Categories
FEATURED NEWS

ARTSTORY Creative Hub พลังแห่งศิลปะออทิสติกสู่ผู้คนในสังคม

 
[EN below]
 

องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ศิลปะสามารถช่วยนำพาอารมณ์ความรู้สึกของคนเราให้ต่อสู้กับโรคหรืออาการบาดเจ็บได้ นอกจากนี้การสร้างสรรค์และความเพลิดเพลินในศิลปะยังช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและเป็นปัจจัยที่กระตุ้นการฟื้นตัว

เช่นเดียวกับการพัฒนาทักษะของบุคคลออทิสติก ที่มูลนิธิออทิสติกไทยเห็นความสำคัญในการใช้ศิลปะเป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างเสริมพัฒนาการ ทั้งด้านกายภาพและจิตใจ รวมไปถึงประสาทสัมผัส สมาธิ การเรียนรู้ ซึ่งนำไปสู่พัฒนาการที่ทำให้บุคคลออทิสติกดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ในที่สุด

               จากจุดเริ่มต้นที่ศิลปะเป็นเครื่องมือฟื้นฟูเยียวยา ต่อมาศิลปะได้กลายมาเป็นเครื่องมือโชว์ศักยภาพ สร้างอาชีพและรายได้ และในเวลานี้ศิลปะกำลังช่วยสื่อสาร และสร้างความเข้าใจ ระหว่างบุคคลออทิสติกและคนทั่วไป ผ่านพื้นที่เล็กๆ ที่มีชื่อว่า  ARTSTORY Creative Hub

 

ความพิเศษของพื้นที่เล็กๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์

            ภายในมูลนิธิออทิสติกไทย ที่ตั้งอยู่ในย่านราชพฤกษ์ มีอาคารหลังเล็กหนึ่งชั้น ด้านหนึ่งคือร้านกาแฟ True Coffee ส่วนอีกด้านเป็นสตูดิโอขนาดย่อมสำหรับทำเวิร์กช็อปงานศิลปะที่มีชื่อว่า ARTSTORY Creative Hub ความพิเศษของที่นี่ คือพนักงานเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มบุคคลออทิสติก ที่ผ่านการฝึกฝนทักษะการใช้ชีวิต และพัฒนาทักษะทางอาชีพให้ทำงานได้เต็มศักยภาพและความถนัดของพวกเขา

“เมื่อก่อนคนบอกว่า เป็นออทิสติกแล้วไม่หาย แต่วันนี้ผมเชื่อว่า ฟื้นฟูจนดีขึ้น หลายคนอาจจะหายก็ได้” อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย เล่า “อย่างที่เราเห็นน้องบาริสต้า หรือผู้ช่วยสอนศิลปะในที่นี้ หลายคนก็ดูไม่ออกว่ามีภาวะออทิสติก แต่ถ้าได้เห็นพวกเขาตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาในมูลนิธิ จะรู้เลยว่า ตอนนี้เขาเป็นคนละคนกันเลย”

 

เมื่อศิลปะคือเครื่องมือฝึกหัดฟื้นฟูทักษะทางกาย จิตใจ และการใช้ชีวิต

หนึ่งในภารกิจสำคัญของมูลนิธิออทิสติกไทย คือ การสนับสนุนและเสริมสร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของบุคคลออทิสติก ซึ่งที่ผ่านมาอาจารย์ชูศักดิ์ ใช้ศิลปะเป็นหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของกลุ่มเด็กออทิสติก โดยเป็นทั้งการฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กในการจับดินสอ ปากกาหรือพู่กัน พร้อมไปกับการใช้สมาธิจากการลงมือทำ

“เริ่มจากวาดในสิ่งที่พวกเขาชอบก่อน จากนั้นก็ขยับไปในแนวอื่นๆ เพื่อไม่ให้ยึดติดทำแบบเดิม แล้วก็ค่อยๆ เสริมทักษะอื่นเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การอ่าน หรือการเรียนรู้ที่จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ได้”

นอกจากนี้อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและฟื้นฟูทักษะต่างๆ ในการใช้ชีวิต “พฤติกรรมของภาวะออทิสติกคือ ทำซ้ำแบบเดิม ถ้ามากเกินไปก็กลายเป็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนยาก การที่เด็กๆ ได้ลองทำงานศิลปะที่หลากหลาย กลายเป็นช่วยให้พวกเขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตที่เคยทำซ้ำๆ ได้เช่นกัน ทางบ้านก็มีฟีดแบ็กกลับมาว่า ดูแลลูกได้ง่ายขึ้น” อาจารย์ชูศักดิ์อธิบาย

 

งานศิลปะที่มีเอกลักษณ์สร้างอาชีพที่เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้

ภายในแกลลอรีขนาดย่อมข้างห้องสตูดิโอแสดงภาพศิลปะที่สวยงามแปลกตาอันเกิดจากมุมมองของศิลปิน “พวกเขามีมุมมองต่อโลกแตกต่างจากคนทั่วไป โดยคิดและจดจำทุกอย่างเป็นภาพไว้ เมื่อถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะจึงมีความสวยงามเฉพาะตัว” อาจารย์ชูศักดิ์กล่าวระหว่างที่พาเดินชมผลงาน

