Categories
NEWS UPDATE

ขึ้นเงินเดือนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเป็น 11,000 บาท พร้อมกันทั่วประเทศ

 

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลาง ในการขอปรับขึ้นค่าตอบแทนหรือเงินเดือนของบุคคลภายนอกที่ปฏิบัติงานให้กับกรมอุทยานฯ ตำแหน่งพิทักษ์ป่า จำนวน 13,419 อัตรา จากอัตรา 9,000 บาท เป็น 11,000 บาทต่อเดือน ในช่วงปลายปี 2566 

ในปี 2567 สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณค่าตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่แบบขั้นบันได และส่วนหนึ่งกรมอุทยานฯได้มีการปรับแผนงบประมาณเพื่อขึ้นค่าตอบแทนให้เจ้าหน้าที่แบบขั้นบันไดด้วย 

  • เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอายุงานน้อยกว่า 5 ปี ได้รับค่าตอบแทนจำนวน 9,500 บาทต่อเดือน
  • เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอายุงาน 5-15 ปี ได้รับค่าตอบแทนจำนวน 10,000 บาทต่อเดือน
  • เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอายุงานมากกว่า 15 ปี ได้รับค่าตอบแทนจำนวน 11,000 บาทต่อเดือน ไปพลางก่อน
 

ล่าสุดสำนักงบประมาณ ได้จัดสรรงบประมาณในการปรับขึ้นเงินเดือนของบุคคลภายนอกที่ปฏิบัติงานให้กับกรมอุทยานฯ

ตำแหน่งพิทักษ์ป่า จาก 9,000 บาท เป็น 11,000 บาท ทุกอัตราพร้อมกันทั่วประเทศ

จึงเป็นเรื่องที่สร้างความปิติยินดีให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าทุกคน ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจอย่างดียิ่ง ในการปกป้องทรัพยากรป่าไม้ของชาติ นอกเหนือจากการปรับขึ้นอัตราเงินเดือนในครั้งนี้แล้ว ที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้มีการเพิ่มสวัสดิภาพสวัสดิการให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า โดยการอนุมัติเงินอุทยานแห่งชาติ และเงินเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

ในกรณีที่เจ้าหน้าที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพื่อให้สามารถนำเงินในส่วนนี้มาใช้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งได้มีการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ไปแล้วเป็นจำนวนมาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรอบใหม่ ทั้งเสี่ยงและโอกาสสำหรับไทย-อาเซียน

 
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ ผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา และจีนรอบใหม่หลังรัฐบาลโจ ไบเดน ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 25-100% ว่า สงครามการค้ารอบใหม่เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสต่อไทยและภูมิภาคอาเซียน บางธุรกิจอุตสาหกรรมอาจกระทบรุนแรงถึงขั้นปิดกิจการได้หรือบางธุรกิจอุตสาหกรรมจะเข้าสู่การหดตัวและขาลงอย่างชัดเจน อีกด้านเกิดโอกาสต่อไทยและภูมิภาคอาเซียนในการเปิดรับการลงทุนย้ายฐานการผลิตเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา พลวัตของผลกระทบทั้งลบและบวกยังไม่ชัดเจน ต้องรอดูว่า จีนจะมีมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างไร

 

ที่ผ่านมา ประเทศจีนใช้วิธีการอุดหนุนเพื่อให้ภาคการผลิตมีต้นทุนต่ำและบริหารจัดการค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆเพื่อสนับสนุนการส่งออกและดึงให้เศรษฐกิจภายในพ้นจากภาวะเงินฝืดและดูดซับการลงทุนและกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่ต้องประเมิน จะเกิดการตอบโต้ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีหรือการใช้มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เพิ่มเติมระหว่างจีนกับอียู และ อียูกับสหรัฐอเมริกา หรือไม่ หากเกิดภาวะดังกล่าวเพิ่มเติมเข้ามาอีก จะทำให้ระบบการค้าเสรีของโลกภายใต้กรอบข้อตกลงขององค์การการค้าโลกและทุนนิยมโลกาภิวัตน์เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมมากยิ่งขึ้น

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวต่อว่า การปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 25-100% ของสหรัฐอเมริกานั้นจะเกิดขึ้นใน 3 เดือนข้างหน้า หากพิจารณารายการสินค้าที่ถูกตั้งกำแพงภาษีแล้วจะเห็นได้ไม่ถึง 6% ของรายการนำเข้าสินค้าทั้งหมดที่สหรัฐฯนำเข้าจากจีน การขึ้นกำแพงภาษีจึงไม่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แต่การปรับเพิ่มภาษีนี้มุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของจีน เป็นการดำเนินการมาตรกีดกันการค้าที่แตกต่างจากสมัยรัฐบาลโดนัล ทรัมป์ มีผลกระทบเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ใหม่ของจีน ไม่ใช่ผลกระทบวงกว้างโดยทั่วไป เป็นการดำเนินการมาตรการกีดกันการค้าอย่างมีกลยุทธ เป็น Strategic Trade Policy อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมและสินค้าที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ ได้แก่ สินค้าที่อัตราการเก็บภาษีสูงและสัดส่วนการนำเข้าจากจีนสูง สินค้าที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการผลิตในอุตสาหกรรมหลากหลาย อย่างสินค้า Lithium-ion batteries สหรัฐฯนำเข้าจากจีนสูงถึง 70% ของนำเข้าทั้งหมดสินค้าประเภทนี้ของสหรัฐฯ มีการขึ้นอัตราภาษีจาก 10.9% เป็น 28.4% Personal Protective Equipment (PPE) สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมากถึง 67% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด ชิ้นส่วนแบตเตอร์รี่ สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมากถึง 24-25% มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจาก 0-7.9% เป็น 25-33%

 

การตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล่านี้จะทำให้มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นทดแทน การที่ไทยและอาเซียนจะได้ประโยชน์จากการนำเข้าทดแทนหรือไม่อยู่ที่สินค้าของเรามีคุณภาพ ราคาเหมาะสมหรือแข่งขันได้หรือไม่ในตลาดสหรัฐและตลาดโลก แต่ในอีกด้านหนึ่ง สินค้าเหล่านี้จะถูกทุ่มตลาดกดราคาให้ต่ำมากอาจกระทบต่อภาคผลิตไทยที่แข่งขันไม่ได้ ส่วนรถยนต์อีวีที่มีการขึ้นอัตราภาษีสูงอย่างมากจาก 27% เป็น 102.5% นั้นจะไม่ส่งผลอย่างมีนัยยสำคัญต่อตลาดและอุตสหกรรมการผลิต EV ในไทยและอาเซียนมากนัก เพราะสหรัฐฯนำเข้าจากจีนประมาณ 2% การขึ้นภาษีนำเข้าในส่วนนี้จึงไม่ส่งกระทบต่อเนื่องมายังไทยและอาเซียนอย่างมีนัยยสำคัญแต่อย่างใด แต่จะทำให้รถยนตร์ EV ที่ส่งออกไปจากจีนไม่สามารถขายได้เพราะโดนเก็บภาษีมากกว่า 100% ถือเป็นการเก็บภาษีที่มีลักษณะเป็นการลงโทษ (Punitive Tarriff) และขายในตลาดสหรัฐฯ (Prohibitive Tarriff) ไม่ได้

