Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เชียงราย ส่งตัวนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ ลุย “ราชบุรีเกมส์” – “เมืองโอ่งเกมส์”

 

เมื่อวัน 14 มีนาคม 2567 นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางชญาณ์นันท์ เชื้อศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย ร่วมกัน ส่งตัว นักกีฬาและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 39 “ราชบุรีเกมส์” ระหว่างวันที่ 21-31 มีนาคม 2567 และกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 6 “เมืองโอ่งเกมส์” ระหว่างวันที่ 19-26 เมษายน 2567 ณ จังหวัดราชบุรี โดยจัดขึ้น ณ ลานอนุเสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช โดยมีพระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย ให้พรและพรมน้ำมนต์ให้กับนักกีฬาเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ

 

ทั้งนี้ นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้ นายประพัฒน์ ชัชวาลชัยพรรณ อุปนายกสมาคมฯ นายเดช ใจกล้า อุปนายกสมาคมฯ ดร.ปรีชา อนุรักษ์ เลขาธิการสมาคมฯ พร้อมด้วย ประธานฝ่ายกีฬา นำนักกีฬา ผู้ฝึกสอน ผู้ควบคุมทีม เจ้าหน้าที่ เข้าร่วม
 
 
นางชญาณ์นันท์ เชื้อศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า สำนักงานการกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดเชียงราย ร่วมกับสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย ได้จัดส่ง นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และผู้ควบคุมทีม เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 39 “ราชบุรีเกมส์” ระหว่างวันที่ 21-31 มีนาคม 2567 จำนวน 24 ชนิดกีฬา เป็นนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และผู้ควบคุมทีม รวมทั้งสิ้น 250 คน และการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 6 เมืองโอ่งเกมส์” ระหว่างวันที่ 19-26 เมษายน 2567 จำนวน 10 ชนิดกีฬา เป็นนักกีฬา ผู้ฝึกสอน และผู้ควบคุมทีม รวมทั้งสิ้น 145 คน
 
 
นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า แสดงความยินดีกับ นักกีฬา ผู้ฝึกสอน ผู้ควบคุมทีม และเจ้าหน้าที่ ที่ได้เป็นตัวแทนชาวจังหวัดเชียงรายเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 39 “ราชบุรีเกมส์” และการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 6 “เมืองโอ่งเกมส์” ณ จังหวัดราชบุรี ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันกีฬาระดับชาติ ขอให้นักกีฬา ผู้ฝึกสอน ผู้ควบคุมทีม และเจ้าหน้าที่ ที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ แข่งขันด้วยความตั้งใจ มีสมาธิ มีน้ำใจ เป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย รู้รักสามัคคี และประสบความสำเร็จได้รับชัยชนะ และขอบคุณกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย เทศบาลนครเชียงรายบริษัท กีล่าสปอร์ต ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ได้ให้การสนับสนุนการจัดส่งนักกีฬา ผู้ฝึกสอน ผู้ควบคุมทีม และเจ้าหน้าที่ของจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้เป็นอย่างดี
 
 
นอกจากนี้ ได้มอบเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย ให้กับสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย เพื่อส่งมอบต่อให้กับ นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 39 “ราชบุรีเกมส์” จำนวน 1,087,432 บาท และการแข่งขันกีฬาอาวุโสแห่งชาติ ครั้งที่ 6 “เมืองโอ่งเกมส์”จำนวน 568,730 บาท
จากนั้นมอบเงินสนับสนุนจากนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จากมูลนิธิเพื่อการพัฒนากีฬาจังหวัดเชียงราย จำนวน 50,000 บาท ในการจัดซื้อเสื้อวอร์ม จำนวน 100 ตัว ให้กับผู้บริหาร นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และผู้ควบคุมทีม และมอบเสื้อวอร์ม จำนวน 342 ตัว จากบริษัท กีล่า สปอร์ต จำกัด เป็นเงินจำนวน 171,000 บาท.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เดินหน้าสร้างฝายฯ แก้ไขภัยแล้ง ผนึกกำลัง ทต.ม่วงยาย และอบต.ปอ

 

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 เวลา 11.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการ นายก อบจ.เชียงราย นางนิตยา ยาละ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.เวียงแก่น สิบเอกวิมล รู้ทำนอง ผอ.กองยุทธศาสตร์และงบประมาณ รักษาราชการแทน ผอ.กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หัวหน้าส่วนราชการ และบุคลากรกองป้องกันฯ อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่บ้านยายเหนือ ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น ร่วมสร้างฝายชะลอและฝายดักตะกอน

 

เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปัญหาอุทกภัย ฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำ คืนความชุ่มชื้นสู่ระบบนิเวศในพื้นที่ โดยมีนายอภิธาร ทิพย์ตา นายก ทต.ม่วงยาย นายนรเศรษฐ์ กมลาสน์กมุท นายก อบต.ปอ ผู้นำท้องที่ ร่วมให้การต้อนรับ และร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปัญหาอุทกภัยอย่างมีส่วนร่วม และอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำจังหวัดเชียงราย ระหว่าง อบจ.เชียงราย ทต.ม่วงยาย และ อบต.ปอ
 
