Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เปิดโลกอุทยานธรณีให้เชียงราย เป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยว

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ที่โรงแรมไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ อำเภอเมืองเชียงราย นายธิติพันธ์ จูจันทร์โชติ รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี นายบุญเกิด ร่องแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเชียงราย นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดงานมหกรรมเปิดโลกอุทยานธรณี เพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย ตอน “ธรณีมหัศจรรย์ สร้างสรรค์อัตลักษณ์เชียงราย” ในวันที่ 13 – 15 สิงหาคม 2567 ณ หอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี จังหวัดเชียงราย 

โดยกรมทรัพยากรธรณี ร่วมกับ จังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายและภาคีเครือข่าย จัดงานมหกรรมเปิดโลกอุทยานธรณีเพื่อการท่องเที่ยว จังหวัดเชียงราย ตอน “ธรณีมหัศจรรย์สร้างสรรค์อัตลักษณ์เชียงราย” เพื่อส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวชิงธรณีในพื้นที่แหล่งมรดกธรณี หรืออุทยานธรณี ผ่านนิทรรศการและกิจกรรม รวมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นหรือหน่วยงานที่ร่วมพัฒนาแหล่งมรดกธรณีหรืออุทยานธรณี 

ได้มีพื้นที่นำเสนอกิจกรรมการให้บริการ และผลิตภัณฑ์ด้านการท่องเที่ยวที่เกี่ยวกับอุทยานธรณี อีกทั้งยังเป็นการสร้างการรับรู้ ด้านคุณค่าความสำคัญของแหล่งมรดกธรณี อุทยานธรณี รวมถึงเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงธรณีของจังหวัดเชียงราย ให้จังหวัดเชียงรายเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยว ส่วนด้านรูปแบบและกิจกรรมภายในงาน จะมีการนำเสนอนิทรรศการและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ความรู้ เนื้อหาสาระ เช่น นิทรรศการอุทยานธรณีประเทศไทย “What is geopark – Geopark is People” นิทรรศการเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรณี จังหวัดเชียงราย “Chiang Rai Geotrail” นิทรรศการ ตรวจสอบอัญมณีและวัตถุทางธรณีสายมู “หมอดูหิน” นิทรรศการ Dark sky “พาเธอมาดูดาว” นิทรรศการจากหน่วยงานพันธมิตร กิจกรรม Food & Products Market กิจกรรม Show case “Geofood” สับปะรดภูแล ข้าวเหนียวเขี้ยวงู และกิจกรรมบนเวทีลุ้นรับของรางวัลมากมาย

สำหรับจังหวัดเชียงรายมีแหล่งทางธรรมชาติที่สวยงาม วัฒนธรรม ประเพณี และเรื่องราวของชุมชนที่โดดเด่น มีแหล่งธรณีวิทยาในพื้นที่อุทยานธรณี อาทิ ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน และ ถ้ำเสาหินพญานาค อำเภอแม่สาย น้ำพุร้อนป่าตึง และเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน ซึ่งพื้นที่เหล่านี้สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว รูปแบบใหม่ที่เน้นการใช้แหล่งธรณี เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม และเรื่องราวของชุมชน เป็นเครื่องมือในการสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

บอร์ด สปสช. เห็นชอบ “ท้องไม่พร้อม” บัตรทอง “สายด่วน 1663” ให้คำปรึกษา

 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) วันที่ 5 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาและเห็นชอบ “ข้อเสนอการกำหนดสถานบริการสาธารณสุขอื่นตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 กรณีหน่วยบริการปรึกษาทางเลือกสำหรับการให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม (สายด่วน 1663) นำเสนอโดย รศ.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บอร์ด สปสช. วันที่ 3 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบให้บริการมิตรภาพบําบัด สายด่วนวัยรุ่น สายด่วนตั้งครรภ์ไม่พร้อม 1663 เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยใช้งบประมาณจากงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในปีงบประมาณ 2568 และในการประชุมครั้งนี้ก็ได้เห็นชอบให้สายด่วน 1663 เป็นหน่วยบริการปรึกษาทางเลือกเพิ่มเติม สำหรับการให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม 

ทั้งนี้ สายด่วน 1663 อยู่ภายใต้การบริหารของ “มูลนิธิเข้าถึงเอดส์” โดยเริ่มดำเนินงานให้คำปรึกษาเรื่องโรคเอดส์เมื่อปี 2534 และได้เพิ่มบริการให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมในปี 2556 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการการให้คำปรึกษาปัญหาด้านการตั้งครรภ์หรือท้องไม่พร้อม เพื่อช่วยลดอัตรากรณีท้องไม่พร้อมรายใหม่ หรือการท้องไม่พร้อมซ้ำ ทั้งเป็นการช่วยลดอัตราการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย โดยมีการส่งต่อผู้รับบริการไปยังหน่วยบริการที่ให้การดูแลสอดคล้องกับปัญหา โดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย คือ 1.กลุ่มหญิงที่มีปัญหาการตั้งครรภ์หรือท้องไม่พร้อม 2.บุคคลในครอบครัว หรือบุคคลที่พบปัญหาหญิงตั้งครรภ์หรือท้องไม่พร้อม