 

การปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าบางตัวจากจีน จะทำให้สหรัฐอเมริกาหันมาใช้จากการผลิตในประเทศมากขึ้น นำเข้าจาก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและอาเซียนมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการในการผลิตสินค้าบางประเภทอาจย้ายฐานผลิตมายังไทยและอาเซียนมากขึ้น ทว่าอาจหนีไม่พ้นผลกระทบจากสงครามการค้าเพราะอาจต้องเผชิญกับมาตรการ Anti-Circumvention (มาตรการตอบโต้การค้าไม่เป็นธรรมเพิ่มเติม) เหมือนธุรกิจ ผลิตหรือส่งออก Solar Cells จากไทยหรืออาเซียนเจอตอบโต้ผ่านมาตรการ Anti-Circumvention เนื่องจากมีการย้ายมาผลิต หรือประกอบบางส่วน หรือ ดัดแปลงบางส่วน หรือ ส่งออกผ่านประเทศตัวกลางเพื่อเลี่ยงภาษี

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมรถ EV อุตสาหกรรมก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ในไทยอาจได้รับผลทางบวกจากการปรับขึ้นอัตราภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมมากกว่า เพราะอุตสหกรรมรถ EV อุตสาหกรรมก่อสร้าง จะมีต้นทุนเหล็กถูกลงจากการทุ่มตลาดของจีนมายังไทยและอาเซียน ในอีกด้านหนึ่งสถานการณ์อุตสาหกรรมผลิตเหล็กของไทยซึ่งวิกฤติอยู่แล้ว จะทรุดหนักกว่าเดิม หลายแห่งอาจต้องปิดกิจการไปทำอย่างอื่นแทน ส่วนอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมของไทยได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เมื่อปีที่แล้ว ไทยมีการนำเข้าเหล็กจากจีนเพิ่มขึ้น 22-23% ประมาณ 3.49 ล้านตัน ผู้ประกอบการเหล็กในประเทศไม่สามารถแข่งขันสินค้าเหล็กจากจีนได้เลย การใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในโดยห้ามตั้งโรงงานเหล็กเพิ่มจึงไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

 

แต่ควรทำอย่างไรที่จะสามารถยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กภายในให้ดีขึ้นด้วยการลดต้นทุนการผลิตและการพัฒนาคุณภาพสินค้า การทุ่มตลาดของจีนจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องรุนแรงเพราะจีนมีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก เศรษฐกิจชะลอและจะเจอผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ ไทยควรมีมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในหรือไม่ รัฐบาลและภาคเอกชนควรหารือเพื่อจะได้กำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์โดยรวมของเศรษฐกิจไทย

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้วิเคราะห์ ผลของการใช้มาตรา 301 ในการตั้งกำแพงภาษีและสงครามรอบใหม่ ว่า เบื้องหลังของการใช้มาตรา 301 Special 301 Super 301 คือ มาตรการตอบโต้กับประเทศที่สหรัฐอเมริกามองว่าทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practices) อย่างกรณีของจีน สหรัฐอเมริกามองว่า จีนใช้นโยบายเงินหยวนอ่อนค่าและการอุดหนุนการผลิตเพื่อสามารถทุ่มตลาดได้ เอาเปรียบผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกา

 

นอกจากนี้ยัง ต้องการให้ต่างประเทศเปิดตลาดของตนให้แก่สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ (Opening foreign market) ต้องการให้ต่างประเทศยินยอมให้สิทธิประโยชน์ทางการค้าต่อสหรัฐฯ โดยที่สหรัฐฯไม่ต้องให้สิทธิประโยชน์อะไรเป็นการตอบแทน (Unrequited concessions) โดยสหรัฐฯมองว่า ประเทศตัวเองได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ GSP ให้กับประเทศต่างๆมามากพอแล้ว เมื่อหลายประเทศมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ควรมีการค้าที่มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวอีกว่า ศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ดร. จักดิช ภควาตี (Jagdish Bhagwati) ประเมินว่า Super 301 คือ มาตรการพลการในเชิงรุก (Aggressive Unilateralism) และ สหรัฐอเมริการู้สึกถึงการค้าอย่างไม่เป็นธรรมของประเทศอุตสาหกรรมใหม่และประเทศจีน ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตและแรงงานในสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบ และไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

 

การที่รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ตามวาระสี่ปีและความมีเสถียรภาพทางการเมืองทำให้ “ไทย” รับมือผลกระทบสงครามการค้าจีนและตะวันตกได้ดีขึ้น การดำเนินนโยบายต่างๆจะมีความต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนกลับไปกลับมา การผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลาง 8 ด้านตามนโยบาย IGNITE THAILAND ในบางด้านอาจทำได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้นหากเราเตรียมพร้อมรับมือต่อความท้าทายจากผลกระทบสงครามการค้ารอบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบางด้านอาจจะเผชิญอุปสรรคมากขึ้น การประเมินสถานการณ์นโยบายปกป้องทางการค้าแนวใหม่ให้ดีและมีนโยบายภายในที่เหมาะสม จะทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเดินหน้าต่อไปได้

 

บางอุตสาหกรรมต้องมีการลงทุนในทักษะแรงงานอย่างจริงจัง ยกเครื่องระบบการศึกษา มีการลงทุนทางด้านการวิจัยแปรรูปสร้างมูลค่า ลงทุนและพัฒนานวัตกรรมอย่างเป็นระบบ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามเป้าหมาย ลำดับความสำคัญในการลงทุนตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบและความสามารถในการแข่งขัน พร้อมมีแผนดำเนินการอย่างชัดเจน ความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายจากเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ

 

แม้นนโยบายการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Target Industries) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นศูนย์กลางทางด้านต่างๆ ในระดับภูมิภาคจะเคยเป็นโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน และสิงคโปร์ ประเทศเหล่านี้ล้วนใช้กลยุทธลอกเลียน พัฒนาต่อยอดและดัดแปลงในภาวะที่การบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาไม่เข้มงวด

 

แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ความสำเร็จจะยากกว่าหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในยุคที่สหรัฐอเมริกาอาจหยิบเอา มาตรา 301 Special มาใช้เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อไหร่ก็ได้ หรือ อียูจะบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเข้มงวดเพิ่มขึ้นได้ ประเด็นเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจะถูกหยิบขึ้นมาใช้เป็นข้ออ้างในการใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับไทยเมื่อไหร่ก็ได้เช่นเดียวกัน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เจ้าหน้าที่ จ.เชียงราย ส่งทีมยึดรถจับผู้ต้องหาก่อนลอบส่งข้ามโขงไปลาว

 
เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2567 นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ จ.เชียงราย มอบหมายให้สมาชิกกองร้อยอาสารักษาดินแดน (อส.) อ.เชียงของ ที่ 7 ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ทหารสถานีเรือเชียงของ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย สภ.เชียงของ ด่านศุลกากรเชียงของ และทหารพรานกองกำลังผาเมือง ทำการตรวจยึดของกลางรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า สีน้ำเงิน ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน เรือกาบซึ่งเป็นเรือยนต์ในแม่น้ำโขงยาว 15 เมตร จำนวน 1 ลำ 
 
