Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สทนช. ทำหนังสือด่วนประสานจีน ชะลอระบายน้ำเขื่อนลงแม่น้ำโขง

 

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2567 เวลา 16.30 น. นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ระบายน้ำอิงสู่น้ำโขง ณ สะพานบ้านเต๋น ต.สถาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่ติดตั้งเครื่องดันน้ำของโครงการชลประทานเชียงราย เพื่อดันน้ำจากแม่น้ำอิง ลงแม่น้ำโขง บริเวณปากอิง ต.ศรีดอนชัย ที่อยู่ห่างจากสะพานนี้ประมาณ 1 กม. โดยมีนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และนายอุดม ปกป้องวรกุล นายอำเภอเชียงของ และผู้นำชุมชน ต.ศรีดอนชัย และต.สถานให้การต้อนรับ

นายพุฒิพงศ์ กล่าวว่า ทางจังหวัดไม่ได้อยู่เฉย ๆ ปล่อยให้น้ำเอ่อ แต่พยายามทำให้ลงแม่น้ำโขงเร็วที่สุดระยะทางจากพะเยากว่า 100 กม.เพื่อไม่ให้ประชาชนระหว่างทางเดือดร้อน ทั้งที่อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล ที่เป็นทางผ่านของแม่น้ำอิง ซึ่งได้รับความเสียหายกันมาก ผสมกับเราเจอน้ำป่า ร่องกดอากาศต่ำพาดผ่าน สังเกตว่าทำไมตกอยู่แต่ที่เชียงราย เป็นเวลาเดือนกว่า ยังไม่ผ่านไปเลย แต่ยังอยู่ที่เชียงรายอยู่

“วันนี้ฝนยังตกเรื่อย ๆ น้ำจากจังหวัดอื่นก็มาสะสม ไหลมารวมกันที่บ้าน พื้นที่เกษตร ปศุสัตว์ประสบกันทั่วหน้า ภาพรวมที่ติดริมน้ำอิง ตั้งแต่เทิง ลงมาพญาเม็งราย และขุนตาล เชียงของ เป็นปลายทางน้ำอิงลงน้ำโขง ที่สังเกตว่าเป็นลานีญา เห็นว่าตกสะสมจึงวันที่ 23 ส.ค. รวม 600 กว่ามิลลิเมตรแล้ว เทียบกับเดือนสิงหาคมปี 2566 รวม 200 กว่ามิลลิเมตรเอง 3 เท่าของปีที่แล้ว ทั้งที่ไม่ครบเดือน อยากเตือนพี่น้องประชาชน เป็นประเด็นปัญหาที่ป้องกันแก้ไขด้วย”ผวจ.เชียงราย กล่าว

ผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่มีการเตรียมสร้างเขื่อนปากแบงกั้นแม่น้ำโขงซึ่งห่างจากชายแดนไทยเพียง 96 กม.ทำให้อนาคตยิ่งกลายเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์อีกหรือไม่ นายพุฒิพงศ์กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้รัฐบาลดูแล ทราบว่ารัฐบกาลกำลังเจรจาอันนี้เป็นเรื่องเหนือขอบเขตอำนาจหน้าที่ และรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจโดยได้เร่งเจรจากำลังทำอยู่ ส่วนตนมีหน้าที่รักษาพื้นที่ภาย ทำอย่างไรให้เราเดือดร้อนน้อยที่สุด และเร่งน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด “เรื่องนี้ผมไม่สามารถตอบได้ ต้องเป็นรัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศ”

ผู้สื่อข่าวรายงาน สถานการณ์ระดับน้ำล่าสุดในแม่น้ำโขงวัดที่อำเภอเชียงของ พบว่าปริมาณน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลิ่งโดยวัดล่าสุดในช่วง 18.00 น.อยู่ที่ 10.30 เมตร

เย็นวันเดียวกัน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ได้ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นอย่างใกล้ชิด

โดยขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมน้ำโขงในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย

สทนช. จึงได้มีหนังสือด่วนที่สุดไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) ให้ดำเนินการเฝ้าระวัง ศึกษา วิเคราะห์ เพิ่มเติม โดยเฉพาะการวิเคราะห์แนวโน้ม คาดการณ์ วัน เวลา และปริมาณน้ำสูงสุด (Peak) และการสิ้นสุดของสถานการณ์ ณ สถานีต่าง ๆ ตามแนวแม่น้ำโขง 8 จังหวัดของประเทศไทย

โดยให้รายงานผลการดำเนินงานและมีการประสานงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเสนอแนวทางและมาตรการให้ประเทศสมาชิกของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ได้แก่ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ได้ทราบและช่วยกันดำเนินการร่วมกันทุกฝ่าย

นอกจากนี้ยังขอให้ MRCS ประสานงานกับ สปป.ลาว เพื่อช่วยในการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เพื่อบรรเทาผลกระทบและให้ระดับน้ำลดลงจากการล้นตลิ่งของแม่น้ำโขง พร้อมทั้งให้ประสานงานกับจีน เพื่อแจ้งสถานการณ์ในปัจจุบันของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อให้จีนชะลอการปล่อยน้ำและบริหารจัดการน้ำในเขื่อนแม่น้ำโขงตอนบน ตลอดจนติดตามสถานการณ์การให้ข้อมูลเพื่อประกอบการแจ้งเตือนและบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนริมโขงให้มากที่สุด โดย สทนช. จะมีการติดตามสถานการณ์น้ำและประสานงานร่วมกับ MRCS อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสียหายแก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขงให้ได้มากที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ภูมิธรรม ควง อนุทิน ลุยน้ำท่วมเชียงราย ไม่เจอตัวผู้ว่าฯ ไม่แน่ใจว่าติดภารกิจ

 

เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการ ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ อ.เทิง จ.เชียงราย ทั้งนี้ นายภูมิธรรมและนายอนุทินพร้อมคณะได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ ณ ที่ว่าการอำเภอเทิง จากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอเทิง เนื่องจากนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไม่อยู่ในพื้นที่ จากนั้นคณะรองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยที่สถานีขนส่งอำเภอเทิง

