Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ปิดไร่รื่นรมย์เชียงราย ไม่มีกำหนด หลังน้ำท่วมแปลงผัก ที่พัก และคอกสัตว์

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ศิริวิมล กิตะพาณิชย์ ผู้ก่อตั้งไร่รื่นรมย์ เกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยว ออร์แกนิก ที่ตั้งอยู่ในอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้โพสต์คลิปวิดีโอผ่านเพจเฟซบุ๊กของไร่รื่นรมย์ เพื่อประกาศปิดไร่อย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อไร่และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ

ศิริวิมลได้กล่าวในคลิปว่า “ตอนนี้เนื่องจากมีน้ำท่วมฉับพลัน แม้ตอนแรกจะคิดว่าเป็นฝนตามฤดูกาล แต่เมื่อได้เห็นความรุนแรงของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้เราตระหนักว่าเรื่อง Global Warming ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องที่ซีเรียสจริงๆ เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายหลายส่วน ทั้งแปลงผัก ที่พัก และสัตว์เลี้ยงในฟาร์มที่ไม่ได้ตั้งตัว เพราะน้ำมาเร็วมาก ไวมาก และแรงมาก ทำให้ทางไร่ต้องตัดสินใจปิดไร่ชั่วคราวโดยไม่มีกำหนดเปิด”

นอกจากนี้ เธอยังได้โพสต์ประกาศเพิ่มเติมว่า “ทางไร่ขอปิดชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากเหตุอุทกภัยในเชียงราย ทำให้ไร่รื่นรมย์ได้รับผลกระทบในหลายส่วน ทั้งแปลงผัก ที่พัก และคอกสัตว์ ซึ่งทีมงานทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน เราขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมส่งแรงใจให้กับไร่รื่นรมย์”

ศิริวิมลยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ที่ต้องการสนับสนุนไร่รื่นรมย์ ยังสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูป สินค้าพร้อมทาน ผักสดจากเครือข่ายออร์แกนิก รวมถึงเยี่ยมเยียนและใช้บริการร้านอาหาร Roasty By Rai Ruen Rom ที่สาขาโฮมโปร เชียงราย และบ้านก้ามปู อโศก ในกรุงเทพฯ ได้ตามปกติ

เหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ รวมถึงอำเภอเทิง ซึ่งเป็นที่ตั้งของไร่รื่นรมย์ ส่งผลให้การคมนาคมในพื้นที่ถูกตัดขาด และชาวบ้านหลายครัวเรือนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง น้ำได้ไหลเข้าท่วมพื้นที่แปลงผักและคอกสัตว์ของไร่รื่นรมย์ ส่งผลให้พืชผลที่กำลังเติบโตได้รับความเสียหายอย่างหนัก และสัตว์เลี้ยงหลายตัวต้องเร่งอพยพเพื่อความปลอดภัย ทีมงานของไร่รื่นรมย์ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือและป้องกันความเสียหาย แต่ด้วยความรุนแรงของน้ำที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้การรับมือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

วิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งทำให้สภาพอากาศในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ภาวะน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในหลายพื้นที่ ทำให้ชุมชนเกษตรกรต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสียหายที่ยากจะคาดการณ์

ไร่รื่นรมย์เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความท้าทายที่ชุมชนเกษตรกรต้องเผชิญในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ศิริวิมลได้กล่าวปิดท้ายในประกาศของเธอว่า “เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน และหวังว่าเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ไร่รื่นรมย์จะได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ขอบคุณทุกกำลังใจที่มอบให้กับเรา”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับและความเคลื่อนไหวของไร่รื่นรมย์ สามารถติดตามได้ทางเพจเฟซบุ๊กของไร่รื่นรมย์อย่างต่อเนื่อง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ไร่รื่นรมย์ เกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยว ออแกนิค Rai Ruen Rom Organic Farm

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เทศบาลนครเชียงราย ดึง “เอสที” สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน

 

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย (อาคารเจียงแสน) จังหวัดเชียงราย ได้มีการแถลงข่าวการจัดการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 โดยมี นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วย คณะกรรมการจัดงานและตัวแทนหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมแถลงข่าว นอกจากนี้ได้รับเกียรติจากนักกีฬาทีมชาติไทย โอลิมปิกเกม ปารีส 2024 “น้องเอสที” วารีรยา สุขเกษม นักกีฬาสเก็ตบอร์ดสาวน้อยมหัศจรรย์วัย 12 ปี มาร่วมกันให้กำลังใจนักเรียนและนักศึกษาที่เข้าร่วมแข่งขัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ เยาวชน พร้อมจัดเต็มกิจกรรมตลอดการจัดงานอีกด้วย

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า ในนามเทศบาลนครเชียงราย เจ้าภาพจัดการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 เรามุ่งมั่นพัฒนาให้เชียงรายก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน สร้างโอกาสและอนาคตที่ดีให้กับลูกหลาน โดยมุ่งพัฒนาด้านการศึกษาให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) สอดคล้องกับที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้เทศบาลนครเชียงราย เป็นภาคีเครือข่ายด้านเมืองแห่งการเรียนรู้แห่งแรกของประเทศไทยในปี พ.ศ.2562 โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีองค์ความรู้รอบด้าน ยึดหลักการ “การศึกษาพัฒนาคน คนพัฒนาเมือง เมืองพัฒนาคน”

นายวันชัย จงสุทธานามณี ได้กล่าวอีกว่า การแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นในครั้งนี้ ได้จัดให้มีการแข่งขันในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา โดยแบ่งออกเป็นการประกวดแข่งขันสามัญ 108 รายการ 23 ประเภท และการประกวดแข่งขันอาชีวศึกษา 34 รายการ รวมทั้งหมด 142 รายการ อีกทั้งยังมีการมอบโล่รางวัลแก่ครูและผู้ดูแลเด็กดีเด่นของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ครูและนักเรียนของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วมการแข่งขัน ได้แสดงศักยภาพของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ และได้เรียนรู้พัฒนาตนเองในทุกด้าน

“เทศบาลนครเชียงรายมีความพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพและเจ้าบ้านที่ดี เรายินดีและพร้อมต้อนรับทุกท่านที่ได้มาเยือนเชียงราย ทั้งนักเรียนผู้ชนะจากการแข่งขันในระดับภาค ครูผู้ควบคุม ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและคณะ รวมถึงผู้ปกครองจากทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 20,000 คน ผมในฐานะตัวแทนคณะกรรมการการจัดงานในครั้งนี้ ขอเรียนเชิญทุกท่านร่วมเป็นกำลังใจให้กับผู้เข้าแข่งขัน พร้อมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ กับกิจกรรม Workshop ทั้ง 6 ฐาน ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงานเสวนาทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา และการจัดแสดงผลงานทางวิชาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาคุณภาพการศึกษาและยกระดับศักยภาพผู้เรียนให้มีมาตรฐานในระดับสากลต่อไป”

