Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สืบสานงานประเพณี เดือน ๘ เข้า เดือน ๙ ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2567 ณ วัดกลางเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โครงการส่งเสริมการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กิจกรรมสืบสานงานประเพณี เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย ประจำปี 2567

 

พระเดชพระคุณพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ (บุญมา มานิโต) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเชียงราย เจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ พระอารามหลวง เป็นประธานพิธีใน กิจกรรมสืบสานงานประเพณี เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย ประจำปี 2567 โดยมีกิจกรรมสำคัญ ดังนี้

  1. พิธีอัญเชิญขันหลวงบนดอยจอมทองมายังสะดือเมือง วัดกลางเวียง
  2. พิธีสังเวยสะดือเมืองเชียงราย
  3. พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอุทิศถวายบูรพาจารย์ อดีตบรรพกษัตริย์ในรัชวงศ์มังราย และเจ้าผู้ครองเมืองทิพย์จักราธิวงศ์และบุพการีชนคณะศรัทธาวัดกลางเวียง
  4. พิธีสรงน้ำเสาสะดือเมืองเชียงราย
  5. พิธีเจริญพระพุทธมนต์
  6. การทำบุญไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และใส่ขันดอก
  7. มรหสพสมโภชถวาย
  8. การแสดงซอล้านนา
  9. การแสดงศิลปวัฒนธรรม
  10. การออกโรงทาน

 

วัดกลางเวียง ร่วมกับ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย สมาคมปี่ซอล้านนาจังหวัดเชียงราย และเครือข่ายทางวัฒนธรรม จัดโครงการส่งเสริมการอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กิจกรรมสืบสานงานประเพณี เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกเมืองเชียงราย ประจำปี 2567 ในระหว่างวันที่ 3 – 9 มิถุนายน 2567 ณ วัดกลางเวียง ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่น และรักษาวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยู่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นการสร้างความสามัคคี และสร้างขวัญกำลังใจแก่พุทธศาสนิกชนชาวเชียงราย ก่อให้เกิดความตระหนักสำนึกรักถิ่นกำเนิด ตลอดจนส่งเสริมย่านสร้างสรรค์เมืองเก่าเชียงราย โดยมี คณะสงฆ์ พระเถรานุเถระ ผู้บริหาร คณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ข้าราชการ ผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชน คณะศรัทธา ศิษย์ยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนเข้าร่วม งาน

 

ในการนี้ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายสุพจน์ ทนทาน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นายวิชชากรณ์ กาศโอสถ นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ นายอภิชาต กันธิยะเขียว นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ นางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลุ่มพิธีฯ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมกิจกรรม และปฏิบัติงานพิธีฯ อำนวยความสะดวกแด่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนที่เข้ามาร่วมงาน

 

 

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
TOP STORIES

จังหวัดเชียงใหม่ มีคน ‘รายได้น้อย’ ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศ

 
ข้อมูลวิจัยของ Worldbank ระบุ แม้ตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา กรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลง สามารถลดความยากจนได้ประมาณ 10% ต่อปี แต่ด้วยประเทศไทย เป็นเมืองเกษตรกรรม คนแต่ละภูมิภาคยังพึ่งพาการเกษตร เป็นแหล่งรายได้ที่พร้อมจะเผชิญปัจจัยแปรปรวน น้ำท่วม น้ำแล้ง ตลอดเวลา ราคาซื้อ-ขายพืชผล จึงขึ้นลงตามสภาพอากาศ ทำให้ “ประเทศไทย” ยังคงติดกับดักอยู่ในตำแหน่งประเทศรายได้ปานกลางมาเป็นเวลานานแล้ว 
 

“คนจน” ไม่ได้ยืนอยู่บนมิติในแง่รายได้ต่ำ กำหนดด้วยปริมาณเงินในกระเป๋าต่อเดือน/ต่อปีเท่านั้น แต่จากข้อมูลวิเคราะห์ของ ระบบ TPMAP หรือ Thai People Map and Analytics Platform ซึ่งถือเป็นระบบ Big Data ของภาครัฐที่สามารถระบุได้ว่า คนจนนั้นอยู่ที่ไหน มีปัญหาในมิติอะไรบ้าง? 

พบว่าอัปเดตปี 2566 ภาพรวมคนจนของประเทศไทย (เป้าหมายที่ต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ) มีจำนวนอยู่ที่ 655,365 คน ทั้งนี้ มาจากประชากรสำรวจ 36,130,610 คน โดยวัดจาก 5 มิติด้วยกัน และพบว่าคนจน 1 คน มีปัญหาได้มากกว่า 1 ด้าน

  1. ด้านสุขภาพ 
  2. ด้านความเป็นอยู่ 
  3. ด้านการศึกษา 
  4. ด้านรายได้ 
  5. ด้านการเข้าถึงบริการรัฐ 

ยกตัวอย่าง ในเกณฑ์ด้านความเป็นอยู่ รัฐจะพิจารณาจากเงื่อนไขหลักๆ เช่น 

  • ครัวเรือนมีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย และบ้านมีสภาพคงทนถาวรหรือไม่
  • ครัวเรือนมีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและบริโภคเพียงพอตลอดปี อย่างน้อยคนละ 5 ลิตรต่อวันหรือไม่ 
  • ครัวเรือนมีน้ำใช้เพียงพอตลอดปี อย่างน้อยคนละ 45 ลิตรต่อวันหรือไม่
  • ครัวเรือนมีการจัดการบ้านเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด และถูกสุขลักษณะหรือไม่ 