เบื้องหลังผลงานภาพวาดแต่ละชิ้นคือ ความตั้งใจฝึกฝน ค้นหาศักยภาพ และแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในด้านทักษะการเรียนรู้และฝีมือทางศิลปะของศิลปินออทิสติก ความโดดเด่นของศิลปะเหล่านี้กลายเป็นที่มาของโครงการ ARTSTORY By Autistic Thai ที่นำชิ้นงานมาพัฒนาเป็นสินค้าต่างๆ เพื่อสร้างรายได้กลับมา  และเมื่องานศิลปะสามารถสร้างเป็นอาชีพได้ มูลนิธิจึงจัดตั้งเป็น บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม ขึ้น โดยใช้ชื่อแบรนด์ ARTSTORY ที่ รายได้และกำไรจะคืนกลับให้กับบุคคลออทิสติกที่ได้ร่วมทำงาน หลายคนกลายเป็นศิลปินที่มีฝีมือโดดเด่นจนได้รับการติดต่อจากแบรนด์ชั้นนำให้ไปสร้างสรรค์ผลงานบนสินค้าในเทศกาลพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า เสื้อยืด ผ้าพันคอ สมุด แก้วน้ำ ไปจนถึงลวดลายบนสินค้าหลายแบรนด์ ทำให้พวกเขาสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน   

 

ARTSTORY Creative Hub คือพื้นที่ที่ใช้พลังแห่งศิลปะสื่อสารความรู้สึกและแรงบันดาลใจ

            จากศักยภาพด้านศิลปะของกลุ่มศิลปินออทิสติกที่มีความเชี่ยวชาญ ทางมูลนิธิฯ จึงต้องการพื้นที่ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาสร้างสรรค์ศิลปะร่วมกับศิลปินออทิสติก  ARTSTORY Creative Hub จึงเกิดขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น ที่สร้างเป็นส่วนต่อขยายของร้าน True Coffee สาขามูลนิธิออทิสติกไทย และมีคอร์สศิลปะ หลากหลาย ทั้งงานวาด งานปั้น งานปัก หรืองานภาพพิมพ์ เรียกได้ว่าใช้พลังของศิลปะเป็นสื่อกลางในการสื่อสารความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลออทิสติกกับคนในสังคมในหลากหลายมิติต่อไปนี้

  • Building an Inclusive Space เป็นพื้นที่ต้นแบบที่สร้างประสบการณ์ให้คนทั่วไปได้รับรู้ศักยภาพของบุคคลออทิสติก
  • Embracing Diversity เปิดให้สังคมได้เห็นความสามารถเฉพาะตัวของพวกเขา ยอมรับและเห็นคุณค่าของความหลากหลาย และทำให้บุคคลออทิสติกรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นกัน
  • Skill Development and Empowerment บุคคลออทิสติกจะได้เรียนรู้ทักษะทางสังคม การสื่อสาร ที่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจ พร้อมไปกับพัฒนาทักษะทางอาชีพของตัวเอง
  • Creative inspiration ศิลปะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในสังคม รวมถึงบุคคลออทิสติกที่กำลังเรียนรู้ ฝึกฝนที่จะเป็นศิลปินออทิสติกต่อไปได้

“เราอยากให้ทุกคนที่เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่แห่งนี้ มองบุคคลออทิสติกเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งทุกคำพูดที่เราได้พูดคุยสื่อสารกันนั้น พวกเขาจะจดจำไว้ เมื่อเวลาที่ต้องออกไปเจอพบปะผู้คนทั่วไป พวกเขาก็จะรู้ว่าต้องพูดคุยแบบไหน ใช้คำพูดอย่างไรกับคนทั่วไปในสังคม” อาจารย์ชูศักดิ์ เน้นย้ำ

การเปิดพื้นที่ของ ARTSTORY Creative Hub เป็นหนึ่งโครงการเพื่อบุคคลออทิสติกและครอบครัวที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น ร่วมสนับสนุนมาตลอด 11 ปี  เริ่มตั้งแต่การพัฒนาแอปพลิเคชัน True Autistic เพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการฝึกพัฒนาการในชีวิตประจำวัน  การสร้างอาคารเพื่อให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมเพื่อการทำงานบุคคลออทิสติก การฝึกอบรมบาริสต้าทรูคอฟฟี่เพื่อประกอบอาชีพ และ เป็นต้น ซึ่งโครงการต่างๆ ที่ผ่านมาสร้างประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคคลออทิสติกกว่า 17,731 คน โดยมีบุคคลออทิสติกได้รับการจ้างงานตามกฎหมายจ้างงานคนพิการมาตรา 33/35 เป็นจำนวน 186 คน สร้างรายได้ให้บุคคลออทิสติกและครอบครัวถึง 300 ล้านบาท