สำหรับการแข่งขันทักษะวิชาการและงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น ระดับประเทศ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2567 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 2-5 กันยายน 2567 ณ สนามแข่งขันทั้ง 10 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย (หอประชุมนครเชียงราย), มหาวิทยาลัยพะเยา วิทยาเขตเชียงราย, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ๒๐ เชียงราย, วิทยาลัยการอาชีพเชียงราย, วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย, เวทีรำวงสวนตุงและโคมนครเชียงราย, โรงเรียนเทศบาล ๖ นครเชียงราย, โรงเรียนเทศบาล ๗ ฝั่งหมิ่น และโรงเรียนเทศบาล ๘ บ้านใหม่

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและเป็นที่ยอมรับในผลการตัดสินของผู้เข้าแข่งขัน ตลอดจนความโปร่งใสและเชื่อถือได้ เทศบาลนครเชียงรายและคณะผู้จัดงานได้เชิญคณะอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ

จากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งในท้องถิ่นและทั่วประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านเข้าร่วมเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันต่าง ๆ มากถึง 170 ท่าน การแข่งขันในบางประเภทได้รับเกียรติจากคณะกรรมการที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศ เช่น กรรมการการแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์, การแข่งขันการร้องเพลงลูกทุ่ง และการแข่งขันร้องเพลงพระราชนิพนธ์ อาทิ อาจารย์พะเยาว์ พัฒนพงศ์, อาจารย์เสน่ห์

ศรีสุวรรณ, ดร.อภิชาติ ดำดี, อาจารย์ประยงค์ ชื่นเย็น (นายกสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย/ศิลปินแห่งชาติ), อาจารย์วิไล พนม (นายกสมาคมนักแต่งเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย), ผศ.ดร.สุรินทร์ เมทะนี (ครูเบิร์ด), อาจารย์ทิพย์วัลย์ ปิ่นภิบาล, อาจารย์รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธ์ และอาจารย์สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา (ครูโจ้) ร่วมเป็นคณะกรรมการผู้ตัดสิน

นอกจากการแข่งขันทักษะวิชาการแล้ว ยังมีงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่น โดยจะมี Workshop ที่ถูกนำเสนอในรูปแบบของท้องถิ่นผสมผสานเข้ากับเทคโนโลยีอย่างลงตัว โดยส่งเสริมให้เด็กได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ผ่านการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง และการสัมผัส ซึ่งถูกพัฒนาออกเป็น 5 ฐาน 6 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมการมองเห็น ทายภาพสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย กิจกรรมการลิ้มรส ทดลองชิมอาหารท้องถิ่น กิจกรรมการได้กลิ่น ทดลองดมกลิ่นชา และใบชา กิจกรรมการได้ยิน ทดลองฟังภาษาเหนือพร้อมเรียนรู้ความหมาย กิจกรรมการสัมผัส ทดลองประดิษฐ์หมอนใบชาหรือเพนต์ลายเครื่องเคลือบดินเผา และกิจกรรมการประเมินความฉลาดรู้ PISA

 

อีกทั้งยังมีการเสวนาทางวิชาการ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากคณะวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา จากเวทีเสวนาทางวิชาการทั้ง 3 รอบ ในวันที่ 2-3 กันยายน 2567 เพื่อเป็นแนวทางในการยกระดับ

ศักยภาพผู้เรียนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาท้องถิ่นสู่สากล ตลอดจนมีการจัดแสดงผลงานทางวิชาการของเจ้าภาพและหน่วยงานภายนอก โดยในส่วนของเจ้าภาพได้นำเสนอผลงานเด่นของเทศบาลนครเชียงราย และศักยภาพของแต่ละโรงเรียนในสังกัด อาทิ โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย โรงเรียนพระราชทานกิจกรรมเพื่อสังคม “ถุงผ้าเต้านมเทียม” ตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ และโรงเรียนเทศบาล 7 ฝั่งหมิ่น โครงงานเด็กเล็กทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกในการจัดแสดงผลงานทางวิชาการเพื่อเผยแพร่นวัตกรรมต่าง ๆ ให้แก่ผู้เข้าชมสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาหน่วยงานของตนเองได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มูลนิธิเป๊ปซี่โค สนับสนุนโครงการ “Little Chef Course” สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11

 

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายมันฝรั่งทอดกรอบ “เลย์” ร่วมจัดกิจกรรมอาสาสมัคร “One Smile At A Time-Give Together” และมูลนิธิเป๊ปซี่โค มอบเงินบริจาคจำนวน 19,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 690,000 บาท) แก่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อใช้ในโครงการ “Little Chef Course” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “สีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11” จะจัดขึ้น ณ โครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 26 มกราคม 2568 การสนับสนุนกิจกรรมครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Pep+ (PepsiCo Positive) ของเป๊ปซี่โค เพื่อส่งเสริมความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและความมั่นคงด้านอาหารเพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้คน

 

นายสุดิปโต โมซุมดา กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาหารอินโดจีน บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เล็งเห็นถึงความสำคัญของความมั่นคงทางอาหารของไทย เราจึงมุ่งส่งเสริมระบบการผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่ยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผ่านการสนับสนุนโครงการเกษตรยั่งยืนซึ่งเน้นการใช้วัตถุดิบหลักภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรไทยมาอย่างต่อเนื่อง การสนับสนุนงานสีสันแห่งดอยตุงซึ่งเป็นเทศกาลด้านศิลปวัฒนธรรมครั้งสำคัญ จึงสอดคล้องกับพันธกิจหลักของเราอย่างยิ่ง เนื่องจากวัฒนธรรมด้านอาหารถือเป็นอีกหนึ่งอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่เชื่อมโยงสู่วิถีชีวิตที่ผาสุกและยั่งยืน โดยเฉพาะโครงการ Little Chef Course ซึ่งมุ่งเน้นการปลูกฝังเยาวชนให้แสวงหาวัตถุดิบที่มีอยู่ตามธรรมชาติในพื้นที่ เพื่อนำมาสร้างสรรค์เป็นเมนูอาหารอย่างมีเอกลักษณ์และเป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว ผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อปและการวางแผนกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างพื้นฐานการทำงานอย่างมีระบบ นับเป็นการปลูกฝังแนวคิดความมั่นคงทางอาหารในหมู่เยาวชนที่เป็น ‘ต้นน้ำ’ ในมิติทางสังคมได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อร่วมสร้างสรรค์อนาคตแห่งอุตสาหกรรมอาหารที่มีศักยภาพทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศต่อไป” 