.
โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปัญหาอุทกภัยอย่างมีส่วนร่วมและอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำจังหวัดเชียงรายระหว่าง อบจ.เชียงราย ทต.ม่วงยาย และ อบต.ปอ จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปัญหาอุทกภัยอย่างมีส่วนร่วม และอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำจังหวัดเชียงราย โดยตระหนักถึงความมั่นคงยั่งยืน และดุลยภาพของระบบนิเวศ วัฒนธรรมล้านนา รวมทั้งให้ความสำคัญต่อการผสมผสานเทคนิควิทยาพื้นบ้าน จารีตประเพณี ศักยภาพ องค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย ได้ขับเคลื่อนและขยายผลการดำเนินงานตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จนถึงปัจจุบัน เกิดความร่วมมือกันจากหลากหลายองค์กรและภาคีเครือข่าย ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หมู่บ้านและชุมชน ด้วยการ
 
 
บูรณาการร่วมกันทั้งแผนงานโครงการ งบประมาณ และบุคลากร โดยมีแผนปฏิบัติงานสำคัญได้แก่
การสร้างฝายชะลอความชุ่มชื้น การแสวงหาแนวทางการผลิตอาหารปลอดภัย และเกษตรกรรมยั่งยืน การขยายตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พม. รับมอบข้าวสาร 7,200 กก. จากบิ๊กซี ส่งต่อให้กลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาทางสังคม

 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2567 เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานรับมอบข้าวสารถุง จำนวน 7,200 กิโลกรัม จากบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) โดย คุณอัศวิน – คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อมอบให้ศูนย์ สถาน บ้าน นิคม ในสังกัดกระทรวง พม. ในการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ณ บริเวณโถงชั้น 1 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ

นายวราวุธ กล่าวว่า ตนในนามของกระทรวง พม. ขอขอบคุณคณะผู้บริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทผู้ผลิตข้าวสารถุง ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยการมอบข้าวสารถุง จำนวน 7,200 กิโลกรัม ให้แก่กระทรวง พม. เพื่อส่งต่อไปยังกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กเยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ คนไร้ที่พึ่ง กลุ่มเปราะบาง และผู้ประสบปัญหาทางสังคม ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่าข้าวสารที่ได้รับบริจาคในวันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง และกระทรวง พม. จะเร่งจัดส่งข้าวสารดังกล่าวให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคต่อไป

คุณฐาปณี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในนามของบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) มีความยินดีที่ได้มาร่วมบริจาคข้าวสารถุง จำนวน 7,200 กิโลกรัม ในวันนี้ เพื่อร่วมถวายพระราชกุศลและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 สำหรับการบริจาคข้าวสารเกิดจากความร่วมมือที่สำคัญ ภายใต้การจัดงาน “ข้าวถุงร่วมใจ ประหยัดทั่วไทย ที่บิ๊กซี ครั้งที่ 16” โดยบิ๊กซีได้ร่วมกับคู่ค้าผู้ผลิตข้าวถุงทั้ง 16 ราย 20 แบรนด์ ร่วมบริจาคข้าวสาร จำนวน 16 ตัน ให้แก่มูลนิธิ บีเจซี บิ๊กซี เพื่อนำไปส่งมอบให้กับชุมชน สถานสงเคราะห์ และสถานศึกษา

ทั้งนี้ บิ๊กซี ยินดีและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนอย่างเต็มความสามารถ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือสังคมอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการสร้างอาชีพ ส่งเสริมผู้ด้อยโอกาส พัฒนาคุณภาพชีวิต และช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยเมื่อยามวิกฤต และหวังว่าการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีจะช่วยแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เครือซีพีเสริมทัพภาคีเครือข่ายเชียงราย จัดงาน “อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก”

 

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผนึกกำลังกับเทศบาลตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ชุมชนบ้านหลวงใหม่พัฒนา โรงเรียนบ้านหลวง โรงเรียนวัดครึ่งใต้วิทยา วัดหลวง และหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่ จัดงาน “อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก” เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและเยาวชนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ป้องกันการเกิดไฟป่าในพื้นที่ป่าชุมชน รวมถึงเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขและลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ในภาคเหนือ

 