 
หลังจากช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าจะมีการลักลอบนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ชายแดนไทย – ลาว พื้นที่หมู่บ้านดอนมหาวัน ต.เวียง อ.เชียงของ จึงได้ร่วมกันไปตรวจสอบพบกลุ่มคนต้องสงสัยจำนวน 3 คน โดย 2 คนแรกขับเรือกาบมาเทียบฝั่งส่วนอีก 1 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางจะไปยังเรือกาบ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าไปตรวจสอบแต่คนทั้งหมดพากันตกใจและวิ่งขึ้นเรือกาบลำหนึ่งแล้วแล่นออกจากเขตประเทศไทยไป และทิ้งของกลางเอาไว้ดังกล่าว
 
 
ในเวลาใกล้เคียงกันเจ้าหน้าที่ทหารสถานีเรือเชียงของ นรข.เขตเชียงราย ได้รับแจ้งว่าขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดรถจักรยนยนต์ ได้มีรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้แชมป์ ติดป้ายทะเบียนว่า 2 กณ 917 กรุงเทพฯ พยายามจะขับไปตามเส้นทางธรรมชาติสู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงพื้นที่หมู่บ้านห้วยเม็ง ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย  เจ้าหน้าที่จึงแยกกำลังไปตรวจสอบปรากฎว่าคนขับรถบนต์ได้วิ่งหลบหนีไปกับความมืดและทิ้งรถเอาไว้ดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันนำของกลางทั้ง 2 คดี ส่งด่านศุลกากรเชียงของเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

รวบถึงเชียงราย “แก้ว เกวลิน” หลอกลงทุนลอตเตอรี่ เสียหายกว่า 15 ล้าน

 

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2567ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนผ่านเพจ “สืบนครบาล IDMB” ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุม น.ส.เกวลิน หรือแก้ว ซึ่งมีพฤติการณ์ ชักชวนหลอกให้ร่วมลงทุนซื้อโควตาลอตเตอรี่ ในราคากล่องละ 42,500 บาท (ลอตตารี่ 1 กล่องมี 500 ใบ) โดยจะได้รับผลกำไรตอบแทนเป็นเงิน กล่องละ 2,000 บาท ผู้แจ้งมีความสนใจที่จะร่วมลงทุนกับ น.ส.เกวลิน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,711,630 บาท ต่อมาผู้แจ้งไม่ได้รับปันผลตามที่ได้ตกลงไว้ และได้พยายามขอเงินคืนจาก น.ส.เกวลิน แต่ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงและไม่ยอมคืนเงินจนไม่สามารถติดต่อ น.ส.เกวลิน หรือแก้ว ได้อีกจึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงได้เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

 
ต่อมาศาลอาญาพระโขนงได้พิจารณาอนุมัติหมายจับเพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.136/2566 ลงวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ” แต่ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยใดสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหารายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ผู้เสียหายจึงเข้ามาแจ้งในเพจ “ สืบนครบาล IDMB ” เพื่อความหวังให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาลช่วยติดตามจับกุมตัวผู้ต้องการที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีให้ได้เนื่องจากตนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากและเชื่อว่ายังมีประชาชนอีกหลายรายถูกคนร้ายรายนี้หลอกให้ร่วมลงทุนจนได้รับความเสียหายหลักล้านบาทไม่ต่างจากตน เช่นกัน
 
 
จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดลาดตระเวนออนไลน์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ทราบข้อมูลว่า ณ ปัจจุบัน ผู้ก่อเหตุรายดังกล่าวมีหมายจับที่ต้องการตัวเพื่อดำเนินคดีอยู่ จำนวน 4 หมายจับ ประกอบด้วย
1) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.136/2566 ลงวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ” ท้องที่ สน.คลองตัน
2) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดตราด ที่ จ.56/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ” ท้องที่ สภ.หนองบอน ภ.จว.ตราด
3) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดวิเชียรบุรี ที่ 22/2566 (คดีหมายเลขดำ ที่ อ 507/2565 , คดีหมายเลขแดง ที่ อ 146/2566) ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ”
4) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 439/2566 (คดีหมายเลขดำ ที่ อ184/2566 , คดีหมายเลขแดง ที่ อ 597/2566) ลงวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ”
 
 
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เมื่อเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนจากการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. เร่งรัดให้ พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. กำชับให้ รีบทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายรายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว
 
 
ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 08.30 น. เจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ สืบนครบาล ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุม น.ส.เกวลิน อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.136/2566 ลงวันที่ 10 มีนาคม 2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกง ”
.
โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณ ภายในร้านจำหน่ายรถไฟฟ้า ภายในตลาดล้านเมือง ม.6 ต.สันทราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
 
 
ในชั้นจับกุม น.ส.เกวลิน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าตนจบม.6 จากนั้นได้ไปอบรมเป็นผู้ช่วยพยาบาลจนได้รับใบประกาศและมาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และกรุงเทพฯ ประมาณ 3 ปี ต่อมา เมื่อช่วงประมาณปี 2558 รัฐบาลได้มีการเปิดให้บุคคลทั่วไปสมัครลงทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิซื้อจองสลากกินแบ่งรัฐบาล ตนได้ไปลงทะเบียนจนได้รับสิทธิโควต้ามาจำนวน 1 กล่อง ก่อนจะลาออกจากงานผู้ช่วยพยาบาล แล้วมาเร่ขายลอตเตอรี่ตามสิทธิที่ตนได้ จากนั้น เมื่อช่วงประมาณปี 2562–2563 หลังจากมีประสบการณ์จากการได้รับสิทธิโควต้าลอตเตอรี่และการขายลอตเตอรี่ ตนเห็นช่องทางที่จะสามารถสร้างผลกำไรต่อยอดจากอาชีพนี้ได้ จึงทำการติดต่อซื้อสิทธิโควตาลอตเตอรี่จากคนที่ได้สิทธิแต่ไม่ได้นำลอตเตอรี่มาขาย เพื่อตนจะได้นำไปขายต่อให้ผู้สนใจโดยคิดกำไรส่วนต่าง จนมีคนรู้จักติดต่อมาเพื่อร่วมลงทุนด้วยกว่า 10 ราย โดยแต่ละรายรวมลงทุนรายละประมาณ 3 ล้าน ถึง 5 ล้าน โดยช่วงแรกที่ราคาลอตเตอรี่ไม่แพงมากธุรกิจนี้สร้างผลกำไรให้ตนเป็นอย่างดี
 