 

มร.ฮาทิม คานน์ ผู้อำนวยการอาวุโส มูลนิธิเป๊ปซี่โค ยังกล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “ความมั่นคงทางอาหารเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องการแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมกับแต่ละชุมชน ตลอดระยะที่ผ่านมา มูลนิธิเป๊ปซี่โค ทำงานร่วมกับเครือข่ายของเราทั่วโลกเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารผ่านวิธีการต่างๆ รวมถึงโครงการอาสาสมัครของพนักงาน ‘Give Together’ ซึ่งเปลี่ยนชั่วโมงอาสาสมัครของพนักงานให้เป็นเงินทุนที่สนับสนุนการทำงานขององค์กรการกุศลในแต่ละประเทศ เรามุ่งมั่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนเพื่อนำไปสู่ผลกระทบที่ยั่งยืนในสังคมของเราในประเทศไทยและทั่วโลกอีกด้วย”

 

สำหรับโครงการ “Little Chef Course” อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ จ. เชียงราย ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ มุ่งปลูกฝังจิตสำนึกของยาวชนให้ตระหนักถึงอัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรม ความมั่นคงทางอาหาร และความสำคัญของการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อรักษาแหล่งอาหารที่ยั่งยืนของชุมชน ผ่านการดำเนินงานหลัก 3 ขั้นตอน ได้แก่ EXPLORE – การค้นหาแหล่งวัตถุดิบในท้องถิ่น เพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้านอาหาร EXPERT – การฝึกฝนและเวิร์กช็อปกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประยุกต์องค์ความรู้สู่การปฏิบัติจริง และ EXPERIENCE – การสัมผัสประสบการณ์การทำงาน ผ่านการออกร้านในงานสีสันแห่งดอยตุง ครั้งที่ 11

 

มูลนิธิเป๊ปซี่โคในประเทศไทย มูลนิธิเป๊ปซี่โค เป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านการทำประโยชน์สาธารณะและสังคมของบริษัทเป๊ปซี่โค เรามีพันธกิจที่จะสนับสนุนการพัฒนาชุมชนให้เกิดความเจริญก้าวหน้า โดยเน้นการส่งเสริมองค์ประกอบที่จำเป็นเพื่อระบบอาหารที่ยั่งยืน มูลนิธิเป๊ปซี่ทำงานร่วมกับองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ชุมชนได้รับการเข้าถึงความมั่นคงทางอาหาร การเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค และเสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ เรามุ่งมั่นที่จะสร้างผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมให้กับชุมชนที่เราอาศัยและทำงานอยู่ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจ องค์กรท้องถิ่น องค์กรนานาชาติ และพนักงานของเรา เพื่อส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงกว้างเกี่ยวกับขอบข่ายของปัญหาที่มีความสำคัญของประเทศ ตลอดจนปัญหาในระดับโลกเช่นเดียวกัน สามารถเรียนข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pepsicofoundation.com

 

เป๊ปซี่โค ประเทศไทย มุ่งสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่มูลค่า ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการทำเกษตรที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนแก่กลุ่มเกษตรกรของประเทศ การใช้กระบวนการผลิตอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้โรงงานที่ดำเนินงานตามแนวคิด ESG ไปจนถึงการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เอื้อต่อกระบวนการรีไซเคิล รวมไปถึงแง่มุมอื่น ๆ อีกมากมาย การร่วมสนับสนุนงานสีสันแห่งดอยตุง ถือเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารผ่านมิติทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าด้านเทคโนโลยีการผลิต เพื่อร่วมพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าของอุตสาหกรรมอาหารควบคู่ไปกับการส่งเสริมอัตลักษณ์ของชุนชมต่าง ๆ ในประเทศอย่างยั่งยืน

 

เกี่ยวกับเป๊ปซี่โค

ผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่โคเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคเพลิดเพลินได้มากกว่า 1 พันล้านครั้งต่อวันในกว่า 200 ประเทศและดินแดนทั่วโลก เป๊ปซี่โคมีรายได้สุทธิมากกว่า 91,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 จากธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารสะดวกซื้อของบริษัท เช่น เลย์ โดริโทส ชีโตส เกเตอเรด เป๊ปซี่-โคล่า เมาเทนดิว เควกเกอร์ และโซดาสตรีม กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่โคประกอบด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย ซึ่งรวมถึงแบรนด์ดังที่แต่ละแบรนด์มียอดขายปลีกทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี 

Guiding PepsiCo คือวิสัยทัศน์ของเราในการเป็นผู้นำระดับโลกด้านเครื่องดื่มและอาหารสะดวกซื้อ สร้างความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ Winning with pep+ (PepsiCo Positive) ที่มุ่งปรับโฉมธุรกิจในทุกขั้นตอน ด้วยการนำเรื่องความยั่งยืนมาเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเติบโตและคุณค่าให้กับโลก และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลกและผู้คน 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทเข้าชมได้ที่ www.pepsico.com และติดตามบน X (Twitter), Instagram, Facebook และ LinkedIn @PepsiCo

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : www.pepsico.com

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

มฟล. นำทีมจัดกิจกรรมชุมชน เชื่อมโยง SDGs และนวัตกรรมสิ่งแวดล้อม

 

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดย อาจารย์ ดร.ธนิกุล จันทรา คณบดีสำนักวิชานวัตกรรมสังคม ร่วมกับ อาจารย์ ดร.ประดิษฐ์ ชินอุดมทรัพย์ และ อาจารย์ ดร.จารุวรรณ์ หัตถผสุ ได้นำทีมนักศึกษาชั้นปีที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมผู้สูงอายุคาทอลิกในจังหวัดเชียงราย ณ วัดนักบุญคามิลโล หมู่บ้านศรีวิเชียร ตำบลท่าสุด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของบาทหลวงเอกชัย ผลวารินทร์ เจ้าอาวาสวัดนักบุญคามิลโล และมีพระสังฆราชยอแซฟ วุฒิเลิศ แห่ล้อม เป็นประธานในงาน

กิจกรรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในเรื่องการส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น นักศึกษาจากสำนักวิชานวัตกรรมสังคมได้มีโอกาสนำเสนอผลงานนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเรียนการสอนในรายวิชา “นวัตกรรมสังคมเพื่อการพัฒนา” โดย อาจารย์ ดร.ประดิษฐ์ ชินอุดมทรัพย์ เช่น กระถางต้นไม้ที่ผลิตจากเปลือกสับปะรด เครื่องออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุที่ผลิตจากกะลามะพร้าว และบูทรับทำเสื้อลายสับปะรด ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์ในการนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ประโยชน์ใหม่

การเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้นักศึกษาได้สัมผัสกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และศาสนาของชุมชนรอบมหาวิทยาลัย การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในชุมชนช่วยให้นักศึกษามีความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเข้าใจนี้ส่งเสริมการเห็นอกเห็นใจและการช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของพลเมืองโลก (Global Citizenship)

นอกจากนี้ การเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวยังสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานศึกษา ชุมชน และประชาชนในจังหวัดเชียงราย ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน แต่ยังเป็นการวางรากฐานในการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาและความท้าทายในอนาคต การเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในครั้งนี้ จึงเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาความยั่งยืนในระดับท้องถิ่น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่มีผลกระทบในระดับชาติในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

วิเคราะห์เสียงสะท้อนจากชาวเน็ต กระแสโซเชียล อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร นายกฯ คนที่ 31

 

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยได้เสนอชื่อ น..แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 ..แพทองธาร ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ทำให้เธอกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นสตรีคนที่สองที่ดำรงตำแหน่งนี้ และเป็นบุคคลที่สามในตระกูล “ชินวัตร” ที่ได้นั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศไทย ส่งผลให้เกิดกระแสการพูดคุยและถกเถียงอย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย

 

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 15 – 18 สิงหาคม 2567 ถึงประเด็น “นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย” พบว่าชาวโซเชียลต่างแสดงความคิดเห็น สะท้อนทั้งความคาดหวังและข้อกังวลต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในแง่มุมที่หลากหลาย ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางความคิดและทัศนคติทางการเมืองในสังคมไทยได้อย่างชัดเจน

 

วิเคราะห์ความรู้สึกของชาวโซเชียลต่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 (Sentiment Analysis)

 

ประเด็นที่ชาวโซเชียลพูดถึงนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 (Comment Topics)

 

เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาของความคิดเห็น (Comments) ที่ปรากฎในโซเชียลมีเดีย สามารถสรุปประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนายกฯ แพทองธาร ได้ดังต่อไปนี้

  1. สานต่อนโยบายของพรรคเพื่อไทย(41.3%)
  • ดิจิทัล วอลเล็ต(Digital Wallet)

นโยบายแจกเงินดิจิทัล หรือ นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียลมีเดีย ประชาชนส่วนใหญ่แสดงความกังวลว่านโยบายนี้อาจจะไม่ได้รับการดำเนินการต่อ ส่งผลให้มีทัศนคติเชิงลบต่อพรรคเพื่อไทย และนายกฯ แพทองธาร สูงถึง 74.7% ของการกล่าวถึงนโยบาย Digital Wallet

  อย่างไรก็ตาม ยังมีบางส่วนที่ยังคงมีความหวังว่านายกฯ แพทองธารจะสามารถดำเนินนโยบายนี้ต่อไปได้ เนื่องจากมีข้อมูลว่างบประมาณบางส่วนได้รับการอนุมัติแล้ว

  • นโยบายลดค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน

หนึ่งในนโยบายหาเสียงสำคัญในการเลือกตั้งที่ผ่านมา คือการลดหย่อนค่าสาธารณูปโภค เช่น การลดค่า Ft และค่าน้ำมัน ซึ่งสัญญาว่าจะดำเนินการได้ทันทีหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ปัจจุบัน ความคิดเห็นส่วนใหญ่บนโซเชียลมีเดียอยู่ในสถานะ ‘รอดู’ โดยยังไม่ตัดสินว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะสามารถดำเนินการตามนโยบายนี้ได้หรือไม่ ส่งผลให้ทัศนคติส่วนใหญ่เป็นกลาง คิดเป็น 85% ของการกล่าวถึงนโยบายด้านการช่วยเหลือค่าสาธารณูปโภค

  • ซอฟต์พาวเวอร์(Soft Power)

ก่อนการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร รับบทบาทประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ส่งผลให้ประชาชนในโซเชียลมีเดียมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการผลักดันนโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ของเธอ โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น การผลักดันการศึกษา การส่งเสริมการท่องเที่ยว การยกระดับการผลิตสินค้า เป็นต้น

  • การแก้ไขปัญหายาเสพติด

ปัญหายาเสพติดในประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสังคมไทย สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือการขาดความเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ นโยบายด้านสาธารณสุขที่นำกัญชาและกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดได้สร้างความท้าทายในการจัดการกับปัญหานี้ ภายหลังจากที่ น.ส.แพทองธารได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประชาชนในโซเชียลมีเดียต่างแสดงความคาดหวังอย่างสูงต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ความคาดหวังนี้มีรากฐานมาจากความสำเร็จในอดีตของรัฐบาลภายใต้การนำของนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งสามารถจัดการกับปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ยกระดับฐานรายได้

ในช่วงหาเสียง พรรคเพื่อไทยได้เสนอนโยบายเพื่อดึงดูดความสนใจจากประชาชน โดยเฉพาะการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้จบการศึกษาปริญญาตรี 25,000 บาท เมื่อมีการประกาศแต่งตั้ง น.ส.แพทองธาร ลูกสาวของอดีตนายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประชาชนในโซเชียลมีเดียจึงให้ความสนใจนโยบายนี้ โดยหวังว่าเธอจะสามารถทำให้เศรษฐกิจดีเช่นเดียวกับบิดาของเธอที่ทำได้ในอดีต

อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบางส่วน (5% ของการกล่าวถึงนโยบายการเพิ่มรายได้) ที่แสดงความไม่เชื่อมั่นว่านายกฯ แพทองธาร จะสามารถทำให้นโยบายด้านรายได้ประสบความสำเร็จได้ นอกจากนี้ อีกประเด็นที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากคือการอ้างอิงคำกล่าวของ น.ส.แพทองธารในช่วงหาเสียง “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไปพร้อม ๆ กัน

 
  1. ความน่าเชื่อถือและความเหมาะสม(35.2%)
  • การไม่รักษาคำพูด

หลังจากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สลับขั้วไปจับมือกับพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นกลุ่มขั้วอำนาจเดิมในฝั่งอนุรักษ์นิยม และทำให้พรรคก้าวไกลต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย รวมถึงการผิดคำมั่นที่พูดไว้เรื่อง “ปิดสวิตช์ 3 ป” ตอนหาเสียงเลือกตั้ง เหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่ความไม่พอใจของชาวโซเชียลบางกลุ่มจนเกิดวลี “เพื่อไทยหักหลังประชาชน” รวมถึงมีการแสดงความคิดเห็นโดยใช้อิโมจิรูปสตรอว์เบอร์รี่เป็นสัญลักษณ์ สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อพรรคเพื่อไทย และนายกฯ แพทองธาร ในฐานะผู้นำพรรค