โดยมี นายฤหธิเดช จรรยาพงษ์ ปลัดอำเภอเชียงของ ประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นางศิริลักษณ์ บ่อสร้าง รองผู้จัดการฝ่าย ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ แอนโหนี-ปิยชนม์ ภุมวิภาชน์ ยุวทูต SEAMEO องค์กรรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เยาวชนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม นายดำรงศักดิ์ ไชยสาร นายกเทศมนตรีตำบลครึ่ง นายชาญวิทย์ รอดเกิด ผู้แทนเกษตรอำเภอเชียงของ ร้อยเอก อภิภู เมืองซ้ำาย หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชร.4 (หาดไคร้) ว่าที่ ร้อยโท ทัศน์ไชยไชยทน ปลัดเทศบาลตำบลครึ่ง นายภัทรพล หิริรักษ์วัฒนกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ กิจการผลิตและขายสุกรภาคเหนือบน เขต 3 บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมงาน ณ วัดพระธาตุพระเจ้าเข้ากาดหมู่ที่ 3 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

 

 

นายฤทธิเดช จรรยาพงษ์ ปลัดอำเภอเชียงของ กล่าวว่า “การจัดโครงการอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก มุ่งหวังในการรณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ และป่าไม้ โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมการอนุรักษ์ รักษา และปกป้องหรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงผลักดันการดำเนินงานเครือข่ายอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลกซึ่งเป็นกำลังสำคัญ โดยมีจิตอาสาในการช่วยเหลืองานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านการปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นแกนนำ เพื่อร่วมมือป้องกันปัญหาไฟป่าหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ซึ่งกลายเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน”

 

 

 
 กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การให้ความรู้เรื่องประโยชน์และคุณค่าของฝายชะลอน้ำและแนวกันไฟป่าโดยกำนันตำบลครึ่ง จากนั้นข้าสู่พิธีบวชป่า สร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ป่าให้กับชุมชน ต่อด้วยกิจกรรมทำฝ่ายชะลอน้ำจากวัสดุธรรมชาติ เพื่ออนุรักษ์แหล่งน้ำ สร้างความสมดุลในระบบนิเวศป่าไม้ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมให้กับชาวบ้านและเยาวชนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และปิดท้ายที่กิจกรรมสร้างแนวกันไฟป่า ด้วยการกำจัดเชื้อเพลิงที่ติดไฟง่าย เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่า มุ่งสู่การแก้ไขและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ ทั้งนี้ เครือซีพี ได้เล็งเห็นความสำคัญและมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนงาน เพื่อแก้ไขและลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เครือเจริญโภคภัณฑ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

กสว.ชุดใหม่รับไม้ต่อ ทำงานแบบบูรณาการ วิจัยตอบโจทย์ประเทศ และพัฒนานักวิจัย

 

สิริฤกษ์” นำทีม กสว.ชุดใหม่ รับไม้ต่อสานงานจากชุดเก่า เน้นการบูรณาการ ววน. กับการพัฒนาด้านอุดมศึกษา ขับเคลื่อนภาพรวมการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ร่วมมือจัดทำนโยบายและแผนบูรณาการด้านวิจัยกับหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมสานงาน 7 ด้าน ภายใต้แนวคิด ‘สหสัมพันธ์ ความร่วมมือ บูรณาการ การผลิตร่วมกัน’

คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ได้จัดการรับส่งมอบงานและหารือแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการ กสว. ระหว่างกรรมการชุดเดิมและชุดปัจจุบัน โดยเป็นการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการทั้งสองชุด เพื่อสรุปผลงานที่ได้ดำเนินการมา และหารือแนวทาง ข้อสังเกต คำแนะนำในเรื่องต่างๆ โดยมีคณะผู้บริหารและพนักงานของสำนักงาน สกสว. เข้าร่วมด้วย

ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธาน กสว. กล่าวว่า ขอขอบคุณกรรมการชุดที่ผ่านมาทุกท่านที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติและหน่วยงาน พร้อมเป็นตัวแทนมอบโล่เกียรติคุณจาก น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อขอบคุณกรรมการ กสว. ที่ครบวาระการปฏิบัติงาน

การรับมอบงานครั้งนี้เพื่อความต่อเนื่องของการดำเนินงาน รับทราบผลการดำเนินงานที่ผ่าน ปัญหา อุปสรรค แลกเปลี่ยนประสบการณ์ พร้อมกับหารือรับคำแนะนำในเรื่องที่คณะกรรมการชุดใหม่จะดำเนินการ โดยสิ่งที่บอร์ดชุดที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วนั้นนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้ปฏิรูประบบการวิจัยรูปแบบใหม่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งได้เกิดประโยชน์และวางรากฐานการดำเนินงาน เป็นโอกาสอันดีที่คณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับทราบข้อมูล ประสบการณ์ และความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ เพื่อเป็นบทเรียนในการสานต่อการดำเนินงานและริเริ่มประเด็นใหม่ๆ ที่สำคัญคือการถอดบทเรียนการทำงานในเรื่องใหญ่ ๆ มุ่งเน้นการพัฒนารายได้ใหม่ที่สอดรับกับทิศทางการพัฒนาประเทศ เพื่อขับเคลื่อนให้เห็นผลได้จริงทั้งในระยะสั้น และวางรากฐานการพัฒนาการวิจัยในระยะกลางและระยะยาว โดยในการประชุมในครั้งนี้รู้สึกยินดีอย่างยิ่งว่า คณะกรรมการทั้งสองชุดนี้ได้เห็นว่า กสว. จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนให้การวิจัยและนวัตกรรมเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศ เกิดประโยชน์ต่อประชาชน รวมทั้งเป็นการพัฒนานักวิจัยและหน่วยงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งการสร้างความเข้มแข็งของนักวิจัยทั้งในด้านพื้นฐานและประยุกต์ บูรณาการทุกภาคส่วนให้เกิดประโยชน์ต่อประะทศโดยตรง ซึ่ง กสว.ชุดแรกได้ทำงานหนักอย่างมากในการจัดตั้งระบบ โดย กสว. ชุดใหม่ก็ต้องทำงานต่อและริเริ่มงานเพิ่มขึ้นอีก ทั้งการสร้างฐานวิชาการและการใช้ประโยชน์ โดยต้องทำทั้งในการกำหนดนโยบายและการขับเคลื่อนให้เกิดผล ตลอดจนติดตามและประเมินผลได้ทั้งระบบ รวมทั้งให้ดำเนินการในแต่ละส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด” 

