Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE VIDEO

ขอแสดงความยินดีกับ ‘ทีมกาสะลองเงิน’ ของ “โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย” คว้าแชมป์ การประกวดรวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ ปี 2567

 

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567  ที่เชียงใหม่ฮอลล์ เซ็นทรัลเชียงใหม่ แอร์พอร์ต ทีมกาสะลองเงิน ของโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดรวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พุทธศักราช 2567 เพื่อเชิดชูเกียรติการแสดงดนตรีและการแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือ

 

ทั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานและมอบรางวัลให้ทีมผู้ชนะในครั้งนี้ ทั้งนี้ การประกวดดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน “รวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ” ที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จัดประกวดขึ้นเพื่อถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมการแสดงและมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ในแต่ละภูมิภาคไปสู่สายตาประชาชน

ในปีนี้มีคณะที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ จำนวน 5 คณะ ประกอบด้วย

  1. คณะกาสะลองเงิน จากจังหวัดเชียงราย
  2. คณะร่มบัวสวรรค์ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี) จากจังหวัดปทุมธานี
  3. คณะลูกน้ำของ (โรงเรียนอนุบาลเชียงของ) จากจังหวัดเชียงราย
  4. คณะยุ้งข้าวสตูดิโอ จากจังหวัดเชียงใหม่
  5. คณะต้นกล้าดาราภิรมย์ จากจังหวัดเชียงใหม่.

สำหรับการประกวดรวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือนั้น ผู้เข้าประกวดจะต้องสร้างสรรค์ชุดการแสดงและการบรรเลง โดยนำเอาการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือมาเรียงร้อยให้มีความเชื่อมโยงที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ วิถีชีวิต ความเชื่อ พิธีกรรม วรรณคดีและวรรณกรรม ที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือ โดยด้านดนตรี ให้เลือกเครื่องดนตรีที่เหมาะสมกับการแสดง เช่น วงสะล้อ ซอ ซึง กลองสะบัดชัย หรือเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่เป็นดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ การแสดงพื้นบ้านร้อยเรียง เชื่อมโยงโดยอาศัยนาฏศิลป์พื้นบ้าน เช่น ฟ้อนดาบ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนสาวไหม หรือฟ้อนพื้นเมืองตามอัตลักษณ์ การแสดงท้องถิ่นของวัฒนธรรมในภาคเหนือ เป็นต้น

พร้อมทั้งการนำเสนอกิจกรรมเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อบูรณาการให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือได้อย่างเหมาะสมและลงตัว และการบรรเลงดนตรีประกอบการขับร้องทำนองมีเนื้อหาการแสดงเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีอยู่ในภาคเหนือ

 

ทั้งนี้ เกณฑ์การตัดสินจะพิจารณาจากด้าน 1. ดนตรี 2. การแสดง 3. การขับร้อง และ 4. กระบวนการบูรณาการ ซึ่งมีคณะกรรมการตัดสินเป็นผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ครอบคลุมทั้งด้านศิลปะการแสดง ด้านการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือและด้านดนตรีพื้นบ้านล้านนา ด้านการบรรเลงและการประพันธ์เพลงสร้างสรรค์ดนตรีพื้นบ้านล้านนา ซึ่งการประกวด “รวมศิลป์พื้นบ้านภาคเหนือ” ในครั้งนี้มีผลการประกวดดังนี้

1. รางวัลชนะเลิศ ได้รับถ้วยพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และเงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 100,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะกาสะลองเงิน จังหวัดเชียงราย

2. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ได้รับถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และเงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 80,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะต้นกล้าดาราภิรมย์ จังหวัดเชียงใหม่

3. รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ได้รับถ้วยรางวัลจากปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และเงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 50,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะร่มบัวสวรรค์ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี) จังหวัดปทุมธานี

4. รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล เงินรางวัลจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำนวน 10,000 บาท พร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ คณะลูกน้ำของ (โรงเรียนอนุบาลเชียงของ) จังหวัดเชียงราย และคณะยุ้งข้าวสตูดิโอ จังหวัดเชียงใหม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วช. ผนึกกำลัง ทีม EARTH รับมือ 1 ทศวรรษ แผ่นดินไหวแม่ลาว

 

 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ (EARTH: Earthquake Research Center of Thailand) มูลนิธิมดชนะภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จ.เชียงราย โดยมี ผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาวิชา ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิจัยในพื้นที่ เป็นผู้นำคณะลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทั้งหมด 5 จุด ณ พื้นที่ จ.เชียงราย 

 

           จุดแรกคณะได้ลงพื้นที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์” นำโดย รศ.ดร.ธีรพันธ์ อรธรรมรัตน์ จาก มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายแพทย์ศุภโชค มาศปกรณ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ 2 และทีมผู้บริหารโรงพยาบาลให้การต้อนรับ 

 

          รศ.ดร.ธีรพันธ์ฯ กล่าวว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้รับความเสียหายตรงบริเวณช่วงจุดเชื่อมต่อระหว่างอาคารเก่าและใหม่ โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น อาคารแตกเป็นรอยแนวตั้งยาวสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากภายนอก และในวันที่เกิดแผ่นดินไหวนั้น ภายในอาคารมีผู้ป่วย แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ต้องใช้อาคารอยู่เป็นจำนวนมาก โดยได้ทำการซ่อมแซมเพื่อความมั่นใจของประชาชนที่เข้ารับบริการ และเพิ่มเติมระบบป้องกันเพื่อเตรียมรับแรงสั่นสะเทือนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