 

แม้แตกต่าง แต่อยู่ร่วมกันได้

             แม้ในเวลานี้ มูลนิธิออทิสติกไทยได้สร้างแนวทางอาชีพและรายได้ให้กับบุคคลออทิสติกได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ความตั้งใจที่เป็นแก่นแท้นั้นคือ การสร้างความเข้าใจและพิสูจน์ให้เห็นว่า บุคคลออทิสติกเป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีและสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าให้กับสังคมได้เช่นเดียวกับเราทุกคน

“บุคคลออทิสติกมีความสามารถมากกว่าที่หลายคนคิด พวกเขามีศักยภาพที่พัฒนาได้ ฝึกฝนได้ และสามารถทำงานได้หลากหลายอาชีพ ตอนนี้เราก็มีนักเขียนนิยายที่มีผลงานตีพิมพ์แล้ว และมีนักศึกษาปริญญาโทด้านวิทยาศาสตร์ที่อยากก้าวไปเป็นอาจารย์ แต่เส้นทางของพวกเขาไม่ง่าย ต้องมีการเตรียมความพร้อม ทำงานร่วมกันระหว่างพ่อแม่ คุณครู เพื่อให้เขาก้าวไปสู่เป้าหมาย”

เส้นทางที่วางรากฐานให้บุคคลพิเศษกลุ่มนี้ได้มีเข้าถึงสิทธิ์ที่พึงได้เทียบเท่ากับคนทั่วไปอาจต้องใช้เวลาและการผลักดันจากหลายภาคส่วน แต่อย่างน้อยการที่มีพื้นที่อย่าง ARTSTORY Creative Hub นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่อาจารย์ชูศักดิ์หวังว่าจะจุดประกายให้ผู้คนโอบรับความหลากหลายและสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียมกันได้ในที่สุด

“เราทุกคนในสังคมล้วนมีความแตกต่าง ผมอยากให้มองว่าบุคคลออทิสติกก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นกัน ซึ่งถ้าเรามีความเข้าใจ เคารพและยอมรับความหลากหลาย ทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้” อาจารย์ชูศักดิ์ ทิ้งท้าย

 
 
ARTSTORY Creative Hub: A space where the power of art is harnessed to communicate and inspire, connecting the autistic community with the wider world

 

The World Health Organization asserts that art can help guide our emotional responses to cope with diseases or injuries. Furthermore, creativity and enjoyment in art also promote overall health and serve as a catalyst for recovery.

Similar to the development of personal skills in autistic individuals, the Autistic Thai Foundation recognizes the importance of using art as a part of the process to enhance development, both physically and mentally, including sensory perception, mindfulness, and learning. This leads to the development that enables autistic individuals to engage in daily activities and ultimately improve their quality of life.

From its origins as a tool for healing and therapy, art has evolved into a showcase of potential, creating careers and income. At this moment, art is helping to communicate and foster understanding between autistic individuals and the general population through a small space known as ARTSTORY Creative Hub.

 

The uniqueness of small spaces brimming with the power of creativity

Within the Autistic Thai Foundation, located in the Ratchaphruek area, there is a single-story building. On one side is a True Coffee café, while the other side houses a modest-sized studio for conducting art workshops, known as the ARTSTORY Creative Hub. What makes this place special is that almost all the staff are individuals on the autism spectrum who have undergone training in life skills and professional development, enabling them to work to their full potential and utilize their talents.

“Before, people used to say, ‘Once you’re autistic, you’re always autistic.’ But today, I believe in improvement. Many might recover,” said Mr. Chusak Chantayanon, Chairman of the Autistic Thai Foundation. “As we’ve seen with individuals like Barbara or the art instructors here, many might not appear autistic at first glance. However, if you’ve seen them since they first stepped into the foundation, you’d know they’ve come a long way.”

 

When art is a tool for practicing and rehabilitating physical, mental, and life skills

One of the key missions of the Autistic Thai Foundation is to support and foster opportunities for learning and skill development among individuals with autism. In the past, Mr. Chusak has utilized art as a tool to promote the development of autistic children. This includes training in using fine motor skills to grip pencils, pens, or brushes, along with practicing mindfulness through hands-on activities.

“It starts with drawing what they like first, then gradually shifting towards other directions to avoid getting stuck in the same patterns. Then, gradually, other skills are integrated, whether it’s writing, reading, or following various learning processes.”

“Another clear outcome is the change in behaviors and the rehabilitation of various skills in daily life. ‘Autistic behavior is repetitive. If it becomes excessive, it can be difficult to change. When children try various art activities, it helps them adapt and change repetitive behaviors in their lives as well. Feedback from home indicates that taking care of them has become easier,” explained Mr. Chusak.

 

Unique artwork can lead to a career that sustains oneself and one’s family

Inside the modest-sized gallery adjacent to the studio, displays of beautiful and intriguing artworks catch the eye, each born from the unique perspectives of the artists. “They have a different view of the world from the general population, processing and remembering everything as images. When translated into art, it becomes uniquely beautiful,” Mr. Chusak remarked as he led the tour through the artworks.