ขณะที่ ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธาน กสว.ชุดเก่า เผยว่า เชื่อมั่นว่ากรรมการชุดใหม่จะทำหน้าที่ที่สำคัญนี้ได้ดี ทั้งนี้การทำงานที่ผ่านมา กสว.มีหน้าที่สำคัญ 7 ด้าน คือ ด้านนโยบาย ด้านกองทุนและงบประมาณ ด้านข้อมูลสารสนเทศการวิจัย ด้านการพัฒนาบุคลากรวิจัย ด้านมาตรฐานและจริยธรรม ด้านการพัฒนานวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากผลวิจัย และด้านการพัฒนาระบบการบริหารจัดการงานวิจัยในสถาบันอุดมศึกษา

“การปฏิรูประบบวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมของประเทศนั้นได้มุ่งออกแบบระบบให้สามารถแก้ปัญหาการทำงานที่ไม่เป็นเอกภาพ มีกลไกการตัดสินใจในระดับที่สูงขึ้น คือ มีสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และมีการจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เป็นครั้งแรกที่ทำแผนแบบบูรณาการ แต่ถ้าจะทำวิจัยให้ได้ดี ต้องบริหารจัดการทั้งคน เครื่องมือ และระบบ ต้องพร้อมด้วย มองให้ครบทุกด้าน และต้องทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจนบรรลุผล“

คณะกรรมการ กสว. ทั้งสองชุด ยังได้หารือ เรื่อง การบูรณาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) กับด้านอุดมศึกษา ความร่วมมือจัดทำนโยบายและแผนบูรณาการด้านวิจัยและนวัตกรรมกับหน่วยงานอื่น ให้เป็นแผนเดียวกับ ววน. โดยเริ่มจากหน่วยงานภาครัฐ และขยายไปสู่ภาคเอกชน
กลไกการขับเคลื่อนให้ ววน. สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์เร่งด่วนได้ ตามที่ได้ทำแล้วในช่วงโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีประเด็นการขับเคลื่อนให้โปรแกรมต่างๆ สามารถทำได้อย่างคล่องตัวโดยบรรลุผลตามที่ได้กำหนด มีธรรมาภิบาล โปร่งใส เกิดความคุ้มค่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ กสว. ได้ทำหน้าที่คล้ายกับเป็นสำนักงบประมาณด้าน ววน. เน้นผลสัมฤทธิ์จากการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนการนำเอาข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการสนับสนุนระบบบริหารจัดการ ตรวจสอบ และติดตามได้อย่างต่อเนื่อง

ก้าวต่อไปของ กสว. คือ การดูแลภาพรวมการวิจัยของประเทศที่สัมพันธ์กับความต้องการของประเทศ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และการพัฒนารายได้ใหม่ที่สอดรับกับทิศทางการพัฒนาประเทศ พัฒนาสังคม และสร้างความเข้มแข็งของระบบวิจัย เน้นตอบโจทย์เห็นผลได้จริงในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รมว.ธรรมนัส นำทีมเกษตร ขึ้นเหนือม่วนใจ๋ เช็กอิน ‘พะเยา’

 
เมื่อวันที 14 มีนาคม 2567  ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการเตรียมลงพื้นที่ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่ตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (จังหวัดน่าน พะเยา เชียงราย และแพร่) และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 ณ จังหวัดพะเยา ระหว่างวันที่ 18 – 19 มีนาคม 2567 ซึ่งการลงพื้นที่ตรวจราชการครั้งนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายกำหนดทิศทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือนตอนบน 2 (จังหวัดน่าน พะเยา เชียงราย และแพร่) ในทุกมิติ ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสุขภาพ และมิติด้านสภาพแวดล้อมที่ดี มีเป้าหมายให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ภายในปี 2570 โดยในส่วนของประเด็นการพัฒนาด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะผลักดันและขับเคลื่อน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
 