ขณะในมาตรวัดด้านรายได้ ประเมินจากช่วงอายุ อาชีพ และรายได้ที่เหมาะสมทั้งรายบุคคลและระดับครัวเรือน นอกจากนี้ จำนวนคนจนยังถูกนับเข้ามาจากข้อมูลผู้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงการคลังอีกด้วย 

เจาะความหมายของรัฐเกี่ยวกับมิติความยากจน คือ 1. จนเงิน ไม่มีเงิน ขาดเงินทุน เข้าไม่ถึงแหล่งทุน 2. จนทางสังคม ขาดสถานะทางสังคม 3. จนทางวัฒนธรรม ขาดการมีส่วนร่วม 4. จนทางการศึกษา ด้อยโอกาส และขาดความรู้ความสามารถ 5. จนทางการเมือง 6. จนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่มีโอกาสได้สิทธิในการใช้ประโยชน์ และ 7. จนทางจิตวิญญาณ ขาดการมีโอกาสใช้ความคิดริเริ่มใหม่ๆ 

 

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดข้อมูล “บิ๊กดาต้า” สำรวจปริมาณคนจนแบบครบวงจร ครั้งแรกของประเทศไทย นายศรัณย์ สัมฤทธ์เดชขจร ผอ.เนคเทค เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า ปัจจุบันประเทศ ไทยใช้เส้นความยากจนที่เป็นทางการคือ ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 2,667 บาทต่อคน/เดือน หากมองย้อนไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าปัญหาความยากจนในภาพรวมของไทยลดลงอย่างมาก จำนวนคนจนลดลงประมาณ 28 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว จากจำนวนคนจน 34.1 ล้านคน ในปี 2531 เหลือเพียง 5.8 ล้านคน ในปี 2559 สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 65.2 เป็นเพียงร้อยละ 8.6 ในปี 2559 ทั้งนี้ การประเมินสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย สะท้อนถึงสถานการณ์ที่แท้จริงได้ จำเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดจากหลายด้านมาประกอบกัน นอกจากคิดจากรูปแบบตัวเงินแล้วยังพิจารณาในมิติอื่นๆด้วย

 

ผอ.เนคเทคกล่าวต่อว่า จึงเป็นที่มาให้คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ มีมติเห็นชอบการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อศึกษาการพัฒนาระบบ “บิ๊กดาต้า” ของภาครัฐและมอบให้ ศสช.ร่วมกับเนคเทค พัฒนาระบบ TPMAP ซึ่งเป็นระบบบิ๊กดาต้าของภาครัฐ ในประเด็นการแก้ปัญหาความยากจนที่สามารถระบุความยากจนในระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่ หรือปัญหาความยากจนรายประเด็น ทำให้เกิดการแก้ปัญหาความยากจนได้ตรงจุดมากขึ้น เนคเทคพร้อมทีมนักวิจัยลงพื้นที่จริงสำรวจข้อมูลสัมภาษณ์ ใช้ข้อมูลการสำรวจความจำเป็นพื้นฐาน กรมพัฒนาชุมชน ที่พบว่ามีคนจนทั่วประเทศ 36,647,817 คน และจากการลงทะเบียนคนจน กระทรวงการคลัง 11 ล้านคน นำทั้งหมดมาหาค่าผู้ที่ยากจน จากการวัดผลใน 5 มิติ คือ รายได้ การศึกษา สุขภาพ ความเป็นอยู่และการเข้าถึงบริการทางภาครัฐ พบว่า มีคนจนใน 5 มิติ ทั่วประเทศ 1,032,987 คน ลดลงจากปี 2560 ที่พบ 1.3 ล้านคน ข้อมูลดังกล่าวนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการ การแก้ปัญหาตามความเหมาะสมแล้ว

 

นายสุทธิพงศ์ ธัชยพงษ์ นักวิจัยการวิเคราะห์ข้อมูลและการคำนวณเนคเทค กล่าวว่า ในการสำรวจข้อมูลพบว่าจังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดคือ เชียงใหม่ มี 54,887 คน โดย อ.อมก๋อย มีจำนวนคนจนมากที่สุดคือ 4,441 คน ขณะที่จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนมากที่สุดคือแม่ฮ่องสอน 22,783 คน โดย อ.ปางมะผ้า มีคนจน 3,040 คน และพื้นที่ที่มีคนจนมากที่สุดคือ ต.นาปู่ป้อม มี 933 คน จังหวัดที่มีคนจนน้อยที่สุด คือ สมุทรสงคราม มี 903 คน โดย ต.บางนางลี่ อ.อัมพวา มีคนจน 16 คน สำหรับจังหวัดที่มีสัดส่วนของคนจนน้อยที่สุด คือหนองบัวลำภู มีคนจน 1,277 คน ทั้งนี้ สัดส่วนจะเทียบจากจำนวนประชากรในจังหวัดนั้นๆ แต่ถ้าเป็นจำนวนคนจนคือเฉลี่ยจากประชากรในจังหวัดนั้น