          จากนั้นคณะได้เดินทางไปยัง โรงเรียนชุมชนบ้านป่าก่อดำ นำโดย ศ.ดร.อมร พิมานมาศ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายพัฒน์พงษ์ เต็มเสาร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านป่าก่อดำ กล่าวต้อนรับ และ ศ.ดร.อมรฯ ได้อธิบายว่า โรงเรียนชุมชนบ้านป่าก่อดำ อาคารเรียนได้รับความเสียหายอย่างหนัก 1 หลัง ต่อมาได้มีการสำรวจความเสียหายของสถานศึกษา ผู้เชี่ยวชาญทำการประเมินแล้วว่าต้องทุบทิ้งทั้งหมดอาคารเรียนไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป และไม่สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต จึงได้ทำการทุบอาคารเรียนทิ้งและสร้างอาคารใหม่ทดแทน และเนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง จึงได้มีการหารือกับวิศวกร เพื่อเสริมกำลังอาคารเรียนด้วยโครงสร้างใหม่ที่รองรับการเกิดแผ่นดินไหวในอนาคต

 

            ต่อด้วยการเดินทางไปยังวัดดงมะเฟือง  นำโดย รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ จาก มูลนิธิมดชนะภัย ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายสุทัศน์ กิจพิทักษ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลจอมหมอกแก้ว นายเหลี่ยม ปัญญาไว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 บ้านดงมะเฟือง ให้การต้อนรับ และให้ข้อมูลว่า ในขณะนั้น วิหารของวัดที่เสียหายบางส่วนจากเหตุแผ่นดินไหวก็ได้พังเสียหายทั้งหลัง และเกิดรอยร้าวที่เสากลางเพิ่มขึ้น ผนังหลังพระประธานพังทลายลง หลังคาหลุดร่อน ต้องรื้อทิ้งสร้างใหม่ทั้งหมด โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานจากหลายภาคส่วนระดมเข้ามาช่วยเหลือในการสร้างและปรับปรุงอาคารใหม่ ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่ และมีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี และลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว อีกทั้งได้รับความร่วมมือกับชุมชนในการเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

          และคณะได้เดินทางไปยัง  “เขื่อนแม่สรวย” นำโดย รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ จาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายศุภชัย พินิจสุวรรณ ผู้อำนวยการส่วนวิศวกรรม กรมชลประทาน และคณะให้การต้อนรับ และนายทรงพล พงษ์มุกดา หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน กล่าวว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวในอดีตนั้นจากการตรวจวัดค่าความเร่งสูงสุดที่ตรวจวัดได้มีค่าเท่ากับ 0.0000877g ซึ่งต่ำกว่าค่าความเร่งของพื้นดินจากแผ่นดินไหวที่ใช้ในการออกแบบอย่างมาก ดังนั้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อนทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน ในพื้นที่ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งนี้กรมชลประทานยังร่วมมือกับคณะวิจัยในการปรับปรุงโครงสร้างของเขื่อนให้มีความแข็งแรง ทนทาน และรองรับต่อการเกิดเหตุแผ่นดินไหวได้ดียิ่งขึ้น

 

          และจุดสุดท้ายคณะได้เดินทางไปยัง  โรงเรียนศรีถ้อยสุนทรราษฎร์วิทยา  นำโดย รศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ จาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายรักษ์ชัย ฉัตรเงิน ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวต้อนรับ และรศ.ดร.สุทัศน์ฯ กล่าวว่า แม้ว่าในวันเกิดเหตุแผ่นดินไหวโรงเรียนจะได้รับความเสียหายไม่มากนัก แต่จากการดำเนินการสำรวจของทีมวิจัย พบว่า โรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง และอาคารของโรงเรียนมีรูปแบบที่เหมาะสมที่จะดำเนินการปรับปรุงให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ด้วยวิธีเสริมความแข็งแรงของเสาอาคารเรียน หรือ concrete jacketing ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้อาคารเดิมที่มีอยู่แล้วสามารถรองรับแรงแผ่นดินไหวได้มากขึ้นและป้องกันความเสียแก่อาคารเรียนได้ดียิ่งขึ้น

 

          สำหรับผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย นั้น นำไปสู่การสร้าง Research Ecosystem Facilities ที่จะเป็นกลไกหลักในการนำเสนอนโยบายและเพื่อการสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีเทคโนโลยีสำหรับตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย แต่ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลหรือข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวหากเกิดแผ่นดินไหวได้จาก “ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ วช. (EARTH)”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผลประเมิน สถานีขนส่งนครเชียงรายติดอันดับ 10 ของไทยอยู่ระดับดีมาก

 

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายศิริพันธ์ ศรีกงพลี รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เซ็นหนังสือแจ้งผลการประเมินการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ถึงผู้ว่าราชการ 60 จังหวัด

โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ประกาศผลการตรวจติดตามและประเมินผลการดำเนินกิจการของสถานีขนส่งผู้โดยสารในปีงบประมาณ 2566 โดยได้ดำเนินการประเมินกับสถานีขนส่งทั่วประเทศ 81 แห่ง ซึ่งได้ผ่านเกณฑ์การประเมินเป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่มีสถานี 14 แห่งที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ผลการประเมินนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาและดูแลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งให้มีประสิทธิภาพต่อผู้ใช้บริการ โดยจังหวัดถูกแจ้งให้แจ้งให้หน่วยงานที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจสถานีขนส่งผู้โดยสารจากกรมการขนส่งทางบกทราบเพื่อนำผลการประเมินมาใช้ในการบริหารจัดการสถานีขนส่ง

ตามที่กรมการขนส่งทางบกได้ถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารจัดการสถานีขนส่งผู้โดยสารให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 31 มกราคม 2551 และกรมการขนส่งทางบกได้จัดทำโครงการตรวจติดตามและประเมินผลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับ ดูแล การดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารให้มีประสิทธิภาพและได้รับความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ

สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการประเมินผลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารทางเว็บไซต์ https://terminalaudit.dlt.go.th 2 รอบ คือ รอบที่ 1 ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึงเดือนมีนาคม 2566 และรอบที่ 2 ระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนกันยายน 2566 โดยมีเกณฑ์คะแนนและผลการประเมินดังนี้

เกณฑ์คะแนนการประเมินผลการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารประกอบด้วย

1.1 คะแนนการดำเนินการตามภารกิจ จำนวน 15 ภารกิจ ร้อยละ 75

1.2 คะแนนการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสาร ร้อยละ 25 ซึ่งคะแนนรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 75

สถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารจัดการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 99 แห่ง มีสถานีขนส่งผู้โดยสารที่ไม่สามารถดำเนินการประเมินได้ จำนวน 2 แห่ง เนื่องจากไม่มีการใช้งานสถานีขนส่งผู้โดยสาร

สถานีขนส่งผู้โดยสารที่มีผลการประเมินสูงสุด 10 อันดับ จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ได้แก่

  1. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอสิรินธร (ช่องเม็ก) จังหวัดอุบลราชธานี 97.35 คะแนน
  2. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 97.34 คะแนน
  3. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น 96.89 คะแนน
  4. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแพร่ 96.67 คะแนน
  5. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยโสธร 96.61 คะแนน
  6. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดจันทบุรี 96.20 คะแนน
  7. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยะลา 94.92 คะแนน
  8. สถานีขนส่งผู้โดยสารพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี 94.89 คะแนน
  9. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 94.55 คะแนน
  10. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย แห่งที่ 1 94.50 คะแนน

จากผลการประเมินการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารพบว่า ภารกิจที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญต่อคะแนนการประเมินในภาพรวม ได้แก่

  1. การจัดพื้นที่จำหน่ายตั๋วโดยสาร
  2. การจัดให้มีบริการห้องสุขา
  3. การประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูลการเดินทาง
  4. การรักษาความปลอดภัย
  5. การจัดหา ดูแล ซ่อมแซม บำรุงรักษาอาคารสถานที่ และวัสดุอุปกรณ์

สถานีขนส่งผู้โดยสารที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินส่วนใหญ่พบว่า มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ความสำคัญในการบริหารงานสถานีขนส่งผู้โดยสารตามภารกิจที่รับโอนในลำดับท้าย ๆ กรมการขนส่งทางบกพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินกิจการสถนีขนส่งผู้โดยสารมีประสิทธิภาพสามารถตอบสนองความต้องการการให้บริการของประชาชนได้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณาจัดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินกิจการสถานีขนส่งผู้โดยสารโดยตรง และสนับสนุนงบประมาณในการบริหารจัดการให้มีความเหมาะสมและเพียงพอ เนื่องจากสถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะ และเป็นสถานที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยรถโดยสารประจำทางด้วยความปลอดภัย สามารถสร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นได้อีกทางหนึ่ง

โดยถ้าเฉพาะจังหวัดเชียงราย สถานีขนส่งผู้โดยสารที่มีผลการประเมินระดับดีมากของประเทศไทย จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ได้แก่

  1. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย แห่งที่ 1 (เทศบาลนครเชียงราย) 94.50 คะแนน อันดับที่ 10 ของไทย
  2. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (เทศบาลตำบลเวียงพางคำ) 90.68 คะแนน อันดับที่ 19 ของไทย
  3. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย แห่งที่ 2 (อบจ.เชียงราย) 87.49 คะแนน อันดับที่ 30 ของไทย

ระดับพอใช้

  1. สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย (เทศบาลตำบลเวียงเทิง) 79.88 คะแนน อันดับที่ 60 ของไทย

ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารที่ต้องทำการปรับปรุงเฉพาะภาคเหนือ

  • สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแม่ฮ่องสอน (เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน) 74.95 คะแนน
  • สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 1 (เทศบาลนครเชียงใหม่) 73.28 คะแนน
  • สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่ แห่งที่ 3 (เทศบาลนครเชียงใหม่) 49.86 คะแนน (ต้องปรับปรุง)
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

Whoscall ผนึกกำลังภาครัฐและเอกชน ช่วยชาติ “จับมือเพื่อนรัก ตัดสายมิจร้าย”

 
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 Gogolook บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อความเชื่อมั่น (TrustTech) ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน Whoscall แอปพลิเคชันระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จัก และป้องกันสแปม สำหรับสมาร์ทโฟน โดยเดินหน้าส่ง แคมเปญ “จับมือเพื่อนรัก ตัดสายมิจร้าย (SAVE FRIENDS FROM FRAUD)” ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ อาทิ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และภาคเอกชน อาทิ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน), ทรูมันนี่ วอลเล็ท บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด, บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน), บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จํากัด. บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด (บริษัทในเครือ พีทีจี) , บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน), บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน), บริษัท วีโว่ ประเทศไทย และ สโมสรบลูเวฟ ชลบุรี ฟุตซอล คลับ รวมถึง อินฟลูเอนเซอร์ในแขนงต่างๆ เพื่อขับเคลื่อน ให้เป็นวาระแห่งชาติ ปลุกคนไทย 70 ล้านคน ให้ดูแลคนที่รักพ้นภัย จากมิจฉาชีพทางโทรศัพท์ โดย Whoscall ผนึกกำลังทุกภาคส่วนเพื่อให้ความรู้ผ่านทางสื่อช่องทางต่างๆ สร้างการรับรู้และภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันการ ถูกหลอกลวง รวมถึงมอบเครื่องมือด้านเทคโนโลยีเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยแก่ประชาชน แจกโค้ด Whoscall พรีเมียม ฟรี จำนวนกว่า 3 ล้านโค้ด ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของพาร์ทเนอร์ที่เข้าร่วมแคมเปญนี้ รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท โดยเริ่มกิจกรรมตั้งแต่เดือน พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป

 

คุณแมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท Gogolook จำกัด กล่าวว่า ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มด้านการป้องกันและต่อต้านการหลอกลวงในรูปแบบดิจิทัล รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เปิดตัวแคมเปญ “จับมือเพื่อนรัก ตัดสายมิจร้าย (SAVE FRIENDS FROM FRAUD)” ในประเทศไทย  