นายภูมิธรรมกล่าวว่า การลงพื้นครั้งนี้ เนื่องจากทางรัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพราะน้ำมาเร็วและแรง ซึ่งรับทราบว่าในพื้นที่มีประชาชนเสียชีวิตแล้ว 1 คน โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เองก็มีความห่วงใยประชาชน แต่ด้วยข้อกฎหมายที่ยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ก็ได้สั่งการให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนให้ช่วยดูแลพี่น้องประชาชนที่ลำบากอยู่ให้เร็วที่สุด ซึ่งก็น่าดีใจที่ตอนนี้น้ำหลากลดลง ด้วยปกติเชียงรายน้ำจะไหลลงแม่น้ำโขง แต่ขณะนี้ระดับแม่น้ำโขงสูงจึงมีน้ำรอระบาย จึงให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันดูแลประชาชน กระทรวงคมนาคมดูแลในส่วนว่ามีจุดใดกีดขวางทางน้ำหรือไม่ แต่ในภาพรวมแล้วสถานการณ์เบาบางลง เพียงแต่การระบายต้องใช้เวลา ฝากกับทางรองผู้ว่าฯไปด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ควรสรุปเป็นบทเรียน จะได้เตรียมการรองรับต่อไปเนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ในช่วงมรสุม

“ตอนนี้ทางจังหวัดต้องเตรียมการทำงาน คุยกับรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านก็ได้สั่งการให้ทุกส่วนจัดตั้งศูนย์ดูแลเหตุการณ์อย่างเต็มที่ แต่ก็น่าเสียใจที่วันนี้มาแล้วไม่เจอตัวผู้ว่าฯ ไม่แน่ใจว่าติดภารกิจอะไร ภาวะแบบนี้ควรต้องลงมาดู มาอยู่กับประชาชนเพื่อจะได้เข้าใจปัญหา หาทางบรรเทาให้พี่น้องประชาชน แต่ถึงแม้ผู้ว่าฯไม่อยู่ ก็ขอให้หัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ลงพื้นที่ดูแล ส่วนของเครื่องไม้เครื่องมือรัฐมนตรีมหาดไทยท่านก็สั่งการแล้ว ส่วนของอาหารก็มาจากหลายทาง มีโรงครัวพระราชทานเข้ามาหลายคัน เข้ามาดูแลเรื่องอาหารการกิน เอกชนก็เข้ามา หน่วยจิตอาสาเข้ามาช่วยกันแพคของ เป็นเวลาที่ได้พึ่งพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ท่านทรงช่วยราษฎร ทางกระทรวงพาณิชย์เองวันนี้ปลัดมาลงพื้นที่ด้วย จะได้ดูและประสานสิ่งที่ยังขาดเข้ามาช่วยเหลือต่อไป” นายภูมิธรรมกล่าว

นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า ในวันที่ 25 สิงหาคม จะเข้ามาติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อีก โดยได้สั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรีเตรียมถุงยังชีพไว้แล้วอย่างน้อยน่าจะได้เข้ามา 5,000 ชุด และจะได้หารือการช่วยเหลือกับเพิ่มเติมกับทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป แต่ขอฝากพี่น้องประชาชนว่ารัฐบาลมีความห่วงเป็นใย และเรากังวลที่เห็นพี่น้องลำบากและพยายามทำงานเต็มที่เพื่อบรรเทาปัญหาของพี่น้องให้เร็วที่สุด

ด้านนายอนุทินกล่าวว่า การช่วยเหลือทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยได้สนับสนุนเครื่องจักรสาธารณภัย เช่นรถแบ๊กโฮ ขุดตัก เกลี่ยดินที่ถล่มลงมาในพื้นถนน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถสัญจรได้ และขอฝากให้ผู้ว่าฯรีบกลับมาเชียงรายด้วย คนเชียงรายรออยู่

ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจใน จ.เชียงราย คณะของนายภูมิธรรมและนายอนุทิน ได้เดินทางไปจังหวัดน่านเพื่อลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยใน อ.เมืองน่าน และ อ.ภูเพียง 

ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นอกจากการลงพื้นที่ในจังหวัดภาคเหนือแล้ว นายอนุทินยังได้มอบหมายให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่เพื่อติดตามเหตุการณ์อุทกภัยและดินสไลด์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยนายชาดา พร้อมคณะได้ลงพื้นที่สำรวจจุดเกิดเหตุ ที่หมู่ 2 ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต รับฟังรายงานสถานการณ์ในภาพรวม พร้อมมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย จากนั้นร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ จิตอาสา ภาคประชาชนประมาณ 100 คน ดำเนินกิจกรรม Big Cleaning Day ปัดกวาด เคลียร์พื้นที่เกิดเหตุด้วย

“นายอนุทินให้ความสำคัญกับการติดตามเหตุการณ์ดินสไลด์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต มีการกำชับหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ดูแลความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ วันนี้จึงได้มอบหมายให้นายชาดาลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์ล่าสุด พร้อมให้การสนับสนุนเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย” น.ส.ไตรศุลีกล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เร่งให้การช่วยเหลือ พี่น้องตับเต่ากว่า 17 หมู่บ้าน

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่สะพานขาดบ้านปางค่า ตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ซึ่งสะพานเชื่อมระหว่างหมู่บ้านถูกน้ำตัดขาด ทำให้ประชาชนกว่า 17 หมู่บ้านไม่สามารถสัญจรได้ตามปกติ

นายก อบจ.เชียงราย พร้อมกับกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดส่งเรือยนต์และเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการลำเลียงประชาชน ผู้ป่วย อาหาร และเครื่องดื่มเข้าพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกัน กกล.ผาเมือง ร่วมกับ ร้อย.ทพ.3105 ฉก.ทพ.31 อำเภอเทิง และ แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 กรมทางหลวง ได้ดำเนินการสร้างสะพานข้ามแบบชั่วคราว (สะพานแบริ่ง) เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางการสัญจร

ต่อมาในเวลา 15.30 น. นายก อบจ.เชียงราย ได้รายงานสถานการณ์ให้พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด รับทราบ และร่วมมอบถุงยังชีพ พร้อมกับวางแผนให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับบ้านเหล่า หมู่ 1 ตำบลตับเต่า ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม

ขณะนี้ระดับน้ำในบางจุดเริ่มลดลงบ้างแล้ว แต่ในชุมชนติดแม่น้ำอิงยังทรงตัว เนื่องจากมีน้ำจากจังหวัดพะเยาไหลลงมา เจ้าหน้าที่ทหารจากศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มทบ.37 ได้ตั้งโรงครัวพระราชทานและรถครัวสนามเคลื่อนที่เพื่อแจกจ่ายอาหารให้กับผู้ประสบภัย นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานและภาคเอกชนร่วมบริจาคอาหารและน้ำดื่ม

พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ได้ลงพื้นที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย อำเภอเทิง เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งได้มอบถุงยังชีพที่บ้านพระเกิด หมู่ 14 ตำบลเวียง และบ้านเหล่า หมู่ 1 ตำบลตับเต่า

ทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้สั่งการให้หน่วยงานทหารในพื้นที่บูรณาการเข้าช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดเวทีความยั่งยืน ในธีม “Water Resilience in a Changing Climate”

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 กลุ่มธุรกิจ TCP เปิดเวทีงานประชุมด้านความยั่งยืนครั้งสำคัญ TCP Sustainability Forum 2024 ในธีม “Water Resilience in a Changing Climate” ระดมสมองนักวิชาการ นักธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญ ยกระดับศักยภาพธุรกิจไทยเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านน้ำจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชูแนวคิด ‘ความยืดหยุ่นและการปรับตัวเร็ว’ ประกาศเดินหน้า 3 แผนงาน ทั้งการจัดการน้ำแบบฟื้นฟู การใช้น้ำหมุนเวียน
แบบ 100% และการใช้นวัตกรรมที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์มุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกต่อทรัพยากรน้ำ เพื่อสร้าง
การเปลี่ยนแปลง ปลุกพลังสู่เป้าหมายความยั่งยืนในอัตราที่เร็วขึ้นเพื่อโลกที่ดีกว่าตั้งแต่วันนี้ โดยมีนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิด

“น้ำ” วาระสำคัญที่ภาคธุรกิจต้อง “เร่งลงมือทำให้เร็วที่สุด”

“วิกฤตน้ำ” ที่เป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังสร้างความเสียหายต่อผู้คนและการเติบโต
ทางเศรษฐกิจทั่วโลก จากรายงาน Fast Forward ของสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ปี 2566 ชี้ให้เห็นว่าภายในปี 2573 ปริมาณน้ำสะอาดที่โลกมีอยู่กับความต้องการใช้น้ำจะมีสัดส่วนต่างกันถึง 40 เปอร์เซ็นต์
และสถานการณ์มีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงนับเป็นโจทย์สำคัญของภาคธุรกิจไทยในการเร่งลงมือทำ เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านน้ำในปัจจุบันและอนาคต

กลุ่มธุรกิจ TCP จัดงานประชุมด้านความยั่งยืน TCP Sustainability Forum 2024 ภายใต้ธีม “Water Resilience
in a Changing Climate”
เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับ “น้ำกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวของภาคธุรกิจ” เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำและความท้าทายด้านน้ำอื่นๆ
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สนับสนุนให้องค์กรเร่งปรับปรุงการดำเนินการตลอดห่วงโซ่อุปทานโดยเสริมสร้างความสมบูรณ์
และยืดหยุ่นของน้ำรวมถึงต้องร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แหล่งน้ำที่มีความเปราะบาง

นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า “Water Resilience หรือความยืดหยุ่นด้านทรัพยากรน้ำ จะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรับมือกับภาวะขาดแคลนน้ำแบบเฉียบพลัน รุนแรงและไม่แน่นอน
ที่เป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ปัจจุบันไม่ใช่แค่ Climate Change แต่เป็น Climate Crisis
เพราะน้ำมีผลกับชีวิตความเป็นอยู่ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคสุขภาพจากการอุปโภคบริโภค ภาคพลังงานที่เกี่ยวกับ
การผลิตไฟฟ้า ภาคเกษตรที่เกี่ยวกับการผลิตอาหาร ภาคการผลิตที่เกี่ยวกับโรงงานที่ผลิตสินค้า ในฐานะที่เราเป็นองค์กรที่ใช้น้ำเป็นวัตถุดิบหลัก การจัดการน้ำอย่างยั่งยืนจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญของบริษัท”

“หัวใจสำคัญเวลาพูดถึง Water Resilience คือการจะอยู่รอดอย่างไรในวันที่เราเจอวิกฤตน้ำ เป็นเรื่องการรับมือกับอนาคต เพราะน้ำเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากกับระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าหากทรัพยากรน้ำของธุรกิจ เศรษฐกิจ หรือประเทศ มีความยืดหยุ่น ก็จะสามารถต้านทานความเปลี่ยนแปลงได้ดี ซึ่งก็คือ Business Resilience
ที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมรับมือกับความท้าทายตั้งแต่วันนี้ วันที่เราต้องแข่งกับเวลา และต้องปรับตัวให้เร็วกว่าโลกที่กำลังหมุนไป” นายสราวุฒิ กล่าว


ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจ TCP ดำเนินการด้านความยั่งยืนตามเป้าหมาย “ปลุกพลัง เพื่อวันที่ดีกว่า” โดยกลยุทธ์ปลุกพลังห่วงใยสิ่งแวดล้อม (Caring) มีความคืบหน้าอย่างมาก ได้แก่