        ประเด็นการพัฒนาที่ 1 พัฒนาเป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง มุ่งลดต้นทุนการผลิต ใช้ระบบ AI ช่วยการผลิต และส่งเสริมเกษตรกรแบบอัจฉริยะ สร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายเกษตรกรที่เป็น Smart Farmer, Young Smart Farmer และ Smart Product, จัดระบบตลาดและโลจิสติกส์เกษตรชุมชน ส่งเสริมการส่งออก การทำตลาดเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย (Niche Market) และส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีในการทำตลาดการเกษตรแบบดิจิทัล
 

        และประเด็นการพัฒนาที่ 2 ส่งเสริมและพัฒนาสุขภาวะวิถีใหม่สู่ความยั่งยืน (new normal to sustainable โดยส่งเสริมและเพิ่มขีดความสามารถการเป็นคลังอาหารปลอดภัย ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรมาตรฐานควบคุมคุณภาพ GAP ส่งเสริมการใช้สารชีวภัณฑ์และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การทำตราสินค้า (Branding) และตรารับรองคุณภาพสินค้า (Quality Mark) พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและแปรรูป เช่น สมุนไพร ให้ได้มาตรฐาน
 

        ขณะที่กำหนดการประชุม ครม.สัญจรนอกสถานที่ครั้งนี้ ได้ปักหมุด ณ จังหวัดพะเยา ซึ่งปัจจุบันจังหวัดพะเยา มีพื้นที่ทั้งหมด 3.959 ล้านไร่ หากพิจารณามิติด้านการเกษตร พบว่า มีการใช้ที่ดินเพื่อทำการเกษตร 1.503 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 37.96 ของพื้นที่ทั้งหมด ครัวเรือนเกษตร 77,868 ครัวเรือน พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา ลำไย ลิ้นจี่ กระเทียม หอมแดง และมันสำปะหลัง มีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) กว่า 35,000 ล้านบาท นอกจากนี้ จังหวัดพะเยายังมีสินค้าโดดเด่น ที่ได้รับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) มีจำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวก่ำล้านนา ข้าวหอมมะลิพะเยา และ ลิ้นจี่พันธุ์ฮงฮวย และมีสินค้า OTOP ของจังหวัด รวมทั้งสิ้นกว่า 2,098 ผลิตภัณฑ์ มียอดจำหน่ายสินค้ามากถึง 2,394 ล้านบาท/ปี โดยกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินงานตามนโยบายการผลักดันสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง คัดเลือกประเภทสินค้าเกษตร จำนวน 6 ชนิด ได้แก่
 
1) โคเนื้อ ต.บ้านถ้ำ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา 
2) ข้าวหอมมะลิ ต.จำป่าหวาย อ.เมือง จ.พะเยา 
3) มันฝรั่ง ต.แม่ลาว อ.เชียงคำ จ.พะเยา 
4) ปลานิล ต.แม่ปืม ต.บ้านตั้ม อ.เมือง จ.พะเยา 
5) ลิ้นจี่ ต.แม่สุก อ.แม่ใจ จ.พะเยา 
และ 6) ลำไย ต.ภูซาง อ.ภูซาง จ.พะเยา
 

   ทั้งนี้ จังหวัดพะเยา ถือเป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองที่สำคัญ ลักษณะภูมิประเทศเต็มไปด้วยบรรยากาศและทัศนียภาพที่น่าค้นหา เป็นเมืองเก่าที่น่าย้อนรอยอดีตในบรรยากาศเมืองล้านนาร่วมสมัย โดยเฉพาะชื่อเสียงของกว๊านพะเยา ที่ถือเป็นหัวใจของจังหวัด จนมากลายมาเป็นต้นกำเนิด พิธีการเวียนเทียนหนึ่งเดียวของโลก ตลอดจนมีแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ สวยงาม มีเสน่ห์ตามภูมิประเทศของเมืองเหนือ ทั้งภูเขา สายหมอก และผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งการลงพื้นที่ของ ครม.สัญจร ที่จังหวัดพะเยาครั้งนี้ ได้เตรียมหารือและขับเคลื่อนในส่วนของการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อาทิ โครงการพัฒนาด่านชายแดน จุดผ่านแดนถาวรบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา การก่อสร้างรถไฟรางคู่ แนวทางการผลิตสุราชุมชน โครงการชลประทานพะเยา โครงการก่อสร้างระบบน้ำหลัก เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง รวมทั้งการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“พัชรวาท” สั่ง ปิดป่า – ยกระดับคุมจุดความร้อน 17 จังหวัดภาคเหนือ

 

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2567  พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบ VDO Conference ติดตามการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ร่วมกับ 17 จังหวัดภาคเหนือ สั่งการยกระดับมาตรการที่เข้มงวด ปรับรูปแบบ การจัดกำลังดับไฟป่า “ปิดป่า” ห้ามบุคคลเข้าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติการด้วยความ “แม่นยำ รวดเร็ว ทันท่วงที มีประสิทธิภาพ” ประกอบด้วย 6 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