เนื่องด้วยการหลอกลวงทางโทรศัพท์มีการแพร่หลายเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทาง Whoscall จึงมีความตั้งใจและมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการต่อสู้กับกลโกงและการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และพันธมิตรที่มีศักยภาพด้านต่างๆ เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะเป้าหมายที่สำคัญนี้ ในช่วงต้นปีทาง Whoscall ได้เปิดตัวฟีเจอร์ ID Security ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองตกเป็นเหยื่อของเว็บมิจฉาชีพหรือไม่ ด้วยความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงทรัพยากรข้อมูลจำนวนมหาศาล และเทคโนโลยี AI อันล้ำสมัย ทาง Whoscall จึงมุ่งมั่นที่จะสร้างเสริมความแข็งแกร่งในการป้องกันคนไทยให้พ้นจากการถูกหลอกลวงทางดิจิทัล”

สำหรับปี 2566 คนไทยได้รับข้อความ SMS ที่เป็นข้อความสแปมและข้อความหลอกลวงเฉลี่ย 6 ใน 10 ครั้ง ของข้อความ SMS ทั้งหมดที่ได้รับ หรือคิดเป็นร้อยละ 63 ซึ่งประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ติดอันดับการ ได้รับข้อความ SMS หลอกลวงสูงที่สุดในเอเชียอีกด้วย

โดยการหลอกลวงนั้นจะมีหลายรูปแบบ อาทิ การหลอกให้ล็อกอินเข้าเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันปลอม เช่น ส่วนที่เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดคือ 27% การหลอกให้ดาวน์โหลดโปรแกรมหรือ แอปพลิเคชันที่อันตราย 20% และการหลอกให้เข้าไปที่หน้าช้อปปิ้งออนไลน์ปลอม 8% เป็นต้น”

ทาง  Whoscall ยังมีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถิติในปี 2566 คนไทยที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ มีถึงวันละ 217,047 ราย โดยมีคนไทยได้รับสายจากมิจฉาชีพถึง 20.8 ล้านครั้ง และถูกมิจฉาชีพ หลอกลวงจาก SMS มากกว่า 58.3 ล้านข้อความ ซึ่งเป็นจำนวนยอดที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่มียอดรวมของ สายโทรศัพท์หลอกลวงเพิ่มขึ้น ร้อยละ 22 และ ข้อความ  SMS เพิ่มขึ้น ร้อยละ 17 รวมมูลค่าความเสียหายสะสมกว่า 53,875 ล้านบาท 

คุณฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ บริษัท Gogolook กล่าวว่า  “ Whoscall มีความตั้งใจในการนำเสนอแคมเปญ “จับมือเพื่อนรัก ตัดสายมิจร้าย (SAVE FRIENDS FROM FRAUD)  เนื่องจากการหลอกลวงทางโทรศัพท์ได้ถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ โครงการนี้ทำให้ทาง Whoscall ร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการต่อสู้กับปัญหาที่แพร่กระจายไปทั่วนี้ และด้วยวิวัฒนาการของกลโกงการหลอกลวงที่มาถึงยุค 5.0 เป็นยุคที่มิจฉาชีพหลอกด้วย AI  อาทิ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI Deep Fake ในการปลอมตัวตน หรือเก็บและนำข้อมูลส่วนตัวมาหลอกให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเราเริ่มพบเห็นการหลอกในรูปแบบ โทรมาด้วยเสียงของคนที่คุ้นเคยและข้อมูลที่ระบุตัวตนถูกต้อง ซึ่งสามารถทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายยิ่งขึ้น คนไทยทุกคนจึงมีความจำเป็นต้องยืนหยัดร่วมกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามที่แพร่กระจายนี้ ในขณะที่ความเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพย์สินยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการร่วมมือเคียงข้างไปกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทาง Whoscall เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของพนักงาน ลูกค้า ตลอดจนประชาชนในชุมชนที่เป็นวงกว้าง Whoscall จึงได้ร่วมมือกันเพื่อให้ความรู้ ปกป้อง และรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนชาวไทยทุกคนในโลกดิจิทัลที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว 

 
 
 

คุณฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ บริษัท Gogolook กล่าวว่า  “ Whoscall มีความตั้งใจในการนำเสนอแคมเปญ “จับมือเพื่อนรัก ตัดสายมิจร้าย (SAVE FRIENDS FROM FRAUD)  เนื่องจากการหลอกลวงทางโทรศัพท์ได้ถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ โครงการนี้ทำให้ทาง Whoscall ร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการต่อสู้กับปัญหาที่แพร่กระจายไปทั่วนี้ และด้วยวิวัฒนาการของกลโกงการหลอกลวงที่มาถึงยุค 5.0 เป็นยุคที่มิจฉาชีพหลอกด้วย AI  อาทิ การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI Deep Fake ในการปลอมตัวตน หรือเก็บและนำข้อมูลส่วนตัวมาหลอกให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเราเริ่มพบเห็นการหลอกในรูปแบบ โทรมาด้วยเสียงของคนที่คุ้นเคยและข้อมูลที่ระบุตัวตนถูกต้อง ซึ่งสามารถทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ง่ายยิ่งขึ้น คนไทยทุกคนจึงมีความจำเป็นต้องยืนหยัดร่วมกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามที่แพร่กระจายนี้ ในขณะที่ความเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพย์สินยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการร่วมมือเคียงข้างไปกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทาง Whoscall เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยและความมั่นคงของพนักงาน ลูกค้า ตลอดจนประชาชนในชุมชนที่เป็นวงกว้าง Whoscall จึงได้ร่วมมือกันเพื่อให้ความรู้ ปกป้อง และรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนชาวไทยทุกคนในโลกดิจิทัลที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว 