  • คุณวุฒิและวัยวุฒิ

ประเด็นความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องอายุและประสบการณ์ทางการเมือง ประเด็นหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ได้แก่ อายุน้อยเมื่อเทียบกับนายกรัฐมนตรีคนก่อน ๆ และขาดผลงานทางการเมืองที่เป็นที่ประจักษ์

นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวอ้างถึงคำพูดของนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่เคยกล่าวเมื่อครั้งที่มีการเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า “ไม่ต้องการได้สามเณรเป็นเจ้าอาวาส” ในครั้งนี้จึงมีการเปรียบเปรยกันในบางส่วนของสังคมออนไลน์ว่า “ได้แม่ชีเป็นเจ้าอาวาส” โดยต้องการสื่อถึง น.ส.แพทองธาร อย่างไม่เป็นทางการ

  • สืบทอดอำนาจครอบครัวชินวัตร

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์แสดงข้อสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร โดยมีประเด็นหลักดังนี้

o พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง

o ความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการทางการเมืองไทย: สถานการณ์นี้ถูกมองว่าสะท้อนปัญหาในระบบการเมืองของไทยที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน

o อิทธิพลของตระกูลชินวัตร: มีการตั้งคำถามว่าการได้รับตำแหน่งนี้อาจเป็นผลมาจากอิทธิพลของครอบครัว และมีการตั้งข้อสังเกตว่าน.ส.แพทองธาร อาจเป็นเพียงตัวแทนในการบริหารประเทศแทนอดีตนายกฯ ทักษิณ

ข้อสงสัยเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อความโปร่งใสและความเป็นอิสระในการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีคนใหม่

  • ตัวแทนคนรุ่นใหม่

ชาวโซเชียลบางส่วนแสดงความยินดีและพร้อมสนับสนุนนายกฯ แพทองธาร โดยมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบริหารประเทศได้ดี จึงอยากให้โอกาสและรอดูผลงานก่อนแล้วค่อยตัดสินทีหลัง โดยสิ่งที่ชาวโซเชียลกำลังจับตาพิจารณาในช่วงนี้คือการแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ที่สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจว่าจะใช้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมบริหาร หรือเป็นกลุ่มนักการเมืองรุ่นเก่าที่เคยทำงานกับนายทักษิณมาก่อน

  1. เสถียรภาพทางการเมือง(17.6%)  

เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนในโซเชียลมีเดีย โดยมีประเด็นหลักดังนี้

  1. ความเปราะบางของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง หลังจากดำรงตำแหน่งได้ไม่ถึง1 ปี
  2. ความกังวลว่านายกฯ แพทองธารอาจเผชิญชะตากรรมเดียวกัน
  3. ความกังวลเกี่ยวกับการบริหารประเทศของนายกฯ แพทองธาร ภายใต้อิทธิพลของนายทักษิณ
  4. ประเด็นการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงในการถูกตัดสิทธิทางการเมือง เช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

ประเด็นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของประชาชนต่อเสถียรภาพทางการเมืองในปัจจุบัน

  1. เฝ้ารอการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจ(5.9%)  

แม้ว่าประเด็นหลักซึ่งมีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันในหลากหลายแง่มุมจะเกี่ยวข้องกับความนิยมของตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย รวมถึงการแบ่งแยกแนวคิดทางการเมืองระหว่างอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม แต่ก็ยังคงมีการพูดถึงประเด็นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ ปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งมีมุมมองที่น่าสนใจดังนี้

o ประเด็นปากท้อง: บางส่วนให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นหลัก

o ความสงบของบ้านเมือง: มีการแสดงความคิดเห็นที่เน้นความสำคัญของเสถียรภาพทางการเมืองและสังคม

Insight ที่น่าสนใจจาก Reaction ของผู้คนบนเฟซบุ๊ก

การวิเคราะห์การแสดงอารมณ์และความคิดเห็นเกี่ยวกับนายกฯ แพทองธารผ่าน Reaction บนเฟซบุ๊ก พบประเด็นที่น่าสนใจ คือโดยปกติผู้ใช้เฟซบุ๊กมักจะกดไลค์ (Like) เพราะกดง่าย แตกต่างจาก Reaction อื่นที่ต้องเลื่อนเพื่อจะเลือก แต่จากการศึกษาโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับนายกฯ แพทองธารซึ่งมี Engagement สูงกว่า 10,000 ครั้ง กลับพบว่ามีการกดปุ่ม “หัวเราะ” เฉลี่ยสูงถึง 29% ของ Reaction ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

การตีความ Reaction “หัวเราะ”:

– ไม่ได้สะท้อนถึงความขบขันจากเนื้อหาโพสต์โดยตรง

– อาจบ่งชี้ถึงทัศนคติเชิงลบต่อนายกรัฐมนตรีและระบบการเมือง

– อาจเป็นการแสดงความไม่เชื่อมั่นหรือการเยาะเย้ย

นัยยะทางสังคม: การใช้ Reaction “หัวเราะ” บนโซเชียลมีเดียอาจเป็นวิธีที่ผู้คนใช้เพื่อแสดงความรู้สึกอย่างปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับในบริบทของสื่อสังคมออนไลน์ ประเด็นนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่คนไทยในยุคดิจิทัลเลือกแสดงความไม่พอใจต่อสถานการณ์ทางการเมืองผ่านฟีเจอร์ที่มีอยู่บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

ท้ายที่สุดแล้ว เสียงสะท้อนของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดียได้เผยให้เห็นภาพอันซับซ้อนของความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์การเมืองไทย แม้จะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อวงจรปัญหาทางการเมืองที่ดูเหมือนไร้ทางออก แต่ยังคงมีประกายแห่งความหวังต่อการเปลี่ยนแปลง ประชาชนยังคงตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปฏิรูประบบการเมือง และยกระดับการบริหารประเทศ ความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความท้อแท้และความคาดหวังนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันต้องเผชิญ ในการที่จะสร้างความเชื่อมั่นและนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ประชาชนต้องการ

ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์หา Insight รวบรวมข้อมูลจาก DXT360 (Social Listening and Media Monitoring Platform) ของบริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด (dataxet:infoquest) โดยเก็บข้อมูลระหว่าง 15-18 สิงหาคม 2567

 