The backstory of each piece of artwork lies in the dedication to practice, the exploration of potential, and the demonstration of development in learning skills and artistic abilities of autistic artists. The excellence of these artworks has become the foundation of the ARTSTORY By Autistic Thai project, which transforms these pieces into various products to generate income. When art can become a profession, the foundation establishes Autistic Thai Social Enterprise Company under the brand name ARTSTORY, where revenue and profits are returned to the autistic individuals who contributed to the work. Many have become skilled artists, receiving contracts from leading brands to create artwork on various products for special festivals, including bags, t-shirts, scarves, notebooks, water bottles, and even patterns on products of various brands. This enables them to sustain themselves and their families in a sustainable manner.

 

ARTSTORY Creative Hub: A Space Where Art Empowers Communication of Emotions and Inspiration

           

Drawing on the artistic expertise of autistic artists, the foundation seeks to provide a space where the public can engage in art creation alongside these talented individuals. Supported by the CP All Group and True Corporation, the ARTSTORY Creative Hub is an extension of the Autistic Thai Foundation’s True Coffee branch. It offers various art courses including drawing, sculpting, embroidery, and printmaking, utilizing the power of art as a medium to foster communication and relationships between autistic individuals and society in diverse dimensions:

  • Building an Inclusive Space: This serves as a prototype area that allows the general public to recognize the potential of autistic individuals.
  • Embracing Diversity: It opens up society to see their unique abilities, accept and appreciate diversity, and make autistic individuals feel like integral parts of society.
  • Skill Development and Empowerment: Autistic individuals can learn social skills and communication, boosting their confidence along with developing their professional skills.
  • Creative Inspiration: Art can serve as inspiration for both society and autistic individuals who are aspiring to become artists.

“We want everyone who participates in activities within this space to see autistic individuals as they would see any other friend. Every conversation we have with them, they will remember. When they have to go out and interact with people in society, they will know how to communicate and what words to use.” emphasized Mr. Chusak.

The opening of the ARTSTORY Creative Hub is part of a project supported by Charoen Pokphand Group and True Corporation, spanning 11 years. It began with the development of the True Autistic application, utilizing digital technology for daily life skill development. This initiative expanded to constructing a building serving as a training center for autistic individuals, providing vocational training, including barista training with True Coffee, among others. Over the years, these projects have benefited the lives of over 17,731 autistic individuals, with 186 individuals being employed under the Disabled Persons Employment Law (Section 33/35), generating income totaling approximately 300 million baht for autistic individuals and their families.

 

Embracing Differences for a Cohesive Society

Even now, the Autistic Thai Foundation has provided career paths and income opportunities for individuals with autism in a concrete form. However, the true essence of their intention lies in creating understanding and proving that individuals with autism are dignified human beings who can contribute valuable things to society just like everyone else.

“Autistic individuals have more capabilities than many people realize. They have the potential to develop, train, and work in various professions. We now have novelists with published works and master’s students in science who aspire to become professors. However, their paths are not easy. They require preparation and collaboration among parents, teachers, to help them reach their goals.”

The pathways to ensure equal access for this special group may require time and advocacy from various sectors, but at least having spaces like ARTSTORY Creative Hub is a good starting point. Mr. Chusak hopes it will ignite acceptance of diversity and ultimately foster an inclusive society.

“We all in society are different. I want people to see individuals with autism as part of society as well. If we understand, respect, and embrace diversity, everyone can coexist together,” concluded Mr. Chusak.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ลุย! ลงนามป้องกันไฟป่าสนับสนุน เครื่องจักรกลฯปรับปรุงแนวกันไฟป่า อ.พาน

 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.30 น. นายก นก อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย นายทัศพงษ์ สุวรรณมงคล เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นายสุรเชษฐ วงศ์น้อย สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.พาน เขต 2 ลงนาม MOU การสนับสนุนเครื่องจักรกลฯและ บุคลากร เพื่อดำเนินงานปรับปรุงแนวกันไฟป่า ร่วมกับนายอลงกรณ์ ดีน้อย นายก อบต.สันกลาง นายศรีวรรณ์ วงศ์จินา กำนัน ต.สันกลาง โดยมีว่าที่ ร.ต.ปภาวิน ปวงใจ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.พาน เขต 1 นายสรายุธ ฟูวงศ์ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 1 สมาชิกสภา อบต.สันกลาง อ.พาน ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย

 