 
ต่อมาเมื่อช่วงประมาณปี 2563 ที่สถานการณ์โควิดระบาดอย่างรุนแรง ทำให้ลอตเตอรี่ขายไม่ได้ ประกอบกับราคาลอตเตอรี่มีการผันผวนไม่คงที่ แต่ตนยังต้องแบกภาระเพื่อคืนกำไรให้แก่ผู้ร่วมลงทุนจำนวนเท่าเดิมทุกงวดตามที่ตกลงกันไว้ จึงได้นำเงินทุนจากผู้ที่สนใจลงทุนเพิ่ม นำไปจ่ายคืนกำไรให้แก่ผู้ร่วมลงทุนไปก่อนเพื่อให้ผ่านพ้นเป็นงวดๆไป จนท้ายที่สุดตนไม่สามารถหากำไรมาจ่ายให้แก่ผู้ร่วมลงทุนได้ ทั้งที่ตนพยายามถึงขนาดต้องไปกู้เงินนอกระบบมาหมุนเพื่อเป็นกำไรให้แก่ผู้ร่วมลงทุน แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด จึงได้หลบหนี ก่อนจะมาถูกจับกุมตัวในที่สุด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัว น.ส.เกวลิน ผู้ต้องหาตามหมายจับ นำส่งพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
 
 
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพมีเล่เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพซึ่งมีอยู่มากมาย ตลอดจนศึกษารายละเอียดของการลงทุนแต่ละรูปแบบให้ชัดเจนเสียก่อน หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ “สืบนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สืบนครบาล IDMB

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เคาะก่อนชง ครม.ยาบ้า 1 เม็ด ก็มีความผิด ใครแจ้งเบาะแสรับรางวัลนำจับ 5%

 
เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 67 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ

 

โดยมี นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม ป.ป.ส. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าร่วมประชุม ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข

 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตามที่กฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลให้ใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ภายหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม

 

รวมถึงการตีความและการใช้บังคับกฎหมาย เช่น ผลสำรวจนิด้าโพล มีประชาชนมากกว่าร้อยละ 67 ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย ทำให้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567 นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

พร้อมมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข แก้ไขกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษฯ โดยปรับลดยาบ้าให้เหลือ 1 เม็ด เพื่อเป็นหลักให้ผู้ปฏิบัติงานและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย

 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข จึงมีการแต่งตั้งคณะทำงานทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยได้ประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เพื่อประเมินผลกระทบ

 

ซึ่งพบว่า เกิดผลกระทบสังคม การบังคับใช้กฎหมาย และการแพทย์ เช่น ผู้ค้าใช้ช่องว่างของกฎหมายในการแบ่งบรรจุจำหน่าย เพื่อหลบหลีกการถูกดำเนินคดีในฐานความผิดมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้า จึงเห็นชอบแก้ไขกฎกระทรวง พร้อมวางกรอบระยะเวลา ไม่เกิน 3 เดือน โดยขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ ทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยให้ยกเลิกความใน (ก) และ (จ) ของข้อ 2(1) แห่งกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษฯ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน (ก) แอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือ มีน้ำหนักสุทธิ ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม (จ)

 

เมทแอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือ มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หรือ ในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม

 

โดยมติที่ประชุมวันนี้ จะนำไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข เป็นเวลา 15 วัน ซึ่งเริ่มวันนี้ เป็นวันแรกทันที

 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุมวันนี้ ได้กำหนดเส้นแบ่งการทำคดียาเสพติด เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ โดยมีมติปรับลดปริมาณยาบ้าที่สันนิษฐานเป็นผู้เสพ เหลือ 1 เม็ด และสารบริสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม

 

แต่ขอเน้นย้ำว่า ยาบ้า 1 เม็ด ก็มีความผิด เพราะต้องพิสูจน์ต่อด้วยว่า เป็นผู้เสพ หรือ ผู้ขาย หากเป็นผู้เสพก็ต้องเข้ารับการบำบัด พร้อมต้องขยายผลตามแนวนโยบาย “1 ผู้เสพ ขยายผล 1 ผู้ขาย และขยายต่อเป็น 1 ผู้ผลิต”

 

ดังนั้น มียาบ้า 1 เม็ด ก็ต้องถูกขยายผลเพื่อนำไปสู่การยึดอายัดทรัพย์ ซึ่งในขณะนี้ เรามีผู้แทนแต่ละกระทรวง ที่อยู่ตามชุมชน ก็จะช่วยเป็นหูเป็นตา และหากใครแจ้งเบาะแสก่อนก็รับรางวัลนำจับ 5%

 

เมื่อถามว่า เหตุผลในการปรับเหลือ 1 เม็ด นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประชาชน สะท้อนสิ่งที่เสียหายมาเป็นจำนวนมาก พร้อมพิจารณาสถิติการจับกุมที่สูงขึ้น จึงมีการปรับลดเหลือ 1 เม็ด แต่ก็ยังมีความผิด ต้องถูกสอบสวนเพื่อขยายผลให้ได้ผู้ขาย และผู้ผลิตต่อไป

 

ซึ่งจากนี้ ก็จะรับฟังความคิดเห็น 15 วัน หากเห็นตรงกัน ก็จะเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

กาแฟไทยโตต่อเนื่อง หลังปี 66 ขยายตัวมูลค่าพุ่ง 4.5 พันล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ติดตามข้อมูลการค้าของสินค้ากาแฟ พบว่าตลาดกาแฟไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นแนวโน้มและโอกาสที่ดีในการปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อเร่งพัฒนาตลาดกาแฟของไทย

บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาดระดับโลก Euromonitor International รายงานมูลค่าตลาดกาแฟไทย พบว่ากาแฟเป็นสินค้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าตลาดกาแฟไทยเติบโตต่อเนื่อง ในช่วงระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 8.55% ต่อปี ขณะที่ล่าสุดปี 2566 มีมูลค่าตลาด 34,470.3 ล้านบาท ขยายตัว 7.34% ปี 2565 ขยายตัว 9.78% และเมื่อพิจารณายอดขายตามประเภทกาแฟ ในปี 2566 พบว่ากาแฟสำเร็จรูปมีมูลค่าตลาดสูงถึง 28,951.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 84% ของมูลค่าตลาดกาแฟในประเทศ และกาแฟสดมีมูลค่าตลาด 5,519.1 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มวัยทำงาน สภาพอากาศที่ร้อนของไทย และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกในการบริโภคเครื่องดื่ม  

 

กระแสความต้องการบริโภคกาแฟในไทยที่เพิ่มขึ้น ความต้องการบริโภคเครื่องดื่มสำเร็จรูปที่หลากหลาย ประกอบกับสภาพอากาศร้อน ถือเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ความต้องการกาแฟเย็นจากร้านสะดวกซื้อ กาแฟสำเร็จรูปแบบ RTD (Ready To Drink) และกาแฟบรรจุขวดพร้อมทานเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบและดื่มด่ำกับบรรยากาศในการดื่มกาแฟสดที่ได้เห็นความพิถีพิถันในการชงกาแฟก็ทำให้กาแฟสดเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายเหล่านี้ เกิดจากการที่ผู้ประกอบการเริ่มศึกษาและเรียนรู้ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี 

 

ในปี 2566 ประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟ 16,575 ตัน แบ่งเป็นพันธุ์อาราบิก้า และโรบัสตา 48.2% และ 51.8% ตามลำดับ เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้ากาแฟ พบว่าการนำเข้ากาแฟของไทยเติบโตต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 25661 ไทยมีมูลค่าการนำเข้ากาแฟ 338.42 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12.90% เมื่อเทียบกับปี 2565 ประมาณ 299.77 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการนำเข้า 

 