 

“หากแยกละเอียดลงไปตามมิติต่างๆ พบว่า มิติทางด้านสุขภาพ มีคนจน 217,080 คน มิติความเป็นอยู่มีคนจน 244,739 คน มิติการศึกษามีคนจน 378,080 คน มิติรายได้คือรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 2,067 บาท 376,091 คน ในมิติเข้าถึงบริการของรัฐมีคนจน 6,490 คน ทั้งนี้ สัดส่วนของคนจนมาจากเอาจำนวนคนจนทั้งหมดหารปริมาณประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เรื่องความยากจนกับเรื่องความสุขของประชาชนในบางพื้นที่ อาจจะไม่สอดคล้องกัน เช่น ที่แม่ฮ่องสอน พบว่าบางมิติไม่ค่อยดีนัก เช่น เรื่องการเข้าถึงการศึกษา และรายได้ต่ำมาก แต่กลับพบว่าคนเหล่านี้มีความสุข ทั้งนี้ในอนาคตจะเพิ่มข้อมูลเรื่องดัชนีความสุข เข้าเป็นตัวชี้วัดเพิ่มเข้าไปด้วย” นายสุทธิพงศ์กล่าว

 

นายสุทธิพงศ์กล่าวอีกว่า สำหรับการพิจารณาความยากจนในมิติต่างๆนั้นนักวิจัยจะพิจารณาจากข้อมูลทั้งของกระทรวงการคลังและกรมพัฒนาชุมชน รวมกับการเข้าไปสัมภาษณ์รายบุคคลของเนคเทค เช่น มิติด้านสุขภาพ พิจารณาจากจำนวนเด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 2.5 กิโลกรัม ด้านการศึกษาพิจารณาจากเด็กอายุ 3-5 ปี ได้รับการเตรียมพร้อมพร้อมวัยเรียนหรือไม่ 6-14 ปี ไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับกี่คน เป็นต้น ด้านรายได้ พิจารณาจากคนที่มีอายุ 15-59 ปี กี่คน ที่ไม่มีอาชีพ หรือไม่มีรายได้ เรื่องความเป็นอยู่ พิจารณาจาก ครัวเรือนมีน้ำใช้เพียงพอหรือไม่ ที่อยู่อาศัยมั่นคงหรือไม่ และเรื่องการเข้าถึงบริการภาครัฐ พิจารณาจากจำนวนผู้พิการ ผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแล

 

จากที่ระบุตัวเลขดังกล่าว มาจากตัวอย่างการสำรวจราว 36 ล้านคนเท่านั้น ทำให้ฐานข้อมูลค่อนข้างแตกต่างจากข้อมูลของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ประมวลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ และมีข้อมูลสรุปว่า ปัจจุบันไทยมีคนยากจน (ตามดัชนี MPI) ราว 4.4 ล้านคน และอีกก้อนคือกลุ่มที่มาลงทะเบียนกับรัฐ (บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) รวม 11.4 ล้านคน 

เจาะเชิงลึก อ้างอิงข้อมูลชุดของระบบ TPMAP 

5 อันดับ คนจน “มากสุด”

  • เชียงใหม่ 
  • นครศรีธรรมราช
  • อุดรธานี
  • กระบี่
  • บุรีรัมย์ 

5 อันดับ คนจน “น้อยสุด”

  • สมุทรสาคร
  • ตราด
  • สมุทรสงคราม
  • แพร่
  • พังงา 

รายได้เท่าไร ถึงเรียกว่า “จน” 

วิเคราะห์แง่รายได้ ที่ใช้ตัดเส้นความยากจนตามรายภูมิภาค ดังนี้ 

  • กทม. : ต่ำกว่า 3,556 บาท/เดือน
  • ภาคกลาง : ต่ำกว่า 3,175 บาท/เดือน
  • ภาคเหนือ : ต่ำกว่า 2,678 บาท/เดือน
  • ภาคอีสาน : ต่ำกว่า 2,684 บาท/เดือน
  • ภาคใต้ : ต่ำกว่า 3,036 บาท/เดือน 

“เบอร์กิท ฮานสล์” ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย ช่วงปี 2561 เคยกล่าวไว้ว่า “แนวโน้มความยากจนในช่วงที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าแม้ประเทศไทยจะมีการพัฒนาการด้านเศรษฐกิจที่ดีในระดับหนึ่ง แต่กระนั้นครัวเรือนก็ยังมีความเปราะบางต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง และภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ”

ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยจะก้าวสู่สถานะประเทศที่มีรายได้สูงอย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้นั้น ครัวเรือนของประเทศไทยต้องได้รับการปกป้องจากการที่รายได้ของครัวเรือนปรับลดลงรุนแรง เช่น จากความเจ็บป่วย การตกงาน และภัยธรรมชาติที่ดีกว่านี้ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประเทศไทยต้องสนับสนุนให้มีการสร้างงานที่มีผลิตภาพ และงานที่มีค่าจ้างที่สูงกว่านี้ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ ลุยต่อสถานบันเทิงครบวงจร หวังดึงรายได้เข้าไทย 1.2 หมื่นล้านบาท