  • Product Excellence การพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค
    (Unmet Needs) และส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ทางเลือกสุขภาพ 80%
    ในปี 2569 โดยปัจจุบันทำได้ 25%
  • Circular Economy การดำเนินตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ตั้งเป้าหมายพัฒนาบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ให้สามารถ
    รีไซเคิล 100% ได้ภายในปี 2567 ซึ่งปัจจุบันทำได้ 93% อีก 7% คือกลุ่มสแนค ซึ่งมั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะทำได้สำเร็จ และปีนี้นำร่องการใช้ขวด rPET กับแบรนด์แมนซั่ม พร้อมเดินหน้าเป็นองค์กร Zero Waste to Landfill
    ทั้งที่โรงงานปราจีนบุรีและสำนักงานใหญ่อย่างต่อเนื่อง
  • Low Carbon Economy การมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
    (Net Zero) ภายในปี 2593 ปัจจุบันสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 10% และขณะนี้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนกว่า 80%
  • Water Sustainability การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติและชุมชนให้มากกว่าน้ำที่ใช้
    ในกระบวนการผลิต (Net Water Positive) ภายในปี 2573 ซึ่งบรรลุเป้าหมายแล้วในขณะนี้ โดยสามารถคืนน้ำ
    สู่ธรรมชาติสะสมได้ถึง 17 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำที่ใช้ตลอดกระบวนการ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ทำให้ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิตลงได้ 24% เมื่อเทียบกับปี 2562 และนำมาตรฐานสากลเรื่องการจัดการและดูแลทรัพยากรน้ำอย่าง Alliance Water Stewardship หรือ AWS มาใช้
    เป็นกรอบการดำเนินงานเพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มธุรกิจ TCP จะดูแลและบริหารจัดการน้ำทั้งภายในและภายนอก
    รอบโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจ TCP เดินหน้าดำเนินแผนงานใน 3 ด้าน เพื่อสร้างเป้าหมาย Net Water Positive ให้โดดเด่น
ขึ้นกว่าเดิม ได้แก่ ด้านการจัดการน้ำแบบฟื้นฟู เพื่อปรับปรุงระบบนิเวศทางน้ำให้กลับสู่สภาพเดิม หรือดีกว่าเดิม
ด้านการใช้น้ำหมุนเวียนแบบ 100% เพื่อนำทรัพยากรน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์และเกิดประโยชน์สูงสุด
และด้านการใช้นวัตกรรมที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์มุ่งเน้นให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกต่อทรัพยากรน้ำ พร้อมส่งเสริมเรื่อง
การสร้างคนด้วยการศึกษา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนแผนงานด้านความยั่งยืน ทั้งภายในองค์กร ชุมชน และระดับประเทศ

TCP Sustainability Forum 2024 เป็นงานประชุมด้านความยั่งยืนที่กลุ่มธุรกิจ TCP จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สู่ปี
แห่งการลงมือทำและปรับตัวเพื่อเร่งให้เกิดความก้าวหน้าเร็วที่สุด อีกทั้งยังเป็นเวทีความยั่งยืนเวทีแรกและเวทีเดียว
ในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือของพันธมิตรในกลุ่มอุตสาหกรรมและเครื่องดื่ม ในการรับมือกับ
ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศ ตลอดจนเป้าหมาย
การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่มธุรกิจ TCP ที่พร้อมขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กรที่เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านธุรกิจควบคู่กับการสร้างผลกระทบในทางบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งไทยและต่างประเทศ ตามเป้าหมาย “ปลุกพลัง เพื่อวันที่ดีกว่า”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แผนกสื่อสารองค์กร กลุ่มธุรกิจ TCP

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ศบภ.มทบ.37 นำรถครัวสนามทำอาหาร “อิ่มท้อง ของครบ รบเงียบ เฉียบบริการ”

 
รถครัวสนาม อีกหนึ่งยุทโธปกรณ์จากกองทัพ ที่คอยช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในทุกสถานการณ์ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กองทัพบกได้ดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาโดยตลอดเท่าที่จะสามารถช่วยเหลือได้ โดยเฉพาะการดูแลในเรื่องของปากท้องให้กับผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ต่างๆ ที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ สามารถสังเกตุและพบเห็นได้อยู่เป็นประจำเสมอ นั่นคือรถ 6 ล้อสีเขียวขี้ม้าที่จอดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ที่บนรถจะมี เจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังต้ม ผัด แกง ทอด ประกอบเมนูต่างๆ วุ่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนและ เจ้าหน้าที่หรือบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ ที่จะมาเข้าคิวรอรับอาหารกล่องเพื่อนำไปทานกันอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ 
 
ซึ่งรถคันนี้ ก็คือรถครัวสนามของกองทัพบกนั่นเอง และถึงแม้จะไม่ใช่ยุทโธปกรณ์ในการรบอย่างเช่นรถถังหรือยานเกราะ แต่บทบาทของรถครัวสนามที่กล่าวถึง ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ารถรบเหล่านั้นเลย ซึ่งในวันนี้แอดมินจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับรถครัวสนามกันอย่างละเอียด รวมไปถึงบทบาทและความสำคัญของยุทโธปกรณ์ ชนิดนี้กันอีกครั้ง ก่อนอื่นเลย ก็ขอย้อนไปถึงความเป็นมาของรถครัวสนามกันเสียก่อน รถครัวสนาม คือยุทโธปกรณ์ชนิดหนึ่งในสายเหล่าทหารพลาธิการ ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี 2547 ในเหตุการณ์สึนามิพัดถล่มจังหวัดทางภาคใต้ของไทย 
 
เหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมายประเมินค่าไม่ได้ กองทัพบกเองในขณะนั้นได้ส่งกำลังพลต่างๆ ทั้งทีมแพทย์ทหาร ชุดพยาบาลทหารบก พร้อมยุทโธปกรณ์ต่างๆ เข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงมีการต่อรถครัวสนามขึ้นมาเพื่อประกอบอาหารเลี้ยงทั้งประชาชนและ จนท. โดยครัวสนามแรกเริ่มในตอนนั้นเป็นรถพ่วงแบบลากจูงจำนวน 2 คัน และเมื่อนำเข้าไปในพื้นที่ประสบภัยแล้ว มันก็แสดงศักยภาพออกมาให้เห็น ด้วยการผลิตอาหารออกแจกจ่ายให้กับประชาชนและ จนท. อย่างต่อเนื่องได้เป็นจำนวนไม่น้อยในแต่ละวันในขณะนั้น แต่ถึงแม้จะมีประสิทธิภาพ แต่ด้วยจำนวนที่มีเพียงแค่ 2 คัน ก็ไม่สามารถที่จะผลิตอาหารแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ทั่วถึง 
 
แต่ ณ ตอนนั้นก็มีหน่วยงานและองค์ต่างๆ หลายองค์กรที่สนับสนุนข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้กับประชาชนและ จนท.ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน จนสถานการณ์คลี่คลายลง และสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาได้ หลังจากเหตุการณ์สึนามิผ่านพ้นไป กองทัพบกได้เล็งเห็นความสำคัญของรถครัวสนาม ที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นในอนาคต เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือพิบัติภัยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้มีการจัดสร้างรถครัวสนามเพิ่มอีก 4 คัน และส่งไปประจำตามกองทัพภาคต่างๆ ทัพภาคละ 1 คัน แต่ถึงแม้รถครัวสนามเหล่านี้จะออกปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง 
 