“ขอบเขตการให้บริการของสายด่วน 1663 จะเป็นหน่วยแรกรับหรือเป็นช่องทางสำหรับผู้ประสบปัญหาท้องไม่พร้อม รวมทั้งประสานส่งต่อผู้รับบริการไปยังหน่วยบริการต่างๆ ที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของผู้รับบริการ ทั้งบริการด้านการแพทย์และด้านสวัสดิการสังคม ตลอดจนติดตามผลหลังจากส่งต่อไปรับบริการแล้ว เพื่อตรวจสอบว่าปัญหาได้คลี่คลาดและไม่มีผลกระทบด้านสุขภาพและจิตใจ ซึ่งการติดตามผลนี้ ยังจะมีกระบวนการ Preventive Counseling เพื่อป้องกันการท้องไม่พร้อม และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เป็นการลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้” ประธานบอร์ด สปสช. กล่าว 

รศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของสายด่วน 1663 ในปีงบประมาณ 2566 ที่ผ่านมา จากข้อมูลโดยมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มีผู้โทรเข้ามารับคำปรึกษาทั้งหมด 51,574 ราย แบ่งเป็นอายุน้อยกว่า 20 ปี 8,445 ราย ในจำนวนนี้เป็นการปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม 96.4% และกลุ่มที่อายุมากกว่า 20 ปี อีกจำนวน 43,129 ราย ในจำนวนนี้เป็นการปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อม 84% 

ทั้งนี้ การจัดบริการสายด่วนท้องไม่พร้อม 1663 นี้ เป็นหนึ่งในแผนการขยายหน่วยบริการ มาตรา 3 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยขึ้นทะเบียนเป็น “หน่วยบริการรับส่งต่อเฉพาะด้านขององค์กรภาคประชาชน” เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่เข้าไม่ถึงบริการ ด้วยการรับบริการบางอย่างที่มีความจำเพาะ จำเป็นต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการจัดบริการที่ทำให้เกิดการเข้าถึง เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพ ซึ่งนำมาสู่การนำเสนอบอร์ด สปสช. เห็นชอบในวันนี้

“ตามที่บอร์ด สปสช. ได้เห็นชอบนี้ หลังจากนี้ สปสช. จะมีประสานกับมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เพื่อให้มีการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งภายหลังจากที่ได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทาง สปสช. จะแจ้งให้ประชาชนรับทราบในการใช้สิทธิบัตรทองเพื่อเข้ารับบริการสายด่วน 1663 ต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ครึ่งปีแรกทำ ‘อุตสาหกรรมสื่อ’ ลำบาก 6 องค์กรวิชาชีพ เร่งหาช่องทางบรรเทา

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 นางสาว น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา องค์กรวิชาชีพสื่อ 6 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และ สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทยได้ประชุมหารือติดตามสถานการณ์สื่อในปัจจุบัน

ที่ประชุม 6 องค์กรวิชาชีพสื่อ ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากพบว่า อุตสาหกรรมสื่อช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในภาวะยากลำบากจากปัญหาเศรษฐกิจ การปรับตัวของสื่อโทรทัศน์ดิจิทัลที่ใบอนุญาตจะหมดอายุทำให้องค์กรสื่อหลายแห่งมีการปรับโครงสร้าง ลดขนาดองค์กรเพื่อลดค่าใช้จ่าย เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ ต่อการเลิกจ้างพนักงาน การลดค่าใช้จ่าย ลดเงินเดือน ตลอดจนสวัสดิการพนักงาน และมองว่าในอนาคตมีแนวโน้มที่องค์กรสื่อยังต้องเผชิญความท้าทายและผลกระทบหนักหน่วงต่อไปอีก

ทั้งนี้ สื่อมวลชนมีหน้าที่รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และ ตรวจสอบนโยบายสาธารณะ หากสื่อมวลชนได้รับผลกระทบก็จะมีผลต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน

องค์กรวิชาชีพสื่อเห็นว่า ในสถานการณ์ยากลำบากเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและลูกจ้างพนักงานสื่อโดยตรง จึงอยากขอให้ผู้ประกอบการใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดเพื่อประคับประคอง หลีกเลี่ยง การใช้มาตรการที่ส่งผลต่อการจ้างงานของลูกจ้าง พนักงานสื่อ อย่างไรก็ตาม หากมีเหตุการณ์สุดวิสัยขอให้ผู้ประกอบการสื่อยึดมั่นดำเนินการตามกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด

นางสาว น.รินี  กล่าวว่า  6 องค์กรวิชาชีพสื่อ ขอเป็นกำลังใจเพื่อนพี่น้องสื่อมวลชนในการฝ่าฟันอุปสรรคในวิกฤตครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ได้หาช่องทางช่วยเหลืออื่น เช่น การเตรียมจัดฝึกอบรมพัฒนาทักษะอาชีพเสริมต่างๆ  ตลอดจนทักษะใหม่ที่จำเป็นของคนข่าวในยุคดิจิทัล เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมสื่อ และเปิดช่องทางให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน จัดหาทนายความมาให้คำปรึกษากรณีสื่อมวลชนรายใดถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือถูกลิดรอนสิทธิในการจ้างงานเพื่อเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายและการเตรียมจัดทำฐานข้อมูลให้ผู้สื่อข่าวที่ถูกเลิกจ้างมาลงชื่อเป็นช่องทางให้หน่วยงานที่ต้องการจ้างงานมาติดต่อในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เดินหน้าเต็มสูบชูจุดแข็งท่องเที่ยว คาดปี 67 ทุกภูมิภาครายได้เพิ่ม

 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าผลงานรัฐบาลในรายการ “ไฮไลต์ไทยคู่ฟ้า” โดยประเดิมการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไปสู่เป้าหมายที่กำหนด สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของไทยผ่านมาตรการต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบาย IGNITE Thailand 8 ด้าน ของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล โดยย้ำว่า IGNITE Thailand’s Tourism เป็นด้านแรก ๆ สำคัญและ“เป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจ” ที่จะมีบทบาทอย่างยิ่งในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้อย่างเร็ว โดยข้อมูลสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยระบุว่าเมื่อปีที่แล้วนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้าประเทศไทย สิ้นปี 2566 จำนวน 28 ล้านคน มีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งสิ้นถึง ประมาณ 2.09 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2567 (ข้อมูล ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2567) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยประมาณ 21,045,344 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (ปี 2566) โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 33% ตลอดเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.67) และพบว่าไม่มีเดือนไหนที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยทุกๆ เดือนจำนวนสูงขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรกที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้แก่ จีน 4,229,268 คน มาเลเซีย 2,925,755 คน อินเดีย 1,218,453 คน เกาหลีใต้ 1,117,576 คน และ รัสเซีย 1,015,762 คน โดยปัจจัยบวกสำคัญที่ส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวดังกล่าว เช่น การมีวันหยุดปิดภาคเรียน (School holiday) ในประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น การเข้าสู่ช่วง Summer holiday ของภูมิภาคยุโรป นักท่องเที่ยวได้รับความเชื่อมั่นจากมาตรการยกเว้นวีซ่า และบัตร ตม.6 จำนวนที่นั่งเครื่องบินเข้าไทย (Seat Capacity) เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2567 มีจำนวน 22 ล้านที่นั่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 กระแสการเดินทางเที่ยวไทยตามรอยศิลปินนักแสดง Influencer/KOL  กิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาดต่างประเทศของ ททท. ที่ดำเนินการช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2567 เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศเข้าไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เป็นต้น

ทั้งนี้จากการดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยว 7 เดือนแรกนั้น ทุกเดือนรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ในส่วนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ปีนี้ มากกว่า 15 ล้านคน-ครั้ง และพบว่า 7 เดือนที่ผ่านมา คนไทยท่องเที่ยวมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รายได้จากการท่องเที่ยวพบว่าทุกเดือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงแนวโน้มสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยช่วง เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2567 พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอยู่ที่ 20.47 ล้านคน (เพิ่ม 17%) เมื่อรวมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีอยู่ที่ 37.98 ล้านคน ( เพิ่ม 34.88%) ส่วนนักท่องเที่ยวไทย พบว่า 105.00 ล้านคน-ครั้ง (เพิ่ม 5%) เมื่อรวมจำนวนนักท่องเที่ยวไทยทั้งปีอยู่ที่ 205.08% ล้านคน-ครั้ง (เพิ่ม 10.46%) ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 1,410,000 ล้านบาท (เพิ่ม 6.2%) เมื่อรวมรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งปีอยู่ที่ 2,738,000 ล้านบาท (เพิ่ม 31%) 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อถึงผลการจัดกิจกรรมของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่ผ่านมาที่เกิดผลเป็นรูปธรรมและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ เช่น งาน Amazing Beach Life festival จังหวัดระยอง รายได้ 61.27 ล้านบาท นักท่องเที่ยว 53,264 คน งาน Vijitr 5 ภาค รายได้ 417.54บาท นักท่องเที่ยว 393,259 คน งาน Amazing food festival จังหวัดภูเก็ต รายได้ 21.45 บาท นักท่องเที่ยว 20,118 คน เป็นต้น นอกจากนี้ ย้ำว่าในปี 2568 ถือเป็นปีทองของการท่องเที่ยวไทยและคาดการณ์รายได้จะมากกว่าปี 2567 โดยรายได้จากการท่องเที่ยวปีนี้ คาดเป็นไปตามเป้าจะทำรายได้อยู่ที่ 650,000 ล้านบาท และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศปีนี้ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งมาจากการท่องเที่ยว สำหรับสัปดาห์หน้า “ไฮไลต์ไทยคู่ฟ้า” พบกับการอัปเดตประเด็นเรื่องภาคการเกษตรซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญและได้ดำเนินการต่อเนื่องจนเกิดผลเป็นรูปธรรมส่งผลให้ขณะนี้ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายชนิดเพิ่มขึ้นยกแผง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ชลประทานเชียงราย ยืนยันไม่กระทบ มวลน้ำเข้าเมืองทุกสายไหลลงสู่แม่น้ำกก