(1) กาแฟดิบ (พิกัดศุลกากร 090111 และ 090112) 184.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (62,171.01 ตัน) 
(2) กาแฟคั่ว (พิกัดศุลกากร 090121 และ 090122) 27.55 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,647.14 ตัน) 
(3) กาแฟสำเร็จรูป (พิกัดศุลกากร 210111 และ 210112) 126.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (15,947.11 ตัน) 

 

สำหรับในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – มี.ค.) ไทยมีมูลค่าการนำเข้ากาแฟ 76.3 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น (1) กาแฟดิบ 31.21 ล้านเหรียญสหรัฐ (2) กาแฟคั่ว 6.15 ล้านเหรียญสหรัฐ และ (3) กาแฟสำเร็จรูป 38.94 ล้านเหรียญสหรัฐ 

 

นอกจากนี้ พบว่า มูลค่าการส่งออกกาแฟของไทยก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟ 125.89 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.59% เมื่อเทียบกับปี 2565 (108.92 ล้านเหรียญสหรัฐ) แบ่งเป็นการส่งออก

 

(1) กาแฟดิบ 2.20 ล้านเหรียญสหรัฐ (255.18 ตัน) 
(2) กาแฟคั่ว 2.75 ล้านเหรียญสหรัฐ (243.23 ตัน)
(3 )กาแฟสำเร็จรูป 120.95 ล้านเหรียญสหรัฐ (24,517.72 ตัน)

 

สำหรับในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – มี.ค.) ไทยมีมูลค่าการส่งออกกาแฟ 34.18 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,237,316,000 บาท
 
แบ่งเป็น
(1) กาแฟดิบ 0.21 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,602,000.00 บาท
(2) กาแฟคั่ว 1.24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 36,207,500 บาท
(3) กาแฟสำเร็จรูป 32.72 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,184,709,400 บาท

 

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า ไทยมีการนำเข้ากาแฟดิบในปริมาณมาก เพื่อบริโภคในประเทศและแปรรูปส่งออกเป็นกาแฟสำเร็จรูป แสดงให้ถึงศักยภาพด้านการแปรรูปกาแฟของไทย โดยในปี 2566 ตลาดส่งออกกาแฟสำเร็จรูปอันดับหนึ่งของไทย คือ กัมพูชา รองลงมา ได้แก่ สปป.ลาว และฟิลิปปินส์ ส่วนด้านการนำเข้า ไทยนำเข้าเมล็ดกาแฟดิบจากเวียดนามมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ อินโดนีเซีย และ สปป.ลาว 

 

นายพูนพงษ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ตลาดกาแฟของไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริโภคในประเทศ และการแปรรูปเพื่อส่งออก ประเทศไทยมีศักยภาพในการแปรรูปกาแฟดิบเป็นกาแฟสำเร็จรูปเพื่อการส่งออก ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น ดังนั้น ผู้ผลิตและผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว และปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่รักษ์โลกมาใช้ในขั้นตอนการผลิต เพื่อสามารถพัฒนากาแฟที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และสอดคล้องกับระเบียบการค้าโลกใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกกาแฟไทยไปยังตลาดคู่ค้าใหม่ ๆ มีโอกาสขยายตัว เนื่องจากตลาดกาแฟยังมีช่องว่างในการเติบโตอีกมากทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดโลก

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กกต.เชียงราย เผยเปิดรับสมัคร สว. 20-24 พ.ค. 67 ไม่เว้นวันหยุดราชการ

 

เมื่อวันที่พฤหัสบดี ที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่ห้องประชุมคชสาร ศูนย์การเรียนรู้และนันทนาการ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้การดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยมีนายชูชาติ สุขสงวน ผู้อำนวยการสำนักงาน กกต.จังหวัดเชียงราย กล่าวเปิดงาน และบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา โดยมีประชาชนที่สนใจ ผู้ทรงคุณวุฒิจากกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เข้าร่วมรับฟังกว่า 100 คน

 

         โดยการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ที่สนใจในการดำเนินการของการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ก่อนที่จะมีการสมัครรับเลือก ซึ่งในกิจกรรมมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกระบวนการรับสมัคร ขั้นตอนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงหลักเกณฑ์วิธีการแนะนำตัว ข้อห้าม ความผิดและแนวทางวินิจฉัยคุณสมบัติ ก่อนที่จะมีการรับสมัคร ในวันที่ 20 ถึง 24 พฤษภาคม 2567 นี้ 

 

           นายชูชาติ สุขสงวน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งและวันสมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภา ตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 โดยกำหนดให้มีการเลือก 3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และ ระดับประเทศ

 

          โดยจะมีการรับสมัครในวันที่ 20-24 พฤษภาคม 2567 ณ สำนักทะเบียน ที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง  ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ถึง 16.30 น. ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งระดับอำเภอกำหนด ไม่เว้นวันหยุดราชการ และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอขึ้นในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 ระดับจังหวัดในวันที่ 16 มิถุนายน 2567 และวันเลือกระดับประเทศ วันที่ 26 มิถุนายน 2567 ซึ่งจะเป็นการเลือกกันเองของผู้สมัครรับเลือก สว. ที่มาจากกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม ตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับผู้ที่ประสงค์สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาจะสมัครได้เพียงกลุ่มเดียว อำเภอเดียว และจะถอนการสมัครไม่ ได้โดยสามารถติดต่อขอรับใบสมัคร (สว.2) พร้อมแบบข้อมูลแนะนำตัว (สว.3) และแบบหนังสือรับรองความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ หรือทำงานในกลุ่มที่สมัคร (สว.4)ด้วยตนเอง ได้ที่สำนักทะเบียนอำเภอ ที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง

 

       สำหรับการสมัครรับเลือก สว. จะเสียค่าสมัครคนละ 2,500 บาท โดยต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ในวันสมัคร มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่า 10 ปี เป็นผู้มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ เกิดในอำเภอที่สมัคร มีชื่อหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือก ทำงานหรือเคยทำงานในอำเภอที่สมัครติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือก เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอที่สมัครติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี การศึกษา

 

      ผู้สมัครรับเลือก สว.ไม่สามารถหาเสียงได้ แต่สามารถแนะนำตัวตามแบบข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร โดยระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 กำหนด ให้มีข้อความและข้อมูลดังนี้ ข้อมูลส่วนตัวของผู้สมัคร ประวัติการศึกษาของผู้สมัคร ประวัติการทำงาน หรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัคร ไม่เกิน 5 บรรทัด ทั้งนี้ผู้สมัครอาจแนะนำตัวได้ตามวิธีการและเงื่อนไขที่ กกต. กำหนด  

 

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการเลือก สว. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือสายด่วน 1444

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ตำรวจยึดรถทันก่อนส่งต่างประเทศ หลังผู้เสียหายแจ้งหลงเชื่ออนุมัติเช่า