โดยเฉพาะเหตุการน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดต่างๆ จนมาถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ครัวสนามเคลื่อนที่กองทัพบกนี้ ก็ได้ออกปฏิบัติภารกิจของมันอย่างไม่หยุดหย่อน แม้แต่เหตุการณ์ปะทะกันที่เขาพระวิหาร ทบ. ก็จัดรถครัวสนามเข้าไปในพื้นที่ ทำอาหารแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจนเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ จากปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าว กองทัพบกจึงได้มีการจัดสร้างรถครัวสนามเพิ่มเติม รวมถึงปรับปรุงให้มีความทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพให้มีมากขึ้น จากเดิมที่เป็นรถพ่วง ก็เปลี่ยนมาเป็นรถ 6 ล้อที่มีอุปกรณ์จำเป็นในการประกอบอาหารครบถ้วนในคันเดียว เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวอย่างที่พวกเราเห็นกันทุกวันนี้นี่ล่ะครับ และจากเดิมที่มีเพียงแค่หลักหน่วย ก็เพิ่มมาเป็นหลักสิบ จนปัจจุบันนี้ กองทัพบกมีรถครัวสนามอยู่ในประจำการราวๆ 160 คัน กระจาย อยู่ตามหน่วยทหารต่างๆ ทั่วประเทศ 
 
สำหรับข้อมูลทางเทคนิคนั้น “รถครัวสนาม” เป็นรถครัวสำหรับประกอบเลี้ยงให้กับกำลังพล (หน่วยทหารระดับกองร้อย) ในการปฏิบัติภารกิจของทางราชการ งานในราชการสนาม และประกอบเลี้ยง ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัยหรือตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เป็นรถ 6 ล้อ ความยาวส่วนบรรทุก 5.5 เมตร กว้าง 2 เมตร เครื่องยนต์ดีเซล 5000 cc ติดกล้องสำหรับมองภาพด้านหน้า/หลัง ด้านหลังติดไฟพรางทางยุทธวิธี มีอุปกรณ์สำหรับประกอบเลี้ยง และชุดเลี้ยงดูวางอยู่ในตำแหน่งส่วนบรรทุกส่วนครัวทั้งด้านขวาและด้านซ้าย 
 
โดยส่วนบรรทุกส่วนครัวด้านขวาประกอบด้วยอ่างล้างจาน, ปั๊มน้ำพร้อมอุปกรณ์และระบบเชื่อมต่อน้ำภายนอก, หัวเตาแก๊ส 2 หัวเตาพร้อมโครง, เตาสำหรับวางกระทะและหม้อต้ม, เตาทอดอาหารแบบ Deep–Frying, ตู้เก็บของ และถังเก็บน้ำดื่มขนาดไม่น้อยกว่า 200 ลิตร ชนิดเปิด – ปิดด้วยเท้าเหยียบ สำหรับส่วนครัวด้านซ้ายประกอบด้วยถังบรรจุข้าวสารขนาด 60 กก., หม้อหุงข้าวแบบใช้แก๊สขนาดความจุ 10 ลิตร จำนวน 4 หม้อ, ตู้เก็บของและถังแก๊สขนาดความจุแก๊ส 48 กิโลกรัมจำนวน 4 ถัง, ตู้แช่แบบบานเปิด 4 บาน ความจุ 36 คิวบิก, ตู้เก็บของ, ถังหูหิ้ว กระทะใบบัว, หม้อต้ม, เครื่องบด/สับอาหาร, โต๊ะประกอบเลี้ยง และมีระบบไฟส่องสว่างในจุดต่างๆ ของตัวรถ 
 
โดยรถครัวสนาม 1 คัน จะมี จนท.ทหารประจำรถทั้งหมด 12 นาย แบ่งเป็นนายทหารควบคุมรถ 1 นาย, จ่า/นายสิบทำหน้าที่พลขับ 2 นาย, ช่างประจำรถ 2 นาย, พ่อครัว 2 นาย, และน้องๆ พลทหารอีก 5 นายคอยเป็นลูกมือ แต่ที่บอกไปนั่น ก็คือการแบ่งตามอัตราการจัดครับ พอถึงเวลาจริงทุกๆ คนก็จะมาช่วยเหลือในการประกอบอาหารกันทั้งหมดนั่นล่ะครับ ไม่มีใครที่จะทำแต่หน้าที่หลักของตนเองอย่างเดียว สุดท้ายทั้ง 12 นายนี้ก็จะทำงานร่วมกันเป็นทีม เรียกว่าทีมครัวสนาม และโดยประสิทธิภาพของรถครัวสนามนี้ ร่วมกับทีมครัวสนามประจำรถ ทำให้สามารถผลิตข้าวกล่องได้ถึง 3000 กล่อง/มื้อ/คัน และนอกจากประสิทธิภาพในการผลิตแล้ว การประกอบอาหารแต่ละวัน พ่อครัวก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเมนูอยู่ตลอด 
 
เพื่อไม่ให้เกิดความน่าเบื่อจำเจ และที่สำคัญต้องสะอาด ถูกหลักอนามัย เห็นแบบนี้แล้วรู้เลยว่าทหารเหล่าพลาฯ ก็เหนื่อยไม่น้อยไปกว่าเหล่าอื่นๆ ยิ่งในช่วงที่เกิดภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ พวกเขาเหล่านี้ต้องระดมลงแรงกันโดยไม่ได้หยุด เพื่อให้มีอาหารแจกจ่ายประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน แต่พอเห็นรอยยิ้มของประชาชนที่มารับอาหารรับข้าวกล่องไปกินกัน พวกเขาก็หายเหนื่อย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ถนนคนข่าว

