได้มีการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมและขยายผลการพัฒนาเครือข่ายโรงเรียนสู่กระบวนการรับรองมาตรฐานปี 2567 โดยศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นผู้สนับสนุนการจัดงาน ซึ่งเป็นความร่วมมือของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1 ถึง 4 และโรงเรียนป่าแดงวิทยา ซึ่งรับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง

กิจกรรมที่จัดขึ้นในครั้งนี้มีชื่อว่า “โชว์ แชร์ เชื่อม” มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมในจังหวัดเชียงราย โดยได้รับเกียรติจาก นายจรัญ แจ้งมณี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

 

การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในพิธีเปิดงาน นางสาว พรทิพา พุทธวงค์ ผู้อำนวยการกลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยมี ผศ.ดร.สมปรารถนา วงศ์บุญหนัก ผู้ทรงคุณวุฒิจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และบุคคลสำคัญจากหน่วยงานต่างๆ เช่น นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, นายสมพงษ์ บุตรวัน รองผู้อำนวยการ สพป.เชียงราย เขต 4 และ นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม พร้อมทั้งครูและนักเรียนจากโรงเรียนเครือข่ายคุณธรรมเข้าร่วมงานนี้

 

พิธีมอบรางวัลและเกียรติบัตรแก่โรงเรียนที่มีผลงานโดดเด่น

กิจกรรมสำคัญในวันนั้นเริ่มต้นด้วยการมอบเกียรติบัตรและรางวัลให้กับโรงเรียนที่มีผลงานโดดเด่นในด้านคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีผลงาน Best Practice โดยโรงเรียนเหล่านี้ได้แสดงผลงานที่เกี่ยวข้องกับการน้อมนำ พระบรมราโชบาย สู่การปฏิบัติในสถานศึกษา และการขับเคลื่อน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้กลายเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาการศึกษา

การมอบรางวัลในครั้งนี้ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้โรงเรียนอื่นๆ ได้มุ่งมั่นพัฒนาและปรับใช้แนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมที่มีประสิทธิภาพ

 

เสวนา “การพัฒนาคุณธรรม โดยครูรุ่นใหม่ หัวใจโค้ช”

หนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือการเสวนาในหัวข้อ “การพัฒนาคุณธรรม โดยครูรุ่นใหม่ หัวใจโค้ช” ซึ่งได้รับเกียรติจาก ผศ.ดร.สมปรารถนา วงศ์บุญหนัก ผู้ทรงคุณวุฒิจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ร่วมเสวนากับทีมโค้ชเครือข่ายครูคุณธรรมจากจังหวัดเชียงรายทั้งหมด 4 เขต

การเสวนาครั้งนี้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้แนวทางการพัฒนาคุณธรรมในโรงเรียนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนเพื่อส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในชีวิตประจำวัน ผ่านการใช้บทบาทของครูเป็นโค้ชในการชี้แนะแนวทาง

 

นิทรรศการผลงานและการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ในงานยังมีการจัด นิทรรศการผลงานคุณธรรม จริยธรรม ที่นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายได้แสดงผลงานที่น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในกิจกรรมของโรงเรียน โดยผลงานที่นำมาแสดงมีความหลากหลายและสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงการขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

นิทรรศการเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสำเร็จของโรงเรียนคุณธรรม แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าร่วมงานได้เห็นถึงผลลัพธ์ของการประยุกต์ใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนานักเรียนและชุมชนโรงเรียน

 

ความสำคัญของโครงการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม

โครงการส่งเสริมและขยายผลการพัฒนาเครือข่ายโรงเรียนคุณธรรมนี้ มีเป้าหมายสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมแห่งคุณธรรมในสถานศึกษา โดยใช้แนวทางการเรียนรู้แบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งคุณธรรม จริยธรรม และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดกิจกรรม โชว์ แชร์ เชื่อม ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในแนวทางการพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันการพัฒนาการศึกษาในระดับท้องถิ่น

การมีส่วนร่วมของหน่วยงานทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการสนับสนุนจากศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า การพัฒนาโรงเรียนคุณธรรมในจังหวัดเชียงรายเป็นโครงการที่มีคุณค่า และจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่มีคุณธรรมในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง กำลังซื้อลดลงอาจส่งผลสงครามราคา

 

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ว่ามีการชะลอตัวทั้งในด้านจำนวนโครงการเปิดใหม่และมูลค่าการขาย โดยการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ปรับตัวลดลงอย่างมาก ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

จากการวิเคราะห์ของ LWS พบว่า โครงการที่พักอาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เปิดตัวใหม่ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2567 มีจำนวนเพียง 204 โครงการ รวมทั้งสิ้น 35,100 หน่วย ซึ่งลดลงมากถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 มูลค่ารวมของโครงการที่เปิดใหม่อยู่ที่ 221,865 ล้านบาท ลดลง 12% โดยเฉพาะโครงการบ้านพักอาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และอาคารชุดพักอาศัยที่มีการเปิดตัวลดลงอย่างมาก แม้ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการบ้านระดับพรีเมี่ยมมากขึ้นก็ตาม

การเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ชะลอตัวลงอย่างมาก

การเปิดตัวโครงการอาคารชุดพักอาศัยมีเพียง 36 โครงการ คิดเป็นจำนวน 13,868 หน่วย ลดลงถึง 49% โดยมีมูลค่ารวม 54,330 ล้านบาท ลดลง 28% ในส่วนของบ้านพักอาศัยที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยมีการเปิดตัว 105 โครงการ จำนวน 17,148 หน่วย ลดลง 26% คิดเป็นมูลค่ารวม 76,042 ล้านบาท ลดลง 19%

จากข้อมูลยังพบว่า ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการสะสมสูงสุดคือพื้นที่ สมุทรสาคร ขณะที่ทำเลที่มียอดขายดีที่สุดคือบริเวณ เพชรเกษม โดยประเภทของโครงการที่ขายดีที่สุดคือ ทาวน์เฮ้าส์ ในช่วงราคา 2-3 ล้านบาท

บ้านพักอาศัยระดับพรีเมี่ยมยังคงเติบโต

แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะชะลอตัว แต่โครงการบ้านพักอาศัยระดับพรีเมี่ยมยังคงเติบโต โดยมีการเปิดตัว 63 โครงการ จำนวน 4,084 หน่วย เพิ่มขึ้น 20% คิดเป็นมูลค่า 91,493 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของบ้านเดี่ยวในกลุ่มนี้อยู่ที่ 23 ล้านบาท ลดลง 3% และทาวน์เฮ้าส์ราคาเฉลี่ย 15.7 ล้านบาท ลดลง 27% อย่างไรก็ตาม แม้ราคาจะลดลง แต่ อัตราการขาย กลับเพิ่มขึ้นจาก 6% ในปี 2566 มาเป็น 19% โดยทำเลขายดีที่สุดคือ วัชรพล ซึ่งมีโครงการบ้านพักอาศัยราคาอยู่ในช่วง 10-20 ล้านบาท

ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่ออสังหาริมทรัพย์

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ในช่วง 7 เดือนแรกนี้ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ภาระหนี้ครัวเรือน ที่สูงถึง 91.4% รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ ที่เพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมที่ 0.83% และความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งมี อัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 75% ส่งผลให้มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในครึ่งปีแรกลดลง 9.4%

นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ที่ยังคงมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด และส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายจึงเลือกที่จะ ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งในส่วนของบ้านพักอาศัยและอาคารชุด โดยเน้นไปที่การเปิดตัวโครงการบ้านระดับพรีเมี่ยมแทน พร้อมเร่งระบาย สินค้าคงเหลือ ให้เร็วที่สุด

ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง

นายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งในเรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว กำลังซื้อที่ลดลง รวมถึงการเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ซื้อและผู้พัฒนาโครงการ ขณะที่ ต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% จากราคาที่ดินและวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องจัดโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าและเร่งยอดขาย

นายอธิปยังเตือนว่า การแข่งขันด้านราคาสินค้าอาจส่งผลให้เกิด สงครามราคา ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ตลาดซับซ้อนขึ้น

จากการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังอาจต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการจะมุ่งเน้นการปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

โลกผลิตขยะพลาสติกปีละ 57 ล้านตัน ส่วนใหญ่เกิดจากประเทศกำลังพัฒนา

จากรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยวารสาร “เนเจอร์” ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติกที่สร้างขึ้นทั่วโลกมากถึง 57 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับ 52 ล้านเมตริกตัน ต่อปี โดยกว่า 2 ใน 3 ของมลพิษนี้มาจากประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

การศึกษานี้ได้รับการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร โดยนักวิจัยได้ตรวจสอบการผลิตขยะพลาสติกในเมืองและเทศบาลมากกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก พบว่าปริมาณขยะที่ถูกทิ้งลงในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่งนั้น สามารถเติมเต็มพื้นที่ของสวนสาธารณะ เซ็นทรัลพาร์ค ในนครนิวยอร์กด้วยขยะพลาสติกสูงเท่ากับตึกเอ็มไพร์สเตทได้เลยทีเดียว

 

มลพิษจากพลาสติกในประเทศกำลังพัฒนา

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมลพิษพลาสติกจำนวนมากคือ การที่รัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะได้อย่างเหมาะสมสำหรับประชากรราว 15% ของโลก การศึกษาพบว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้สะฮาราเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตขยะพลาสติกมากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศอินเดียที่มีประชากรจำนวนมากถึง 255 ล้านคนที่เผชิญกับปัญหานี้

ประเทศอินเดียเป็นผู้นำโลกในการผลิตมลพิษจากพลาสติก โดยสร้างมลพิษมากถึง 10.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมากกว่าประเทศไนจีเรียและอินโดนีเซียถึงสองเท่า เมืองใหญ่ที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก ได้แก่ ลากอส ประเทศไนจีเรีย ตามมาด้วย นิวเดลี ประเทศอินเดีย, ลูอันดา ประเทศแองโกลา, การาจี ประเทศปากีสถาน และ อัลกาฮิราห์ ประเทศอียิปต์

แม้ประเทศจีนมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก แต่จากข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ จีนอยู่อันดับสี่ในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก แต่จีนได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศ

 

สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในด้านมลพิษจากพลาสติก

ประเทศสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 90 ของโลกในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก โดยมีปริมาณขยะมากกว่า 52,500 ตันต่อปี ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่อันดับที่ 135 โดยมีปริมาณขยะเกือบ 5,100 ตัน แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีระบบการจัดการขยะที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหามลพิษจากพลาสติกได้

 

ข้อตกลงสากลเพื่อลดมลพิษพลาสติก

ในปี 2565 ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ตกลงที่จะทำ ข้อตกลงทางกฎหมาย เพื่อจัดการกับปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทร ข้อตกลงสุดท้ายคาดว่าจะถูกเจรจาในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศเกาหลีใต้ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนในการลดมลพิษและควบคุมการผลิตพลาสติกอย่างยั่งยืน

 

ผลกระทบของไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

จากข้อมูลการศึกษานี้ พบว่า 57% ของมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก มาจากพลาสติกที่ถูกเผาอย่างไม่ถูกต้อง หรือถูกทิ้งลงในสิ่งแวดล้อมเปิดโล่ง สิ่งนี้ส่งผลให้เกิด ไมโครพลาสติก และ นาโนพลาสติก ซึ่งแพร่กระจายเข้าสู่ทุกมุมของโลก ตั้งแต่ยอดเขาเอเวอเรสต์ ไปจนถึงร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาในมหาสมุทรแปซิฟิก

ไมโครพลาสติกได้เข้าสู่ระบบนิเวศน์ รวมถึงเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านน้ำดื่ม อาหาร และอากาศที่เราหายใจ นักวิทยาศาสตร์ได้พบไมโครพลาสติกในเนื้อเยื่อต่างๆ ของมนุษย์ เช่น หัวใจ สมอง และอวัยวะอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องการเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

 

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลาสติก

องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า การผลิตพลาสติกจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 440 ล้านตันต่อปี ไปจนถึงมากกว่า 1,200 ล้านตัน ในอนาคต ซึ่งหมายความว่า โลกของเรากำลังจมอยู่กับพลาสติก” ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AP

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

พช.เชียงราย นำเครือข่ายเข้ารับโล่เชิดชูเกียรติในงาน “วันพัฒนาชุมชน”

 

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “วันพัฒนาชุมชน” (CD Day 2024) ภายใต้ธีมงาน “เศรษฐกิจฐานรากมั่นคง ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน” ( Strengthened grassroots economy , resilient and sustainable communities) ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ชั้น 2 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยมี นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การดำเนินงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน ข้าราชการและประชาชนร่วมพิธีอย่างคับคั่ง 