 
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ร่วมกันตรวจยึดรถยนต์ ยี่ห้อ FORD EVEREST สีขาว หมายเลขทะเบียน ก 8096 เชียงใหม่ (ป้ายแดง) จำนวน 1 คัน สถานที่ตรวจยึด บ้านเลขที่ ๓๐๐ หมู่ ๑๙ ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย พฤติการณ์ ตามที่ผู้เสียหายได้ให้นางสาวอุทิศพร อินต๊ะปาน (“ผู้เช่าซื้อ”) เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อ FORD EVEREST เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ซึ่งรถยนต์ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหาย ภายหลังผู้เช่าซื้อใด้รับรถไวในครอบครองเรียบร้อยแล้ว ผู้เสียหายได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่า ผู้เช่าซื้อได้ใช้เอกสารทางการเงินเป็นเท็จมายื่นขอสินเชื่อกับผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้หลงเชื่ออนุมัติให้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไป 
 
 
        ต่อมาผู้เสียหายได้ทราบข้อมูลว่ารถยนต์คันดังกล่าวอยู่ในบริเวณใกล้ชายแดนของประเทศ อาจนำออกไปนอกประเทศได้ ซึ่งทำให้ผู้เสียหายเกิดความเสียหาย และอยู่ระหว่างดำเนินการเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เช่าซื้อ โดยแจ้งความดำเนินคดี ข้อหา ฉ้อโกง ที่ สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ ผู้เสียหายจึงประสานมายังสถานีตำรวจทางหลวง 5 กองกำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ให้ช่วยสืบสวนข้อมูลและติดตามรถยนต์คันดังกล่าวกลับคืนให้แก่ผู้เสียหายโดยเร่งด่วน ทางชุดตรวจยึดจึงได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง หน่วยบริการประชาชนฯ แม่จัน และสภ.แม่จัน รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นและได้ร่วมกันนำหมายค้นศาลแขวงเชียงราย ที่ ค.38/2567 ลง 15 พฤษภาคม 2567 ไปทำการตรวจค้นสถานที่บ้านเลขที่ 300 หมู่ที่ 19 ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยมี นางสาริสา อายพล เป็นเจ้าของบ้านแต่ไม่อยู่บ้าน และมีนายนาวี แช่เฉิน อายุ 29 ปี ที่อยู่ 471 หมู่ที่ 19 ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย เป็นผู้ดูแลบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตรวจยึดจึงได้แสดงหมายค้นให้ดูจนเป็นที่พอใจแล้ว และมีนายชัยวัฒน์ ชีวินมหาชัย กำนันตำบลป่าตึง เป็นพยานผู้นำการตรวจค้นบ้านจนกระทั่งเสร็จสิ้นการตรวจค้น ตรวจค้นเสร็จสิ้นเวลา 16.50 น. ผลการตรวจค้น พบรถยนต์ ยี่ห้อ FORD EVEREST สีขาว หมายเลขทะเบียน ก 8096 เชียงใหม่ (ป้ายแดง) จำนวน 1 คัน และได้ทำการตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบและประสานส่งมอบให้กับผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในรถยนต์คันดังกล่าว ต่อไป
 
 
        ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือน พี่น้องประชาชน การปลอมหลักฐานทางการเงิน เพื่อไปใช้ในการกู้ยืมสินเชื่อต่างๆ สามารถตรวจสอบได้ หากมีเจตนาทุจริต จะมีความผิด ตาม ป.อาญา ม.264 ข้อหา ปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ ตาม ม.341 ข้อหา ฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ช่องทางการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม พ.ต.ท.ดร.เจต จึงประเสริฐศรี สว.ส.ทล.5 กก.5 บก.ทล. “ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด” 
 
 
โดยร่วมกันตรวจยึดรถยนต์ ยี่ห้อ FORD EVEREST สีขาว ในครั้งนี้ภายใต้การอำนวยการของ ของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล., พ.ต.อ.แมน เม่นแย้มรอง ผบก.ทล.,พ.ต.อ. สาธิต สมานภาพ ผกก.5 บก.ทล.,พ.ต.ท.ศิลา ขำเพชร,พ.ต.ท.ยุทธนันท์ จันทร์เนตร รอง ผกก.5 บก.ทล., พ.ต.ท.ดร.เจต จึงประเสริฐศรี สว.ส.ทล.5 กก.5 บก.ทล. เจ้าหน้าที่ชุดตรวจยึด นำโดย ร.ต.อ.ธีระพงษ์ ไชยมงคล รอง สว.ฯ,ร.ต.ต.เดช ฉ่ำชื่น รอง สว.(ป.)ฯ ,ด.ต.สิทธิชัย ชิ้นจิ้น,ต.ต.เอนก บุญหล้า, ต.ต.ปริญญา โกลนันต์, ต.ต.วุฒิชัย ขันทะบุตร, ต.ต.ธวัชชัย ทิพย์ศรี, และจ.ส.ต.นรากร ดอนแก้ว ผบ.หมู่ ส.ทล.5 กก.5 บก.ทล.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กลุ่มทุนรุกป่าดอยสะโง้นับ 1,000 ไร่ สร้างรีสอร์ท-ทดแหล่งน้ำไปใช้เอง

 

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่หมู่บ้านดอยสะโง้ หมู่ 7 ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย นายเศกสันต์ กองศรี กำนัน ต.ศรีดอนมูล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ และชาวบ้านดอยสะโง้ ร่วมตรวจแนวเขตแดนและพิกัดของพื้นที่ปาไม้และที่ดินที่มีผู้เข้าไปครอบครอง หลังจากชาวบ้านดอยสะโง้เคยร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงานว่ามีการบุกรุกป่า และนายเศกสันต์ได้ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เมื่อครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปยัง อ.เชียงแสน เมื่อเดือน มี.ค.2567

 

โดยชาวบ้าน ระบุว่า เดิมดอยสะโง้ เคยมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้และแหล่งน้ำ รวมทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 709 เมตร เป็นจุดชมวิว 3 แผ่นดิน คือ สามเหลี่ยมทองคำ ไทย สปป.ลาว และเมียนมา และเป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโง๊ะ ที่เป็นแหล่งปลูกพืชต่างๆ สร้างงานสร้างรายได้ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า แต่ปรากฎว่าตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาได้มีกลุ่มทุนบุกรุกตัดต้นไม้และปรับถางที่ดิน มีการปลูกส้มหลายร้อยไร่และสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น รีสอร์ท ที่พัก ฯลฯ เพื่อหาผลประโยชน์จากแหล่งท่องเที่ยว ทำให้เกิดปัญหาแหล่งน้ำบนดอยสะโง้แห้ง หรือถูกกลุ่มทุนผันน้ำนำไปใช้ส่วนตัว ส่งผลให้ชาวบ้านเดือดร้อนและยังมีปัญหาขยะเพิ่มขึ้นมาอีก
ดังนั้นในปี 2562 ชาวบ้านจึงได้ร้องเรียนไปยังหลายหน่วยงาน แต่ก็ไม่สามารถหยุดการบุกรุกป่าทั้งในเขตป่าสงวนแห่งชาติและสวนป่าแม่มะ-สบรวก ที่อยู่ในการดูแลของหน่วยงานป่าไม้ทั้ง 2 หน่วยงานดังกล่าว และมีแนวโน้มจะบุกรุกเพิ่มขึ้น
 