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘สนามบินเชียงราย’ ยังไม่กระทบ พร้อมตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ในภาคเหนือในขณะนี้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT หรือ ทอท. ได้รายงานว่าจากเหตุน้ำท่วมและดินถล่มนั้น ท่าอากาศยานที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท. ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้จัดเตรียมแผนการรองรับไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือและบริหารจัดการน้ำภายในสนามบิน โดยการขุดลอกระบบระบายน้ำแบบเปิด ซึ่งเป็นคูระบายน้ำโดยรอบพื้นที่ท่าอากาศยาน และจัดเตรียม เครื่องสูบน้ำด้านทิศเหนือที่ใช้บริหารจัดการน้ำภายในสนามบินเชียงรายให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา และมีการตรวจสอบประตูน้ำว่าสามารถใช้งานได้ปกติ

ซึ่งทาง นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า จากการประเมินเบื้องต้น ระดับน้ำและปริมาณน้ำฝนในขณะนี้ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม อย่างไรก็ดี ท่าอากาศยานได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่มีน้ำท่วมหนักอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตรวจสอบระบบระบายน้ำของสนามบินให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 

นอกจากนี้ ได้จัดเจ้าหน้าที่มีการตรวจสอบกายภาพ และติดตามสถานการณ์น้ำท่วมโดยรอบพร้อมประเมินสถานการณ์และรายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อีกทั้งได้จัดเตรียมเครื่องอุปโภค บริโภค  รวมถึง ยารักษาโรคใน “ถุงยังชีพ” ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาภัยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายในพื้นที่

ขณะเดียวกันท่าอากาศยานเชียงใหม่ ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นำอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของจำเป็นในการยังชีพ แจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการช่วยเหลือในการยังชีพในเบื้องต้น และหลังจากนั้นจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อจะอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป

นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมยังได้มอบหมายและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทลจากอุทกภัยในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งสั่งเปิด “ศูนย์ Command Center ภัยพิบัติกระทรวงคมนาคม” ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการ สั่งการ รับแจ้งเหตุ ประสานข้อมูลการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายใน และภายนอกกระทรวงฯ เพื่อบูรณาการการรายงานผลในการให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

สำหรับทางเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย  ,นางแสงเดือน อ้องแสนคำ รชร.(สธ.),ดร.สิทธิปัฐพ์ มงคลอภิบาลกุล รชร.(ปร.) พร้อมพนักงาน ทชร.ร่วมบรรจุถุงอุปโภคบริโภค เพื่อนำไปช่วยเหลือ บรรเทาภัยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

ก็ได้มีการมอบถุงอุปโภค บริโภค ของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ให้กับ อบจ.เชียงราย โดยนายเกรียงศักดิ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น
 

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดนั้น มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมหลายแห่ง ซึ่งต้องเฝ้าระวังบริเวณพื้นที่เสี่ยง รวม 35 จังหวัด ดังนี้

ภาคเหนือ 12 จังหวัด ประกอบด้วย

  • เชียงราย
  • เชียงใหม่
  • แม่ฮ่องสอน
  • ตาก
  • ลำปาง
  • พะเยา
  • น่าน
  • แพร่
  • สุโขทัย
  • อุตรดิตถ์
  • พิษณุโลก
  • เพชรบูรณ์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ประกอบด้วย

  • เลย
  • หนองคาย
  • บึงกาฬ
  • หนองบัวลำภู
  • อุดรธานี
  • สกลนคร
  • นครพนม

ภาคตะวันตก 4 จังหวัด ประกอบด้วย

  • กาญจนบุรี
  • ราชบุรี
  • เพชรบุรี
  • ประจวบคีรีขันธ์

ภาคตะวันออก 4 จังหวัด ประกอบด้วย

  • นครนายก
  • ปราจีนบุรี
  • จันทบุรี
  • ตราด

ภาคใต้ 8 จังหวัด ประกอบด้วย

  • ระนอง
  • พังงา
  • ภูเก็ต
  • สุราษฎร์ธานี
  • นครศรีธรรมราช
  • ตรัง
  • พัทลุง
  • สตูล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ส่งเครื่องผลักดันน้ำถึงเชียงราย ผลักดันน้ำ 1.15 ลบ.ม.ต่อวินาที

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 เวลา 17.00 น. ว่าที่ ร.ต. ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่อำเภอเชียงของเพื่อติดตามการประกอบและติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังทวีความรุนแรงในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำอิงที่มีปริมาณน้ำมหาศาลไหลมาจากจังหวัดพะเยา ผ่านอำเภอเทิงและอำเภอขุนตาล เพื่อให้สามารถระบายน้ำลงสู่ลำน้ำโขงได้อย่างรวดเร็วที่สุด

นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการชลประทานเชียงรายได้รับการสนับสนุนเครื่องผลักดันน้ำจำนวน 10 เครื่องจากกรมชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดเชียงราย โดยเครื่องผลักดันน้ำนี้มีความสามารถในการสูบหรือผลักดันน้ำได้ที่อัตรา 1.15 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระยะยกน้ำ 1.2 เมตร และใช้พลังงาน 25 กิโลวัตต์ ซึ่งเครื่องดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในพื้นที่ที่มีความเร็วน้ำไม่เกิน 1.8 เมตรต่อวินาที

การติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำกำลังดำเนินการอย่างเร่งด่วน ณ จุดบ้านเต๋น หมู่ที่ 8 ตำบลสถาน อำเภอเชียงของ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการระบายน้ำจากแม่น้ำอิงลงสู่แม่น้ำโขง การดำเนินการนี้เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์น้ำท่วมหนักที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงรายปี 2567 ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อพื้นที่หลายอำเภอ

ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างต่อเนื่องจากปริมาณฝนที่ตกหนักเกินกว่าปกติ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดต้องประสบกับปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดได้แก่ อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล และอำเภอเชียงของ ซึ่งเส้นทางน้ำจากจังหวัดพะเยาไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ยากและทำให้ระดับน้ำในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เพื่อรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่รุนแรงนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันในการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำอย่างรวดเร็ว และจะมีการติดตามการทำงานของเครื่องผลักดันน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติในอนาคต โดยจะมีการทบทวนและปรับปรุงแผนการจัดการอุทกภัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

โดยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบชลประทานในพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการควบคุมและบริหารจัดการน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัยในอนาคต

สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายปี 2567 เป็นการเตือนภัยที่ชัดเจนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาและสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนถึงความสำคัญของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีกในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