โดยบันทึกข้อตกลงนี้เกิดขึ้นระหว่าง อบจ.เชียงราย โดยนายก อบจ.เชียงราย ร่วมกับ อบต.สันกลาง โดยนายก อบต. สันกลาง อ.พาน และ ผู้นำฝ่ายปกครอง โดย กำนัน ต.สันกลาง อ.พาน เป็นบันทึกข้อตกลง เพื่อสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนการสนับสนุนเครื่องจักรกลฯ เพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่บ้านใหม่พัฒนา – บ้านปางอาณาเขต เชื่อมระหว่างหมู่ที่ 12 ต.สันกลาง อ.พาน – หมู่ที่ 6 ต.แม่พริก อ.แม่สรวย จ.เชียงราย
การดำเนินงานปรับปรุงแนวกันไฟป่า (จัดทำเอง) โดย อบจ.เชียงราย ยินดีสนับสนุนเครื่องจักรกลและยานพาหนะ พร้อมเจ้าหน้าที่ในการออกปฏิบัติงาน และ อบต.สันกลาง อ.พาน จะเป็นผู้สนับสนุนน้ำมันเชื้อเพลิงๆ ในการดำเนินการดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดำเนินงานดังกล่าว ในพื้นที่ ต.สันกลาง อ.พาน จ.เชียงราย ขึ้นเพื่อบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันตาม นโยบาย สามพี่น้องท้องถิ่นร่วมใจชุมชนและการมีส่วนร่วมและกระจายเครื่องจักรและบุคลากรสู่ชุมชน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

สืบสานประเพณีกินวอ ชาติพันธุ์ลาหู่ พร้อมดันนโยบายเสน่ห์ชาติพันธุ์ฯ

 

เมื่อวันที่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 11.00 น.นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยนายสมัคร กันจีนะ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.แม่สรวย เขต 2 ร่วมสืบสานประเพณีกินวอ พี่น้องชาติพันธุ์ลาหู่ ต.ป่าแดด อ.แม่สรวย โดยมีนายสมพงษ์ อินต๊ะชัยวงค์ กำนัน ต.ป่าแดด นายคำใหม่ อินทรัตน์ ปลัด อ.แม่สรวย นายประภาส ชัยประเสริฐ ปลัด อ.แม่สรวย เจ้าหน้าที่ รพ.สต.ป่าแดด หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

 
ประเพณีกินวอ หรืองานปีใหม่ของพี่น้องชาติพันธุ์ลาหู่ มีการจัดขึ้นทุกปี โดยจะจัดขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ประเพณีนี้จะเชิญแขกมาร่วมรับประทานอาหารซึ่งการจัดประเพณีกินวอ ในแต่ละครั้ง จะจัดประมาณ 9 วัน 9 คืน ภายในงานมีการทำข้าวปุก เป็นข้าวที่นึ่ง แล้วนำมาตำให้ละเอียด จากนั้นตากให้แห้ง และทุกครอบครัวจะมีการล้มหมู แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ เพื่อเอาไว้ไปดำหัวผู้ที่เคารพนับถือ นอกจากนี้มีการจัดพิธีรดน้ำดำหัวขอขมานายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน ตามพิธีโบราณของลาหู่ ต่อจากนั้นมีการ “เต้นจะคึ” ซึ่งเป็นการละเล่นของพี่น้องลาหู่ การเต้นจะคึจะมีหลายจังหวะ มีผู้ตีกลองหรือเป่าแคน ดีดซึง (คล้ายกีตาร์) เป็นท่วงท่าและกำหนดจังหวะ จับมือเต้นเป็นวงกลม กลางลานที่จัดกิจกรรมงานประเพณีกินวอ หรือประเพณีปีใหม่ของชาวลาหู่ 
 
 
ทั้งนี้ นายก อบจ.เชียงราย ได้กล่าวพบปะ และร่วมอวยพรให้พี่น้องชาวลาหู่ พร้อมกล่าวว่า “งานประเพณีนี้เป็นประเพณีที่ควรได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้จัดขึ้น เพื่อเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม สร้างความสัมพันธ์อันดีในชุมชน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของพี่น้องลาหู่ให้คงอยู่สืบไป” โดย อบจ.เชียงราย พร้อมผลักดันนโยบายเสน่ห์เชียงราย สถานที่ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณี อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของเชียงราย ให้นักท่องเที่ยวและคนต่างจังหวัดได้รู้จักชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมของพี่น้องชาติพันธุ์ได้อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

นุ่งซิ่นตีนจก แอ่วแม่แจ่ม ม่วนใจ๋ เปิดขบวนรถผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า

 

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน “มหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า อำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567” โดยมี นายสุรพล เกียรติไชยากร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมการจัดงาน ประชาชนชาวอำเภอแม่แจ่ม แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ณ เวทีกลางหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม ภายในงานพบกับขบวนเปิดงานมหกรรมฯ และการประกวดรถขบวนผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า จากนั้นปลัดวธ.พร้อมคณะ เดินชมนิทรรศการแม่แจ่มยั่งยืน คืนชีวิตให้แจ่ม แบบบูรณาการและเยี่ยมชมนิทรรศการผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า ลานวัฒนธรรม บ้านชนเผ่า การละเล่นพื้นบ้าน/ชนเผ่า (พิธีขึ้นบ้านใหม่ของ พี่น้อง ชนเผ่าทั้ง 4 ชนเผ่า คือ ชนพื้นเมือง ชนเผ่าม้ง ชนเผ่าล้ำวะ ชนเผ่ากะเหรี่ยง) ณ ลานหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม

 

นางยุพา กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) มุ่งขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน จึงได้สนับสนุนการจัดงานมหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชน จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งนับว่าเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่พี่น้องชาวอำเภอแม่แจ่ม ทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่งดงาม ผ้าตีนจกแม่แจ่มเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของอำเภอแม่แจ่มและจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้ง อำเภอแม่แจ่ม นอกจากจะมีผ้าตีนจกที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังมีศิลปภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชนเผ่าที่งดงาม ที่สมควรได้รับการส่งเสริมและอนุรักษ์ให้อยู่คู่กับอำเภอแม่แจ่มสืบไป ทั้งนี้ งานดังกล่าวจึงนับเป็นการส่งเสริมอาชีพของประชาชนในอำเภอแม่แจ่ม ให้สามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลัก ส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอแม่แจ่มด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่น มีอัตลักษณ์อย่างแท้จริง อีกทั้งการต่อยอดหลังจากการเปิดงานในครั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมเป็นหน่วยงานผลักดัน สนับสนุน ฟื้นฟู และคุ้มครองงานภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิปัญญา ที่มีเอกลักษณ์ของชาวชาติพันธุ์ ชนเผ่าต่างๆ สอดคล้องกับรัฐบาลที่มุ่งให้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ หรือเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ได้ให้คำปรึกษาและดำเนินงานคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ…

 

ด้านนายสุระวุธ จันทร์งาม นายอำเภอแม่แจ่ม คณะกรรมการจัดงานฯงานมหกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม กล่าวว่า งานมหกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2537 มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งการจัดงานในปี 2567 นี้ นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 29 ชื่องานว่า “งานมหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า อำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 14-18 กุมภาพันธ์ 2567 ณ บริเวณลานหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม ลานหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่แจ่ม และลานหน้าสำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่แจ่ม เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าตีนจกและผลิตภัณฑ์ชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม ศิลปะภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชนเผ่าแม่แจ่ม ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอำเภอแม่แจ่ม สร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจในชุมชน รวมทั้งยกย่องเชิดชูเกียรติแม่ครูผ้าทอและผู้ก่อตั้งการจัดงานผ้าตีนจกแม่แจ่มด้วย

 

สำหรับกิจกรรมภายในงาน ตลอดการจัดงานทั้ง 5 วัน มีนิทรรศการมากมายให้เลือกชม อาทิ นิทรรศการภูมิปัญญาท้องถิ่น ลานวัฒนธรรมบ้านชนเผ่า นิทรรศการผ้าตีนจกและผ้าทอชนเผ่า นิทรรศการแสง สี เส้นทอ และนิทรรศการโครงการหลวงในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม ม่วนอกม่วนใจ๋ไปกับความบันเทิงภายในงาน อาทิ การประกวดธิดาผ้าตีนจก และธิดาชนเผ่าและไทใหญ่ การประกวดรำวงย้อนยุค กิจกรรมการแสดงชนเผ่า ขบวนแห่ผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า การเดินแฟชั่นโชว์ผ้าตีนจกและผ้าชนเผ่า แบบโบราณและแบบประยุกต์ การประกวดธิดาจำแลงแม่แจ่ม การแสดงดนตรีของเยาวชนอำเภอแม่แจ่ม พร้อมชวนช้อปร้านจำหน่ายสินค้าของโครงการหลวง การออกร้านจำหน่ายผ้าตีนจก ผลิตภัณฑ์กลุ่มโอทอป และ ผลิตภัณฑ์ชนเผ่า กาดมั่วคัวฮอม ณ สาธารณสุขอำเภอแม่แจ่ม

 

ทั้งนี้ แม่แจ่ม เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในหุบเขาซึ่งมีเทือกเขาถนนธงชัยและ ดอยอินทนนท์ล้อมรอบ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและป่าไม้ ซึ่งถือเป็นแหล่งต้นน้ำ ที่สำคัญของภาคเหนือ นับเป็นหนึ่งในชุมชนไม่กี่แห่งของไทยที่ยังคงรักษาและสืบทอดมรดกพื้นเมืองซิ่นตีนจก และ ผ้าทอหลายประเภท อันเป็นศิลปหัตถกรรมที่มีคุณค่าทั้งความงดงามและความหมาย วิถีชีวิตของ คนแม่แจ่ม ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน ไม่ว่าจะเป็นประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและศรัทธาต่อศาสนา

 

“ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม” เป็นงานหัตถกรรมผ้าทอพื้นบ้านของผู้หญิงในอำเภอแม่แจ่มที่เกิดจากฝีมือการทออย่างประณีตตามกรรมวิธีการทอและการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยเทคนิคการจกแบบดั้งเดิมที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาของกลุ่มชนชาวไทยวนในอำเภอแม่แจ่ม ทำให้เกิดเป็นผ้าที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นของชาวแม่แจ่มที่มีความงดงาม เป็นผ้าซิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนที่อื่น มีความละเอียดประณีต ลวดลายอ่อนช้อย มีความหมายในตัวเอง ความประณีตของลวดลายเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็นสุขุมมีกฎเกณฑ์ บางผืนอาจซ่อนเร้นเรื่องราวและเนื้อหาที่สามารถเล่าขานถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชน การตั้งถิ่นฐาน เชื้อชาติ สภาพภูมิศาสตร์ ความเชื่อ และประเพณี นอกจากนี้ยังเป็นผ้าทอที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สันนิษฐานว่าซิ่นตีนจกแม่แจ่มน่าจะมีขึ้นในยุคสมัยที่พุทธศาสนาของล้านนามีความเจริญรุ่งเรือง จากลวดลายของซิ่นตีนจกแม่แจ่ม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความคิด ความเชื่อทางพุทธศาสนา จากองค์ประกอบของซิ่นตีนจกแม่แจ่มจะปรากฏลวดลายต่างๆ เช่น โคม ขัน นาค หงส์ น้ำต้น สะเปา อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความเชื่อทางพุทธศาสนา

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เดินหน้าเร่งโครงการ Digital Wallet ให้เกิดขึ้นภายใน พ.ค. หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ

 
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากุมภวาปี ตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงกรณีรายงานจาก สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็น GDP ของประเทศไทยว่าไตรมาสสุดท้ายต่ำไปอยู่ที่ 1.7% โดยรวมได้ 1.9% ว่าเรื่องนี้ได้พูดไปหลายรอบแล้ว เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา GDP ประเทศไทยโตเฉลี่ยกว่า 2.2% ต่ำมาโดยตลอด ต่างกว่าเพื่อนบ้านมาก อันดับ GDP โลก ประเทศไทยก็ลงมาเรื่อย ๆ ตรงนี้ รัฐบาลนยังไม่สามารถใช้งบประมาณได้ งบประมาณยังไม่ผ่าน เร็วที่สุดน่าจะเป็น 1 เมษายน 2567 แต่ทุก ๆ กระทรวงใช้นโยบายเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น นโยบายพักหนี้ นโยบายแก้ไขหนี้นอก และในระบบ นโยบายฟรีวีซ่า หลายๆ เรื่องพยายามใช้อยู่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น แต่วันนี้เราต้องยอมรับว่ายังไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบเลย 

นายกฯ กล่าวว่า ทุก ๆ หน่วยงานได้มีการปรับ GDP ลดลงตลอดเวลาทุก ๆ เดือนที่ออกมา ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะมีการทำนายที่ชัดเจนมากกว่านี้ ไม่ใช่ปรับลดทุก ๆ เดือน ซึ่งปัจจัยเกิดจากหลายๆ อย่าง เม็ดเงินใหม่ไม่มี ไม่ใช่ GDP เพียงอย่างเดียว Capacity Utilization ก็ต่ำ หมายความว่าการที่เรามีโรงงานผลิตสินค้าออกมาก็ต่ำมาก ใช้ประมาณกว่า 50% ถ้าเกิดมีโรงงาน 100 แต่ใช้ประมาณ 60% แล้วกำไรจะอยู่ตรงไหน ทุก ๆ โรงงานที่มีการอัพเกรดอยู่ตอนนี้ไม่มียอดสั่งซื้อเข้ามา เพราะกำลังซื้อต่ำ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูง รายได้ไม่มี เงินในกระเป๋าไม่มี  รายจ่ายสูง รัฐบาลได้ช่วยไปแล้ว เช่น ลดค่าน้ำมัน ลดค่าไฟ พักหนี้ อะไรที่ไม่มี อะไรที่ทำได้รัฐบาลทำตลอด แต่อย่างหนึ่งที่ขอฝาก นโยบายดอกเบี้ยซึ่งต้องใช้งบประมาณ ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 2.5% ถ้าลดไปครึ่งหนึ่งจะเหลือ 2.25% ก็จะช่วยบรรเทาภาระของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนได้  

ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้พูดเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีถามกลับสื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายใครเป็นคนควบคุม ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย ตนพูดคุยกับเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ก็บอกว่าเราได้ทำทุกวิถีทางแล้ว และมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ระบุว่าได้คุยกับผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าถึงเวลาที่จะต้องลด ตนเองจึงบอกว่าทำไมไม่พูดคุยต่อหน้าสาธารณชนบ้าง และพูดคุยในภาษาที่ชัดเจน ซึ่ง เลขาสภาพัฒน์ ผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตนเองก็จบเศรษฐศาสตร์มา ตรงนี้เราไม่ได้มาเอาชนะกันแต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น เพื่อรองบประมาณที่จะนำออกมาใช้ ทั้งนี้ ได้สอบถามกับเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ว่าสามารถทำอะไรได้อีก หากมีอะไรที่ทำได้ก็ขอให้เสนอมา ตนเองไม่ได้จมปลักอยู่กับการลดดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่การลดดอกเบี้ยเป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งเห็นอยู่แล้วสำหรับตัวเลขที่ออกมา อย่างเช่นนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ก็พยามที่จะออกมาให้เร็วที่สุด