1) ปรับรูปแบบการจัดกำลังดับไฟป่า ด้วยยุทธวิธีผสมผสานทั้งการตรึงพื้นที่ด้วยจุดเฝ้าระวัง โดยให้วอร์รูมบัญชาการชุดปฏิบัติการดับไฟป่าตลอดเวลาที่มีการเข้าพื้นที่
 
2) ติดตามสถานการณ์จุดความร้อน เมื่อพบต้องเร่งเข้าปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์โดยทันที แต่ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และงดการใช้อาสาสมัครที่ไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย
 
3) สนับสนุนและบูรณาการทำงานอย่างเต็มที่เป็นหนึ่งเดียว กับศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลาง
 
4) “ปิดป่า” ห้ามมิให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด ยกระดับการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่า
 
5) พื้นที่เกษตร ต้องติดตามเฝ้าระวังประสานงานกับฝ่ายปกครองอย่างใกล้ชิด เพื่อลดและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาและหากเกิดต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว
 
6) สื่อสาร แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างทั่วถึง ทันท่วงทีเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง สร้างความรู้ ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม
กระทรวงเกษตรฯ สั่งลุยสยบ PM 2.5 เชียงใหม่ ใช้เทคนิคเด็ด “โปรยน้ำและน้ำแข็งแห้ง”
นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นในภาคเหนือ การปฏิบัติการในครั้งนี้ กรมฝนหลวงฯ ได้ใช้ “เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ำและโปรยน้ำแข็งแห้งเพื่อเป็นการเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองขึ้นต่อไปได้ ” สำหรับผลการปฏิบัติในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 4 – 10 มีนาคม 2567 พบว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็ก บริเวณ จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน มีแนวโน้มลดลง
กรมควบคุมโรคแนะ 3 แนวทางคนไทย “รู้-ลด-เลี่ยง” ฝุ่น PM 2.5
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำ 3 แนวทางรับมือและป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้คนไทยนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับ “ฝุ่น” ที่นับวันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ได้แก่
 
• รู้ : ตรวจสอบสภาพอากาศทุกครั้งก่อนเดินทางออกจากบ้าน ผ่านการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในแอปพลิเคชัน Air4thai และเพจคนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM 2.5 หรือติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข
• ลด : การสร้างมลพิษ ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น จุดธูป เผากระดาษ
ปิ้งย่างที่ทําให้เกิดควัน การเผาใบไม้ เผาขยะ เผาพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น รวมถึงการติดเครื่องยนต์ในบ้านเป็นเวลานาน
• เลี่ยง : หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองสูง การอยู่กลางแจ้ง หรือทำกิจกรรมนอกอาคารเป็นเวลานานในช่วงที่ฝุ่นละออง PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 26 – 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป โดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นละอองในอากาศ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายฝึกนักเรียน ซัก อบ รีด หารายได้ระหว่างเรียน กับโรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม

 

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2557 โรงเรียนเชียงรายปัญญานุกูล จ.เชียงราย ได้ร่วมกับโรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม อ.เมือง จ.เชียงราย จัดโครงการงานอาชีพ “ซัก อบ รีด เพื่อน้องคนพิเศษ” โดยจะมีการพาเด็กนักเรียนในโรงเรียนเข้าฝึกการซัก อบ และรีดผ้า โดยเครื่องมือที่ทันสมัยของโรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม ทั้งนี้ทั้ง 2 องค์กรได้มีการทำบันทึกข้อตกลงหรือ MOU ว่าจะใช้สถานที่โรงแรมซึ่งมีการทำความสะอาดผ้าอยู่เป็นประจำในการฝึกฝนและมีการจัดพนักงานโรงแรมเชียงราย แกรนด์รูม คอยเป็นพี่เลี้ยงอีกด้วย

 

นายทวีศักดิ์ มังกร รองผู้อำนวยการโรงเรียนเชียงรายปัญญา กล่าวว่า โรงเรียนจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ออทิสติกและพิการซ้อน ตั้งแต่ระดับปฐมวัยและการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของเด็กๆ เหล่านี้คือการต้องไปใช้ชีวิตประจำวันร่วมกับคนในสังคมโดยที่บางคนเป็นเด็กไร้โอกาสซ้ำเติมเข้ามาอีก ดังนั้นจึงมีการคัดเด็กชายที่มีความพร้อมเพื่อนำร่องในโครงการจำนวน 10 คน โดยจะให้ออกไปฝึกการซัก อบและรีดผ้าที่โรงแรมเชียงราย แกรนด์รูม เพื่อให้ได้สัมผัสกับคนในสังคม ในอนาคตก็จะมีรายได้ระหว่างเรียนจากการทำงานดังกล่าว และเมื่อจบออกไปแล้วก็จะสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ต่อไป
 