เกี่ยวกับ DXT360

DXT360 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารได้ทั้งจากโซเชียลมีเดีย สื่อออนไลน์ สื่อบรอดคาสท์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของผู้บริโภค (Consumer Voices) คอนเทนต์จาก Influencers และ KOLs ไปจนถึงข่าวจากสื่อมวลชน ที่รวบรวมเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน มีการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Dashboard ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งานแต่ละราย (Customizable Dashboard) จึงทำให้เข้าใจและเห็น Insight ในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้เห็นทิศทางการสื่อสารของแบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ ปีที่ 8 Young Digital News Providers 2024

 

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ปิดฉากโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ ปีที่ 8 (Young Digital News Providers 2024) ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 สิงหาคม 2567

โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นนิสิต นักศึกษา รวม 13 สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสมุทรสาคร, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี, มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, มหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์,  มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ เขตรังสิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม, มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 52 คน

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ ปีที่ 8 (Young Digital News Providers 2024)  มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผู้ผลิตข่าวดิจิทัลยุคใหม่ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะในทุกมิติของการผลิตข่าวบนโลกออนไลน์ พร้อมก้าวสู่การทำงานอย่างมืออาชีพ  มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนิสิตนักศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าจากทั่วประเทศ  

สำหรับกิจกรรมโครงการได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับแนวหน้าของประเทศ มาร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ประกอบด้วย:

  1. คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล (ผู้ผลิตรายการสารคดี และผู้ก่อตั้ง เถื่อน Channel)
  2. คุณอรรถพล ไข่ทอง (เบลล์ ขอบสนาม ผู้ก่อตั้งเพจ ขอบสนาม) และคุณปฐพร ทรัพย์ไพฑูลย์ อดีตบรรณาธิการบริหารเดอะ เนชั่น
  3. คุณชุตินธรา วัฒนกุล (บรรณาธิการบริหารข่าวออนไลน์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส)
  4. คุณอัยยา ตันติเสรีรัตน์ (Head of Partnerships & Co-Managing Director บริษัท เทลสกอร์ จำกัด)
  5. คุณธัญญารัตน์ ถาม่อย (ผู้ประกาศข่าว PPTV)
  6. คุณอทิตย์ เกษรามัญ Environmental Dimension Analyst, SCG
  7. คุณอธิวัตร จิรจริยาเวช นักวิจัย สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช.
  8. อาจารย์ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ อาจารย์พิเศษด้านกฎหมาย และเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  9. คุณมนตรี สถาพรกุล หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

วันที่ 17 สิงหาคม 2567 ผู้เข้าร่วมอบรมได้ลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริง ณ งาน Sustain Asia Week 2024 ที่ไบเทค บางนา เพื่อหาข้อมูล แหล่งข่าว และผลิตคอนเทนต์ในรูปแบบที่ตนเองถนัด ไม่ว่าจะเป็นสกู๊ปข่าวที่เป็นคลิปวิดีโอ หรือการ Photo Story ประกอบบทความ โดยมีพี่เลี้ยงซึ่งเป็นสื่อมืออาชีพจากกองบรรณาธิการสำนักข่าวชั้นนำที่เป็นสมาชิกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์คอยให้คำแนะนำในแต่ละกลุ่ม

วันที่ 18 สิงหาคม 2567 วันสุดท้ายของโครงการ ผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่มได้นำเสนอผลงานภายใต้หัวข้อ “Climate Crisis กู้วิกฤติโลกเดือด” พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย:

  • คุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี (ประธานที่ปรึกษา) ตัวแทนจากไทยรัฐ
  • คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา (นายกสมาคม) ตัวแทนจากอมรินทร์
  • คุณชุตินธรา วัฒนกุล (ที่ปรึกษา) ตัวแทนจากไทยพีบีเอส
  • คุณจีรพงศ์ ประเสริฐพลกรัง (อุปนายก ด้านมาตรฐานวิชาชีพ) ตัวแทนจากฐานเศรษฐกิจ
  • คุณเอกพล บรรลือ (อุปนายก ด้านพัฒนาเนื้อหา) ตัวแทนจากเดอะ สแตนดาร์ด
  • คุณอรพิน เหตระกูล (เลขาธิการ) ตัวแทนจากเดลินิวส์

 

คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า “โครงการนี้มีจุดมุ่งหมายที่อยากถ่ายทอดความรู้ในทุกมิติของการผลิตข่าวบนโลกดิจิทัล และส่งเสริมผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ที่จะเป็นอนาคตของวงการสื่อในอนาคต เรามุ่งเน้นการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการนำเสนอข่าวสารอย่างสร้างสรรค์และมีจริยธรรม นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคสื่อ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับสารในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา กล่าวต่อว่า “ความสำคัญของการวางกลยุทธ์ในการนำเสนอข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อมและวิกฤติสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นย้ำว่าผู้ผลิตสื่อจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคข่าวสาร และปรับวิธีการนำเสนอให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย”

โดยผู้เข้าอบรมในรุ่นนี้ทั้งหมด จะนำความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และคำแนะนำจากคณะกรรมการ กลับไปต่อยอด และพัฒนาผลงานส่งเข้าประกวดในเวทีประกวดรางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2567 ในหมวดหมู่ผู้ผลิตข่าวรุ่นเยาว์ ซึ่งจะเริ่มเปิดรับผลงานในปลายเดือนสิงหาคม 2567 เป็นต้นไป และประกาศผลในงาน “ประกาศผลรางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2567” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 เป็นการยกระดับ และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้แสดงศักยภาพในเวทีที่กว้างขึ้น 

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ผลิตข่าวดิจิทัลรุ่นเยาว์ ปีที่ 8  ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเยาวชนที่มีความสนใจในวงการข่าวดิจิทัล ให้ได้เรียนรู้ พัฒนาทักษะ และรับประสบการณ์ตรงจากผู้เชี่ยวชาญในวงการ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้ผลิตข่าวมืออาชีพที่มีคุณภาพ มีความถูกต้อง และเข้าใจบทบาทภารกิจที่แท้จริงของผู้ผลิตข่าวออนไลน์ในอนาคต

สนับสนุนโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตฬร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. หรือ NSTDA), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน), มูลนิธิ SCG, สวนอุตสาหกรรม 304 และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ทางช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) www.https://www.sonp.or.th 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงราย เกิดฝนตกหนักสะสมต่อเนื่อง เกิดน้ำท่วมและดินถล่ม กระทบ 10 อำเภอ

 