13 โรงพยาบาล รับผลกระทบน้ำท่วม สธ. เปิดศูนย์ฉุกเฉิน “เชียงราย-พะเยา”

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567  นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือของประเทศไทย ว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นใน 3 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน และแพร่ แต่มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่ต้องเฝ้าระวัง 2 จังหวัด คือ เชียงรายและพะเยา 

ทั้งนี้ มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบจำนวน 13 แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม 7 แห่ง ได้แก่ รพ. 2 แห่ง สาธารณสุขอำเภอ 2 แห่ง และ รพ.สต. 9 แห่ง จำนวนนี้ยังเปิดให้บริการตามปกติ 5 แห่ง ปิดบริการ 8 แห่ง คือ แพร่ มี รพ.สต.บุญเกิด และ รพ.สต.สบบง , เชียงราย มี รพ.สต.ตับเต่า และ สสอ.เทิง , แแพร่ มี รพ.สต.น้ำโค้ง รพ.สต.วังธง ร.สต.สบสาย และ สสอ.เมือง

นพ.สุรโชคกล่าวว่า การดูแลสุขภาพประชาชนขณะนี้มีประมาณ 9 พันครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ได้มีการจัดหน่วยแพทย์เข้าไปดูแลตามปกติ ส่วนกลางได้สนับสนุนยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 1 พันชุด ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน ยารักษาน้ำกัดเท้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากรายงานจนถึงขณะนี้พบผู้เสียชีวิตสะสมจากเหตุน้ำท่วม 8 ราย บาดเจ็บ 10 ราย รายละเอียดยังต้องรอสรุปอีกครั้ง 

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้เฝ้าระวังใกล้ชิดและคอยสนับสนุนยาไปให้แก่ผู้ประสบภัย ซึ่งเราก็ส่งไปแล้วประมาณ 1 พันชุด ส่วนใหญ่จะลงไปที่ รพ.สต.เป็นหลัก ส่วน รพ.ใหญ่ยังคงดูแลได้” นพ.สุรโชคกล่าวและว่า สำหรับการประเมินสถานการณ์ใน 6 จังหวัดที่ยังมีปัญหาน้ำท่วม คิดว่าปัญหาอยู่ในระดับเริ่มคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น 

เมื่อถามถึงการประเมินความเสี่ยงในจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเส้นทางของมวลน้ำที่จะไหลผ่าน จะมีมาตรการรองรับอย่างไร  นพ.สุรโชค กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีการจัดทำแผนรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่มไว้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดเดิมๆ ที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้ว ยกเว้นบางจังหวัดที่ไม่ค่อยได้ประสบปัญหา ส่วนจังหวัดที่อยู่ด้านล่างลงมาและเป็นเส้นทางน้ำผ่านก็มีแผนรับมือแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา แต่มาตรการที่วางไว้สามารถรองรับได้ เพราะก่อนหน้านี้มีการพยากรณ์เอาไว้ว่ามวลน้ำจะเยอะกว่าปีที่ผ่านมา เราจึงมีการทบทวนและซ้อมแผนในพื้นที่ต่างๆ อยู่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

‘พาณิชย์’ ตามสถานการณ์น้ำท่วม ห้ามราคาสินค้าฉวยโอกาสขึ้นเด็ดขาด

 

เมื่อวันที่ 23 ส.ค.67 ได้ประชุมร่วมกับห้างค้าส่ง-ค้าปลีก ห้างท้องถิ่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง สมาคมขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก สมาคมรถบรรทุก ที่เป็นภาคีเครือข่าย ดังนี้ ห้างโฮมโปร ห้างไทวัสดุ ห้างดูโฮม ห้างโกลบอลเฮ้าส์ ห้างเมกาโฮม ห้างแม็คโคร ห้างบิ๊กซี ห้างโลตัส ห้างโกโฮลเซลล์ ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ชมรมทายาทห้างค้าปลีก-ค้าส่งไทย บริษัท นิ่มซี่เส็ง จำกัด และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยได้รับแจ้งว่า สาขาในพื้นที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และสามารถเปิดให้บริการประชาชนได้ตามปกติ และมีแผนการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ เช่น เตรียมกระสอบทราย พร้อมกับยืนยันว่า สต๊อกสินค้ามีเพียงพอ ไม่มีการปรับขึ้นราคา พร้อมจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน

ทั้งนี้ได้กำชับทุกห้างร้าน หากมีปัญหาในการจัดส่งให้แจ้งกรมฯ เพื่อจะได้ประสานต่อหน่วยราชการในพื้นที่หรือ กอ.รมน. เข้าช่วยเหลือแก้ปัญหาการขนส่ง รวมทั้งไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า และจัดเตรียมสินค้าไว้ให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาดแคลน โดยเฉพาะของใช้จำเป็น รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมและทำความสะอาด เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบภัยด้วย 

สำหรับการขนส่งสินค้าผู้ประกอบการขนส่งทางภาคเหนือ ยืนยันว่ายังไม่ได้รับผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า แต่อาจมีน้ำท่วมในเส้นทางสายรองบ้าง แต่ยังสามารถขนส่งสินค้าได้ตามปกติ พร้อมเตรียมแผนเส้นทางสำรองและรูปแบบในการขนส่ง ทั้งนี้หลังน้ำลดจะได้ให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจัดสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด เพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน

นอกจากนี้ ได้กำชับให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัด กำกับดูแลให้มีการปิดป้ายแสดงราคาสินค้า และเข้มงวดไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และกรณีจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควรจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบเห็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่เป็นธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพาณิชย์จังหวัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

หน่วยงานเร่งบรรเทาความเดือดร้อนเส้นทาง ภูซาง-ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง ดินสไลด์-ถนนทรุด

 

เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 67 จากกรณีที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของ จ.เชียงราย ทำให้เกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วม ดินสไลด์ ถนนขาด ในหลายจุดของ อ.เทิง และ อ.เวียงแก่น กรมทางหลวงเร่งดำเนินการซ่อมแซมถนนเชื่อมทางสัญจร ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอเทิงยังคงทรงตัว หลายหน่วยงานเร่งให้การช่วยเหลือ

