Categories
ECONOMY

“ขนส่งศูนย์เหรียญ” จีนตั้งคลังส่งสินค้า พร้อมรถสิบล้อของจีนโผล่ในไทย

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (คนใหม่) เปิดเผยว่า สหพันธ์ฯ กำลังประสานขอเข้าพบนาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหาแนวทางรับมือทุนจีน เข้ามาตั้งคลังส่งสินค้า แล้วเปิดกิจการขนส่งเองอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการนำเข้ารถบรรทุกจากจีนเข้ามาใช้งานเอง ส่งผลให้การจ้างงานผู้ประกอบการขนส่งไทยลดน้อยลง

โดยเฉพาะหลังการเปิดเสรีการค้าอาเซียน-จีน ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเป็นจำนวนมาก โดยสินค้าเหล่านั้นมีการใช้รถขนส่งสินค้าของจีนเกือบทั้งหมดผ่านบริษัทนอมินี ซึ่งปัจจุบันประเมินว่า มีสัดส่วนราว 1% ของจำนวนรถบรรทุกในไทย หรือ ราว ๆ 10,000 คัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 10,000 คัน ซึ่งหากมีการดัมพ์ราคาขนส่งด้วย จะทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้ ซึ่งหากไม่เตรียมตัว หรือ มีมาตรการรับ มือที่ดีพอ จะทำให้ผู้ประกอบการไทยอยู่ไม่ได้
นอกจากนี้ จะมีการพูดคุยเรื่องการเยียวยากลุ่มรถป้ายเหลืองขนส่งสาธารณะ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นด้วย ซึ่งจะขอเข้าหารือกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ และการดูแลราคาน้ำมันดีเซลที่ขึ้นมาถึง 33 บาทต่อลิตรกระทบรถบรรทุกจนต้องหยุดวิ่งไปแล้วกว่า 50% ก่อนพิจารณแนวทางกการเคลื่อนไหวของคาราวานม็อบรถบรรทุกในเร็วๆ นี้
 

โดยในที่ประชุมสหพันธ์การขนส่งมีมติ ยังไม่ขึ้นราคาค่าขนส่งเพิ่มจากเดิมที่เคยขึ้น 3-9% ก่อนหน้านี้ และจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวของคาราวานม็อบรถบรรทุกเร็วๆ นี้เช่นกัน แต่จะมีการเคาะ 2 แนวทาง ดังนี้

1.สหพันธ์การขนส่งจะขอเข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยคาดว่าจะเป็นช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อหารือรายละเอียดว่าทางกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไรต่อไปกับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ โดยเฉพาะการเดินโครงสร้างแก้ไขข้อกฎหมายต่างๆ รวมถึงทางสหพันธ์การขนส่งต้องการไปให้กำลังใจนายพีรพันธุ์ด้วย

2.สหพันธ์การขนส่งเตรียมขอเข้าพบหารือกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหาหาแนวทางร่วมกันว่าทางกระทรวงคมนาคมจะมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยสหพันธ์การขนส่งในการเยียวยากลุ่มรถป้ายทะเบียนสีเหลืองขนส่งสาธารณะที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นได้บ้าง ซึ่งคาดว่าจะขอเข้าพบกลางเดือนสิงหาคมนี้

นายทองอยู่กล่าวว่า สถานการณ์ของการวิ่งรถบรรทุกของสมาชิกสหพันธ์การขนส่งนั้น ปัจจุบันภาพรวมค่อนข้างซบเซา รถบรรทุกเกือบ 50% ของสมาชิกต้องจอด ด้วยสาเหตุจากผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้น งานจ้างขนส่งลดลง และหลังจากมีการปรับค่าขนส่งขึ้น 3-9% ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายสู้ไม่ไหว ขอยุติการเดินรถ

“หนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้กิจการรถบรรทุกไทยซบเซาคือ การเข้ามาของพลอตฟอร์มต่างชาติที่เข้ามาตั้งคลังส่งสินค้าเอง เช่น ผู้ประกอบการชาวจีน ที่เปิดกิจการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งนำเข้ารถบรรทุกจากต่างประเทศเข้ามาใช้งานเอง จึงส่งผลทำให้การจ้างผู้ประกอบการขนส่งรถบรรทุกในไทยลดน้อยลง” นายทองอยู่กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

New TCDC 10 จังหวัดใหม่ ไอเดียงานออกแบบสถานที่ 10 ผู้ชนะ

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า New TCDC แต่ละแห่งต้องมีสถานที่ทำการ ล่าสุด CEA หรือ สศส. – สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ Creative Economy Agency (Public Organization) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล TCDC ประกาศความคืบหน้าผลการคัดเลือก ผู้ชนะการประกวดการออกแบบพื้นที่ New TCDC ทั้ง 10 แห่ง

การประกวดงานออกแบบครั้งนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม มีทีมผู้ส่งผลงานออกแบบเข้าร่วมประกวด จำนวน 113 ทีม รวม 173 ผลงาน สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความมุ่งมั่นในการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ของประเทศ

ผลงานที่ชนะการประกวดในครั้งนี้จะได้รับการนำไปพัฒนาเป็น ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ ที่จะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ของเมือง เป็นแหล่งบ่มเพาะผู้ประกอบการท้องถิ่น และศูนย์รวมองค์ความรู้ในการพัฒนาและต่อยอดสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อยกระดับ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน” 

ผลงานผู้ชนะการออกแบบ “ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ทั้ง 10 จังหวัด” มีความโดดเด่นทั้งในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นไปได้ทางกายภาพ และความสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ จำนวน 10 ทีม ดังนี้

TCDC เชียงราย มากับความเชื่อที่ว่า “การออกแบบเชิงสร้างสรรค์สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนได้” ออกแบบโดย 1922 Architects  ด้วยแนวคิดหลักคือ Creative Space for All พื้นที่สร้างสรรค์เพื่อทุกคน

การออกแบบมุ่งสอดแทรกความคิดสร้างสรรค์เข้าสู่วิถีชีวิตประจำวันของผู้คน ชุมชน และเมือง

ตัวอาคารออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน กระตุ้นการแลกเปลี่ยนไอเดีย และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ “ลานหน้าศาลากลางหลังเก่า” ที่มีศักยภาพอยู่แล้ว