 

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 67 นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย พร้อมด้วย นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย พ.อ.พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หน. กลุ่มนโยบายแผนและการข่าว กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย และนายประพันธ์ ช่างแก้ว หัวหน้าฝ่ายปกครอง (นักบริหารงานทั่วไป) เทศบาลนครเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสถานที่กักเก็บน้ำ / กั้นน้ำ แหล่งน้ำ และทางระบายน้ำ คลองผันน้ำอาคารควบคุมน้ำ และทิศทางการไหลของน้ำ ในเขตตัวเมืองเชียงราย โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์สำหรับวางแผนการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนเมืองเชียงราย

     โดยจุดแรกได้ลงพื้นที่ตรวจสอบท่อส่งน้ำบริเวณหัวสนามบิน ฝูงบิน 416 ตำบลรอบเวียง จุดที่ 2 ตรวจสอบประสิทธิภาพการผันน้ำของคลองผันน้ำแม่กรณ์สู่แม่น้ำกกที่บริเวณบ้านหัวฝาย ตำบลรอบเวียง จากนั้นได้เดินทางไปตรวจสอบทิศทางการไหลของน้ำที่ฝายชัยสมบัติ ต.ท่าสาย อ.เมืองเชียงราย และที่บริเวณอาคารควบคุมน้ำ การรับน้ำ และการระบายน้ำ ณ เขื่อนเชียงราย เดิมเรียกว่า (ฝายเชียงรายเดิม) ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 

ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ของแม่น้ำกก ที่อยู่ในเขตตัวเมืองเชียงราย ไหลผ่านลงสู่แม่น้ำโขง เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ตามที่อุตุนิยมวิทยาได้ประกาศเตือนว่า ประเทศไทยสิ้นสุดฤดูร้อน และเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 โดยในบริเวณประเทศไทยตอนบน สภาพอากาศมีฝนตกชุกหนาแน่นครอบคลุมพื้นที่มากกว่าร้อยละ 60 และต่อเนื่อง 3 วันขึ้นไป โดยพื้นที่จังหวัดเชียงรายเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม ถึง 3 สิงหาคม 2567 เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยและดินสไลด์ มีผลกระทบระหว่างวันที่ 2-4 สิงหาคม 2567 และอาจส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงช่วงฤดูฝนปีนี้ โดยทางผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ยืนยันว่ามวลน้ำทุกสายที่ไหลผ่านเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำกก ผ่านไปยังแม่น้ำโขงไม่กระทบต่อชุมชนในเขตเมือง และพื้นที่อื่นๆ อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เผยเบื้องหลังความสำเร็จ “น้องออย” ทุ่มเทเสียสละสู่ฝันที่เป็นจริง

 

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี น.ส.สุรจนา คำเบ้า อายุ 24 ปี ชาวบ้านดอนที่ หมู่ 3 ต.ริมโขง อ.เชียงของ จ.เชียงราย สามารถคว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันกีฬายกน้ำหนักที่โอลิมปิค ปารีสเกมส์ รุ่นน้ำหนัก 49 กิโลกรัมนั้น พบว่าเบื้องหลังขอความสำเร็จคือคุณครูสมศิลป์ ขันธิกุล อดีตครูโรงเรียนริมโขงวิทยา ต.ริมโขง อ.เชียงของ ซึ่งพึ่งเกษียณอายุราชการไปได้เพียง 2 ปี โดยครูสมศิลป์เป็นส่วนหนึ่งที่นอกจากจะทำให้น้องออยคว้าเหรียญในโอลิมปิคแล้วยังเคยคว้า 1 เหรียญทองแดง ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ และคว้า 3 เหรียญทอง ในการแข่งกันกีฬาซีเกมส์ รวมทั้ง 3 เหรียญทองจากการแข่งขันเยาวชนโลก