       ในการนี้ นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสุรีย์ศรี แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มงานสารสนเทศการพัฒนาชุมชน นายปรีชา ปวงคำ ผู้อำนวยการส่งเสริมการพัฒนาชุมชน ว่าที่ร้อยตรีอัครพล  จิตจักร์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานและสนับสนุนการบริหารงานพัฒนาชุมชน นางเครือวรรณ สดใส ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน และข้าราชการในสังกัดสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้นำชุมชน กลุ่ม/องค์การชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน จังหวัดเชียงรายได้เข้าร่วมงานด้วย


        โอกาสนี้ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย เป็นผู้แทน เข้ารับประกาศเกียรติคุณการขับเคลื่อนหมู่บ้านป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยกองทุนแม่ของแผ่นดิน ตามนโยบายกระทรวงมหาดไทย ระดับจังหวัด และรางวัลเชิดชูเกียรติคนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ประจำปี 2567 ประเภทรางวัลสำนักงานเลขานุการคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด ดีเด่นระดับเขตตรวจราชการที่ 16 ด้วย


       ทั้งนี้ พัฒนาการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมแสดงความยินดีกับผู้นำชุมชน ผู้นำองค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน จากจังหวัดเชียงราย ที่เข้ารับโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ ในครั้งนี้ ดังนี้
       1. รางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีประเภท ตำบลเข้มแข็งตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดีเลิศ ระดับจังหวัดเชียงราย ได้แก่ ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย
      2.รางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีประเภท รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง” อยู่เย็น เป็นสุข” ดีเด่น ระดับจังหวัดเชียงราย ได้แก่ บ้านยางคำนุ หมู่ที่ 5 ตำบลดอยฮาง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 
      3.รางวัลโล่สิงห์ทอง ประเภท ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน (ชาย) ดีเด่น ระดับจังหวัดเชียงราย ได้แก่ นายธนกร โชคชัดชาญพัฒนา ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
     4.รางวัลโล่สิงห์ทอง ประเภท ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชน (หญิง) ดีเด่น ระดับจังหวัดเชียงราย ได้แก่ นางรัตนาภรณ์ อุทธิยา ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนตำบลโรงช้าง อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย
     5.รางวัลโล่สิงห์ทอง ประเภท กลุ่ม/องค์กรแกนหลักสำคัญในการพัฒนาหมู่บ้านดีเด่น ระดับจังหวัดเชียงราย ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมครบวงจร ตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

โครงการ “สอนน้องสู้ไฟ” ปีที่ 4 จัดโดย ‘เซ็นทรัลเชียงราย’

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 นายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ทีมไฟร์แมน (Fireman) และพนักงานอาสาจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ได้จัดโครงการ “สอนน้องสู้ไฟ” ปีที่ 4 ขึ้น ณ โรงเรียนวัดจอเจริญสุขุมวาท ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดเอกชน ในระบบประเภทสามัญศึกษา ตั้งอยู่ในบ้านจอเจริญ ตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย กิจกรรมนี้มุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเพลิงไหม้และการใช้อุปกรณ์ดับเพลิงให้กับเด็กนักเรียนและบุคลากรของโรงเรียน

กิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านความปลอดภัย

โครงการ “สอนน้องสู้ไฟ” ที่จัดขึ้นในปีนี้ถือเป็นการดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างความรู้และความเข้าใจในการป้องกันเพลิงไหม้ให้กับเยาวชน บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งนี้ทีมงานจากเซ็นทรัล เชียงราย ได้นำเสนอทั้งในส่วนของภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงการสาธิตวิธีการใช้ ถังดับเพลิง ประเภทต่างๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

การเรียนรู้ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังมุ่งให้เด็กๆ ได้รับทักษะที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอุบัติการณ์เพลิงไหม้ นักเรียนและบุคลากรจะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง

การสอนและการปฏิบัติจริง

ในภาคทฤษฎี ทีมงานได้ให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของเพลิงไหม้ การป้องกันเหตุการณ์อัคคีภัยในสถานที่ต่างๆ เช่น ในบ้านหรือโรงเรียน และการใช้ ถังดับเพลิง อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการใช้ถังดับเพลิงในกรณีที่เกิดเพลิงไหม้เบื้องต้น นอกจากนี้ ยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับประเภทของถังดับเพลิง เช่น ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง ชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และชนิดน้ำยาโฟม รวมถึงวิธีการเลือกใช้ถังดับเพลิงที่เหมาะสมกับประเภทของเพลิงไหม้แต่ละชนิด

ในภาคปฏิบัติ นักเรียนและครูได้ร่วมเรียนรู้ผ่านการทดลองใช้งานถังดับเพลิงจริง โดยทีมงานไฟร์แมนได้สาธิตการใช้งานทีละขั้นตอน พร้อมอธิบายวิธีการจับและใช้ถังดับเพลิงอย่างปลอดภัย การฝึกซ้อมนี้มุ่งเน้นให้ทุกคนสามารถจัดการกับเหตุการณ์เพลิงไหม้เบื้องต้นได้อย่างมั่นใจ และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มอบสิ่งของเพื่อสนับสนุนการป้องกันภัยในโรงเรียน

นอกจากการสอนและสาธิตการป้องกันเพลิงไหม้แล้ว ทีมงานจากศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย ยังได้มอบสิ่งของที่จำเป็นสำหรับโรงเรียน เพื่อสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุและอัคคีภัยในอนาคต โดยของที่มอบให้ ได้แก่ ถังดับเพลิง ชนิดต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันเพลิงไหม้ และหลอดไฟเพื่อการใช้งานในพื้นที่ของโรงเรียน ตลอดจนสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตประจำวันของนักเรียน

การรับมอบสิ่งของในครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก อาจารย์โชติวิทย์ ปัญโญ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดจอเจริญสุขุมวาท พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียนที่ให้การต้อนรับทีมงานเซ็นทรัล เชียงรายอย่างเป็นกันเอง งานนี้ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความรู้ด้านความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความร่วมมือและความรับผิดชอบขององค์กรเอกชนในการส่งเสริมสังคมที่ปลอดภัยและน่าอยู่

ความสำคัญของโครงการ “สอนน้องสู้ไฟ” ต่อสังคม

โครงการ “สอนน้องสู้ไฟ” เป็นโครงการที่สะท้อนถึงความใส่ใจขององค์กรเอกชนอย่างเซ็นทรัล เชียงราย ที่มุ่งสร้างสรรค์สังคมที่ปลอดภัยและมีความพร้อมในการรับมือกับอัคคีภัย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นโรงเรียนและชุมชนที่มีเด็กๆ อาศัยอยู่ โครงการนี้ไม่เพียงแค่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันเพลิงไหม้เท่านั้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังให้เยาวชนได้เรียนรู้การจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยความรอบคอบและถูกต้อง

ในยุคที่สังคมต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการ ความรู้ด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรมี โครงการนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างความรู้ให้กับเด็กๆ และชุมชน เพื่อให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะในการป้องกันตนเองและสามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างมั่นใจ

สรุป

โครงการ “สอนน้องสู้ไฟ” ปีที่ 4 ของเซ็นทรัล เชียงราย ได้ดำเนินการเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสังคมและชุมชน โดยการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันเพลิงไหม้ และการใช้ถังดับเพลิงอย่างถูกต้องให้กับนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนวัดจอเจริญสุขุมวาท การดำเนินการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรเอกชนและชุมชนในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงราย จัดตั้งกองทุนฯ ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย สูงสุด 150,000 บาท

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 ณ ห้องจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการแถลงข่าว การช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเรียงรายฯ โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ว่าที่ร้อยตรี ศราวุธ จันทวงศ์ รองรู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอเทิง เป็นผู้ร่วมแถลงข่าว โดยมีนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้ววยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมการแถลงข่าวในครั้งนี้

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย ได้จัดตั้งกองทุนฯ ในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และจัดหาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ผ่านบัญชีธนาคาร กรุงไทย สาขาเชียงราย เลขที่บัญชี 504-3-23-732-5 ชื่อบัญชี กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ปี พ.ศ.2567 โดยยอดบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า ซึ่งการจัดตั้งกองทุนในครั้งนี้เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะบ้านที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย สำหรับการช่วยเหลือด้านสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนัก ก็ได้มีส่วนราชการ ภาคีเครือข่าย ภาคเอกชน ภาคสังคมสงเคราะห์ เหล่ากาชาด ในการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้ เพื่อใช้เป็นปัจจัยในการดำรงชีพพื้นฐาน ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของการช่วยเหลือ

นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. 67 เป็นต้นมา เกิดอุทกภัยและดินถล่มในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ในระหว่างวันที่ 14 ส.ค. – 5 ก.ย. 67 จำนวน 18 อำเภอ 106 ตำบล 925 หมู่บ้าน และบางส่วนในเขตเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 27 ชุมชน ราษฎรได้รับผลกระทบ 34,131 ครัวเรือน 127,809 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 31 หลัง บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 2,861 หลัง ซึ่งเกิดจากน้ำป่าและดินสไลด์ สำหรับภาคการเกษตรได้รับผลกระทบภาพรวม 189,275 ไร่ ส่วนใหญ่ได้แก่ นาข้าว ไร่ข้าวโพด ไร่มัน พืชสวน พืชยืนต้น ด้านปศุสัตว์ได้รับผลกระทบ 356,000 ตัว ด้านประมง มีพื้นที่ได้รับผลกระทบทั้งบ่อปลาและบ่อกุ้ง รวม 4,137 ไร่ ถนนได้รับความเสียหาย 499 จุด สะพานและคอสะพาน 13 แห่ง ฝาย 69 แห่ง อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก 3 แห่ง ศาสนสถานและวัด 34 แห่ง สถานศึกษาได้รับผลกระทบ 30 แห่ง สำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมี 4 อำเภอได้แก่อำเภอเทิง อำเภอเวียงแก่น อำเภอพญาเม็งราย และอำเภอขุนตาล ซึ่งทั้ง 4 อำเภอนอกจากได้รับผลกระทบจากน้ำป่าไหลหลากแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากน้ำอิงเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมทั้งพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่การเกษตรบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำของลำน้ำอิงด้วย

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอเทิง ได้กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม จนถึงปัจจุบันนี้ อำเภอเทิงได้เกิดอุทกภัยขึ้น ได้รับผลกระทบ 10 ตำบล 156 หมู่บ้าน 713 ครัวเรือน มีผู้อพยพมายังศูนย์พักพิงรวมกว่า 105 ราย ซึ่งขณะนี้ทุกคนได้กลับบ้านแล้ว บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 7 หลังคาเรือน แต่ยังถือว่าเป็นเรื่องดีที่สถานการณ์เกิดในช่วงเวลากลางวัน ทำให้ไม่มีผู้เสียชีวิต มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บเพียงแค่ 1 รายเท่านั้น

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงกรณีการเยียวยาผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยจำนวน 2 ราย คือ รายที่ 1 นายสุรชัย อายุ 56 ปี เป็นราษฎร ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ถูกน้ำป่าพัดร่างขณะขี่จักรยานยนต์เข้าไปทำงานในไร่ ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือ องค์การบริหารส่วนตำบลปอ ได้มอบค่าจัดการศพและเงินสงเคราะห์ครอบครัว เป็นเงิน 59,400 บาท และสำนักงานประกันสังคมจังหวัดเชียงราย มอบเงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตน มาตรา 33 เสียชีวิตให้แก่ทายาทนายสุรชัยฯ เป็นเงิน 87,353.97 บาท และ คปภ. เยียวยาให้อีก 35,000 บาท รายที่ 2 นายชวฤทธิ์ อายุ 49 ปี เป็นราษฎรบ้านป่าตาลแดง หมู่ที่ 3 ต.ป่าตาล อ.ขุนตาล จ.เชียงราย ถูกน้ำป่าพัดร่างสูญหายตั้งแต่วันที่ 21 ส.ค. 67 เวลา 09.00 น. พบร่างในวันที่ 24 ส.ค. 67 โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มอบค่าจัดการศพ 29,700 บาท และสำหรับพี่น้องประชาชนที่บ้านเรือนเสียหาย จะได้รับเงินเยียวยาตามระเบียบหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2563 หลักเกณฑ์ ค่าซ่อมแซมที่พักอาศัยเนื่องจากเสียหายทั้งหลังไม่เกิน 49,500 บาท หลังที่เสียหายบางส่วนเท่าที่เสียหายจริงไม่เกิน 49,500 บาท  
.
ว่าที่ร้อยตรี ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือ ของกองทุนฯ ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และจัดหาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งบ้านที่ได้รับถวามเสียหายทั้งหลัง และมีการประเมินความเสียหายเกินกว่า 1 ล้านบาท  จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ 150,000 บาท ความเสียหาย 700,000 – 1 ล้านบาท จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ 125,000 บาท ความเสียหาย 500,000 – 700,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ 100,000 บาท ความเสียหาย 300,000 – 500,000 บาท  จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ  75,000 บาท ความเสียหายตำกว่า 300,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ 50,000 บาท สำหรับที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหายบางส่วน และมีการประเมินความเสียหายเกิน 500,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ 75,000 บาท ความเสียหาย 300,000 – 500,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ร้อยละ 10 ของประมาณการความเสียหายแต่ไม่เกิน 50,000 บาท ความเสียหาย 100,000 – 300,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ร้อยละ 5 ของประมาณการความเสียหายแต่ไม่เกิน 15,000 บาท หากความเสียหายต่ำกว่า 100,000 บาท จะใช้งบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเยียวยา
.
นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การเยียวยาของทาง กองทุนฯ จะสมทบกับการเยียวยาของราชการ เพื่อให้ผู้ประสบภัยกลับมาลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวเชียงราย และในวันที่ 7-9 กันยายน นี้ ก็ต้องเฝ้าระวังเรื่องของผลกระทบจากพายุฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ซึ่งทางจังหวัดเชียงราย ได้ตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย และดินโคลนถล่ม จังหวัดเชียงราย ที่ภายในหอประชุมคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เราต้องร่วมกันเตรียมความพร้อม ถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะหากเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้นอีก เราต้องทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทางจังหวัดได้สั่งการให้ทุกอำเภอจัดเวรยามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เราทุกคนต้องดูแลซึ่งกันและกัน เพราะเราชาวเชียงรายจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างเด็ดขาด
จากนั้น ผู้เข้าร่วมแถลงข่าวได้รับชมคลิปวีดีโอสรุปสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือในจังหวัดเชียงราย และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้รับมอบเงินและสิ่งของจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ร้านค้า เข้าสู่กองทุนฯ เพื่อนำไปช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“พิสันต์” นำทีมวัฒนธรรมเชียงราย ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน ปี 2567