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจังหวัดเชียงราย เกิดฝนตกหนักสะสมต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. 67 เป็นต้นมา เกิดอุกภัยและดินถล่ม ส่งผลกระทบ 10 อำเภอ 29 ตำบล 192 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับผลกระทบ 7,591 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตรได้รับผลกระทบ 12,828 ไร่ บ่อปลา/บ่อกุ้ง 68 บ่อ ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักรกล ยุทโธปกรณ์ พร้อมกำลังพลในการเข้าไปช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน แต่เนื่องจากเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง หลายวัน ทำให้วันนี้ (21 สิงหาคม 2567) ได้เกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่อำเภอเวียงแก่น  อำเภอเทิง และอำเภอขุนตาล  เกิดน้ำท่วมหนักในรอบหลายปี  อย่างไรก็ตาม นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจ และเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน หากประชาชนต้องการขอความช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุ แจ้งได้ตลอด 24 ช่วยโมง ที่สายด่วน 1784

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานสถานที่เกิดเหตุ/ความเสียหาย/การให้ความช่วยเหลือ (เหตุต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. 67 และสถานการณ์ในวันนี้ ( 21 ส.ค.67)

อ.เวียงชัย ต.เมืองชุม ม.2,3,9,10 น้ำท่วมขังทางเข้าออกบ้านเรือนราษฎรบางส่วน ส่วนใหญ่ท่วมขังพื้นที่ทางการเกษตร (นาข้าว 1,230 ไร่ พืชไร่ 10 ไร่) เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากหนองหลวงจึงมีมวลน้ำไหลมาท่วมต่อเนื่อง  ต.ผางาม ม.9 น้ำท่วมบ้านขังบ้านเรือนราษฏร 10 ครัวเรือน 38 คน  ต.เวียงชัย ม.1,6,10,16,19 น้ำท่วมบริเวณบ้านเรือนราษฏร 32 ครัวเรือน 123 คน
 
อ.เชียงแสน  ต.ป่าสัก ม.3,4,5,6,7,8,9,10,12,13 น้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฏร ได้รับผลกระทบ 406 ครัวเรือน 1,154 คน ยังมีท่วมขัง  ระดับน้ำลดลงเล็กน้อย/ทรงตัว  ต.ศรีดอนมูล ม.1,2,4,5,6,7,8,11,12 น้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฏร ได้รับผลกระทบ 80 คน 44 ครัวเรือน และพื้นที่เกษตรบางส่วน ระดับน้ำลดลง/ คลี่คลาย เฝ้าระวังน้ำจากพื้นที่ต้นน้ำลงมาเติม  ต.โยนก ม.3,4,6,9 น้ำท่วมบ้านเรือนราษฏร และพื้นที่ทางการเกษตร ยังมีท่วมขัง น้ำระบายได้ช้า ระดับน้ำทรงตัว

อ.ป่าแดด น้ำแม่พุงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรับน้ำจากอ.พาน ประกอบกับน้ำอิงหนุนสูงและน้ำหลากจากภูเขา ทำให้น้ำล้นตลิ่งท่วมพื้นที่เกษตร และบ้านเรือนบางส่วนที่อยู่ติดริมน้ำ/ ปัจจุบันระดับน้ำแม่พงลดลงเล็กน้อย ยังคงมีมวลน้ำขังอยู่ พื้นที่ได้รับผลกระทบดังนี้  ต.ป่าแงะ ม.6, 9 ต.สันมะค่า ม.1,3,8  ต.ศรีโพธิ์เงิน ม.8  ต.ป่าแดด ม.2,3,7,9,10,11  ต.โรงช้าง ม.2,3,7,9,10,11

อ.แม่สาย  ต.ศรีเมืองชุม ม.5,6,7 น้ำท่วมทางเข้าออกและบริเวณบ้าน ราษฏรได้รับผลกระทบ 25 ครัวเรือน 71 คน/ ระดับน้ำลดลง แต่ยังมีมวลน้ำขังอยู่

อ.แม่จัน  ต.แม่คำ ม.4,9 น้ำท่วมทางเข้าออกและตัวบ้าน(พื้นที่ลุ่มต่ำท้ายหมู่บ้าน) ได้รับผลกระทบ 28 ครัวเรือน 91 คน ระดับน้ำลดลง แต่ยังมีมวลน้ำขังอยู่
 
อ.เทิง น้ำป่าไหลหลาก ต.เวียง (12 หมู่บ้าน)/ต.ปล้อง 5 หมู่บ้าน/ ต.สันทรายงาม 7 หมู่บ้าน/ ต.ตับเต่า 11 หมู่บ้าน/ ต.หงาว 20 หมู่บ้าน /ต.หนองแรด 7 หมู่บ้าน
 
อ.เวียงแก่น น้ำป่าไหลหลาก  4 ตำบล  31 หมู่บ้าน

อ.ขุนตาล น้ำป่าไหลหลาก  3 ตำบล  34 หมู่บ้าน

อ.เชียงของ น้ำป่าไหลหลาก  1 ตำบล  11 หมู่บ้าน

อ.พญาเม็งราย น้ำป่าไหลหลาก  2 ตำบล  3 หมู่บ้าน

แนวโน้มสถานการณ์  อยู่ในระดับเฝ้าระวังต่อเนื่องทุกพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

บ้านใหม่และมือสองมีการ”ชะลอตัว” แต่มีทิศทางที่ติดลบน้อยลง

 

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่าภาวะการณ์โอนกรรมสิทธิ์แยกตามประเภทที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ระหว่างบ้านแนวราบและห้องชุด ในไตรมาส 2 ปี 2567 ภาพรวมบ้านแนวราบปรับตัว”ลดลง”ร้อยละ -9.9 โดยมีจำนวน 58,567 หน่วย และ มูลค่าภาพรวมบ้านแนวราบลดลงร้อยละ -6.4 โดยมีมูลค่า 172,889 ล้านบาท 

สำหรับระดับราคาที่มีการขยายตัวลดลงน้อยกว่าภาพรวม ได้แก่ ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ระดับราคา 5.01-7.50 ล้านบาท และบ้านแนวราบราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ร้อยละ 3.2 และ 12.4 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบใหม่และมือสอง พบว่า บ้านแนวราบมือสอง มีการ”ชะลอตัว”ทั้งหน่วยและมูลค่า โดยลดลงร้อยละ -7.0 และ -7.1 ขณะที่บ้านแนวราบใหม่”ชะลอตัว”ลดลงร้อยละ -16.2 และ -5.7 ตามลำดับ โดยระดับราคาของบ้านแนวราบใหม่ที่ลดลงน้อยกว่าภาพรวมได้แก่ ระดับราคา 1.01-2.00 ล้านบาท  และ 5.01-10.00 ล้านบาท และบ้านแนวราบใหม่ราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีการขยายตัวร้อยละ 10.1