         ประวัติโดยรวมของครูสมศิลป์ จบการศึกษาจากวิทยาลัยพลศึกษาเชียงใหม่ รุ่นที่ 9 และเมื่อครั้นที่น้องออยยังเป็นเด็กได้เรียนระดับประถมศึกษาอยู่ที่โรงเรียนริมโขงวิทยาซึ่งเป็นโรงเรียนที่ครูสมศิลป์สอนวิชาพละอยู่นั่นเอง ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ด.ญ.สุรจนา ในขณะนั้นได้เข้าเรียนเหมือนเด็กชนบทชายแดน ไทย-ลาว ที่ติดกับแม่น้ำโขงทั่วไป แต่เด็กหญิงคนนี้สามารถฝึกฝนพื้นฐานของกีฬาชนิดต่างๆ ได้อย่างถูกต้องจนเริ่มเป็นที่จับตาของคุณครูสมศิลป์ กระทั่งขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็สามารถเล่นกีฬาต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล วิ่ง ฯลฯ จนได้รับเลือกเป็นนักกีฬาของโรงเรียน ชีวิตของน้องออยเริ่มพลิกผันเพราะครูสมศิลป์ เมื่อคุณครูได้ไปร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์อดีตศิษย์เก่าวิทยาลัยพลศึกษาเชียงใหม่ รุ่นที่ 9 และได้พบเจอกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ทำงานอยู่โรงเรียนกีฬา จ.ชลบุรี ซึ่งกำลังเสาะหานักกีฬายกน้ำหนักให้เข้าไปฝึกฝนที่โรงเรียน ขณะนั้นน้องออยยังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แต่เมื่อครูสมศิลป์และเพื่อนเห็นพ้องตรงกันว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์และฝีมือด้านการกีฬาจึงได้ตกลงจะรับตัวไป ครูสมศิลป์จึงรับภาระเป็นเสมือนผู้ปกครองรองจากพ่อแม่ตั้งแต่นั้น โดยได้ไปขออนุญาตปู่และย่าซึ่งเลี้ยงดูน้องออยมาตั้งแต่เด็ก และบิดาและมารดาที่แยกทางกันซึ่งทั้งหมดก็เห็นชอบที่จะส่งไปเรียนเพื่ออนาคตที่ดี


        ครูสมศิลป์ กล่าวว่า นับตั้งแต่นั้นผมต้องทำหน้าที่เป็นคนขับรถพาลูกศืษย์คนนี้ไปส่งที่ จ.ชลบุรี โดยเราเดินทางไปด้วยกัน 2 คน เพราะไม่คุ้นเคยเส้นทางจึงพากันหลงไปไกลกว่าจะไปถึงโรงเรียนก็ค่ำมืด หลังจากส่งน้องออยให้โรงเรียนและบอกเพื่อนที่เป็นโค้ชให้ช่วยดูแลแล้วก็ขับรถกลับเชียงรายตามลำพัง ปรากฎว่าไม่ถึงวันน้องออยก็โทรศัพท์มาขอให้พากลับบ้านเพราะน้องเป็นเด็กจากชายแดนเชียงรายไม่เคยออกบ้านไปไหน ที่สำคัญไม่เคยรู้จักใครเมื่อต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าในโรงยิมที่ฝึกซ้อมจึงร้องไห้ฟูมฟาย แต่ตนก็บ่ายเบี่ยงถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ระหว่างขับรถกลับถึง จ.นครสวรรค์ น้องก็โทรศัพท์มาหาอีกหลายครั้งขอกลับบ้าน แม้ผ่านไปหลายวันอาการปรับตัวไม่ได้ก็ยังมีอยู่แม้แต่เพื่อนของตนที่เป็นโค้ชยังแนะนำให้ตนกลับไปรับน้องออยกลับ จ.เชียงราย ด้วยแต่ตนก็อดทนเพื่อให้อดีตลูกศิษย์คนนี้ได้มีอนาคตที่ดี