 
 

ดังนั้นในปี 2567 นี้  Whoscall จึงตั้งเป้าที่จะช่วยชาติลดความสูญเสียทางทรัพย์สินจำนวน 2.8 หมื่นล้านบาท จากมิจฉาชีพ และรณรงค์ให้คนไทยทั้งประเทศดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whoscall เพื่อให้เป็นแอปกันมิจฉาชีพที่ทุกคนต้องมี เพราะเสียงของทุกคนมีความหมายที่จะช่วยป้องกันให้คนที่เรารักปลอดภัยจากกลลวงต่างๆ ด้วยการแจ้งเบอร์มิจฉาชีพ ตัดสาย และไม่กดลิงก์จาก SMS ซึ่งเบื้องต้นได้รับความร่วมมือจากอินฟลูเอนเซอร์ที่มีเจตนารมณ์เดียวกันเพื่อสร้างสรรค์สังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย

Whoscall ยังจัดกิจกรรมแจกโค้ด Whoscall พรีเมียม ฟรี จำนวน 3 ล้านโค้ด ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของพาร์ทเนอร์ที่เข้าร่วมแคมเปญนี้ รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท เริ่มตั้งแต่ เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป

สำหรับผู้ที่สนใจรับโค้ด Whoscall พรีเมียม ฟรี สามารถติดตามข้อมูลกิจกรรมต่าง ๆ ของพันธมิตรในแคมเปญนี้ได้ จาก https://www.facebook.com/whoscall.thailand  ทั้งนี้  Whoscall ยังมีกิจกรรมฟิลเตอร์อินสตาแกรมให้ร่วมสนุกเพื่อส่งต่อความห่วงใยเตือนเพื่อนรักให้ตัดสายมิจฉาชีพที่

https://www.instagram.com/ar/7559310100828990/   และ https://www.instagram.com/ar/1479445949616538/ 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) จำกัด

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.สัญจร พื้นที่ อ.ขุนตาล รับฟังประชาชนพัฒนาตรงจุด

 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 เวลา 10.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วย รามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัด อบจ.เชียงราย สิบเอกวิมล รู้ทำนอง ผู้อำนวยการกองยุททธศาสตร์และงบประมาณ นายฑราวุธ กันทะเขียว สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.ขุนตาล และหัวหน้าส่วนราชการ อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ อ.ขุนตาล รับฟังปัญหาความต้องการและความเดือดร้อน รวมทั้งข้อเสนอการดำเนินการต่าง ๆ ในโครงการมหกรรม อบจ.สัญจร ประจำปี 2567 ณ หอประชุมโรงเรียนยางฮอมวิทยาคม อ.ขุนตาล 

 

โดยมีนายวิศิษฐ์ ทวนชีพ ปลัดอำเภอขุนตาล ผู้แทนนายอำเภอ กล่าวต้อนรับ และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ประชาชนในพื้นที่ ร่วมในการเสนอความต้องการและเสนอปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยนายก อบจ.เชียงราย และเจ้าหน้าที่ จะได้นำข้อมูลที่ได้รับ นำมาเข้าสู่แผนพัฒนาท้องถิ่น และจัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาท้องที่ต่อไป

 
พร้อมกันนี้ได้ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่ อ.ขุนตาล โดยได้รับการประสานเจ้าหน้าที่กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพ จ.เชียงราย และรพ.สต. ในการช่วยเหลือการเข้าถึงสิทธิ์การดูแลด้านต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ของ อบจ.เชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

แนะรัฐปรับอัตราบำนาญพื้นฐานให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ

 

บำนาญพื้นฐานหรือเบี้ยยังชีพเป็นเครื่องมือความคุ้มครองทางสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ผู้สูงอายุจะโชคร้ายกลายเป็นคนยากจนในวัยชราที่เปราะบางและสิ้นไร้กำลัง  โดยระดับความคุ้มครองขั้นต่ำที่จะคุ้มครองความยากจนให้กลุ่มครัวเรือนที่ยากจนสุด คือ 2,000 บาท/เดือน ตามข้อมูลสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ดังนั้น หากอัตราบำนาญพื้นฐานหรือเบี้ยยังชีพต่อเดือนต่ำกว่า 2,000 บาท หมายความว่า เป้าหมายของการคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุล้มเหลวโดยอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม ระดับอัตราบำนาญพื้นฐานถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน ซึ่งกำหนดจากเส้นความยากจนและเรียกร้องกันมายาวนานหลายปี โดยเฉพาะจากภาคประชาชน และ เป็นนโยบายหาเสียงของหลายพรรคการเมือง ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเป็นจริง ทั้งที่ อัตราเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันไดในปัจจุบัน เฉลี่ยได้รับคนละประมาณ 650 บาท/เดือน ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ มีระดับต่ำกว่าเส้นความยากจนอย่างมาก และ ไม่มีการปรับยาวนานมากกว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 โดยหลักการแล้ว อัตราบำนาญพื้นฐานที่เหมาะสม ควรจะต้องสอดคล้องกับเส้นความยากจน มีการปรับตามค่าครองชีพหรืออัตราเงินเฟ้อ

อุปสรรคสำคัญสำหรับการบรรลุเป้าหมายของความคุ้มครองความยากจนผู้สูงอายุ คือ การขาด “เจตจำนงทางการเมือง” จากภาครัฐ และได้รับการคัดค้านโดยเหตุผลกล่าวอ้าง เช่น ไม่มีงบประมาณ และ ไม่ได้จ่ายภาษี จึงไม่ควรได้รับ อันเป็นแนวคิดที่ไม่น่าจะถูกต้อง

หลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่ควรต้องคำนึง หากจะอ้างว่า ไม่มีงบประมาณ คือ การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม จะต้องพิจารณา “ความมีประสิทธิภาพ” คือ การใช้งบประมาณสำหรับบำนาญพื้นฐานมีประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากผลทวีคูณทางการคลัง (fiscal multipliers) และความคุ้มครองความยากจน (poverty protection) เปรียบเทียบกับการสะสมทุนปีละหมื่นล้านแสนล้านของแต่ละตระกูลเครือข่ายบนยอดปิรามิดและความไร้ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและมีการฉ้อฉลคดโกงทุจริตงบประมาณ  อีกหลักการสำคัญที่จะต้องพิจารณาได้แก่ “การกระจายอย่างเป็นธรรม” คือ การถ่ายโอนทรัพยากรให้สังคมโดยรวมมีระดับความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยควรตระหนักถึงปัญหาโครงสร้างความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเราสามารถออกแบบระบบบำนาญพื้นฐาน เป็นเครื่องมือช่วยลดความเหลื่อมล้ำผ่านนโยบายการคลังแบบก้าวหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น หากจะอ้างว่า ไม่ได้จ่ายภาษี จึงไม่ควรได้รับ ก็ควรจะต้องยึดหลักพื้นฐานทางภาษีที่สำคัญประการหนึ่ง คือ “ความเป็นธรรมในแนวดิ่ง” (vertical equity) หมายความว่า กลุ่มที่มีโอกาสและทรัพยากรมากกว่า ควรจะเป็นผู้เสียภาษีมากกว่า อีกทั้งทุกคนในสังคมได้ร่วมจ่ายภาษีจากการบริโภค เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการค้า ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ภาษีศุลกากร ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ภาษีเครื่องดื่ม ภาษีเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาษีรถยนต์ ภาษีรถจักรยานยนต์ ภาษีแบตเตอรี่ ภาษีสุราและยาสูบ เป็นต้น จึงไม่ใช่ความจริงตามที่กล่าวอ้างกันว่า คนไทยเสียภาษีแค่ 4 ล้านคน

ดังนั้น จึงสามารถสรุปได้ว่า การใช้งบประมาณเพื่อสร้างความคุ้มครองทางสังคมให้ผู้สูงอายุ มีความสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่เป็นภาระงบประมาณ และทุกคนสมควรจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทั่วถึงและเป็นธรรม เพราะทั้งสังคมได้ร่วมกันจ่ายภาษี อีกทั้งประโยชน์ของบำนาญพื้นฐาน คือ สามารถช่วยป้องกันวิกฤตสังคมเรื่องความยากจนในผู้สูงอายุ ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านตัวทวีคูณทางการคลัง และ สามารถลดความเหลื่อมล้ำผ่านการออกแบบเครื่องมือทางการคลัง โดยงานวิจัยนานาชาติแสดงให้เห็นว่า การลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยเกิดผลทางบวกต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เร็วกว่า และ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง

ในขณะที่งบประมาณรายจ่ายสวัสดิการบุคลากรภาครัฐ มีการเบิกจ่ายรวม เพิ่มขึ้นจาก 1.45 แสนล้านในปี 2550 เป็น 4.6 แสนล้าน ในปี 2564 ตามรูปที่ 1 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ในเมื่อประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ก็ควรจะใช้เป็นโอกาสแก้ไขปัญหาโครงสร้าง โดยปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้มีความเป็นธรรม และ สร้างระบบสวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตมนุษย์

 
 
 

ที่มา: รายงาน “การพัฒนาระบบบำนาญพื้นฐานประชาชน” คณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร (2567) โดยใช้ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง

 

            แหล่งรายได้สำหรับระบบบำนาญพื้นฐานแบบความคุ้มครองทางสังคม ได้มีข้อเสนอโดยนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำและองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ สามารถประมวลสรุปได้ ดังนี้

1.ปฏิรูประบบภาษี ใช้เครื่องมือทางการคลังช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มความคุ้มครองความยากจนสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้ามากขึ้นสำหรับภาษีทรัพย์สินและภาษีที่ดิน การขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่อยู่นอกระบบ ห้ามร้านค้าปฏิเสธการโอนเงินชำระค่าสินค้าและบริการ ตลอดจนลดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนรวย (Pro-rich) เช่น BOI ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 มีมูลค่าประมาณ 2.8 แสนล้านบาท โดยประมาณครึ่งหนึ่งที่ได้ประโยชน์ไม่ต้องเสียภาษี คือ กลุ่มทุนไทย

2.ปฏิรูประบบงบประมาณ มุ่งเป้าการใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์โดยตรงต่อประชาชน ซึ่งจำเป็นจะต้องตัดลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น เช่น งบโฆษณา งบซื้ออาวุธ งบก่อสร้าง เป็นต้น ตลอดจนต่อต้านการคอร์รัปชัน (Corruption) ของเครือข่ายธุรกิจการเมืองและภาครัฐ แล้วนำงบประมาณกลับคืนมาเพิ่มสวัสดิการและลงทุนให้ประชาชน เช่น บำนาญพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุ หรือ พัฒนาทักษะแรงงานทุกช่วงวัย

3.พัฒนาระบบการออม จะต้องบังคับหรือจูงใจให้ “ทุกคน” ในวัยทำงานต้องอยู่ในระบบ และ มีระบบฐานข้อมูล เพื่อให้ผู้ที่สามารถออมเงินได้ ต้องร่วมรับผิดชอบสะสมเงินในวันทำงานเพื่อยามชราภาพ โดยรัฐบาลร่วมจ่ายสมทบการออม

ในเมื่อจะต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มขึ้นสำหรับงบประมาณสำหรับกำลังคนภาครัฐ ก็ควรจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาโครงสร้าง เพื่อปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้มีความเป็นธรรม และ สร้างระบบสวัสดิการคุณภาพชีวิต โดยดำเนินการตามข้อเสนอต่าง ๆ ทางเศรษฐศาสตร์เรื่องแหล่งรายได้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพหลังการเกษียณอายุ  

เพราะประเทศไทยประสบกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรวดเร็ว และ กำลังก้าวเข้าสู่ Super–Aged Society หรือ สังคมผู้สูงอายุขั้นสูงสุด ดังนั้น การพัฒนาระบบบำนาญพื้นฐานสำหรับประชาชน ตามหลักการ “เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข” และ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” จะเป็นสามารถป้องกันไม่ให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและโอกาสการทำงาน กลายเป็นความยากจนในวัยชรา แล้วส่งต่อความยากลำบากทางเศรษฐกิจไปยังรุ่นลูกหลาน

อัตราบำนาญพื้นฐานที่เหมาะสม ควรจะสอดคล้องกับเส้นความยากจนเพื่อให้คุ้มครองความยากจนได้ตามวัตถุประสงค์ของบำนาญพื้นฐาน และมีการปรับตามอัตราเงินเฟ้อ โดยมีแหล่งรายได้ตามข้อเสนอทางเศรษฐศาสตร์มากมายที่รอรัฐบาลเพียบพร้อมความกล้าหาญทางจริยธรรมช่วยวางรากฐานที่มั่นคงให้อนาคตของประเทศ

 

หมายเหตุ: เนื้อหาของบทความนี้มาจากรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง “การพัฒนาระบบบำนาญพื้นฐานประชาชน” โดยคณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร (2567) และ โครงการวิจัย “การวิเคราะห์ช่องว่างทางการคลัง แหล่งรายได้ และความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของการจัดตั้งระบบบำนาญแห่งชาติ โดยคำนึงถึงผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อผู้สูงอายุ” โดย ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย, ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล และคณะ (2566) ได้รับทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ตรึงราคา ‘ดีเซล ก๊าซหุงต้ม ลดค่าไฟ’ 3 มาตรการลดภาระให้ประชาชน

 
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) ได้นำเสนอ และมอบหมายให้ พน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามอำนาจและหน้าที่ โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2567 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ สรุปสาระสำคัญดังนี้

1. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ระยะเวลาดำเนินการ 20 เม.ย. – 31 ก.ค. 2567

2. ตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ระดับ 423 บาท/ถังขนาด 15 กก. ระยะเวลาดำเนินการ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2567

3. ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 19.05 สตางค์/หน่วย แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ระยะเวลาดำเนินการ พ.ค. – ส.ค. 2567 (4 เดือน)

ทั้งนี้คาดว่าจะใช้งบฯ สำหรับดำเนินทั้ง 3 มาตรการ รวมทั้งสิ้น 8,300 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

– มาตรการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 6,500 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซลจำนวน 6,000 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ก๊าซ LPG จำนวน 500 ล้านบาท

– มาตรการด้านไฟฟ้า จำนวน 1,800 ล้านบาท)

 

โดย ในที่ประชุม ครม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้การดำเนินการของมาตรการดังกล่าวพิจารณาใช้งบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน ในส่วนที่เหลือค่อยขอรับจัดสรรจากงบฯ ปี 2567 งบกลาง ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะลดลงได้อย่างไร ว่า ตอนนี้องค์ประกอบต่างๆเป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน ซึ่งตนกำลังแก้ไขอยู่ และเมื่อแก้เสร็จแล้วจะเปลี่ยนใหม่ จะเร่งทำให้เร็วที่สุด เพราะยอมรับว่าราคาน้ำมันขึ้น-ลง ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้ไม่มีใครคุมได้ ผู้ค้าคิดจะขึ้นก็ขึ้น คิดจะลงก็ลง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาคือการแก้กฎหมาย เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่มีอำนาจ ได้แต่ขอความร่วมมือ ตลกหรือไม่ อยู่กันมาแบบนี้

 

 

เมื่อถามว่า การแก้กฎหมายใช้เวลานานหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนกำลังร่างอยู่ พร้อมยกตัวอย่างว่า การผลิตไฟฟ้าก็ต้องใช้แก๊ส ราคามีความผันผวนเช่นกัน แต่ไม่ได้ปรับราคาขึ้นลงทุกวัน เพราะไฟฟ้ามีกฎหมายกำกับ แต่ราคาน้ำมันปรับขึ้นลงทุกวัน ตอนนี้ทำได้แค่เพียงการประกาศให้มีการแจ้งต้นทุน เมื่อ 15 เมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะที่ผ่านมาสังคมไม่รู้ต้นทุน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงราย ลงพื้นที่ตามโครงการฝายปางกล้วยค้าวอำเภอพาน

 

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายวุฒิกร คำมา นายอำเภอพาน นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เพื่อติดตามโครงการฝายปางกล้วยค้าวพร้อมระบบส่งน้ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ บ้านปางกล้วยค้าว หมู่ที่ 16 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องที่ ท้องถิ่น ประชาชนบ้านปางกล้วยค้าวให้การต้อนรับ ในการนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และชลประทานเชียงราย ได้ชี้แจงรายละเอียดโครงการ พร้อมทำความเข้าใจลักษณะโครงการ และการดำเนินการแก่ประชาชนในพื้นที่

 

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ร่วมกับจังหวัดเชียงราย ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายชัยเดช จินดาวิจิตร ราษฎรบ้านปางกล้วยค้าว หมู่ที่ 16 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ขอพระราชทานโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำริน พร้อมระบบส่งน้ำ เพื่อช่วยเหลือราษฎรตำบลป่าหุ่ง ตำบลสันกลาง และตำบลเมืองพาน อำเภอพานจังหวัดเชียงราย ซึ่งขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และทำการเกษตร 


ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโครงการฝายปางกล้วยค้าวพร้อมระบบส่งน้ำไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567
กรมชลประทาน โดยสำนักงานชลประทานที่ 2 ได้ตรวจสอบสภาพพื้นที่และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วได้พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้วยการก่อสร้างฝ่ายบ้านปางกล้วยค้าวพร้อมระบบส่งน้ำ ระบบส่งน้ำความยาว 2,000 เมตร พื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 200 ไร่ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ได้ โดยกำหนดชื่อว่า “โครงการฝายปางกล้วยค้าวพร้อมระบบส่งน้ำ”