1.TCDC เชียงราย จึงไม่เพียงแต่เป็นศูนย์การออกแบบ แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และแรงบันดาลใจสำหรับทุกคนในชุมชน

2.TCDC นครราชสีมา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเก่า บนแนวแกนสำคัญที่เชื่อมโยงกับจุดหลักของเมือง ออกแบบโดย บริษัท จั่นอาร์คิเทค จำกัด ภายใต้แนวคิด CREATIVE URBAN ROOM เปิดมุมมองของตัวอาคารด้วยวัสดุโปร่งใส สร้างการเชื่อมต่อ Urban Visual Connect ระหว่างพื้นที่ภายใน-นอก

ในช่วงเทศกาล อาคารยังออกแบบให้สามารถเปิดประตูบานใหญ่ด้านหน้า เชื่อมต่อพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่องและไร้ขอบเขต (Borderless Space) 

นอกจากนี้ ยังโดดเด่นด้วยการผสมผสานวัสดุท้องถิ่นอย่างสร้างสรรค์ เช่น ไม้จากเรือนโคราช-เฉลิมวัฒนา เทคนิคก่อสร้างแบบปราสาทหินทราย ลวดลายเส้นพุ่ง-เส้นยืนจากการถักทอผ้าไหมโคราช และ อิฐดินเผาด่านเกวียน รวมถึงสีดินและลวดลาย โดยนำมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบ Composited Material ที่ผสานภูมิปัญญาดั้งเดิมกับปัจจุบัน 

ทั้งยังคำนึงถึง ความยั่งยืน(Sustainability) และ การนำวัสดุเหลือใช้ (Waste Material) กลับมาใช้ใหม่ ส่งผลให้ TCDC นครราชสีมา เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ใจกลางเมืองที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

3.TCDC ปัตตานี ออกแบบภายใต้แนวคิด Glory to Distribution Days โดย บริษัท ทรัพย์เปอร์ จำกัด ซึ่งสะท้อนถึงวิวัฒนาการของอาคาร “ห้องแถวจีนริมน้ำ” ที่เปี่ยมไปด้วยพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมาหลายยุคสมัย จากการเป็นพื้นที่ศูนย์กระจายสินค้า ด่านเก็บภาษีในอดีต สู่ปัจจุบันซึ่งเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ของกลุ่ม Melayu Living และในอนาคตจะเป็นศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC ปัตตานี 

อาคารนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ แต่ยังออกแบบให้มีบรรยากาศเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย และเชื่อมโยงผู้คนทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากศูนย์กระจายสินค้าในอดีตสู่พื้นที่สร้างสรรค์ที่มีชีวิตชีวาในปัจจุบันและอนาคต

4.TCDC พิษณุโลก ออกแบบโดย สถา ณ สถาปนิก ผ่านแนวคิด เมืองสองแคว l สายน้ำ l วิถีชีวิต พื้นที่เชื่อมโยงความคิดสร้างสรรค์กับภูมิปัญญาท้องถิ่นในบรรยากาศอบอุ่นและเป็นมิตรพร้อมเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาในพื้นที่

จังหวัดพิษณุโลกมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งอยู่บนจุดบรรจบของแม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อยจึง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเมือง และมีบทบาทในการพัฒนาเมืองมาตั้งแต่อดีต 

ตัวอาคารจึงได้แรงบันดาลใจจากวิถีชีวิตริมน้ำ โดยใช้ “อิฐ” เป็นวัสดุหลักสื่อถึงความแข็งแรงและการเติบโตของเมือง 

พื้นที่ภายในแบ่งตามเส้นทางน้ำ เน้นทั้งความสร้างสรรค์ การร่วมมือ การพักผ่อน และการเรียนรู้ ส่วนด้านนอกอาคารออกแบบให้เชื่อมโยงกับบรรยากาศริมน้ำ สร้างความกลมกลืนระหว่างสถาปัตยกรรมและธรรมชาติ 

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงการนำเอาวิถีชีวิตริมน้ำและวัฒนธรรมของพิษณุโลกมาผสมผสานอย่างลงตัว พร้อมเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาในพื้นที่

5.TCDC แพร่ ออกแบบโดย บริษัท เค ทู ดีไซน์ จำกัด ภายใต้แนวคิดเผยแพร่ภูมิปัญญาอย่างเรียบง่าย โดยนำเสนอมรดกล้ำค่าของเมืองแพร่ผ่านคำขวัญประจำคือ ม่อฮ่อม และ ไม้สัก มาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการออกแบบอาคารให้ดูราวกับ “ท่อนไม้สักย้อมสีฮ่อม (Indigo)” ด้วยแนวคิด Form & Function ที่เรียบง่ายแต่โดดเด่นด้วยสีและวัสดุ สะท้อนเอกลักษณ์ของเมืองแพร่อย่างชัดเจน 

การจัดพื้นที่และการใช้งานมีความตรงไปตรงมา สะดวกสบาย รองรับทุกกิจกรรมของชุมชนและ TCDC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่และพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาของเมืองแพร่สู่อนาคต

6.TCDC ภูเก็ต ตัวตนของ “เมืองภูเก็ต” หล่อหลอมขึ้นจากอุตสาหกรรมดีบุก ได้รับการนำมาถ่ายทอดเป็นผลงานการออกแบบของ TCDC ภูเก็ต ผ่านแนวคิด เล่นแร่-แปรเมือง ที่ได้รับการวางแผนและออกแบบโดย บริษัท สวอน แอนด์ แมคคลาเรน(ประเทศไทย) จำกัด 

สถาปัตยกรรมของอาคารได้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบัน ด้วยการใช้วัสดุและรูปแบบการใช้งานสมัยใหม่ ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพการใช้พื้นที่ภายใน 

แม้มีข้อจำกัดด้านขนาด แต่ TCDC ภูเก็ต มุ่งมั่นที่จะเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในจังหวัดภูเก็ต โดยใช้แรงบันดาลใจจากความรุ่งเรืองในอดีตของอุตสาหกรรมดีบุก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเมืองนี้ 

ทำให้อาคารนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์ออกแบบ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์และนวัตกรรมของภูเก็ตเข้าด้วยกัน