 
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินการเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร หลังได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง ศึกษาความเป็นไปได้โดยละเอียด และพิจารณายกร่างกฎหมายพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. … โดยนำร่าง พ.ร.บ. ฉบับกรรมาธิการมาพิจารณาประกอบกับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติ ครม. (9 เมษายน 2567) พร้อมจัดทำแผนการออกกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอให้ ครม. พิจารณา
 

เนื่องจากการตั้งสถานบันเทิงครบวงจรทั่วโลก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1.5 ล้านล้านดอลาร์สหรัฐ หรือ 54 ล้านล้านบาท ในปี 65 และคาดว่าในปี 67 มูลค่าถึง 79 ล้านล้านบาท โดยมาเก๊า เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประชาชน 7 แสนคนต่อทำรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท โดยญี่ปุ่น เตรียมเปิดสถานบันเทิงครบวงจรครั้งแรก 3 แห่ง ทั้งเมืองโอซาก้า ในปี 2571 ที่เมืองนางาซากิ ในปี 73 และเมืองฟูกูโอกะในปี 74 จึงคาดว่าไทย หากสร้าง เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์ จะสร้างรายได้เข้าประเทศ 1.2 หมื่นล้านบาทในปีแรก

นายกฯ สั่งการให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานอย่างเหมาะสม เพื่อเสนอ ครม. พิจารณา เพื่อดูแลและเยี่ยวยาปัญหาแรงงาน ผู้ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจชะลอตัว จากปัญหาโรงงานทั่วประเทศ ต้องปิดตัวลง หรือเลิกจ้างงาน

นายกรัฐมนตรี เห็นว่า หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบในอนาคต ไทยจะมีการลงทุน Mega project ขนาดใหญ่  มีสนามกีฬานานาชาติแห่งใหม่ มีศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ Concert Hall หรือพื้นที่จัดแสดงสินค้าพื้นบ้าน โดยพื้นที่ในการเล่นการพนันหรือ Gaming floor มีสัดส่วนเพียงแค่ 3-10% ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้น

โดยนายกรัฐมนตรีได้ย้ำ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมาว่า มติเห็นชอบผลการศึกษาในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาบ่อนพนัน ด้วยการนำเศรษฐกิจสีเทาขึ้นมากำกับดูแล และ เก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง พร้อมย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้ต้องการส่งเสริมการพนัน  แต่ต้องการกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล แล ะนำรายได้จากการส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่มาใช้ในการพัฒนาประเทศ สร้างงาน สร้างอาชีพ และ หลังจากนี้ ครม.จะต้องศึกษา และ ยกร่างกฎหมายให้สภาฯ พิจารณาต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาไทยเสียเวลาและโอกาสมากพอแล้ว ถึงเวลาทวงคืนเวลาที่สูญเสียไปให้กลับมาเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ข้อมูลจากสภาพัฒน์ฯ บอกคนไทย อายุ 15-49 ปี กำลัง “โสด” ถึง 40.5%

 
เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2567 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงเรื่องภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 โดยข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) พ.ศ.2566 พบว่าคนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 23.9 หรือ 1 ใน 5 ของคนไทย และหากพิจารณาเฉพาะช่วงวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่อายุ 15-49 ปีจะมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 40.5 สูงกว่าภาพรวมประเทศเกือบเท่าตัว และเพิ่มขึ้นจาก พ.ศ.2560 (ร้อยละ 35.7) 
 
โดย ร้อยละ 50.9 อยู่ในช่วงอายุ 15 – 25 ปี สัดส่วนการแต่งงานในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ปี 2560 -2566 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ ร้อยละ 52.6 ลดลงจากปี 2565 ที่อยู่ที่ร้อยละ 53.2 และลดลงจากปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 57.9 ขณะเดียวกันการหย่าร้างในอัตราที่สูงขึ้น โดยในปี 2566 มีประมาณ 400,000 คู่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 22
 
 

โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นคนโสดแบ่งได้เป็น 4 ด้าน คือ

1) ค่านิยมทางสังคมของการเป็นโสดยุคใหม่ อาทิ “SINK (Single Income,No Kids)” หรือคนโสดที่มีรายได้และไม่มีลูก” เน้นใช้จ่ายเพื่อตนเอง จากข้อมูล SES ในปี 2566 พบว่า สัดส่วนคนโสด SINK สูงขึ้นตามระดับรายได้ “PANK (Professional Aunt, No Kids)” หรือกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ อาชีพการงานดีและไม่มีลูก” ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลหลาน เด็กในครอบครัวรอบตัว

 

โดยคนโสด PANK มีจำนวน 2.8 ล้านคน ส่วนใหญ่มีรายได้ดีและจบการศึกษาสูง และ “Waithood” กลุ่มคนโสดที่เลือกจะรอคอยความรักเนื่องจากความไม่พร้อม ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากคนโสดร้อยละ 40 ที่มีรายได้ต่ำสุด โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 37.7 ส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึงร้อยละ 62.6 มีระดับการศึกษาที่ไม่สูงนัก ทำให้ความสามารถในการหารายได้จำกัด