 
นายเศกสันต์ กล่าวว่า ในอดีตดอยสะโง้เป็นแหล่งน้ำโดยเฉพาะลำห้วยม่วงที่ชาว ต.ศรีดอนมูล ได้ใช้ประโยชน์ แต่ถูกกลุ่มนายทุนที่มีเงินและอิทธิพลเข้าไปบุกรุก กระทั่งปี 2567 ความแห้งแล้งรุนแรงมากเพราะป่าไม้ถูกทำลายไปนับ 1,000 ไร่ ส่วนลำห้วยก็ถูกนายทุนกั้นน้ำเอาไว้ใช้ส่วนตัว ตนจึงได้เป็นตัวแทนชาวบ้านทูลเกล้าถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดังนั้นในครั้งนี้ตนหวังว่าหน่วยงานต่างๆ จะแก้ไขปัญหาให้สำเร็จเพราะ 4-5 ปีที่ผ่านมา มีการตรวจสอบหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการแก้ไขปัญหา
 
 
สำหรับครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้เริ่มสำรวจว่าจุดใดอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตป่าอุทยาน หรือพื้นที่การเกษตรแล้ว จากนั้นจะบูรณาการจำแนกพื้นที่หากพบมีการบุกรุกในเขตรับผิดชอบของหน่วยงานใดก็จะมีการดำเนินคดีจนครบทั้ง 1,000 ไร่ต่อไป.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เส้นตาย เจ้าหนี้-ลูกหนี้ เงินกู้นอกระบบแสดงตัวภายใน 31 พ.ค. กวาดล้างทั่วประเทศ

 
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทยแถลง ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการแก้ไขหนี้นอกระบบ พร้อมด้วยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย พล.ต.ท.ทัตชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผบ.ตร.นายณรงค์ ศรีระสัน ผู้แทนอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สศช.)แถลงเปิดแผนปฏิบัติการแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน

 

ทั้งนี้ นายชาดา กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามที่นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการและให้ความสำคัญเรื่องนี้ โดยมอบให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายก และรมว.มหาดไทย ดำเนินการและมีคณะทำงานได้ทำไประยะหนึ่ง มีการลงทะเบียนหนี้กว่าแสนราย แต่ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดเพราะคนไทยจำนวนมากของประเทศ ที่เป็นคนจนทำมาหากินได้วันละ 500 บาท

 

และลูกหนี้จะไม่สามารถไปกู้เงินในระบบอื่นได้ นำไปสู่การกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยจำนวนมากทำให้ไม่สามารถเดินต่อไปได้เรื่องนี้จึงมีส่วนสำคัญกับเศรษฐกิจของชาติในปัจจุบันนี้ หากหลงเข้าไปกู้จะไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้เพราะต้องใช้หนี้อย่างเดียว

 

“กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการเรื่องนี้ทั่วประเทศแต่ยังไม่จบ จึงขอประกาศไปถึงเจ้าหนี้และลูกหนี้นอกระบบ ให้ออกมาแสดงตัว หากลูกหนี้ไม่มา เจ้าหนี้จะต้องมา ถ้าไม่มาไม่ให้ความร่วมมือกันจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายไม่ได้” นายชาดา กล่าว

 

รมช.มหาดไทย กล่าวต่อว่า ขั้นตอนต่อไปทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการ กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร จะดำเนินการขั้นต่อไป ถ้าลูกหนี้และเจ้าหนี้ยังไม่เข้าสู่ระบบคนที่เป็นหนี้ก็ไม่สามารถไปกู้ที่ไหนได้ จึงต้องการให้เจ้าหนี้มาเข้าสู่กรอบของกฎหมาย

 

ถ้าไม่มาจะมีระยะเวลาในการดำเนินการ ที่จะต้องถูกตรวจสอบ เราจะตามเคลียร์คนที่มีอาชีพเงินกู้นอกระบบในทุกจังหวัด แต่หากเข้ามาในระบบ รัฐจะดูแลและให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายให้ลูกหนี้สามารถใช้หนี้ในอัตราที่ไม่ทารุณโหดร้ายส่วนเจ้าหนี้จะได้รับเงิน ยอมรับว่าเจ้าหนี้ก็มีมีทั้ง สายขาวและสายดำแต่ก็อยากให้มาลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ และประชาชนก็จะสามารถกู้ได้ด้วย

 

“ขอให้คนที่อยู่ในวงจรหนี้นอกระบบกลับเข้ามาสู่ระบบ โดยเฉพาะเจ้าหนี้ จะให้เดดไลน์ ตั้งแต่วันที่ 16 -31 พฤษภาคมนี้ ในการมาแสดงตัวลงทะเบียน ไปแจ้งเข้าสู่ระบบด้วยตัวเองจะดีกว่าในทางออนไลน์ เรื่องนี้หากยังมีหนี้นอกระบบก็เหมือนรัฐบาลโปรยฝนลงมาแล้วหายหมด หญ้าไม่ขึ้น ความงอกเงยทางเศรษฐกิจหายหมด เพราะมีการลักดูดน้ำไป เราจะไม่ยอมให้คนไทยกู้หนี้มาใช้หนี้อีกแล้ว รัฐบาลจึงให้ความสำคัญในเรื่องนี้และจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด เดทไลน์ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่คนทำผิดกฏหมายอยู่จะมีทางรอด“ นายชาดา กล่าว

 

นายชาดา กล่าวว่า ขอย้ำว่าให้มั่นใจว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการที่ถูกต้องจะปลอดภัยไม่ถูกดำเนินคดีและช่วยคนไทยในทางอ้อม และใครที่โดนจับก็ต้องถูกตรวจสอบทางภาษี แต่คนที่อยู่เบื้องหลัง นั่งเป็นเจ้าพ่อเงินกู้อยู่ในประเทศประเทศไทยทุกวันนี้ต้องเดินเข้าสู่ระบบ ถ้าไม่อย่างนั้นจะเจอการตรวจสอบที่เข้มข้น และจะมาว่ากลับไม่ได้ว่าไม่ได้ให้ความเป็นธรรม

 

รัฐบาลไม่ยอมให้โครงการต่างๆที่ทำแล้วหายไปใต้ดินทั้งหมด เพราะคนไทยทำมาหากินได้แล้วต้องไปจ่ายหนี้และจ่ายได้แค่ดอกเบี้ย หลังจากนั้นก็ไปกู้อีกรายหนึ่งเพื่อมาใช้อีกรายหนึ่ง กลายเป็นว่าชีวิตหยุดกู้ไม่ได้ และปัญหาชีวิตก็ไม่ได้รับการแก้ไข วันนี้เป็นการแก้ไข ตนเข้ามาร่วมทำงานจนรู้ปัญหาดี ในฐานะนักการเมืองก็อยากจะแก้ปัญหาครั้งนี้อย่างยั่งยืนคือต้องจบ

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมาตรการภาษี เข้ามาดำเนินการอย่างเด็ดขาดหรือไม่ นายชาดากล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ เป็นโอกาสของเจ้าหนี้ที่จะทำมาหากินแบบถูกกฎหมาย ส่วนระบบผิดกฎหมายต้องหมดไปตามวัฏจักรของบ้านเมือง เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขหนี้นอกระบบได้อย่างยั่งยืน

 