 
นายทวีศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผู้สนับสนุนหลักของโครงการคือสมาคมกีฬาสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.เชียงราย คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนเชียงรายปัญญานุกูล ฯลฯ จะจัดรถและอาหาร เพื่อพาเด็กๆ เดินทางไปกลับจากโรงเรียน-โรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม จากนั้นพนักงานโรงแรมและครูพี่เลี้ยงจะช่วยฝึกฝนเด็กๆ ภายในโรงซักที่มีเครื่องซักผ้าขนาด 60 ปอนด์ ซึ่งยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้นานกว่าปกติ คาดว่าอาจจะถึง 1-3 เดือน จึงจะทำให้เด็กๆ จดจำวิธีการได้
 
 
สำหรับโครงการได้จัดตั้งโรงซัก อบและรีดผ้าเป็นของตัวเองตั้งอยู่บริเวณชุมชนเกาะลอย เทศบาลนครเชียงราย เมื่อมีความพร้อมก็ให้เด็กๆ ที่ฝึกฝนและชำนาญแล้วไปฝึกฝนนักเรียนรุ่นที่ 2 ต่ออีกอย่างน้อย 10 คน จากนั้นจะรับซัก อบและรีดผ้าโดยฝีมือของเด็กๆ ให้กับโรงแรมที่พักต่างๆ ที่อยากช่วยเหลือเด็กๆ เหล่านี้ต่อไป
 
 
ทางด้านนางอรสา เอื้อสามาลย์ ผู้จัดการโรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม กล่าวว่า ทางโรงแรมฯ ได้จัดพนักงานที่เหมาะสมที่จะสามารถดูแลและฝึกเด็กๆ ไว้แล้ว โดยขั้นตอนแรกคือการฝึกคัดแยกประเภทของผ้า เช่น ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม หมอน ฯลฯ จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนการซักตามลำดับ เมื่อเด็กๆ ต้องย้ายออกไปยังโรงซัก อบและรีดของตัวเองแล้ว ซึ่งทางโรงแรมก็ยินดีจะจัดพนักงานเข้าไปดูอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความยินดีที่ได้ช่วยเด็กๆ และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม
โรงเรียนเชียงรายปัญญานุกูล ตั้งอยู่ ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย ปัจจุบันมีนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ออทิสติก และพิการซ้อน ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นชาย 271 คน และหญิง 133 คน รวมจำนวน 404 คน สำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการนำร่องทั้ง 10 คนแรกเป็นนักเรียนชายในะรดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ทั้งหมด ส่วนโรงแรมเชียงราย แกรนด์รูม มีนายชาญ เพราะยิ่ง เป็นประธานกรรมการผู้จัดการ โรงแรมเชียงรายแกรนด์รูม ตั้งอยู่ติดถนนพหลโยธินใกล้กับสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.เชียงราย แห่งที่ 2 ในเขต อ.เมืองเชียงราย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

อสังหาเชียงใหม่-เชียงรายแข่งลดราคา กู้ไม่ผ่านพุ่ง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ดีขึ้น

 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าจากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน

ในครึ่งหลังปี 2566 พบว่าอุปทานพร้อมขายมี 16,954 หน่วย ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% แบ่งเป็น

 

  • อาคารชุด 1,795  หน่วย เพิ่มขึ้น 26.3 % มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3 %
  • บ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลง 2.6% มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  0.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 จำนวนหน่วยพร้อมขายเพิ่มขึ้น 1.9% มูลค่าเพิ่มขึ้น 3.1% ทำให้ภาพรวมปี 2566 มีที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาด 3,096 หน่วย มูลค่า 12,287 ล้านบาท

มีหน่วยขายได้ใหม่ลดลง 31.9% และมีหน่วยเหลือขาย 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%

คาดการณ์ปี 2567  ภาพรวมเริ่มเป็นบวก ยอดขายใหม่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเป็น 1.8%

 

“จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทก่อสร้าง มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายถึง 4,877 หน่วยหรือ31.6% ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด เป็นอาคารชุดอยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย 1,543 หน่วย คิดเป็น 10% ส่วนบ้านจัดสรรสร้างเสร็จ 4,040 หน่วย อยู่ระหว่างสร้าง 2,497หน่วย ซึ่งเป็นที่น่าจับตา”นายวิชัยกล่าว

 

นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับ 5 ทำเลที่มียอดขายสูงสุดในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สันทราย เมืองเชียงราย แม่โจ้ ม.พายัพ และสารภี ส่วน 5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด ได้แก่ เมืองเชียงราย 1,468 หน่วย มูลค่า 6,418 ล้านบาท สันทราย 1,339 หน่วย มูลค่า 4,434 ล้านบาท บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,279 หน่วย มูลค่า 6,136 ล้านบาท ม.พายัพ 1,209 หน่วย มูลค่า 5,810 ล้านบาทและสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,169 หน่วย มูลค่า 4,167 ล้านบาท

 