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 เวลา 08.00 น. – 11.00 น. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดย **นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์** วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยบุคลากรจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมรับชมการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2567 ของ **องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)** ผ่านทางการถ่ายทอดสดบน Facebook Live ของเพจองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

การจัดงานในปีนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้สังคมไทยตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชันที่ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย โดยเน้นให้ประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งในระดับบุคคล ภาคธุรกิจ และภาครัฐ มีส่วนร่วมในการลดปัญหาคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความโปร่งใสในทุกระดับของสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต

 

ความสำคัญของวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2567: “ตื่นรู้สู้โกง”

งานวันต่อต้านคอร์รัปชันในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด **“ตื่นรู้สู้โกง”** ซึ่งมุ่งเน้นถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการร่วมกันต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชัน ทั้งนี้ทางองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้ชี้ให้เห็นว่าคอร์รัปชันไม่ใช่เพียงปัญหาทางเศรษฐกิจหรือการบริหารงานภาครัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในการบริหารจัดการของทุกระดับในสังคม ซึ่งอาจทำให้การพัฒนาประเทศไม่ยั่งยืน

งานนี้เน้นให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจในทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง จนถึงขนาดเล็ก โดยมุ่งส่งเสริมให้ทุกธุรกิจมีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเน้นให้ผู้ประกอบการทุกสาขาอาชีพคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งพนักงาน ลูกค้า ผู้ลงทุน และสังคมโดยรวม โดยมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพตามหลัก **ESG** (Environment, Social, Governance) โดยเฉพาะในด้าน **G (Governance)** หรือการกำกับดูแลที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันและสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย

 

การสนับสนุนธุรกิจในการบริหารจัดการโปร่งใสตามหลัก ESG

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการตามหลัก ESG ซึ่งประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
1. **Environment (สิ่งแวดล้อม)**: การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการบริหารทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
2. **Social (สังคม)**: การมีส่วนร่วมในสังคม และการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
3. **Governance (การกำกับดูแล)**: การบริหารจัดการที่มีความโปร่งใส ยุติธรรม ตรวจสอบได้ และปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล

การที่ธุรกิจดำเนินการตามหลัก ESG นั้นไม่เพียงแต่จะช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันในองค์กร แต่ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถพัฒนาอย่างยั่งยืนและได้รับความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสียทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีระดับโลก

 

การบริหารจัดการภาครัฐและความโปร่งใส

นอกจากภาคธุรกิจแล้ว การบริหารจัดการของภาครัฐก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชัน รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการสร้างระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใสและยุติธรรม โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและการควบคุมภายในองค์กรของภาครัฐ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานราชการ ผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การรายงานเหตุการณ์คอร์รัปชัน และการร้องเรียนที่สามารถทำได้ทั้งทางออนไลน์และผ่านหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งจะช่วยให้การจัดการปัญหาคอร์รัปชันมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

**การร่วมงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายในการสร้างความตระหนักรู้**

ในส่วนของ **สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย** ภายใต้การนำของนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สำนักงานฯ ได้มีส่วนร่วมในการรับชมการจัดงานผ่านทาง **Facebook Live** ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความตระหนักรู้ให้กับบุคลากรภายในสำนักงานและหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชันที่ยังคงส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายด้าน

การร่วมมือของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้เป็นการสนับสนุนให้เกิดความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในระดับองค์กร ซึ่งจะเป็นต้นแบบในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม โดยเฉพาะในเรื่องของการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่อาจเกิดขึ้นในภาครัฐหรือภาคธุรกิจในพื้นที่

 

บทสรุป: การต่อต้านคอร์รัปชันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

การจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันในปี 2567 นี้เน้นถึงความสำคัญของการสร้างสังคมที่โปร่งใสและยั่งยืน ผ่านการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาลในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือภาครัฐ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าและยั่งยืนอย่างแท้จริง

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้คนในสังคมเห็นถึงความสำคัญของการต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมในทุกระดับ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่เข้มแข็งและมั่นคงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

**สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน ปี 2567: ส่งเสริมความโปร่งใสและการพัฒนาที่ยั่งยืน**

เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 เวลา 08.00 น. – 11.00 น. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นำโดย **นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์** วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยบุคลากรจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมรับชมการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชัน ประจำปี 2567 ของ **องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)** ผ่านทางการถ่ายทอดสดบน Facebook Live ของเพจองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

การจัดงานในปีนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้สังคมไทยตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชันที่ยังคงมีอยู่ในประเทศไทย โดยเน้นให้ประชาชนทุกภาคส่วน ทั้งในระดับบุคคล ภาคธุรกิจ และภาครัฐ มีส่วนร่วมในการลดปัญหาคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความโปร่งใสในทุกระดับของสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต

**ความสำคัญของวันต่อต้านคอร์รัปชัน 2567: “ตื่นรู้สู้โกง”**

งานวันต่อต้านคอร์รัปชันในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด **“ตื่นรู้สู้โกง”** ซึ่งมุ่งเน้นถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการร่วมกันต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชัน ทั้งนี้ทางองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ได้ชี้ให้เห็นว่าคอร์รัปชันไม่ใช่เพียงปัญหาทางเศรษฐกิจหรือการบริหารงานภาครัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในการบริหารจัดการของทุกระดับในสังคม ซึ่งอาจทำให้การพัฒนาประเทศไม่ยั่งยืน

งานนี้เน้นให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจในทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง จนถึงขนาดเล็ก โดยมุ่งส่งเสริมให้ทุกธุรกิจมีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเน้นให้ผู้ประกอบการทุกสาขาอาชีพคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งพนักงาน ลูกค้า ผู้ลงทุน และสังคมโดยรวม โดยมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพตามหลัก **ESG** (Environment, Social, Governance) โดยเฉพาะในด้าน **G (Governance)** หรือการกำกับดูแลที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันและสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจไทย

**การสนับสนุนธุรกิจในการบริหารจัดการโปร่งใสตามหลัก ESG**

องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการตามหลัก ESG ซึ่งประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
1. **Environment (สิ่งแวดล้อม)**: การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและการบริหารทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
2. **Social (สังคม)**: การมีส่วนร่วมในสังคม และการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
3. **Governance (การกำกับดูแล)**: การบริหารจัดการที่มีความโปร่งใส ยุติธรรม ตรวจสอบได้ และปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล

การที่ธุรกิจดำเนินการตามหลัก ESG นั้นไม่เพียงแต่จะช่วยลดปัญหาคอร์รัปชันในองค์กร แต่ยังช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถพัฒนาอย่างยั่งยืนและได้รับความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้เสียทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีระดับโลก

**การบริหารจัดการภาครัฐและความโปร่งใส**

นอกจากภาคธุรกิจแล้ว การบริหารจัดการของภาครัฐก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชัน รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการสร้างระบบการบริหารจัดการที่โปร่งใสและยุติธรรม โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบและการควบคุมภายในองค์กรของภาครัฐ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานราชการ ผ่านทางช่องทางต่างๆ เช่น การรายงานเหตุการณ์คอร์รัปชัน และการร้องเรียนที่สามารถทำได้ทั้งทางออนไลน์และผ่านหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งจะช่วยให้การจัดการปัญหาคอร์รัปชันมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

**การร่วมงานของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายในการสร้างความตระหนักรู้**

ในส่วนของ **สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย** ภายใต้การนำของนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สำนักงานฯ ได้มีส่วนร่วมในการรับชมการจัดงานผ่านทาง **Facebook Live** ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความตระหนักรู้ให้กับบุคลากรภายในสำนักงานและหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักถึงปัญหาคอร์รัปชันที่ยังคงส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายด้าน

การร่วมมือของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้เป็นการสนับสนุนให้เกิดความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในระดับองค์กร ซึ่งจะเป็นต้นแบบในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม โดยเฉพาะในเรื่องของการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่อาจเกิดขึ้นในภาครัฐหรือภาคธุรกิจในพื้นที่

**บทสรุป: การต่อต้านคอร์รัปชันเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน**

การจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันในปี 2567 นี้เน้นถึงความสำคัญของการสร้างสังคมที่โปร่งใสและยั่งยืน ผ่านการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาลในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรือภาครัฐ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าและยั่งยืนอย่างแท้จริง

สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้คนในสังคมเห็นถึงความสำคัญของการต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมในทุกระดับ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่เข้มแข็งและมั่นคงในอนาคต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ทีมวิจัยเตือนเฝ้าระวังพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เผยน้ำท่วมนาข้าวเสียหายกว่า 1.6 พันลบ.

 

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ประธานแผนงานวิจัยแผนงานการขับเคลื่อนแนวทางการใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ ระยะที่ 1 ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่า คณะวิจัยได้คาดการณ์น้ำเขื่อน น้ำท่า น้ำท่วม ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ โดยใช้ฝนคาดการณ์ของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ร่วมกับงานน้ำเขื่อนโดยมหาวิทยาลัยมหิดล งานน้ำท่าของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และงานน้ำท่วมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันคาดการณ์ว่าวันที่ 8 กันยายน 2567 ปริมาณน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์จะเพิ่มขึ้นถึง 2,180 ลบ.ม.ต่อวินาที หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเฝ้าระวัง (เนื่องจากจะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ริมแม่น้ำ และค่าเกิน 2,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ตามเกณฑ์การจัดการน้ำที่จังหวัดนครสวรรค์จะเป็นการจัดการน้ำระดับชาติ)

 

 

ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 พบว่าพื้นที่น้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีขนาด 407,311 ไร่ ครอบคลุมจังหวัดเชียงราย พะเยา ลำพูน แพร่ สุโขทัย น่าน และลำปาง โดยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่การเกษตร พื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำสายหลักและสายรอง รวมถึงพื้นที่อยู่อาศัยบางส่วน คาดว่าพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในปีนี้อาจจะแผ่ขยายออกไปอีกในช่วงต้นเดือนกันยายนในบริเวณเส้นทางน้ำหลากไหลผ่าน รวมถึงพื้นที่ตามแนวเส้นทางผันน้ำทางตอนกลางของประเทศสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบางส่วน

 

ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำของเขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 47% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 7,104 ล้านลบ.ม. เขื่อนสิริกิติ์ มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 78% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 2,110 ล้านลบ.ม. เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 46% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 503 ล้านลบ.ม. เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 28% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 688 ล้านลบ.ม. เขื่อนกิ่วคอหมา มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณน้ำเก็บกัก 89% (ปริมาตรเก็บกักที่รับได้ 18 ล้านลบ.ม.