       เมื่อย้อนกลับไปที่บ้านเลข 41/4 หมู่บ้านดอนที่ หมู 3 ต.ริมโขง อ.เชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของน้องออย พบว่าบิดาและมารดาได้แยกทางชีวิตกัน ที่บ้านจึงคงมีแต่นายสุทัศน์ คำเบ้า อายุ 77 ปี นางสี คำเบ้า อายุ 70 ปี ปู่และย่าของน้องออย ส่วนนายขวัญชัย คำเบ้า อายุ 47 ปี แยกไปสร้างบ้านหลังใหม่ ซึ่งทุกคนต่างตั้งความหวังเอาไว้กลับเด็กน้อยจากเชียงของคนนี้โดยมีครูสมศิลป์เป็นคนคอยประสานงาน บอกเล่าเรื่องราวความเป็นอยู่ หลายครั้งก็ควักเงินตัวเองช่วยเหลือความเป็นอยู่ของน้อยออย กระทั่งเวลาผ่านไปหลายปีน้องออยก็สามารถปรับตัวได้และแสดงฝีมือการยกน้ำหนักโดยเฉพาะรุ่น 49 กิโลกรัม แต่การดูแลก็ยังไม่พ้นครูสมศิลป์เพราะเมื่อติดทีมชาติหรือต้องเดินทางไปต่างประเทศครูสมศิลป์ก็ต้องดั้นด้นขับรถจากชายแดนเชียงของพาไปทำหนังสือเดินทางระหว่างประเทศหรือพาสปอร์ต รวมทั้งช่วยเหลือด้านอื่นๆ จนอดีตลูกศิษย์ค่อยๆ สร้างผลงานคว้าเหรียญรางวัลต่างๆ จนมาถึงเหรียญทองโอลิมปิคดังกล่าว ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจให้กับครูสมศิลป์เป็นอย่างมาก


       ครูสมศิลป์ กล่าวอีกว่า หลังจากไปอยู่ที่ จ.ชลบุรี น้องออยก็กลับบ้านนานๆ ครั้ง บางครั้งเดินทางมาแข่งขันใกล้บ้านเกิดตนก็จะทำหน้าที่ไปขอตัวและรับส่งมายังบ้าน อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาน้องออยไม่สามารถเป็นตัวแทนนักกีฬาของ จ.เชียงราย หรือส่งผลต่อการต้อนรับหรือจัดกิจกรรมต่างๆ เพราะมีข้อตกลงเดิมว่าถ้าจะเข้าเรียนที่โรงเรีบนกีฬา จ.ชลบุรี ต้องโอนย้ายที่อยู่ไปอยู่ จ.ชลบุรี ดังกล่าวดังนั้นตนจึงคาดหวังว่าในอนาคตจะมีการโอนย้ายที่อยู่กลับมายัง จ.เชียงราย เพื่อให้น้องออยได้มีโอกาสกลับภูมิลำเนาหรือได้รับการสนับสนุนในฐานะชาวเชียงราย เพราะที่ผ่านมาการต้อนรับหรือสนับสนุนในฐานะชาวเชียงรายไม่สามารถทำได้มากนัก แม้จะคว้าเหรียญในรายการนานาชาติมาแล้วมากมายแต่เรื่องก็เงียบหายไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เซ็นทรัลเชียงราย ร่วมจัดนิทรรศการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงรายได้เข้าร่วมจัดนิทรรศการ “โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายอย่างยั่งยืน จ.เชียงราย” ณ หอประชุมสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความตระหนักและกระตุ้นการมีส่วนร่วมในเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงรายได้จัดบูธเพื่อแสดงการจัดการขยะที่มีระบบและเป็นระเบียบ รวมถึงการจัดการขยะที่มาจากศูนย์การค้าแต่ละประเภท เพื่อให้เห็นถึงการดำเนินงานและความมุ่งมั่นในการรักษาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ “6 Actions for One Planet” ซึ่งเป็นโครงการของ Central Pattana ที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

อีกหนึ่งไฮไลต์ของการจัดนิทรรศการคือการแสดงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกากกาแฟ ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือกับ Sub Contract ที่มีส่วนร่วมในการผลิตผลิตภัณฑ์เหล่านี้ การใช้กากกาแฟซึ่งเป็นวัสดุที่มักถูกทิ้งเป็นขยะเพื่อนำมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ในงานนี้ ได้รับเกียรติจากว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เข้าชมบูธและกล่าวชื่นชมในความร่วมมือของเซ็นทรัลเชียงรายในการส่งเสริมและจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างแรงผลักดันสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างสรรค์การพัฒนาที่ยั่งยืนในจังหวัดเชียงราย

การจัดนิทรรศการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและโลกของเราในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

อินไซต์นักช้อปครึ่งปีแรก ‘ร้านค้าหรู’ โต 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนโควิด จับตาตลาดบิวตี้

 

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 The 1 Insight เผยผลวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายกลุ่มสินค้า Luxury ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 แม้ในสภาพเศรษฐกิจผันผวน ภาพรวมกำลังซื้อตลาด Luxury Retail ยังเติบโตสูง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนโควิด โดยสินค้าบิวตี้เติบโตแรงกว่าสินค้าแฟชั่น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ผลการวิเคราะห์ภาพรวมการใช้จ่ายกลุ่มสินค้า Luxury จาก The 1 Insight ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2567 พบว่า การใช้จ่ายสินค้าบิวตี้มีการเติบโตสูงกว่าสินค้าแฟชั่น 10%  ซึ่งตรงกับทฤษฎี “Lipstick Effect” ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงที่กำลังซื้อภาพรวมลดลง