นายวิชัยกล่าวว่า คาดการณ์ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 3,142 หน่วย มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,629 หน่วย มูลค่า 11,047 ล้านบาท และอาคารชุด 512 หน่วย มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.5%  และคาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ 4,105 หน่วย มูลค่า 17,323 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 3,034 หน่วย มูลค่า 14,360 ล้านบาท  และอาคารชุด 1,071 หน่วย มูลค่า 2,963 ล้านบาท

 

“จากการลงพื้นที่ภาคสนามพบเชียงใหม่จะแข่งขันลดราคาบ้านจัดสรร ขายดีเป็นบ้านเดี่ยว 3-5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดเน้นของแถมมากกว่าลดราคา ขายดีราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนเชียงรายทำเลในเมืองยังได้รับความสนใจ โดยบ้านเป็นราคา 3-5 ล้านบาท อาคารชุด 1.5-2 ล้านบาท และใช้กลยุทธ์ลดราคาจูงใจในการซื้อ” นายวิชัยกล่าว

 

นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในเชียงราย ยังล้อไปกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นเมืองรอง การท่องเที่ยวจึงขึ้นลงตามฤดูกาล ขณะที่สถานการณ์ตลาดกลุ่มบ้านเดี่ยวยังขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่กลุ่ม 1-3 ล้านบาท ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและตลาดมีสต๊อกสะสมอยู่จำนวนมา ทำให้การแข่งขันในตลาดรุนแรง และโดยมากถูกพัฒนาโดยบริษัทอสังหาท้องถิ่นรายเล็ก มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ต้องใช้กลยุทธ์ลดราคาขายเพื่อดึงกระแสเงินสดกลับมา ขณะที่การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ตลาดอสังหาฯเชียงรายน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้น

 

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯเชียงใหม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวและต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก โดยปี 2566 มีกว่า 3.5 ล้านคน เติบโต 50% จากปีก่อน โดยชาวจีนยังเป็นกลุ่มหลัก กว่า 50% รองลงมาอินเดีย ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว ทำให้ทุกโครงการของบริษัทที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบันมีต่างชาติจองซื้อเกือบเต็ม
โควต้า 49%แล้ว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

พิธีตัดหวายลูกนิมิต 30 มี.ค. 67 วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว จ.เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 67 ที่ ศาลาวิปัสสนาหลวง วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว ตำบลศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พล.อ.ท.ภักดี แสงชูโต ผช.ราชเลขานุการในพระองค์ พร้อมคณะ เดินทางมาสำรวจพื้นที่และประชุมเตรียมการรับเสด็จ ฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในโอกาสเสด็จมาทรงประกอบพิธีตัดหวายลูกนิมิตอุโบสถบุญชุ่มรัตนปุรีศรีธรรมราชา ณ วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 30 มี.ค. 67 โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้การต้อนรับและร่วมประชุมเพื่อรับฟังข้อสั่งการ เพื่อให้การดำเนินการเตรียมรับเสด็จฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ

 
วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านเวียงแก้ว หมู่ที่ 5 ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เป็นวัดที่พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร อรัญวาสีภิกขุ ได้มาบูรณะสร้างขึ้น โดยครั้งที่ท่านเป็นสามเณรบุญชุ่ม ได้จำพรรษาที่ 1-2 ที่วัดบ้านด้ายธรรมประสิทธิ์ แต่พรรษาที่ 3 จำที่วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เล่ากันว่า ครั้งที่ท่านได้บวชเป็นสามเณรอยู่วัดบ้านด้าย ท่านได้มีดำริจะสร้างพระธาตุดอยเวียงแก้ว ท่านได้นิมิตเห็นเป็นสถูปเก่า และเชื่อว่าท่านเป็นผู้ที่จะได้กลับมาบูรณะ และท่านก็ได้กลับมาสร้างพระธาตุดอยเวียงแก้วจริงๆ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2548 ครูบาบุญชุ่ม ได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในองค์พระธาตุที่สร้างขึ้นใหม่ ณ ดอยเวียงแก้ว ต่อมาในปี 2552 มูลนิธิดอยเวียงแก้ว ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารศาสนสถานสำหรับใช้เป็นสถานที่ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมของศาสนิกชน โดยได้จัดตั้ง “โครงการก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรมดอยเวียงแก้ว” ในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินโครงการป่าน้ำมะและป่าสบรวก ต.ศรีดอนมูล อ.เชียงแสน เนื้อที่ 327 ไร่ 41 ตารางวา
 
 
สำหรับการเตรียมความพร้อมในการรับเสด็จฯ ในครั้งนี้ ได้ร่วมกันหารือในประเด็นสำคัญ อาทิ การเตรียมความพร้อมด้านสถานที่และพิธีการ แผนถวายความปลอดภัยและจราจร แผนการจัดการไฟฟ้าสำรอง และข้อเสนอแนะอื่นๆ ในการเตรียมการรับเสด็จฯ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และสมพระเกียรติ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News