 

7.TCDC ศรีสะเกษ โดดเด่นด้วยการออกแบบที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของจังหวัดอย่างลงตัว ออกแบบโดยทีมสถาปนิก ปิติพงศ์ อมรวิรัตนสกุลณรงค์วิทย์ อารีมิตร และ วรนล สัตยวินิจ ภายใต้แนวคิด Sisaket Code (ศรีสะเกษ โค้ด) มุ่งตีแผ่ประเด็นสำคัญของท้องถิ่น 

โดยออกแบบให้ศูนย์แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับกิจกรรมทางวัฒนธรรม ดนตรี และภาพยนตร์ ในบริบทของศรีสะเกษอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในท้องถิ่นผ่านการใช้ทรัพยากรของจังหวัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้ TCDC ศรีสะเกษ ไม่เพียงเป็นศูนย์ออกแบบ แต่ยังเป็นแหล่งรวมจิตวิญญาณและอัตลักษณ์ของชาวศรีสะเกษอีกด้วย

 

8.TCDC สุรินทร์ ออกแบบโดย บริษัท แปลน อาคิเต็ค จำกัด ภายใต้คอนเซ็ปต์ โฮล สาน สร้างสรรค์ โดยตีความเอกลักษณ์อันงดงามของ “ผ้าโฮล” ลายผ้าไหมประจำถิ่นที่ผูกพันกับชาวสุรินทร์มาอย่างยาวนาน

แนวคิดนี้เปลี่ยนผ้าสานให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงระหว่างเมืองและผู้คน ก่อให้เกิดศูนย์กลางสร้างสรรค์เศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด

เส้นสายของผ้าโฮลได้รับการนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบให้ TCDC สุรินทร์กลายเป็นจุดนัดพบของทั้งเมือง และเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการพัฒนาเมืองสร้างสรรค์อย่างแท้จริง 

 

9.TCDC อุตรดิตถ์ ออกแบบโดย รักตระกูล ใจเพียร (D039) ด้วยแนวคิดโดดเด่นภายใต้คอนเซ็ปต์ POP-OUT และ BLIND-IN กับการสร้างเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับ TCDC ผ่านคอนเซ็ปต์ POP-OUT ที่ดึงดูดความสนใจและสร้างภาพลักษณ์ความสร้างสรรค์ที่เด่นชัด โดยไม่รบกวนการใช้งานของอาคารเดิม

เมื่อขึ้นสู่ชั้น 2 ผู้เยี่ยมชมจะถูกนำเข้าสู่ TCDC ผ่านซุ้มประตูโค้งที่เชื่อมต่อกับสวนขนาดเล็ก ภายในตกแต่งด้วยม่านลับแลห้อยเป็นลวดลายตีนจก สร้างบรรยากาศสบายและน่าค้นหา

การออกแบบนี้ผสมผสานความทันสมัยกับเอกลักษณ์ท้องถิ่น ชวนให้เพลิดเพลินไปกับการค้นพบโลกใหม่ภายใน TCDC อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นทั้งศูนย์สร้างสรรค์และแหล่งเรียนรู้ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของจังหวัดได้อย่างมีเอกลักษณ์

 

10.TCDC อุบลราชธานี ออกแบบโดย Pixelight Studio (นัฏฐวรรณ สุระพัฒน์)  ภายใต้คอนเซ็ปต์ หล่อ-หลอม มุ่งเน้นการผสมผสานฟังก์ชั่นการใช้งานและเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่างลงตัว

โดยนำเอกลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัด อาทิ ประเพณีแห่เทียนพรรษา วัฒนธรรมอาหาร หรือแม้แต่ ผลิตภัณฑ์หัตถกรรม มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ เพื่อให้เกิดพื้นที่ที่มีคุณค่า น่าหลงใหล และเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย 

นอกจากนี้ ยังออกแบบให้มีความยืดหยุ่น รองรับกิจกรรมและผู้ใช้งานที่หลากหลาย เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ร่วมกัน TCDC อุบลราชธานี จึงเป็นพื้นที่แห่งการหลอมรวมวัฒนธรรมและนวัตกรรม นำไปสู่การสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับชุมชนและจังหวัด

 

“ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ (New TCDC) ใน 10 จังหวัด” ประกอบด้วยพื้นที่ Co-Creation, Creative Lab, Collection และ Back Office ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น มีความยืดหยุ่น ดูแลง่าย ประหยัดพลังงาน และเป็นเสมือนพื้นที่ที่หลอมรวมทุกแง่มุมของความคิดสร้างสรรค์เข้าไว้ด้วยกัน

เป็นแหล่งรวมความรู้ แหล่งรวมชุมชน เป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเป็นเวทีในการแสดงศักยภาพของนักออกแบบ ศิลปิน และนักสร้างสรรค์ ผ่านบริการหลากหลายรูปแบบ อาทิ

  • ห้องสมุดเฉพาะด้านการออกแบบ
  • นิทรรศการ
  • พื้นที่แสดงผลงาน
  • พื้นที่การเรียนรู้และฝึกอบรม ในเรื่องของ Local Stories
  • กิจกรรมการฝึกประสบการณ์
  • Creative Lab

นอกจากนี้ New TCDC ยังมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อน เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับคนไทยทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : TCDC

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ก้าวไกลยก 9 ข้อ สู้คดียุบพรรค ก่อนศาลอ่านคำวินิจฉัย 7 ส.ค. 67

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 เวลา 16.00 น. ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงเนื้อหา และสรุปข้อต่อสู้ในเอกสารคำแถลงปิดคดี ที่พรรคก้าวไกลส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะมีการอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรควันที่ 7 ส.ค.นี้

โดยนายชัยธวัชได้แถลงย้ำถึง 9 ข้อต่อสู้ ทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคดียุบพรรคว่า พรรคก้าวไกลยืนยัน ว่า

1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย 2.การยื่นคำร้องนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่มีผลผูกพันในการพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ 4.นอกจากการเสนอนโยบายแก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้ว การกระทำอื่นตามคำร้องมิได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล 5.การกระทำตามที่ กกต.กล่าวหา มิได้เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกระทำอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6.ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล 7.แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรค 8.การกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคต้องพอสมควรแก่เหตุ และ 9.การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งต้องเพิกถอนเฉพาะของกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด

นายชัยธวัชขยายความในการแถลงว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่ามีอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น เราขอยืนยันว่า กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ไปเพิ่มขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ นอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ นี่จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งย่อมไม่สามารถที่จะนำคำวินิจฉัยคดี 3/2567 หรือคดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเป็นบรรทัดฐาน หรือเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องในคดีนี้ได้

นายชัยธวัชย้ำถึงการยื่นคำร้องคดีนี้ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการไม่รับฟังคู่ความคดีทุกฝ่าย ถือไม่เป็นผล ขอยืนยันว่า เมื่อพิจารณาในหลักของความเป็นที่สุดของคำพิพากษา ทั้งในแง่มูลเหตุและข้อเท็จจริง ย่อมชัดเจนว่า ไม่อาจการรับฟังข้อเท็จจริงในคดีที่ 3/2567 มาผูกพันในคดีนี้ได้

ส่วนข้ออ้างที่ กกต.กล่าวหาว่าล้มล้างการปกครอง หรือมีการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาใหม่ที่ศาลไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน การนำผลคำวินิจฉัยในคดีก่อนมาปิดปากวินิจฉัยคดีนี้ จะต้องมีมาตรฐานที่เข้มข้นกว่า หรือระดับเดียวกัน ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานพิสูจน์จนสิ้นสงสัย

“ดังนั้น พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า กกต.ไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 เป็นข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ไม่มีเหตุที่จะรับฟังได้เป็นอย่างอื่น และมีผลผูกพันให้ตนเองต้องเสนอต่อศาล โดยที่ไม่จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องรับฟังผู้ถูกร้องอีกด้วย”

สำหรับการกระทำที่นอกเหนือจากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทั้งหมด ไม่ได้เป็นการกระทำของพรรคก้าวไกล เนื่องจากไม่ได้เป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งกรณีที่มี ส.ส.เป็นนายประกันของผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 หรือการแสดงออกส่วนตัวอื่นๆ ขอยืนยันว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นผู้สั่งการ หรือบงการแต่อย่างใด นี่จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างที่ศาลไม่สามารถรับฟังได้ และไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง แต่เป็นการเสนอโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ ในอดีตก็มีการเสนอแก้อยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยนำไปสู่การล้มลางการปกครองแต่อย่างใด

นายชัยธวัชยังยกตัวอย่างกรณีที่ ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในงานวิจัยที่ได้เสนอให้สำนักเลขาธิการ เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจพิจารณา ให้มีการเริ่มดำเนินคดีอาญาผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมาตรา 112 แทนพระมหากษัตริย์ โดยมีหลักการเดียวกันกับร่างแก้ไขมาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลเสนอ และ “ตนไม่เชื่อว่า นายอุดมจะมีความคิดล้มล้างการปกครอง”

นายชัยธวัชชี้ว่า นี่จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า เมื่อพิจารณาตามสภาววิสัยตามความเชื่อของวิญญูชนทั่วไป หรือตามความเห็นของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวกับกฎหมายพรรคการเมืองโดยตรงอย่าง กกต.นั้นการกระทำของผู้ถูกร้องในคดีนี้ หรือพรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแต่อย่างใด

นอกจากนี้ หากพิจารณาคำวินิจฉัย 3/2567 โดยละเอียด เป็นเพียงการสั่งให้เลิกกระทำเท่านั้น มิได้ให้พรรคก้าวไกลยกเลิกนโยบายเสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงแต่อย่างใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้กระทำ เนื่องจากหากศาลเห็นเป็นเช่นนั้นก็ควรที่จะมีการสั่งห้ามไม่ให้มีการนำเสนอนโยบายนี้ด้วยในอนาคต

นายชัยธวัชกล่าวว่า การยุบพรรคควรเกิดขึ้นเมื่อไม่มีมาตรการอื่นที่จะยับยั้งการกระทำที่รุนแรงได้อย่างทันท่วงทีแล้วเท่านั้น มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายหลักการระบอบประชาธิปไตย ยืนยันว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่ใช่การกระทำที่รุนแรงถึงขนาดที่จะต้องยุบพรรค ยิ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีสถานะยิ่งกว่าวิญญูชน ซึ่งต่างเคยเห็นมาก่อนว่าการกระทำของพรรคก้าวไกลไม่เป็นการกระทำที่ขัดกับมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง

สุดท้ายแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาการเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด ซึ่งหากจะมีการจำกัดสิทธิ ก็ต้องเป็นการกระทำตามกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น โดยเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญประกอบกับหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวางหลักเอาไว้ จึงไปจำกัดสิทธิและตัดสิทธิไม่ได้ เพราะต้องกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น และหากศาลเห็นว่ามีอำนาจกำหนดระยะเวลาเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง แต่การกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งไม่ควรเกิน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปี ตามที่ กกต.ร้องขอ

พรรคก้าวไกลมิได้รู้หรือควรรู้ได้ว่า การกระทำในคดีนี้เป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 92 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง เนื่องจากก่อนหน้านี้ กกต.เคยวินิจฉัยยกคำร้องข้อกล่าวหาในลักษณะเดียวกันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กกต.เองในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐก็ยังเคยให้ความเห็นว่า การกระทำนี้ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งย่อมอยู่ในวิสัยที่สามารถเชื่อได้ว่า การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นตามคำร้องในคดีนี้ ก็ย่อมชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน และการเพิกถอนนั้น ต้องเพิกถอนเฉพาะกรรมการบริหารพรรคที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด

ทั้งนี้ ระหว่างการแถลงข่าวของนายชัยธวัชนั้น นายพิธาได้ยืนติดตามฟังการแถลงอยู่ข้างเวทีแถลง พร้อมกับทีมกฎหมายของพรรคก้าวไกลในการต่อสู้คดี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อิ๊งค์ ลุยนำทีมพรรคเพื่อไทยเดินสายช่วยหาเสียงนายก อบจ. พะเยา