2) ปัญหาความต้องการ ความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นผลจากความคาดหวังทางสังคมและทัศนคติต่อการมองหาคู่ของคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัท มีทแอนด์ลันช์ สาขาประเทศไทย (2021) พบว่าผู้หญิงกว่าร้อยละ 76.0 จะไม่เดทกับผู้ชายที่มีรายได้น้อยกว่า และร้อยละ 83.0 ไม่คบกับผู้ชายที่มีส่วนสูงน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ผู้ชายร้อยละ 59.0 จะไม่คบกับผู้หญิงตัวสูงกว่า และอีกว่าร้อยละ 60.0 ไม่เดทกับผู้หญิงที่เคยหย่าร้าง

3) โอกาสในการพบปะผู้คน โดยใน พ.ศ.2566 คนโสดมีชั่วโมงการทำงานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ โดยข้อมูลจาก LFS สำนักงานสถิติแห่งชาติ เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์ สูงกว่าภาพรวมประเทศ (42.3 เฉลี่ยอยู่ที่ 43.2 ชั่วโมง/สัปดาห์)

อีกทั้งกรุงเทพฯ ยังจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ของเมืองที่แรงงานทำงานหนักที่สุดในโลก ทำให้คนโสดไม่มีโอกาสในการมองหาคู่

4) นโยบายส่งเสริมการมีคู่ของภาครัฐยังไม่ต่อเนื่องและครอบคลุมความต้องการของคนโสด โดยนโยบายส่งเสริมการมีคู่ของไทยในช่วงที่ผ่านมายังมีไม่มากนัก โดยเน้นไปที่กลุ่มคนโสดที่มีความพร้อม ขณะที่ ในต่างประเทศมีแนวทางการส่งเสริมการมีคู่ที่ครอบคลุมไปถึงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และการสร้างโอกาสในการมีคู่

 

 

ทั้งนี้ มีแนวทางสนับสนุนให้คนมีคู่ ดังนี้

1) การสนับสนุนเครื่องมือการ Matching คนโสด โดยภาครัฐอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการพัฒนาแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมให้คนโสดสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น

2) การส่งเสริมการมี Work-life Balance ทั้งในภาครัฐและเอกชน ทำให้คนโสดมีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น และเพิ่มโอกาสให้คนโสดมีเวลาทำกิจกรรมที่ชอบและพบเจอคนที่น่าสนใจมากขึ้น

3) การยกระดับทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เพิ่มโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพการงานและรายได้ซึ่งคนโสดยังมีโอกาสพบรักจากสถานศึกษาได้อีกด้วย

4) การส่งเสริมกิจกรรมและการมีส่วนร่วมทางสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนโสดมีโอกาสพบปะและสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆได้

 

 

สำหรับปัญหาสุขภาพจิตยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสังคมไทย โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า มีผู้ป่วยจิตเวชเข้ารับบริการเพิ่มขึ้น จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งหากพิจารณาในรายละเอียด จะพบประเด็นที่มีความน่ากังวล ดังนี้

1.แม้ว่าประเทศไทยจะมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษา 2.9 ล้านคน แต่ผู้มีปัญหาอาจมากถึง 10 ล้านคน ทำให้สัดส่วนผู้มีปัญหาสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับโลก และสะท้อนให้เห็นว่ายังมีผู้ที่ไม่ได้เข้ารับรักษาเป็นจำนวนมาก

2.ผู้มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตมีสัดส่วนสูงเช่นกัน โดยระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2566 – 22 เม.ย.2567 พบผู้มีความเครียดสูงถึงร้อยละ 15.48 เสี่ยงซึมเศร้า ร้อยละ 17.20 และเสี่ยงฆ่าตัวตายร้อยละ 10.63 ซึ่งแย่ลงกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา

3) ปัญหาสุขภาพจิตไม่เพียงกระทบต่อตนเอง แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดคิด องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลของประชากรทั่วโลก ทำให้วันทำงานหายไปประมาณ 12 พันล้านวัน สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

4) เกือบ 1 ใน 5 ของผู้มีปัญหาสุขภาพจิตไม่สามารถดูแลตนเองได้ ทำให้ครัวเรือนต้องจัดหาผู้ดูแลและเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ไม่ถึง 1 ใน 4 ที่ได้รับการติดตามดูแลและเฝ้าระวังตามแนวทางที่กำหนด

5) สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความกดดันส่งผลให้คนไทยเป็นโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวลมากขึ้น ในงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบสัดส่วนผู้ป่วยกลุ่มโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า สูงเป็น 2 อันดับแรก สูงกว่าผู้ป่วยติดยาบ้าและยาเสพติดอื่น ๆ รวมกัน

6) การฆ่าตัวตายสูงใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 7.94 ต่อประชากรแสนคน ใกล้เคียงช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง (8.59 ต่อประชากรแสนคน)

7) ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตภายใน จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเยาวชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0 ซึ่งไทยต้องเฝ้าระวังเนื่องจากกำลังประสบปัญหาฝุ่น PM 2.5 สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

นอกจากนี้ หากพิจารณาตามช่วงวัย พบว่าวัยเด็กและเยาวชนมีปัญหาสุขภาพจิตที่น่ากังวลหลายเรื่องโดยเฉพาะความเครียด ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเรียนและความคาดหวังด้านการทำงานในอนาคต และสถานะทางการเงินของครอบครัว นอกจากนี้การกลั่นแกล้ง (Bully) ในโรงเรียน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