ในขณะที่จำหน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด/คอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 โดยมีจำนวน 28,431 หน่วย และมูลค่าลดลงร้อยละ -3.9 โดยมีมูลค่า 70,515 ล้านบาท ซึ่งระดับราคาที่มีขยายตัวเป็นบวก เป็นกลุ่มอาคารชุดที่ราคาไม่เกินกว่า 5 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ยังพบการ”ชะลอตัว”ด้านอุปสงค์ต่อเนื่องในไตรมาส 2 ปี 2567 แต่ก็มีทิศทางที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกพอสมควร แม้ว่าการขยายตัวของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และจำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ ในไตรมาส 2 ปี 2567 ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีทิศทางที่ติดลบน้อยลง แต่มีการขยายตัวจากไตรมาส 1 ปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่เริ่มใช้ตั้งแต่ 9 เมษายน 2567 

หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 2 ปี 2567 มีจำนวน 86,998 หน่วย มูลค่า 243,404 ล้านบาท โดยจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -4.5 และ มูลค่าลดลง ร้อยละ -5.7 ซึ่งน่าจะเป็นผลจาการที่สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยพบว่ามูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศมีจำนวน 144,115 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -10.1  เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566 แต่การชะลอตัวของด้านอุปสงค์ในไตรมาสนี้ มีการติดลบน้อยลงจากไตรมาส 1 ปี 2567 ที่เคยติดลบสูงถึงร้อยละ -13.8 ร้อยละ -13.4 และ ร้อยละ -20.5 ตามลำดับ 

หากพิจารณาถึงการขยายตัวจากการปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แล้ว พบว่า จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวถึงร้อยละ 19.3 และ 16.6 ตามลำดับ ขณะที่จำนวนเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่มีการขยายตัวร้อยละ 18.6 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ผลสำรวจ “นิด้าโพล” เผยเลือกตั้ง ครั้งหน้าพรรคอันดับหนึ่งไม่แลนด์สไลด์

 

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ความเป็นไปได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

 

                จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่จะมีพรรคการเมืองซึ่งได้รับชัยชนะแบบ Landslide จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 27.40 ระบุว่า เป็นไปได้มาก รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ค่อนข้างไปได้ ร้อยละ 22.52 ระบุว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ ร้อยละ 21.15 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย และร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ด้านความเป็นไปได้ที่พรรคการเมืองซึ่งได้รับชัยชนะเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่ไม่ใช่การชนะแบบ Landslide อาจจะต้องไปเป็นพรรคฝ่ายค้านพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 38.17 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ รองลงมา ร้อยละ 29.77 ระบุว่า เป็นไปได้มาก ร้อยละ 18.78 ระบุว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ ร้อยละ 12.21 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่จะมีพรรคการเมืองจับมือเป็นพันธมิตรกันและหลีกทางให้กันในบางเขตเลือกตั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.81 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า เป็นไปได้มาก ร้อยละ 18.24 ระบุว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ ร้อยละ 18.17 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.56 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.60 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.84 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 36.26 สถานภาพโสด ร้อยละ 61.91 สมรส และร้อยละ 1.83 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 13.44 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 30.46 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.85 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่าร้อยละ 38.09 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 8.16 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 12.75 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.11 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 22.75 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 8.93 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.35 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงานร้อยละ 20.15 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 4.96 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 19.62 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.36 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 31.76 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.68 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.56 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 7.25 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.77 ไม่ระบุรายได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เซ็นทรัลเชียงราย ร่วมคัดแยกแก้วน้ำพลาสติกใช้แล้วนำไปทำ ‘ขาเทียม’

 

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2567 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย นำโดยนายสายัณห์ นักบุญ ผู้อำนวยการ พร้อมด้วยทีมจิตอาสา CSR ได้จัดกิจกรรมมอบแก้วน้ำพลาสติกใช้แล้วที่ได้จากการคัดแยกขยะภายในศูนย์การค้า ภายใต้โครงการ “คัดแยกแก้วน้ำพลาสติกใช้แล้ว” เพื่อบริจาคให้กับมูลนิธิขาเทียม โรงพยาบาลแม่ลาว อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย โดยแก้วน้ำพลาสติกที่บริจาคมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 800 กิโลกรัม ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการผลิตขาเทียมสำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหว รวมถึงส่วนที่เหลือจะถูกจำหน่ายเพื่อนำรายได้มาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยที่ขาดแคลน

ในงานมอบบริจาคครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากนายนพณัช บุญสุข นักกายภาพบำบัดชำนาญการ, นางสาวกาญจนา เชื้อเมืองพาน นักกิจกรรมบำบัดชำนาญการ, นายเทพบุตร ปัญธรรม ช่างทำขาเทียม และนายเศรษฐวัฒน์ รีรักษ์ ผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด เป็นผู้แทนจากโรงพยาบาลแม่ลาวมารับมอบ ณ ชั้น G ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงราย

การบริจาคแก้วน้ำพลาสติกในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของเซ็นทรัล เชียงราย ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและสนับสนุนการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้พิการ โครงการดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการขาเทียมในการกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของการสร้างสังคมที่น่าอยู่สำหรับทุกคน

โดยทางศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงรายมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้พิการทางด้านขา โดยการบริจาคแก้วน้ำพลาสติกใช้แล้วเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการขาเทียม นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการคัดแยกขยะและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

การร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและองค์กรการกุศลในการช่วยเหลือผู้พิการถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้พิการทางการเคลื่อนไหวที่ได้รับขาเทียมจากมูลนิธิขาเทียมจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ การบริจาคแก้วน้ำพลาสติกไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะในสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถนำกลับมาใช้ในกระบวนการผลิตขาเทียมที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

มูลนิธิขาเทียม โรงพยาบาลแม่ลาว เป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางการเคลื่อนไหว โดยมีภารกิจในการจัดหาขาเทียมและบริการฟื้นฟูสมรรถภาพให้กับผู้ป่วยที่ขาดแคลนทรัพยากร โครงการดังกล่าวได้รับความสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงชุมชนท้องถิ่น ซึ่งต่างมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมและสนับสนุนผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

ในอนาคต ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงรายจะยังคงเดินหน้าในโครงการ CSR ต่าง ๆ เพื่อสร้างสังคมที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม การสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในชุมชนเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักขององค์กรในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

การบริจาคแก้วน้ำพลาสติกจำนวน 800 กิโลกรัมในครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เพื่อให้ชุมชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการสร้างสังคมที่น่าอยู่และมีความเข้าใจในความสำคัญของการดูแลกันและกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News