ช่วงเวลาที่เหลือขอแนะนำให้เจ้าหนี้ รีบมาขึ้นทะเบียนที่จังหวัดที่อาศัยอยู่ที่ศูนย์ดำรงธรรมสถานีตำรวจ สถานที่ปกครองเพื่อเข้าระบบ ลูกหนี้อาจจะกลัวเจ้าหนี้จะต้องมาลงทะเบียน และอย่าคิดว่าความผิดจะมาไม่ถึงเพราะสรรพากรจะเข้าไปตรวจสอบรายได้ของเจ้าหนี้และครอบครัวของท่าน และขอให้เตรียมคำตอบไว้ให้ดี

 

ส่วนข้าราชการที่เป็นหนี้นอกระบบจะต้องกล้าหาญที่จะออกมา ให้ไปบอกหัวหน้าหน่วยงานหรือผู้ว่าฯโดยรายงานว่าใครเป็นลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ แต่ถ้าใครไม่แจ้งแล้วเจ้าหนี้ให้รายชื่อมาบอก จะถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ วันนี้ต้องกล้าเพื่อให้ประชาชนเดินตาม

 

เมื่อถามว่ากรณีที่ เจ้าหนี้เป็นข้าราชการจะมีผลต่อหน้าที่การงานหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า เราจะไม่พูดเรื่องภายหลัง แต่เจ้าหนี้ที่เป็นข้าราชการ ต้องมาเร่งลงทะเบียน หากไม่มาลงทะเบียนอาจจะโดนสองเด้งทั้งทางอาญาและทางวินัย ทั้งนี้เราจะแก้ปัญหาให้ ไม่ใช่ใช้เฉพาะนิติศาสตร์แต่จะแก้ในทางรัฐศาสตร์ เพื่อให้ประชาชนมีแหล่งเงินกู้โดยไม่ผิดกฎหมาย ขอย้ำว่าหากไม่ทำจะถูกดำเนินมาตรการทางภาษี ทางกฎหมายและจะไม่มีใครช่วยท่านได้

 

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า  นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญทั้งหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ ทั้งสองมีความเกี่ยวพันกัน เช่น การแก้ไขหนี้ในระบบพบว่าข้าราชการจำนวนไม่น้อยมีหนี้นอกระบบด้วย ก็อยากจะเรียกร้องให้ข้าราชการเหล่านั้นเข้ามาลงทะเบียนในระบบด้วย

 

ในส่วนการทำงานของคณะกรรมการ แม้มีการดำเนินการลงทะเบียนไปแล้วแต่ยังไม่เป็นไปตามเป้า และมั่นใจว่ายังมีประชาชนที่อยู่ในภาวะที่เป็นหนี้นอกระบบเหลืออยู่ ซึ่งการแถลงข่าววันนี้ไม่ใช่เป็นการขยายเวลา เพราะการลงทะเบียนยังเป็นไปตามกำหนดระยะเวลาเดิม คือให้เจ้าหนี้และลูกหนี้มาลงทะเบียนให้เรียบร้อยในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้  หากไม่มาเราจะมีการดำเนินการในแผนการปฏิบัติงานอย่างจริงจังเข้มข้น

 

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า เจ้าหนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณูปการคืออำนวยความสะดวกให้ลูกหนี้ที่ไม่สามารถเข้าระบบได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถยอมให้เกิดขึ้นได้คือดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ดังนั้นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ อยากให้มาลงทะเบียนเข้าระบบการไกล่เกลี่ย เจ้าหนี้ก็จะได้เงินคืนลูกหนี้ก็จะได้มีช่องทางในการชำระคืนตามกรอบที่กฎหมายกำหนด ส่วนข้ออ้างของเจ้าหนี้ที่อ้างว่าไม่สามารถมาอยู่ในระบบได้จึงไม่มีจริง เพราะสามารถเข้ามาสู่ระบบได้ และอยากให้ตระหนักว่ากำลังทำผิดกฎหมายอยู่ในลักษณะเอาเปรียบลูกหนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลยอมไม่ได้

 

สำหรับลูกหนี้ส่วนหนึ่งไม่กล้ามาลงทะเบียนเพราะกลัวว่าจะถูกคุกคาม ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ความคุ้มครองอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีการคุ้มครองเจ้าหนี้ด้วย คือต้องได้รับเงินต้นให้ครบจำนวน  แต่หากไม่มาลงทะเบียนก็จะถือว่าเจ้าหนี้ไม่ต้องการที่จะได้รับเงินคืนรัฐก็จะไม่สามารถคุ้มครองได้  และในการดำเนินการทุกฝ่ายพร้อมที่จะให้ความคุ้มครอง ทั้งเรื่องความปลอดภัยและสิทธิทางกฎหมาย

 

ขณะที่พล.ต.ท.ทัตชัย กล่าวว่า สำหรับมาตรการคุ้มครองลูกหนี้นอกระบบขอยืนยันว่าเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นเรื่องที่สำคัญโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดไว้เป็นความสำคัญในลำดับต้น โดยมีศูนย์การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบขึ้นมาดูโดยเฉพาะ ที่ผ่านมาระดมกวาดล้างมาต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 จับกุมในคดีผู้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยเกินกำหนดและยึดทรัพย์

 

จึงขอให้ประชาชนเข้าใจกลับเข้ามาสู่ในระบบที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีทางกฎหมายทั้งอาญาและยึดทรัพย์ สำหรับการคุ้มครองความปลอดภัย ขอให้ไว้ใจว่าเมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วจะได้รับการดูแลความปลอดภัยเป็นอย่างดี ขณะที่การทำงานระหว่างตำรวจและอัยการในเรื่องของการยึดทรัพย์เป็นไปด้วยดี มีการส่งฟ้องและดำเนินการเกือบ 100%

 

นายณรงค์ กล่าวว่า ทางอัยการได้ชี้แจงรายละเอียดให้กับทางเจ้าหนี้และลูกหนี้หากมีการ ถูกดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา  แต่หากเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย จะได้รับการคุ้มครองทั้งทางกฎหมายและความปลอดภัยทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ แต่กรณีที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการ เมื่อลูกหนี้จ่ายต้นครบแล้ว ฝ่ายปกครอง ตำรวจ อัยการก็จะให้หยุดจ่าย  และหากเจ้าหนี้มีการข่มขู่ก็จะมีความผิดเป็นคดีอาญา   เช่น เจ้าหนี้ ที่มีการรวมกลุ่มเกิดห้าคนขึ้นไปและมีการข่มขู่คุกคามลูกหนี้ ก็อาจจะถูกดำเนินคดีข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจรได้  ขณะเดียวกันก็จะมีมาตรการทางภาษีด้วย

 

และหากลูกหนี้เจ้าหนี้ ท่านใดที่เป็นข้าราชการ ผู้ใช้แรงงาน ที่ไม่สามารถหยุดงานได้  ทางอัยการสูงสุดได้เปิดบริการในวันเสาร์ตั้งแต่ 08:00 – 16:00 น. เพื่อบริการลูกจ้างหรือข้าราชการที่ไม่สามารถหยุดงานได้ ให้สามารถใช้บริการที่อัยการสูงสุดได้ทุกที่ทั่วประเทศ

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News