วัยทำงานความรับผิดชอบสูง และหลายปัญหารุมเร้า บริษัท Kisi พบว่า ในปี 2565 กรุงเทพฯ อยู่ในอันดับ 5 จาก 100 เมืองทั่วโลกที่มีผู้คนทำงานหนักเกินไป สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบว่า คนกรุงเทพฯ 7 ใน 10 หมดไฟในการทำงาน อีกทั้ง ข้อมูลจากสายด่วน 1323 ของกรมสุขภาพจิต พบว่า ปี 2566 วัยแรงงานขอรับบริการเรื่องความเครียด วิตกกังวล ไม่มีความสุขในการทำงานถึง 5,989 สาย จากทั้งหมด 8,009 สาย

สำหรับ ผู้สูงวัยต้องอยู่กับความเหงาและโดดเดี่ยว สูญเสียคุณค่าในตนเอง ในปี 2566 พบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 84.93 มีความสุขในระดับที่ดีแต่จะลดน้อยลงตามวัย ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดกิจกรรมและบทบาททางสังคม อีกทั้ง ยังพบผู้สูงอายุที่ต้องอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้น และมีผู้สูงอายุอีก 8 แสนคน มีภาวะความจำเสื่อม ซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพจิตด้านอื่นร่วมด้วย

สถานการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาพจิตต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ทั้งการป้องกันต้องสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว เน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

การรักษา เร่งเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอรวมทั้งขยายบริการการรักษาผู้ป่วยจิตเวชในสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด อีกทั้งต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการบริการ

รวมถึงการติดตามและฟื้นฟูเยียวยา ต้องจัดทำฐานข้อมูลกลางด้านสุขภาพจิตที่ครอบคลุม เร่งติดตามผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงให้ได้รับการรักษาต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาระบบสวัสดิการชุมชนและสังคม ในการส่งเสริมการฟื้นฟูสภาพจิตใจและขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพจิต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :  สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ม่วนคัก ม่วนหลายไทยอีสาน ล้านนา เทศกาลงานบั้งไฟ ปี 67 อ.เทิง

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน 2567 เวลา 13.30 น.นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงานประเพณีงานบุญบั้งไฟ ไทยอีสาน-ล้านนา พร้อมด้วยนายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายบุญตัน เสนคำ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเทิง เขต 1 ร่วมเปิดงานในครั้งนี้ โดยมีนายเทวฤทธิ์ กองจา นายกองค์การบริหารส่วนตำบลศรีดอนไชย กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ พร้อมคณะกรรมการจัดงาน

 

การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นงานประเพณีของท้องถิ่นดั้งเดิมที่จัดขึ้นในภาคอีสานซึ่งในเขตตำบลศรีดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย มีประชากรบางส่วนที่พื้นเพดั้งเดิมเป็นคนอีสาน และได้โยกย้ายมาตั้งรากฐานที่บ้านป่าตึงงาม หมู่ที่ 6 และบ้านทุ่งสง่า หมู่ที่ 9 โดยได้สืบสานประเพณีไทยอีสานนั้น คือประเพณีบุญบั้งไฟ และชาวตำบลศรีดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้ถือปฏิบัติเป็นประจำทุกปีสำหรับปีนี้ 
 
 
ได้กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นการจัดขบวนแห่บั้งไฟ และวันที่ 2 มิถุนายน 2567 เป็นวันจุดบั้งไฟขึ้น ซึ่งคนไทยอีสานเชื่อกันว่าการจุดบั้งไฟตาม ตำนาน เล่าขานเป็นการเสี่ยงทาย และบนบานขอให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่พี่น้องผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ประการสำคัญการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟในวันนี้ ชาวตำบลศรีดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ได้กำหนดจัดขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคีของประชาชนในตำบลศรีดอนไชย และบริเวณใกล้เคียงในเขตอำเภอเทิง เพื่อเป็นการ สืบสานวัฒนธรรมไทยอีสาน ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนอีสานอย่างแท้จริง โดยเน้นการดำเนินงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสำคัญ และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายอีกด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย เยียวยาและมอบรางวัล ผลการปฏิบัติการป้องกันการเผา

 

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานมอบเงินเยียวยาแก่ผู้บาดเจ็บจากการปฎิบัติงานด้านการจัดการไฟป่า เงินรางวัลผู้แจ้งเบาะแสการลักลอบเผา พร้อมมอบเงินรางวัลผลงานการปฎิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในที่โลกทุกชนิดระดับตำบล แก่ผู้แทนตำบลและอำเภอ ที่การประชุมกรมการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ประจำจังหวัดเชียงราย ห้องประชุมจอมกิตติ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

 