 

 

“ข้อมูลผลกระทบจากน้ำท่วม ประเมินผล ณ วันที่ 4 กันยายน 2567 ทั้งประเทศไทย พบว่ามีพื้นที่น้ำท่วมรวมทั้งสิ้น 749,511 ไร่ ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ปลูกข้าว 355,255 ไร่ คิดเป็นมูลค่า 1,608 ล้านบาท โดยพื้นที่ 4 จังหวัดภาคเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง จังหวัดที่มีข้าวเสียหายมากที่สุดคือ อุตรดิตถ์ มูลค่า 323.7 ล้านบาท รองลงมาคือ พิจิตร และนครพนม มูลค่า 266.3 ล้านบาท และ 243.1 ล้านบาทตามลำดับ มีพื้นที่ถนนได้รับผลกระทบรวมระยะทาง 508.9 กม. ขณะที่ผลกระทบด้านสังคมทำให้มีผู้ประสบภัย 123,603 คน” รศ. ดร.สุจริตกล่าวสรุป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

สกสว.หนุนพื้นที่พลิกวิกฤติน้ำ ต่อจิ๊กซอว์ “โมเดลน่าน”

 

รศ. ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ ผู้อำนวยการแผนงานการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์ ด้านการบริหารจัดการน้ำ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ศึกษาดูงานพื้นที่รูปธรรมการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อสร้างความเข้าใจแนวทางการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำระดับพื้นที่ เรียนรู้การพัฒนาผู้บริหาร บุคลากรและแกนนำตำบลในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจัดทำแผนน้ำชุมชนแบบมีส่วนร่วม โดยมีจิ๊กซอว์สำคัญคือ นักจัดการ ที่เป็นทีมงานหลังบ้านผู้ขับเคลื่อนงาน รวมถึงเรียนรู้การนำระบบภูมิสารสนเทศด้านน้ำมาขับเคลื่อนการจัดทำแผนงานและกิจกรรม นำโดยนายชิษนุวัตร มณีศรีขำ หัวหน้าโครงการขยายผลการเพิ่มประสิทธิภาพในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำขององค์กรผู้ใช้น้ำและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับแผนการจัดการน้ำระดับจังหวัด

            นายสุรพล เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน ระบุว่าการบริหารจัดการน้ำระดับพื้นที่ต้องวิเคราะห์ปัญหาและดำเนินงานตามหลักวิชาการทั้งเรื่องมวลน้ำ ความสามารถในการผ่านน้ำของเขื่อนและประตูระบายน้ำ เพื่อจัดทำแผนฟื้นฟูและตั้งรับ มีระบบป้องกันและคันกั้นน้ำ ควบคู่กับความสามารถในการจัดการน้ำที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่และการใช้ประโยชน์ของแม่น้ำ รวมถึงการปรับตัวของชุมชนเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับการออกแบบเชิงนโยบาย การจัดการสิ่งแวดล้อม คน น้ำ ป่า ด้วยหลักวิศวกรรมแบบผสมผสาน เพื่อปกป้องและช่วยเหลือตัวเองได้ ขณะที่ภาครัฐต้องมีมาตรการที่คล่องตัว ต่อรองและจูงใจคนส่วนรวมได้ ตัดสินใจแจ้งเตือนโดยไม่ผิดพลาดด้วยองค์ความรู้และข้อมูล รวมถึงสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้ประชาชน งานวิชาการจะเป็นตัวตอบโจทย์ที่นำไปสู่การสื่อสารและการวิเคราะห์ที่แม่นยำ

เช่นเดียวกับนายมนูญศักดิ์ สังข์ทอง นายอำเภอบ้านหลวง ที่กล่าวว่าเป็นโอกาสดีที่ภาควิชาการมาช่วยพื้นที่ขนาดเล็กที่มีศักยภาพระดับหนึ่งตามนโยบายของปลัดกระทรวงมหาดไทยที่เน้นการบูรณาการกับ 7 ภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการป้องกัน เฝ้าระวัง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ด้วยการบริหารจัดการแบบพึ่งพาด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องรอส่วนราชการ ขณะที่นายประดิษฐ์ เพชรแสนอนันต์ กรรมการลุ่มน้ำน่านและ เลขานุการชมรมคนรักษ์ดิน น้ำ ป่า น่าน เสริมว่า การบริหารจัดการน้ำชุมชนต้องใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมร่วมกับทุกภาคส่วนให้มีน้ำกินน้ำใช้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขับเคลื่อนเมืองน่านให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ โดยมีพื้นที่ต้นแบบที่เห็นผลจริงซึ่งใช้กระบวนการวิจัยหนุนเสริมจัดการน้ำโดยท้องถิ่นชุมชนผ่านการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างง่าย จัดทำแผนที่เดินดิน ปฏิทินการผลิตตามฤดูกาล

ด้าน ว่าที่ ร.ต.อลงกต ประสมทรัพย์ รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อสวก กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยกลไกการมีส่วนร่วม เพื่อจัดเก็บข้อมูลแหล่งน้ำในพื้นที่ สมดุลน้ำ ผังน้ำ ว่าจะอัพเดตทุกปี ๆ ละ 2 ครั้ง คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำระดับตำบลทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายและนักวิชาการ วิเคราะห์สถานการณ์และแก้ไขปัญหาเร่งด่วนด้วยตัวเอง ในระยะกลางโครงการที่เกินศักยภาพของ อบต. ต้องใช้งบประมาณร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทำแผนผ่านระบบ Thai Water Plan และระยะยาวโครงการที่ใช้งบประมาณสูงในการพัฒนาแหล่งน้ำ เช่น อ่างเก็บน้ำ จะทำงานร่วมกับทีมวิชาการเสนอไปยัง หน่วยงานที่รับผิดชอบ

            รศ. ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว. เปิดเผยว่า สกสว.สนับสนุนการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำชุมชนมาหลายปีแล้ว ทำให้มีต้นแบบที่เป็นรูปธรรมหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือจังหวัดน่านที่มีศักยภาพในระดับท้องถิ่น การศึกษาดูงานครั้งนี้ทำให้รับรู้ถึงความซับซ้อนของระบบการจัดการน้ำและภัยพิบัติ ชุดข้อมูลและองค์ความรู้ที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนมากขึ้นทำให้การทำงานยากขึ้น จึงต้องมีความรู้ใหม่ ๆ ในการทำงานร่วมกับพื้นที่และระดับนโยบาย เพื่อให้องคาพยพทั้งหมดเห็นปัญหาที่มีความแตกต่างในแต่ละพื้นที่ร่วมกัน และหาทางเชื่อมโยงกับท้องถิ่นและจังหวัดตลอดจนลุ่มน้ำอย่างเป็นรูปธรรม บูรณาการการทำงานโดยใช้ศักยภาพของพื้นที่ วิเคราะห์ปัญหาด้วยข้อมูลต่าง ๆ ส่งต่อให้จังหวัด มีภาควิชาการช่วยให้การคาดการณ์แม่นยำมากขึ้น ซึ่งโมเดลน่านมีความน่าสนใจในการขยายผลไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้