 

สำหรับโครงการฝายปางกล้วยค้าวพร้อมระบบส่งน้ำ เมื่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นแหล่งน้ำสำหรับทำการเกษตรแก่เกษตรกรในฤดูฝนได้ 200 ไร่ และฤดูแล้งได้ 200 ไร่ และเพื่อเป็นแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภค – บริโภคของราษฎร ลักษณะโครงการ มีพื้นที่รับน้ำฝนเหนือที่ตั้งหัวงาน 36.50 ตารางกิโลเมตร ความยาวลำน้ำจากต้นน้ำถึงหัวงาน 10 กิโลเมตร มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปี 1,308.47 มิลลิเมตร ปริมาณน้ำไหลผ่านหัวงานเฉลี่ยทั้งปี 12,372,109.88 ลูกบาศก์เมตร/วินาที การก่อสร้าง เป็นอาคารหัวงาน ประเภทฝายคอนกรีตล้วนปนหินใหญ่ ความยาว 12.00 เมตร ความสูง 2.00 เมตร มีอาคารบังคับน้ำปากท่อ จำนวน 1 แห่ง ประตูระบายทราย ขนาด 1.80 x 1.50 เมตร ระบบส่งน้ำประเภทคลองดาดคอนกรีตความยาว 2,000 เมตร ส่งน้ำได้ 0.05 ลูกบาศ์กเมตร/วินาที 

 

ทั้งนี้ประชาชนในพื้นที่ทุกคนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามที่ราษฏรขอพระราชทานความช่วยเหลือ ซึ่งหากโครงการแล้วเสร็จจะทำให้ในพื้นที่มีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตรได้ได้ตลอดทั้งปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

อบจ.เชียงราย เปิดงานกีฬา สานสัมพันธ์ เยาวชนมุสลิมภาคเหนือ

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม 2567 เวลา 19.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกีฬาสานสัมพันธ์ เยาวชนมุสลิมภาคเหนือ กีฬาฟุตบอล 7 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 พฤษภาคม 2567 ณ สนามฟุตบอลหญ้าเทียม HALEM 333 Sport Club จังหวัดเชียงราย โดยมีนายวิรัตน์ หนุ่มรักชาติ คณะกรรมการดำเนินการจัดการแข่งขัน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ และกล่าวต้อนรับ

 

การจัดการแข่งขันกีฬาสัมพันธ์ เยาวชนมุสลิมภาคเหนือ ครั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์มุสลิมภาคเหนือโดยใช้การแข่งขันกีฬาเป็นเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ ความเป็นพี่น้องให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ร่วมถึงร่วมกันต่อต้านสิ่งที่ไม่เป็นอนุมัติ ทั้งทางศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อให้สังคมดำรงอยู่อย่างสันติสุข โดยมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันจาก 5 จังหวัดคือ จังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดตาก มีทีมร่วมทั้งสิ้น 16 ทีม โดยผู้เข้าร่วมการแข่งขันล้วนเป็นพี่น้องไทยมุสลิม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สธ จัดบริการแพทย์เฉพาะทาง 14 คลินิก ดูแลสุขภาพชาวเชียงราย

 
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม 2567  ที่ โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร อำเภอเวียงชัย  จังหวัดเชียงราย ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข  ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1  เปิด “โครงการพาหมอไปหาประชาชนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา  6  รอบ 28  กรกฎาคม  2567  เขตสุขภาพที่ 1 โดยมี นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวรายงาน นายบดินทร์ เทียมภักดี  นายอำเภอเวียงชัย กล่าวต้อนรับ ผู้เข้าร่วมพิธีประกอบด้วย พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ คณะผู้บริหารในเขตสุขภาพที่ 1 ผู้บริหารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ผู้บริหารโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ บุคลากรในสังกัดและประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย
 

     ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข  ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 กล่าวว่า โครงการพาหมอไปหาประชาชนเฉลิมพระเกียรติฯ นี้ มุ่งหวังให้ประชาชนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข ให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม สะดวก ได้รับการค้นหาและรักษาโรคในระยะเริ่มต้นได้อย่างทันท่วงที ลดอัตราการป่วย และเสียชีวิตจากโรคสำคัญช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล มุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดคือ “สุขภาพคนไทย เพื่อสุขภาพประเทศไทย”
 

             ทั้งนี้โครงการพาหมอไปหาประชาชน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  เขตสุขภาพที่ 1 ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย โดยโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงรายและภาคีเครือข่ายได้จัดบริการทางการแพทย์ คลินิกตรวจรักษา โดยแพทย์เฉพาะทางจิตอาสา 14 คลินิก 2 กิจกรรม ประกอบด้วย 1.คลินิกคัดกรองมะเร็งตับและท่อน้ำดี 2.คลินิกคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 3.คลินิกคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง 4.คลินิกคัดกรองมะเร็งเต้านม 5.คลินิกตาในเด็กและผู้สูงอายุ 6.คลินิกทันตกรรม  7.คลินิกสุขภาพจิต 8.คลินิกตรวจสุขภาพพระสงฆ์ 9.คลินิกฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน 10.คลินิกตรวจมวลกระดูกและตรวจความแข็งตัวของหลอดเลือดแดง 11.คลินิกไตเสื่อม 12.คลินิกผ่าตัดทำเส้นเลือดฟอกไต(AVF) 13.คลินิกคัดกรองความผิดปกติการเต้นของหัวใจ 14.คลินิกหมอความ  2 กิจกรรม ได้แก่ 1.กิจกรรมลงทะเบียนบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่  2.กิจกรรมบริการทางเภสัชกรรมและการคุ้มครองผู้บริโภคฯ 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News