ตามที่จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและPM 2.5 จังหวัดเชียงราย ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์ประสานการปฎิบัติเฝ้าระวังติดตาม บริหารจัดการสถานการณ์ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นมา จังหวัดเชียงรายได้มีประกาศห้ามการเผาในที่โล่งทุกชนิดโดยเด็ดขาด “76 วัน ปลอดการเผา” ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึง 30 เมษายน 2567  เพื่อควบคุมและป้องกันการเผา เป็นสาเหตุของการสะสมของฝุ่นละออง มลพิษทางอากาศ อันส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยได้สรุปผลการดำเนินงานในห้วงห้ามเผา จังหวัดเชียงรายเกิดจุดความร้อน จำนวน 1,962 จุด ลดลงจากปีที่ผ่านมา 5,826 จุด คิดเป็นร้อยละ 74.81 (ปี 2566 จำนวน 7,788 จุด) ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM 2.5) เฉลี่ย 24 ชั่วโมงเกินมาตรฐานสูงสุด 209.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2567 ณ สถานีตรวจวัดตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย

 


ทั้งนี้จังหวัดเชียงรายได้มอบเงินเยียวยาการบาดเจ็บจากการปฎิบัติงาน จำนวน 6 ราย ประกอบด้วยอำเภอเชียงของ 2 ราย อำเภอแม่สรวย 1 ราย อำเภอเมืองเชียงราย 1 ราย และอำเภอเวียงป่าเป้า 1 ราย  เงินรางวัลนำจับให้แก่ผู้แจ้งเบาะแสจำนวน 10 คดี ประกอบด้วย อำเภอเชียงของ 3 ราย อำเภอแม่สรวย 3 ราย อำเภอเวียงชัย 1 ราย อำเภอพญาเม็งราย 1 ราย อำเภอแม่ฟ้าหลวง 1 ราย และชุดปฏิบัติการของสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้2 จำนวน 1 ราย 
สำหรับผลการประกวดผลงานการปฎิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งทุกชนิด ระดับตำบล มีตำบลที่ได้รับรางวัล จำนวน 11 รางวัล โดยแบ่งเป็นกลุ่มตำบลเสี่ยงน้อย 3 รางวัล อันดับหนึ่ง ได้แก่ ตำบลต้า อำเภอขุนตาล อันดับที่2 ตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย อันดับที่ 3 ตำบลม่วงคำ อำเภอพาน กลุ่มตำบลเสี่ยงปานกลาง จำนวน 5 รางวัล อันดับหนึ่ง ตำบลเจดีย์หลวง อำเภอแม่สรวย อันดับ 2 ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมืองเชียงราย และตำบลแม่พริก อำเภอแม่สรวย อันดับที่ 3 ตำบลห้วยสัก และตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย และกลุ่มตำบลเสี่ยงสูง รวม 3 รางวัล อันดับที่1 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย อันดับที่ 2 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน และอันดับที่ 3 ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย

 

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ขอให้ทุกภาคส่วน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ ขอให้ตั้งใจ อุทิศตน ร่วมมือร่วมใจกันเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า ขอให้ตั้งเป้าหมายการลดจุดความร้อนของจังหวัดเชียงราย ให้ลดลงในปีต่อไป ซึ่งการมอบรางวัลในครั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานที่ได้เสียสละและอุทิศเวลาให้ทางราชการ และเพื่อเป็นการยกย่องสรรเสริญให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่นๆต่อไป

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เสน่ห์ชาติพันธุ์เชียงราย อ.แม่สาย

 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานต้อนรับคณะฝึกอบรมทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยว ในโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย “ 3 พี่น้องท้องถิ่นรวมใจ สู่เชียงรายเที่ยวได้ ทั้งปีมีดีทุกเดือน” กิจกรรม ฝึกอบรมทดสอบเส้นทางการท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์ เส้นทางที่ 1 : เส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเสน่ห์ชาติพันธุ์เชียงราย พร้อมด้วย นายอนุชา ยอดเชียงคำ ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่สาย เขต 1 นายชาญชัย แสนรัตน์ ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่สาย เขต 2 นายอนุภาส ปฏิเสน ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่สาย เขต 3 โดยมี นายฉัตรชัย ชัยศิริ นายก ทต.เวียงพางคำ นายชูศักดิ์ มุมานะกุล ผู้ใหญ่บ้านดอยผาหมี ม.6 นางสาวผกากานต์ รุ่งประชารัตน์ ปธ.ชุมชนท่องเที่ยวดอยผาหมี ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น ร่วมให้การต้อนรับในครั้งนี้ด้วย

 

 

และในเวลา 19.30 น. นายก นก พร้อมด้วย นายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น รองประธานสภา อบจ.เชียงราย นายชินกร ก๊อใจ ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่จัน เขต 2 นางปาริชาติ จิระมณี ส.อบจ.เชียงราย อ.แม่จัน เขต 2 นายวาโย ด่านไทยวัฒนา นายก ทต.แม่คำ อ.แม่จัน อ.ทรงเดช ทิพย์ทอง ศิลปินแห่งชาติ ได้ร่วมงานขันโตกต้อนรับคณะฝึกอบรมฯ ณ บ้านแม่หลวงสวย บ้านโบราณไทยอง ต.แม่คำ อ.แม่จัน
 