ถนนทางหลวงหมายเลข 1093 ช่วงบ้านฮวก-เวียงแก่น มีดินสไลด์และถนนทรุดตัวหลายแห่ง รถยนต์ไม่สามารถสัญจรได้ โดยจุดสำคัญพบถนนขาดที่บริเวณบ้านไทยสามัคคี ม.16 ต.ตับเต่า อ.เทิง และที่บริเวณถนนช่วงบ้านร่มโพธิ์ไทย ม.9 ดินสไลด์ ถนนฝังขาไปภูชี้ฟ้าดินสไลด์ทรุดลงไปด้านล่าง ผิวถนนพังเสียหายเป็นเส้นทางประมาณ 100 ม. เหลือเพียงเลนถนนฝั่งมุ่งหน้าไปบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา เพียงเลนเดียว ส่วนฝั่งตั้งแต่ดอยผาตั้งลงไปทาง อ.เวียงแก่น มีดินสไลด์และถนนทรุดตัวที่บริเวณบ้านปางปอ ม.1 และถนนขาดที่บ้านสันติพัฒนและถนนขาดที่บ้านอยู่สุข ม.10 ต.ปอ อ.เวียงแก่น รถยนต์ไม่สามารถสัญจรได้ แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 แนะว่ารถยนต์ทุกชนิดไม่ควรจะใช้เส้นทางดังกล่าว โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่ของกรมทางหลวงจะต้องรอให้ฝนหยุดตกจึงจะสามารถเข้าไปในพื้นที่เพื่อซ่อมแซมถนน คาดว่าอย่างเร็วน่าจะได้เข้าซ่อมแซมถนนได้ประมาณ 1-1.5 เดือนข้างหน้า จะต้องรอให้หมดฤดูฝนไปก่อน ระหว่างนี้ขอให้ผู้ใช้ถนนเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นไปก่อน หากพร้อมจะเปิดใช้งานเมื่อไหร่ประกาศเป็นทางการอีกที ปัจจุบันคนที่ติดค้างอยู่ตรงกลางจะโดนตัดขาดทั้งไฟฟ้า การสื่อสาร ทางสัญจร ไม่สามารถเดินทางออกไปที่ไหนได้ ต้องรอให้สะพานที่บริเวณบ้านปางค่าซ่อมเสร็จ หมู่บ้านในโซนบนดอยจึงสามารถเดินทางลงมาข้างล่างได้ ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างโดนตัดขาดอยู่

ส่วนถนนหมายเลข 1155 ช่วงเทิง-เวียงแก่น มีคอสะพานขาดที่บ้านเหล่า ม.1 ต.ตับเต่า อ.เทิง ทางเจ้าหน้าที่แขวงทางหลวงเชียงรายที่ 2 ได้นำเอาเครื่องจักรเขามาทำการซ่อมแซมคอสะพานจนสามารถสัญจรผ่านไปมาได้แล้ว ด้านชาวบ้านกำลังทำความสะอาดบ้านเรือน เนื่องจากมีน้ำหงาวไหลบ่าท่วมทั้งหมู่บ้าน เสียหาย 49 หลังคาเรือน จากทั้งหมด 56 หลังคา ข้าวของภายในบ้านเสียหายทั้งหมด นางซอน รู้หาเงิน อายุ 59 ปี บ้านเลขที่ 37 เผยว่า ช่วงเวลาที่น้ำป่าไหลเอ่อท่วมบ้าน น้ำมาเร็วมาก เก็บข้าวของไม่ทัน เสียหายเกือบทั้งหมด โชคดีที่ย้านตนมี 2 ชั้น จึงไปอาศัยที่ชั้นบนได้อยู่ แต่บ้านที่มีชั้นเดียวทรัพย์สอนเสียหายหมดเลย ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยทำความสะอาด เห็นมีเพียงกู้ภัยเอาน้ำมาแจกจ่าย ตอนนี้อยากให้ทาง อบต.ตับเต่า มาช่วยฉีดน้ำทำความสะอาดเป็นอันดับแรก

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ซึ่งนำเอาอาหารและน้ำดื่มไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในฝั่งบ้านปางค่า เผยว่า วันนี้จะนำเสนออาหารไปให้พี่น้องประชาชนซึ่งอยู่โซน 14 หมู่บ้านบนดอยที่โดนตัดขาดทางสัญจร โดยทาง อบจ.เชียงราย ได้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำเครื่องจักรลงพื้นที่เพื่อช่วยพี่น้องที่ประสบปัญหาอุทกภัยในทุกพื้นที่ของ จ.เชียงราย อย่างเร่งด่วนแล้ว

ด้านสะพานข้ามแม่น้ำหงาว พื้นที่บ้านปางค่า ม.8 ต.ตับเต่า ที่โดนน้ำหงาวซัดขาดไปเมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้บ้านเรือน 7 หมู่บ้านโซนล่างภูชี้ฟ้าโดนตัดขาด ต้องใช้โดรนการเกษตรในการส่งอาหารให้ผู้ประสบภัยที่ออกมาไม่ได้ โดยในวันนี้ทางศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 1 จ.พิจิตร ได้นำเอาสะพานแบลี่ย์มาติดตั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเป็นการเร่งด่วน

นายไพบูลย์ อินทร์สอน นายช่างไฟฟ้าชำนาญงาน ศูนย์สร้างและบูรณะสะพานที่ 1 จ.พิจิตร เผยว่า วันนี้ทางศูนย์สร้างและบูรณะสะพาน ได้นำเอาสะพานแบลี่ย์มาติดตั้งการติดตั้งที่บ้านปางค่า ม.8 พบว่ามีตัวสะพานพังเป็นระยะทาง 30 ม. และคอสะพานทรุดตัวอีก 10 ม. การสัญจรระหว่าง 2 ฝั่งโดนตัดขาด ซึ่งในการติดตั้งนี้จะต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน จึงจะแล้วเสร็จ

และในเส้นทางเดียวกัน มีถนนพังช่วงบ้านแผ่นดินทอง-พญาพิภักดิ์ บริเวณเลยสามแยกด่านทหารไปประมาณ 50 ม. ถนนโดนน้ำซัดจนผุพัง ปัจจุบันผิวถนนอสีหายทั้งหมด รถทุกชนิดไม่สามารถผ่านได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News