“การจัดการน้ำชุมชน ชุมชนต้องเข้าใจและลุกขึ้นมาจัดการด้วยตัวเอง เติมเต็มด้วยการพัฒนากลไกและถอดบทเรียนความสำเร็จแก่ อบต.อื่น สกสว.จะทำงานร่วมกับทีมวิชาการและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ใช้เครื่องมือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่รัฐบาลอาจจะต้องลงทุนเพิ่มเติมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงสื่อสารกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ได้ข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวข้ามความยากลำบากไปได้ โดยจะคัดเลือกพื้นที่ 10 จังหวัดเพื่อขับเคลื่อนงานตามโจทย์ปัญหาและความพร้อมของพื้นที่ เราจะหนุนเสริมความพร้อมของทีมวิชาการ จังหวัดและชุมชน สิ่งสำคัญคือต้องมีรายละเอียดของชุดข้อมูลที่ถูกต้องน่าเชื่อถือ พร้อมแบ่งปันข้อมูลชุมชนและความต้องการใช้น้ำที่แท้จริงไปสู่กลไกระดับจังหวัดและระดับลุ่มน้ำ และมีองค์ความรู้ตามหลักวิชาการมาประกอบการตัดสินใจวางแผนการบริหารจัดการน้ำของแต่ละภาคส่วน”

ด้าน รศ. ดร.สุจริต กล่าวทิ้งท้ายว่า จากนี้ไปจะเตรียมต่อยอดขับเคลื่อนงานโดยเพิ่มเครือข่ายการบริหารจัดการน้ำจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) โดยใช้แนวคิดการบริหารจัดการน้ำระดับพื้นที่ ชุมชน และจังหวัด เสริมด้วยการจัดการด้านการตลาด เพื่อเตรียมแผนงานและงบประมาณรองรับในการจัดทำกลไกคลินิกวิชาการสนับสนุน โดยวางเป้าไว้ว่ามากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะมีความเป็นอยู่ดีขึ้น

“จากผลงานวิจัยชี้ว่าพื้นที่มีความสามารถในการพัฒนาโครงการได้ดี จะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านได้ดีกว่า รูปแบบการทำงานในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันตามปัจจัยและบริบท ซึ่งต้องกำหนดผู้ขับเคลื่อน โดยมีนโยบายจากกระทรวงมหาดไทยที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอร่วมรับผิดชอบดำเนินการในระดับพื้นที่ ในระยะยาวควรมีกฎกระทรวงรองรับการวางแผนและทำงานด้านน้ำระดับพื้นที่ที่ชัดเจน และมีโอกาสได้รับงบสนับสนุนจากสำนักงบประมาณเพิ่มขึ้น เริ่มจากการทำ sandbox เชื่อมโยงกับกระทรวงมหาดไทย อว. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีนักวิชาการเป็นกลไกด้านเทคนิค มีงานวิจัยประกอบการทำแผนงานหลักในการบริหารจัดการน้ำและแผนงานสร้างรายได้ รวมทั้งเชื่อมโยงกับภาคเอกชนเพื่อทำแผนการตลาดนำเป็นเครือข่ายร่วมกัน” รศ. ดร.สุจริตกล่าวสรุป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

หนังสือธรรมนาวา “วัง” พระราชทาน เป็นธรรมทาน โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุข

 

เมื่อวันพุธ ที่ 4 กันยายน 2567 เวลา 10.00 น. ณ สำนักศึกษาธรรมดอยธรรมนาวา ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ปุรณิทธิ์ บุณยมานพ ประจำสำนักพระราชวังพิเศษ ระดับ 10 เชิญชุดหนังสือธรรมนาวา “วัง” พระราชทาน ถวายแด่ พระทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ (พระอาจารย์ต้น) ประธานสำนักศึกษาธรรมดอยธรรมนาวา ใน

  

โดยพระราชวชิรคณี (ประเสริฐ ปญฺญาวชิโร) เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (ม.) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เป็นฝ่ายประธานสงฆ์ พร้อมด้วยพระราชสิริวชิโรดม” (สุขเลิศ กนฺตธมฺโม) เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย (ธ.) เจ้าอาวาสวัดบ้านเหล่า อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย  พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ พระเถรานุเถระ พระภิกษุสามเณร ร่วมพิธีฯ 

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสุภาเพ็ญ ศิริมาตย์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายโสไกร ใจหมั้น ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ ภักดี นายกเทศมนตรีตำบลนางแล กำนันตำบลนางแล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ตำบลนางและ ผู้นำท้องถิ่น/ท้องที่ และพุทธศาสนิกชน ศิษยานุศิษย์ ร่วมพิธีฯ

 

โอกาสมงคลนี้ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม นายพิพัฒน์ สุ่มมาตย์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นายสานุพงศ์ สันทราย นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี และบุคลากรสำนักวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับข้าราชการสำนักงานจังหวัดเชียงราย, สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงรายปฏิบัติงานอำนวยความสะดวกแด่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ทั้งนี้ การดำเนินงานพิธีฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุผลสำเร็จทุกประการ

โดยชุดหนังสือธรรมนาวา “วัง” พระราชทาน ที่เขียนโดยพระทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ (พระอาจารย์ต้น) ประธานสำนักศึกษาธรรมดอยธรรมนาวา เป็นพระสุปฏิปันโนที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสในปฏิปทาวัตร ตลอดจนวิธีการสอน และการถ่ายทอดการปฏิบัติให้กับพุทธบริษัทในทุกภาคส่วนได้เข้าถึงพระธรรมแห่งพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง อีกทั้งยังทรงมีพระราชศรัทธาเพียรปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ตามขั้นตอนที่พระอาจารย์ได้วางไว้ จึงทรงเห็นถึงความสำคัญในการพระราชทานเผยแพร่หนังสืออันทรงคุณค่า ให้พุทธศาสนิกชน ตลอดจนประชาชนพลเมืองทุกหมู่เหล่าได้ศึกษา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์หนังสือ ธรรมนาวา “วัง” พระราชทาน เป็นชุดหนังสือที่มีหนังสือ จำนวน 4 เล่ม บรรจุในกล่องสวยงาม ประกอบด้วย

  1. หนังสือ หลักการชาวพุทธ
  2. หนังสือ อริยสัจภาวนา
  3. หนังสือ หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
  4. หนังสือ แนวปฏิบัติธรรมนาวา “วัง”

พระราชทานเป็นธรรมทาน โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขอันพึงจะได้รับจากพระพุทธศาสนา ผ่านหลักการปฏิบัติอย่างถูกต้องตรงตามพุทธบัญญัติ เพื่อถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา มาตาปิตุบูชา อาจริยบูชา และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหาบูรพกษัตริยาธิราชเจ้าทุกๆ พระองค์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News