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) นำทีมพรรคเพื่อไทยเดินทางถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย โดยมีประชาชนจำนวนมากมาต้อนรับและให้กำลังใจอย่างอบอุ่น ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะเดินทางต่อไปยัง จ.พะเยา เพื่อช่วยนายธวัช สุทธวงค์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พะเยา หมายเลข 2 หาเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 2567

น.ส.แพทองธาร และทีมพรรคเพื่อไทย ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ณ วัดศรีโคมคำ อ.เมืองพะเยา พร้อมทักทายพี่น้องประชาชนชาวพะเยาที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่ามกลางฝนโปรยปราย ทั้งนี้ พระครูพิศาลสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ (พระอารามหลวง) ได้ให้พรแก่ทีมงานทุกคนด้วย

จากนั้น น.ส.แพทองธาร พร้อมด้วย นายธวัช และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังหน้าลานอนุเสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง อ.เมืองพะเยา เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพะเยา โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มารอต้อนรับ แม้ฝนจะโปรยปรายแต่ก็ยังอยู่ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอให้นายธวัช ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา หมายเลข 2 จากพรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกตั้งเพื่อกลับเข้าไปรับใช้พี่น้องประชาชน ด้วยนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมคุณภาพชีวิตทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจของคนพะเยา และมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจพะเยาให้เติบโตตั้งแต่ระดับชุมชนไปถึงระดับจังหวัด

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของชาวพะเยาที่เข้ามาทักทายอย่างหนาแน่น น.ส.แพทองธาร ได้แสดงความขอบคุณและยืนยันถึงความมุ่งมั่นของพรรคเพื่อไทยในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้เดินทางไปพูดคุยกับผู้ประกอบการที่กาดหล่ายต้าในช่วงบ่ายต่อไป

การเลือกตั้งท้องถิ่นใน จ.พะเยา นี้ ยังสะท้อนถึงภาพรวมของการเมืองระดับประเทศที่พรรคเพื่อไทยมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนโยบายการพัฒนาที่จะถูกผลักดันจากระดับท้องถิ่นจะเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง

บทบาทของการเมืองท้องถิ่นใน จ.พะเยา นั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมของรัฐบาลไทย เพราะการเลือกตั้งนายก อบจ. และการพัฒนาท้องถิ่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเมืองระดับประเทศ การพัฒนาท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานเปิดกิจกรรม Kick Off โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จังหวัดเชียงราย โดยมี นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ คณะผู้บริหาร และบุคลากรสาธารณสุขเชียงราย ร่วมพิธีฯ เปิดกิจกรรม

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าผลการดำเนินงานของจังหวัดเชียงราย โครงการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัลได้มากกว่า 22,155 ครั้ง ให้บริการการแพทย์และเภสัชกรรมทางไกลผ่านระบบออนไลน์ทุกช่องทาง 20,528 ครั้ง ประชาชนลงทะเบียน Health ID กว่า 477,949 คน ให้บริการประชาชนนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ 255 ครั้ง ทั้งนี้หน่วยบริการเอกชนที่เข้าร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชาชนใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีประชาชนเข้ารับบริการคลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น จำนวนกว่า 223,033 ครั้ง การเยี่ยมบ้านจำนวนกว่า 40,991 ครั้ง รับบริการร้านยาคุณภาพของฉัน จำนวนกว่า 48,885 ครั้ง บริการกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น จำนวน 3,211 ครั้ง บริการคลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น จำนวน 13 ครั้ง บริการคลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 1,726 ครั้ง และบริการคลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 911 ครั้ง โดยพบว่าประชาชนที่ใช้บริการแล้ว ส่วนใหญ่จะกลับเข้ามาใช้บริการซ้ำอีก
 
นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า กิจกรรม Kick Off ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวในครั้งนี้ เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน จาก 30 บาท รักษาทุกโรค สู่การเป็น 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ให้ประชาชนชาวเชียงราย สามารถเข้ารับบริการด้านสุขภาพได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งเข้ารับบริการได้ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน คลินิก ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (LAB) และร้านขายยาใกล้บ้าน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ควบคุม ป้องกันโรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสุขภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ และให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และคุณภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ของตนเองและครอบครัวได้
 
ทั้งนี้ภายในงานยังมีการจัดบูธนิทรรศการ และการให้บริการประชาชน จำนวน 6 บูธ ประกอบด้วย 1. บูธนิทรรศการ ได้แก่ Provider ID (การยืนยันตัวตันผู้ให้บริการ) และ Health ID (การยืนยันตัวตนภาคประชาชน) 2. บูธนิทรรศการ Health Rider (บริการส่งยาถึงบ้าน) 3. บูธนิทรรศการ Telemedicine (การแพทย์ทางไกล) 4. บูธนิทรรศการ หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ (คลินิก, ร้านยาชุมชนอบอุ่น) 5. บูธนิทรรศการ Lab Anywhere (เจาะเลือด ตรวจแล็บ ที่คลินิกแล็บใกล้บ้าน) และ 6. บูธนิทรรศการ การตรวจวัดสมรรถภาพหลอดเลือดแดง จากภาคเอกชน โดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงาน และประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทอท. ยกระดับมาตรฐาน ถอดบทเรียน แผนเคลื่อนย้ายอากาศยานที่ขัดข้อง

 
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่โรงแรมไชยนารายณ์ ริเวอร์ไซด์ อำเภอเมืองเชียงราย นายสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมงานลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อพัฒนาความร่วมมือ การประสานงาน และการให้การสนับสนุนตามแผนเคลื่อนย้ายอากาศยานที่ขัดข้อง พร้อมทั้งจัดการเสวนาหัวข้อ “แผนเคลื่อนย้ายอากาศยานที่ขัดข้อง ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง” โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมงาน ได้แก่ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการสอบสวนอากาศยานอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ ทีมเคลื่อนย้ายอากาศยานที่ขัดข้องของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานในสังกัด บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)

 

ในโอกาสนี้ นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ได้ร่วมเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันความตื่นตระหนกและข่าวลือ โดยเฉพาะ Fake News ที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล

 

กิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์สายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD108 ลื่นไถลออกนอกรันเวย์ ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2565 ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และภาพลักษณ์ของประเทศ ทอท. จึงได้จัดโครงการกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ เพื่อพัฒนาความร่วมมือ การประสานงาน และการให้การสนับสนุน พร้อมจัดเวทีเสวนาถอดบทเรียนกรณีการดำเนินการตามแผนเคลื่อนย้ายอากาศยานที่ขัดข้อง ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่เป็นการสร้างความเข้าใจ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจากหลากหลายภาคส่วนมาประมวลผลและนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต ให้สามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างปกติและให้บริการลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้โดยเร็วที่สุด

 

ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 23.00 น. นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย และนางแสงเดือน อ้องแสนคำ รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ด้านสนับสนุนธุรกิจ) ได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกสายการบินตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยและด้านการรักษาความปลอดภัยภายในเขตการบิน เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการบิน รวมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของสายการบินนกแอร์ ณ บริเวณลานจอดอากาศยานหมายเลข 7 หลังจากที่อากาศยานนกแอร์ทะเบียน HS-DBR ได้ถูกลากออกมาจากโรงซ่อมอากาศยานชั่วคราว เพื่อรอเตรียมความพร้อมในการทำการบินกลับไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง

 

จนในวันที่ 12 เมษายน 2567 เวลา 07.05 น. สายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD 6601 แบบเครื่อง B738 ทะเบียน HS-DBR ได้ทำการบินออกไปยังท่าอากาศยานดอนเมืองเรียบร้อยแล้ว โดยมีดร.สิทธิปัฐพ์ มงคลอภิบาลกุล รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ด้านปฏิบัติการและบำรุงรักษา) ให้การอำนวยความสะดวกในด้านการปฏิบัติการบินและร่วมแสดงความยินดีกับอากาศยานนกแอร์ทะเบียน HS-DBR ที่ได้กลับมาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและพร้อมให้บริการแก่ผู้โดยสารอีกครั้ง นกหยกนภา Boeing 737-800 หลังจากที่การซ่อมเสร็จสิ้น

 

หลังจากนี้ โรงเก็บอากาศยานชั่วคราวจะถูกรื้อถอน เนื่องจากเป็นการเช่าใช้ชั่วคราว และต้องคืนให้กับผู้ให้เช่าซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Temporary Hangar ระดับโลก เพื่อนำไปใช้ในประเทศอื่นที่กำลังรออยู่

 

การจัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยและการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ท่าอากาศยานแห่งนี้เป็นท่าอากาศยานที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เตรียมจัดเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก 17-18 ส.ค. นี้ ที่เซ็นทรัลเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567  ที่ ห้องไลบรารี่ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ได้จัดงานแถลงข่าว “เทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก สวรรค์ของเมืองกาแฟ” (Eastern Lanna Coffee Fest 2024) ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ซึ่งงานนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟและพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน 

โดยได้ภายในงานมีางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย นางสาวการะเกด นันทศรีนนท์ ส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผู้แทนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center :AIC) จังหวัดเชียงราย  นายวัชรพันธ์ ปัญญาคำ 93degree Coffee อ.เชียงของ จ.เชียงราย ตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ  นายพงษ์ศิลา คำมาก กรรมการและประชาสัมพันธ์สมาคมกาแฟพิเศษไทย ร่วมกันแถลงความพร้อม ในการจัดเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก “สวรรค์ของเมืองกาแฟ” กิจกรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟและพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ โครงการเพิ่มขีดในการแข่งขันการเกษตรระดับภูมิภาค ร่วมถึงมีการสาธิตการขงกาแฟ โดย คุณ จุติเสฏฐ์ ลิ้มพชรพล (อเล็กข์) เจ้าของร้าม Alexta Coffee Roaster ให้ผู้ร่วมงานแถลงข่าวได้ชมกันอย่างทั่วถึง

กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โดยสร้างมูลค่าให้กับพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 721 ล้านบาทต่อปี กาแฟที่ปลูกในพื้นที่นี้ยังมีส่วนช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระบบเกษตรแบบยั่งยืน ด้วยการปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ ทั้งไม้ผลและป่าธรรมชาติ จึงเรียกได้ว่าเป็นกาแฟรักษาป่า นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังมีนโยบายลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของภาคเหนือและกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่ว่า “ท่องเที่ยวบนพื้นฐานวัฒนธรรมร่วมสมัย ยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร สิ่งแวดล้อมยั่งยืนสู่เศรษฐกิจมั่นคง”

การขับเคลื่อนอย่างมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ช่วยยกระดับสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่เกษตรอินทรีย์ มีการพัฒนาตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำด้วยการส่งเสริมเกษตรกรปลูกในระบบเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ กลางน้ำด้วยการแปรรูปให้เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง และพัฒนาเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการกาแฟคุณภาพที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และปลายน้ำด้วยการประชาสัมพันธ์และขยายช่องทางการตลาด

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) มีการปลูกกาแฟที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ทั้งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand /PGS และแบบวิถีพื้นบ้านที่ไม่ใช้สารเคมีแต่มีข้อจำกัดในการออกใบรับรองมาตรฐาน รวมทั้งแบบเกษตรปลอดภัย (GAP) ที่มีการใช้สารเคมีอย่างจำกัด ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมและพัฒนามาตรฐาน เกษตรกรส่วนใหญ่จำหน่ายในรูปแบบเชอรี่และสารกาแฟ (Green bean) ให้กับพ่อค้าคนกลางหรือโรงคั่ว

เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติด้านการแข่งขันของภาคเกษตร เน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตรไปสู่สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง โดยการใช้ประโยชน์จากอัตลักษณ์ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการผลิต สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย จึงได้รับอนุมัติจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ให้ดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟ และพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ

ภายใต้กิจกรรมหลักส่งเสริมช่องทางการตลาดของสินค้าเกษตรอินทรีย์สู่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โครงการเพิ่มขีดในการแข่งขันการเกษตรระดับภูมิภาค โดยดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมและสร้างตราสินค้ากาแฟของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟคุณภาพ ประชาสัมพันธ์และนำเสนอกาแฟคุณภาพของเกษตรกรต่อผู้บริโภคและเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ

มีเกษตรกรเป้าหมายจำนวน 27 รายจาก 4 จังหวัด (เชียงราย 17 ราย พะเยา 4 ราย แพร่ 4 ราย น่าน 2 ราย) ซึ่งเกษตรกรทั้ง 27 ราย ได้ผ่านการอบรมการทดสอบรสชาติของกาแฟ หรือ Cupping ภายใต้กิจกรรมสนับสนุนการยกระดับผลผลิตกาแฟสู่มาตรฐานและการพัฒนาอัตลักษณ์เพื่อสร้างมูลค่า โดยส่งเสริมให้เกษตรกรแบ่งผลผลิตบางส่วนมาทำกาแฟคุณภาพหรือกาแฟพิเศษ (Special Coffee)

สำหรับการจัดงานเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก Eastern Lanna Coffee Fest 2024 “สวรรค์ของเมืองกาแฟ” มีการประชาสัมพันธ์นำเสนอกาแฟคุณภาพให้แก่ผู้บริโภคได้รู้จักอย่างแพร่หลาย กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 17-18 สิงหาคม 2567 ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย

กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การออกบูธประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟคุณภาพ การเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการกาแฟ/เกษตรกรและนักธุรกิจที่สนใจ การจัดนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ได้รับการพัฒนา พร้อมทั้งกิจกรรม workshop สาธิตให้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟ เช่น การคัดเมล็ดกาแฟตามมาตรฐานสมาคมกาแฟ การชิมกาแฟสำหรับคอกาแฟและนักท่องเที่ยว การทำสครับกาแฟ ชิมกาแฟจากแหล่งปลูกต่างๆ ของ 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ฟรีทุกวัน พร้อมกิจกรรมการแสดงบนเวที การร่วมสนุกเล่นเกมส์ลุ้นรับของรางวัล

งานเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออกนี้ไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมการตลาดกาแฟคุณภาพในประเทศ แต่ยังเป็นการยกระดับกาแฟของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายจะได้รับผลกระทบที่ดีจากการจัดงานนี้ และการส่งเสริมการปลูกกาแฟที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและสร้างความยั่งยืนในการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและการผลิตกาแฟคุณภาพในอนาคตมี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย โทร. 053-718970

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ธนพิริยะขยายร้านค้าปลีกสู่สาขาที่ 48 ในแม่สรวย มุ่งมั่นตอบโจทย์ลูกค้าในเชียงราย

 

บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เดินหน้าขยายการเติบโตสู่สาขาที่ 48 สาขาแม่สรวย จ.เชียงราย การเปิดสาขาใหม่ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้าอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ชุมชนให้มากขึ้น ด้วยราคาย่อมเยา ตามปณิธาน “ราคาถูกจริง ช้อปปิ้งถูกใจ อยู่ใกล้บ้านคุณ” ซึ่งสาขาแม่สรวยนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลายและครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันธนพิริยะมีสาขารวมทั้งสิ้น 48 สาขา กระจายครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 36 สาขา จังหวัดเชียงใหม่ 5 สาขา และจังหวัดพะเยา 6 สาขา การขยายสาขาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในพื้นที่ แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่นอีกด้วย นอกจากนี้ TNP ยังมีแผนเปิดเพิ่มเติมอีก 4 สาขาในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้ TNP มีสาขาจำนวนทั้งสิ้น 51 สาขาในสิ้นปี 2567 การขยายตัวเชิงกลยุทธ์นี้เน้นสร้างการเติบโตทั้งฐานรายได้และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน

เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งอย่างธนพิริยะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ให้มีความเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงรายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ TNP มุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์ทางการตลาดของธนพิริยะเน้นการเข้าถึงลูกค้าในชุมชนอย่างใกล้ชิด โดยการเปิดสาขาในพื้นที่ที่มีความต้องการสูง และให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ย่อมเยา ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความพึงพอใจให้กับลูกค้า อีกทั้งการให้บริการที่เป็นมิตรและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าตลอดมา

ธนพิริยะยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขยายสาขาในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าในทุกมุมเมือง สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในท้องถิ่น และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

Chiang Rai Sustainable Design Week ครั้งที่ 3 เชียงรายเมืองออกแบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

เมื่อวันที่  30 กรกฎาคม 67 ที่โรงแรมแสนโฮเทล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ดร.ปรีชา อนุรักษ์ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย รศ.ดร.พลวัฒ ประพัฒน์ทอง ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง คุณอิ่มหทัย กันจินะ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เชียงใหม่ และอาจารย์สุขสันติ์ ชื่นอารมย์ หัวหน้าวิจัยนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ร่วมกันแถลงข่าวการจัดกิจกรรมเชิงการตลาด เทศกาลเชียงรายเมืองออกแบบเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Chiang Rai Sustainable Design Week) ครั้งที่ 3 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ มุ่งเน้นเยาวชนคนรุ่นใหม่ความยั่งยืน พหุวัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมของชุมชน กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-15 สิงหาคม 2567 นี้ ณ ลานศิล ลานธรรม ถิ่นพญามังราย (ศาลากลางหลังเก่า) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกับ อบจ.เชียงราย เทศาบาลนครเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และภาคประชาชน ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดงาน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ในฐานะเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบขององค์การยูเนสโก ประจำปี 2566 


     นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นการส่งเสริม สนับสนุนนักออกแบบ นักสร้างสรรค์ ผู้ประกอบการธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่มีวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน ให้มีพื้นที่ในการนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ จำหน่ายสินค้า และทดลองตลาดผ่านกิจกรรม สร้างและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขยายผลในระดับชาติเชื่อมโยงระดับนานาชาติ ระหว่างเครือข่ายการออกแบบเพื่อความยั่งยืน ให้มีศักยภาพในการปรับตัวเพื่อสามารถสร้างโอกาสเติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย สู่ความเชื่อมโยงกับเครือข่ายนานาชาติ เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยในปีนี้การจัดกิจกรรมเชิงการตลาด Chiang Rai Sustainable Design Week ภายใต้แนวคิด “Chiangrai Creature” สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเมือง แนวคิดเมืองมีชีวิต สรรพสิ่งมีชีวิต ตรงกับแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชียงราย


     สำหรับภายในงานจัดให้มีการแสดงผลงานสร้างสรรค์ของนักออกแบบ หน่วยงาน องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน การเปิดรับร้านค้าสินค้าดีไซน์แบรนด์ที่สะท้อนศักยภาพพื้นถิ่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตต่อสิ่งแวดล้อม กิจกรรมเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ เวิร์กช็อปเสวนา ดนตรีและการแสดง กิจกรรม SMOG ธุลีกาศ ทดสอบแนวคิดการใช้งานออกแบบเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตจังหวัดเชียงรายภายใต้เครือข่าย UCCN การจัดการไฟป่า ต้นเหตุฝุ่น PM 2.5 กิจกรรมสล่ากาแฟ กิจกรรม วน “เวียง” เจียงฮาย


    นอกจากนี้ องค์การบริหารจังหวัดเชียงราย ยังได้จัดกิจกรรมนิทรรศการบอกเล่าเมืองเรื่องราวเมืองเชียงรายในมุมมองการเล่าเรื่อง Chiang Rai Sustainable Design Week ใช้พื้นที่ 4 จุดสำคัญคือ กิจกรรมที่ 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก รับชมเทคนิคพิเศษ Projection Mapping สุดอลังการ นำเสนอเรื่องราวเมืองเชียงราย ในมุมของอัตลักษ์ที่เล่าเรื่องราวการออกแบบที่ส่งต่อกันมาถึงปัจจุบัน กิจกรรมที่ 2 การออกแบบเพื่อความยั่งยืนเชียงราย 10 สถานที่ 10 การออกแบบ 10 บุคคล ที่หอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี กิจกรรมที่ 3 บริเวณหน้าอาคารหอประวัติเมืองเชียงราย นิทรรศการ DESIGN FOR EDUCATION พื้นที่เพื่อการศึกษาการออกแบบ เป็นการนำเสนอโครงการจัดตั้ง DESIGN SCHOOL และกิจกรรมที่ 4 หอนาฬิกาแตลาดเทศาล 1 เชียงราย เป็นการออกแบบพื้นที่ทดลองตลาดต้นแบบนิทรรศการเรื่องเล่าจากอาม่า เล่าเรื่องรางวิถีชีวิตผู้คนในกาดหลวงจากปากคำอาม่า ตั้งแต่อดีตถึงรุ่นลูกหลาน หอนาฬิกา พญาหลวง ผลงานการนำเศษวัสดุเหลือใช้จากตลาด แปลงร่างเป็นพญาลวง และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘สส.โฮม ปิยะรัฐชย์’ หนุนร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไย

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานจากที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีสส.โฮม ปิยะรัฐชย์’ หนุนร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไยเชื่อจะช่วยยกระดับและส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แนะต้องสร้างการเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ยกในอดีตรัฐบาล “ทักษิณ” เคยเดินหน้าเรื่องนี้แล้ว(31 กค.67)นางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลำไย ว่าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีการปลูกลำไยและอยากจะหาทางออกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกลำไย

โดยใน อดีตลำไย ถือเป็นพืชเศรษฐกิจของเกษตรกรภาคเหนือ แต่ที่ผ่านมามีพ่อค้าชาวจีนนำเอา พันธุ์ลำไยไปแพร่ขยายและ ปลูกในหลายพื้นที่ของประเทศเมื่อมาดูตัวเลขการส่งออกลำไย สดอันดับ 1 ที่ไทยส่งออกคือ จีน อินโดนีเซีย และ เวียดนาม โดยตัวเลขการส่งออกใน ปี 2565 มี ยอดส่งออกกว่า 12,000 ล้านบาท แต่ในปี 2566 กลับมียอดส่งออกลดลง ซึ่งในปีนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้ปลูกลำไยก็หวังว่าตัวเลขการส่งออกจะพุ่งสูงขึ้น โดยเชื่อมั่น ในการบริหารงานของรัฐบาล

พร้อมกันนี้ขอบคุณรัฐบาลที่ออกมาตรการในการจัดการผลไม้ในปี 2567 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ การส่งเสริมการแปรรูป การจัดทำเกษตรพันธสัญญา รวมทั้งการหาตลาดการขายผลไม้ในต่างประเทศทั้งนี้ ที่ผ่านมาเรามักจะเน้นย้ำในเรื่องของการรับซื้อ การตลาด การช่วยเหลือด้านราคา แต่ปัญหาใหญ่ก็คือปัญหาล้งที่เกิดขึ้นโดยมีประเทศเพื่อนบ้านอยู่เบื้องหลัง ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราพยายามแก้ปัญหา แต่อาจจะไม่มีความยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร

“วันนี้ตนมองว่าเรายังขาดการสร้างการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ที่ผ่านมารัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณ ได้มีการส่งเสริมการทำลำไยกระป๋องในน้ำเชื่อม ซึ่งระยะหลังได้เงียบหายไป อาจเป็นเพราะไม่ได้มีการขยายตลาดและไม่มีการสร้างแบรนด์ให้มีความเข้มแข็ง จึงหวังว่าร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไยฉบับนี้ จะออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร”

นางสาวปิยะรัฐชย์ ย้ำว่าการรับฟังเสียงของพี่น้อง ถือเป็นส่วนสำคัญซึ่งตนเองได้ลงพื้นที่ไปรับฟังความคิดเห็น โดยประชาชนสะท้อน โดยเน้นย้ำในเรื่องของ ความเสถียรของราคาลำไย ซึ่งเกษตรกรไม่สามารถรู้ล่วงหน้า โดยเป็นการกำหนดราคาเองจากโรงงาน รวมทั้งเครื่องคัดเกรดที่อาจจะไม่มีมาตรฐานจึงควรมีหน่วยงานกลางในการที่จะเข้ามากำกับดูแล รวมทั้งอยากให้ภาครัฐได้มีการวิจัยและพัฒนาผู้ปลูกลำไยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกษตรได้รับประโยชน์ทั้งจากการส่งเสริมด้านเทคโนโลยี การช่วยเหลือจากภาครัฐหากเกิดภัยธรรมชาติ รวมถึงการเปิดตลาดเส้นทางในต่างประเทศทั้งยุโรปอินเดียหรือตะวันออกกลางซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการอำนวยการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนในทุกช่องทางเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้รับประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News