ทว่ายอดการใช้จ่ายสินค้าบิวตี้กลับเติบโตสวนทาง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ชุบชูจิตใจได้ไม่แพ้สินค้าแฟชั่นแบรนด์หรู แต่มาในงบประมาณที่เข้าถึงได้สำหรับคนส่วนใหญ่นั่นเอง โดยสินค้าที่ยอดขายเติบโตสูงสุดในหมวดบิวตี้ ได้แก่ ลิปสติก พาเลตต์แต่งหน้า น้ำหอม ส่วนในหมวดแฟชั่น สินค้าที่มียอดขายเติบโตสูงสุด ได้แก่ กระเป๋าถือ แอ็กเซสเซอรี่ รองเท้า

การใช้จ่ายกับสินค้าแต่ละประเภทในสัดส่วนที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

  • กลุ่ม Gen Z” ใช้จ่ายกับเครื่องสำอาง น้ำหอม และสกินแคร์
  • กลุ่ม Gen Y” ใช้จ่ายกับสินค้าแฟชั่น สกินแคร์ และน้ำหอม
  • กลุ่ม Gen X” ใช้จ่ายกับสกินแคร์และสินค้าแฟชั่น เมกอัพ และน้ำหอม
  • กลุ่ม Baby Boomers” ใช้จ่ายกับสกินแคร์ สินค้าแฟชั่น และเมกอัพ

สอดคล้องกับพฤติกรรมและความสนใจของคนแต่ละช่วงวัยอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งที่น่าจับตาคือ “กลุ่ม Gen Z” มีการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้า Luxury เติบโตสูงสุดจากทุกช่วงวัย เป็นผลให้แบรนด์ระดับโลกที่เล็งเห็นโอกาสเริ่มดำเนินกลยุทธ์ในการดึงดูดกลุ่ม Gen Z มากขึ้น ชัดเจนในช่วง 2-3 ปีให้หลังนี้ อาทิเช่น การใช้ดาราและอินฟลูเอนเซอร์ที่กลุ่ม Gen Z ติดตาม รวมถึง Storytelling ของแบรนด์ต่างๆ ที่เน้นการแสดงตัวตนที่ authentic และมุมมองต่อ sustainability ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่กลุ่มช่วงวัยดังกล่าวให้ความสำคัญ

อย่างไรก็ดี กลุ่มลูกค้าอื่นๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ Gen Y, Gen X และ Baby Boomer ตามลำดับ

โดยทั้ง 3 ช่วงวัยนั้นยังถือว่าเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญของแบรนด์ นอกจากจะมีสัดส่วนการใช้จ่ายสูงแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y พบว่าคนกลุ่มนี้มีความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) สูงกว่ากลุ่ม Gen Z ที่เปิดกว้างมากกว่าและพร้อมเปลี่ยนแบรนด์ที่ชื่นชอบตลอดเวลา

“ช่องทางออนไลน์” ที่เติบโตขึ้นไม่ว่าจะเป็น E-Commerce หรือ Social Commerce ช่องทางหน้าร้านก็ยังคงมีความสำคัญอย่างมาก ไม่เพียงในกลุ่ม Gen X และ Baby Boomer ที่นิยมการใช้จ่ายที่หน้าร้านมากกว่าเท่านั้น

ผลสำรวจจาก CRC VoiceShare ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2567 พบว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซื้อสินค้าในหมวดแฟชั่นและบิวตี้อย่างน้อย 1 รายการในช่วงเวลา 1 เดือน และนักช้อปสายลักชัวรี่ส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้จ่ายที่หน้าร้าน เนื่องจากสามารถมอบ Customer Experience ที่สะดวกสบายและมอบความรู้สึกพิเศษให้ได้มากกว่า

ซึ่งแบรนด์และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทราบในจุดนี้ดี ล่าสุด เห็นได้ชัดจากการเปิดตัว Luxe Galerie พื้นที่แฟชั่นแห่งใหม่ใจกลางกรุง ณ ห้างเซ็นทรัล ชิดลม ที่นำเสนอแบรนด์ชั้นนำระดับโลกในรูปแบบบูทีค พร้อมไฮไลท์สำคัญอย่าง ‘Shoes Avenue’ ครั้งแรกในประเทศไทยด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The 1 Insight

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

 

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00 น. อบจ.เชียงราย จัดโครงการส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

โดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายอย่างยั่งยืน จังหวัดเชียงราย โดยมี ว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดฯ และให้เกียรติบรรยายพิเศษในหัวข้อการบริหารจัดการขยะในจังหวัดเชียงราย และ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการ ในการนี้ นางทรงศรี คมขำ รองนายก อบจ.เชียงราย นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัด อบจ.เชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายร่วมด้วย ณ หอประชุมสมเด็จย่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
 
หลังจากพิธีเปิด ได้มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ ขยะมูลฝอยทุกประเภท เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงราย โดยมีผู้ร่วมลงนามได้แก่ ว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย นายเจตณรงค์ อินกัน ท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย นายศักดิ์ดา ธานินทร์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นายสิงห์ทอง หนุนนำสิริสวัสดิ์ นายกสันนิบาตเทศบาลจังหวัดเชียงราย และนายสวาท สมใจ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลจังหวัดเชียงราย
 
นอกจากนี้ รองว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้เกียรติ มอบรางวัล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับประชาชน ดีเด่น จังหวัดเชียงราย ประจำปี พ.ศ. 2567 และมอบเกียรติบัตร สื่อสร้างสรรค์รณรงค์การบริหารจัดการขยะ เราปรับเพื่อโลกเปลี่ยน ภายได้แนวคิด “หนึ่งจิตสำนึกกับสองมือ : ปรับวิธีคิดเปลี่ยนพฤติกรรม ทำเพื่อโลกและท้องถิ่นเรา” 
 
โดยการจัดทำผลงาผลงานคลิปวิดีโอประกอบเพลง รี รี รี อบจ.เชียงราย ได้ร่วมกับจังหวัดเชียงราย จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้นแบบ ในการขยายผลการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัดเชียงราย ให้เร่งสร้างผลงานให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน จนเป็นวิถีชีวิตอย่างยั่งยืน อีกทั้งสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนในการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นทางหรือแหล่งกำเนิดขยะมูลฝอย รวมถึงการจัดการเชื้อเพลิงเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มหกรรม “แก้จน คนเจียงฮาย” ความสำเร็จการขจัดความยากจน

 

เมื่อวันพุธที่ 7 สิงหาคม 2567 ณ โรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงานมหกรรมความสำเร็จการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จังหวัดเชียงราย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ภายใต้คอนเซป “มหกรรม Show case แก้จน คนเจียงฮาย” โดยมีนางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมในครั้งนี้

ทั้งนี้สืบเนื่องจากรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนทุกช่วงวัย การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมและลดความเหลื่อมล้ำ โดยการดึงเอาพลังของภาคส่วนต่าง ๆ มาร่วมขับเคลื่อนนโยบายขจัดความยากจนฯ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาอย่างบูรณาการเป็นรูปธรรมและยั่งยืนได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
 
จังหวัดเชียงรายได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงได้กำหนดการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านกลไกศูนย์อำนวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ( ศจพ. ) ในทุกระดับ และมีการติดตามการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนยากจนตามระบบ TPMAP จำนวนเป้าหมาย 7,281 ครัวเรือน รวมถึงกรบูรณาการให้ความช่วยหรือครัวเรือนยากจน ร่วมกับหน่วยงานภาคีในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ได้จัดทำโครงการ 1 เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน 1 ครัวเรือนยากจน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสครบรอบวันเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา 
 
โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 3 ประการคือ 
1. เพื่อหนุนเสริมกลไกในการเยี่ยมเยือน ดูแลชีวิต ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนยากจนโดยยึดหลัก เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 
2. เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของครัวเรือนยากจนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 
3. เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสครบรอบวันเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา
 
สำหรับการจัดกิจกรรม ” มหกรรม Show Case แก้จน คนเจืองฮาย ” ในวันนี้ มีผู้เข้าร่ามกิจกรรมได้แก่ พัฒนาการอำเภอ และเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนทุกอำเภอ จำนวน 109 คน และกิจกรรมประกอบด้วยการจัดนิทรรศการเผยแพร่ผลสำเร็จผลการดำเนินงานขจัดความยากจนฯ และผลสำเร็จ Best Practice ตามโครงการ 1 เจ้าหน้าที่พัฒนาชุน 1 ครัวเรือนยากจน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต จาก 18 อำเภอ กิจกรรมทุปกระปุกออมสิน ตามโครงการออมวันละบาท สร้างสุข สร้างรอยยิ้ม สร้างองค์กรคุณธรรม การมอบเงินสมทบทุนสร้างบ้านตามโครงการ เชียงรายสานฝัน ปันสุข สร้างรอยยิ้มปีที่ 7 และการประกวดการจัดการความรู้ ( KM ) ในรูปแบบแผนที่ความคิด ( Mind mapping )
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News