 
อบจ.เชียงราย ได้กำหนดโครงการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ภายใต้นโยบาย เชียงรายเที่ยวได้ทั้งปีมีดีทุกเดือน เป็นนโยบายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจ.เชียงราย ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางตลอดทั้งปี รวมถึงการจัดให้มีแหล่งท่องเที่ยวกระจายไปในทุกอำเภอ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงมีการจัดกิจกรรมเชิญชวนและส่งเสริมการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ดึงดูดและกระตุ้นเศรษฐกิจให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยว จ.เชียงราย อย่างต่อเนื่อง เสริมสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวให้เกิดการเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.เชียงราย กระจายรายได้สู่ประชาชน ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เป็นการสร้างภาพลักษณ์และแสดงถึงศักยภาพ ของ จ.เชียงราย เมืองท่องเที่ยวสำคัญในการจัดกิจกรรมทดสอบเส้นทางท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์ โดยบูรณาการ ร่วมกับพี่น้องท้องถิ่นทุกอำเภอ ใน จ.เชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ประเพณีเดือน 8 เข้าเดือน 9 ออกใส่ขันดอกสะดือเมืองเชียงราย

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2567 เทศบาลนครเชียงรายโดย นายวันชัย  จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย  พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ผู้บริหารสถานศึกษาเทศบาลนครเชียงราย ร่วมงานประเพณีเดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกสะดือเมืองเชียงราย เพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามของล้านนา ณ วัดกลางเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

 

วัดกลางเวียง เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 1975 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงราย เดิมมีชื่อว่า วัดจั๋นตะโลก หรือ วัดจันทน์โลก เนื่องจากสมัยก่อนมี ต้นจันทน์แดง ไม้มงคลที่เอาไว้ใช้บูชาพระตามธรรมเนียมโบราณขึ้นอยู่ตามธรรมชาติรอบๆ วัด จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ หลังจากที่เชียงรายตกอยู่ในภาวะสงครามในเวลาต่อ วัดจันทน์โลกก็ถูกทิ้งร้าง และชำรุดทรุดโทรม ก่อนจะมีการบูรณะวัด และรังวัดใหม่จาก 4 มุมเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2417 แล้วพบว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเชียงรายพอดี จึงมีการสถาปนา สะดือเวียง หรือ เสาหลักเมืองขึ้น และเปลี่ยนชื่อเป็น วัดกลางเวียง ที่แปลว่า “วัดกลางเมือง” นับแต่นั้นมา  

 

จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมประเพณีเดือนแปดเข้าเดือนเก้าออก ใส่ขันดอกวัดกลางเวียง ระหว่างวันที่ 3-9  มิถุนายน 2567

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงราย เตรียมทีมดูแลอาคาร ที่ขึ้นเป็นโบราณสถานให้ทรงคุณค่า

เมื่อวันที่  30 พฤษภาคม 2567 เวลา 09.00 น.นายกฤศ โพธสุธน รองนายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานการประชุมพิจารณาแนวทางการหาแนวทางการประคองโครงสร้างอาคารไม่ให้เกิดความเสียหาย ณ อาคารศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน อบจ.เชียงราย โดยมี นายพรรษพล ขันแก้ว นายช่างศิลปกรรมอาวุโส สำนักศิลปากรที่ 7 ผศ.ดร.รัฐพล เกติยศ รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา เชียงราย นายศุภกฤต แสนอินเมือง ผอ.ส่วนวิศวกรรมการก่อสร้าง นายสันติชาติ ชัยภมรฤทธิ์ สถาปนิกชำนาญการพิเศษ และนางปัทมา สมประสงค์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ร่วมการประชุมฯ ในครั้งนี้ด้วย

 

ตามที่กรมศิลปากรแจ้งผลพิจารณาการขออนุญาตปรับปรุงช่อมแชมอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงราย และอนุญาตให้อบจ.เชียงราย ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารจังหวัดเชียงราย(หลังเดิม) ตามรูปแบบที่เสนอได้ โดยให้อยู่ในการกำกับดูแลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ และต้องยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบได้ตลอดเวลา รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด อบจ.เชียงรายได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประจำปีงบประมาณ 2568 โครงการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว เชิงศิลปวัฒนธรรมเชิงนิเวศเชิงสุขภาพและบริเวณโดยรอบ กิจกรรมหลัก พัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว เชิงศิลป์วัฒนธรรม กิจกรรมย่อยปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก ซึ่งอยู่ในกระบวนการพิจารณา

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 อบจ.เชียงราย ได้ประสาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย ทำการสำรวจและวิเคราะห์โครงสร้างของอาคารในเบื้องต้น พบว่าส่วนของโครงสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก มีความชำรุดเสียหายเป็นอย่างมาก ไม่ปลอดภัยต่อการใช้งาน เนื่องจากพบการเคลื่อนตัวของโครงสร้างหลังคา มีรอยแยกพบการทรุดตัวของผนัง และบันได บริเวณ ชั้น 3 จำเป็นต้องมีการปรับปรุงซ่อมแชมประคองโครงสร้างอาคารอย่างเร่งด่วน ในระหว่างการรอการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อให้อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากร มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดเชียงราย มีความมั่นคงแข็งแรง จึงได้จัดการประชุมเพื่อร่วมกันหาแนวทางการประคองโครงสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกระหว่างรอการอนุรักษ์ที่เหมาะสม เมื่อได้รูปแบบการประคองโครงสร้างอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก และจะได้นำเสนอกรมศิลปากรในการขออนุญาตการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารดังกล่าวต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News