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าการเติมเงินเข้าไปในระบบจำนวน 500,000 ล้านบาท จะทำให้เงินเฟ้อ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ปัจจุบันนี้ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบอยู่แล้ว หากจะบอกว่าติดลบจากการที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนผ่านมาตรการลดราคาน้ำมัน หรือพยุงราคาไฟฟ้า ซึ่งหากถอดดัชนีตรงนี้ออกไปเงินเฟ้อขึ้นมาไม่ถึง 1% ยังไม่ถึงกรอบต่ำสุด หลายเรื่องที่รัฐบาลทำต้องใช้เวลารวมไปถึงโครงการ Digital Wallet ด้วย หากทุกคนเห็นด้วยและพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่มีการทุจริต และประพฤติมิชอบ ก็จะพยามทำให้เร็วที่สุด อยากจะให้เกิดขึ้น ภายในเดือนพฤษภาคม และนโยบายอื่นก็พยายามดำเนินการอยู่ ซึ่งรัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างที่สามารถทำได้ ณ วันนี้ ยินดีรับฟังว่าอยากให้รัฐบาลทำอะไร แต่ต้องคำนึงว่างบประมาณสามารถใช้ได้หรือไม่ อย่างเร็วที่สุด 1 เมษายน ซึ่งพยามเร่งอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องที่มีการเสนอแนวคิดเข้ามามากมาย ท่านนายกจะเดินหน้าโดยไม่ต้องพะว้าพะวังได้หรือยัง เรื่องเงิน Digital Wallet นายกรัฐมนตรีตอบกลับว่า ตามที่บอกไปมีทั้ง ป.ป.ช. และคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอมา นายกฯ ก็รับฟัง ถ้าไม่รับฟังเดี๋ยวก็มาบอกอีกว่าไม่รับฟัง พยายามรับฟังอยู่ในกรอบเวลาให้เร็วมากที่สุด  ทางผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยพึงเห็นจึงขอเวลา นายกฯ เองก็ยินดี และหากมีอะไรให้บอกมา ยินดีรับฟัง  
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

​นายกฯ ย้ำ อดีตนายกฯ “ทักษิณ” พักโทษ เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

 

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากุมภวาปี ตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงกรณีการพักโทษของนายทักษิณ  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นถึงหลักนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน หรือแบบสองมาตรฐานหรือไม่ว่า ตอนที่นายทักษิณ ถูกคำพิพากษาก็มีการเรียกร้องจาก ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย  แต่หากย้อนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ก็มีการเรียกร้องให้ท่านกลับเข้าสู่กระบวนการ และเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ท่านก็กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม  เมื่อท่านกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว กรมราชทัณฑ์ก็มีการตรวจสอบ โรงพยาบาลตำรวจก็มีการตรวจสอบ  รวมถึงคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรก็มีการตรวจสอบ ขณะที่กระทรวงยุติธรรมก็มีมาตรฐานในการตรวจสอบอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อท่านถูกพิพากษาไป เราก็เชื่อในระบบ  แล้ววันนี้ เมื่อท่านเข้าสู่กระบวนการที่จะรับโทษและได้รับการพักโทษตามเงื่อนไข ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายเขียนไว้  เราจะต้องมาพูดกันเรื่องนี้ทุกวันหรือไม่ตนไม่ทราบ  แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎหมาย

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงแม้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการชี้แจงแต่ก็ยังเชื่อว่าเป็นสองมาตรฐานอยู่ดี  นายกฯกล่าวว่า  เป็นความเห็นต่าง เมื่อเราอยู่ในสังคมที่เห็นต่างกัน  หลายเรื่องก็มีคนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำอยู่  รวมถึงเห็นด้วยกับสิ่งที่เราไม่ทำ แต่เราก็ต้องอยู่ร่วมกันด้วยกฎหมาย เพราะวันนี้กฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อท่านเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายแล้ว  ตนเองมองว่าเราก็ควรเดินหน้าดีกว่า  เพราะวันนี้บ้านเมืองต้องการเดินหน้าอะไรอีกหลายอย่างจากรัฐบาลและทุกภาคส่วน   เรื่องความขัดแย้งก็ต้องบริหารจัดการกันไป แต่ต้องตั้งอยู่บนความสงบ  เพราะเรามีพื้นที่  มีสภาฯ  มี สส. และมีนักวิชาการ และควรใช้เวทีที่ปลอดภัยในการหาทางออกร่วมกัน

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า  วันนี้ตนเองลงพื้นที่มาดูปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติดที่ยังมีอีกเยอะ ถ้าวันนี้ตนเองสามารถอยู่ในพื้นที่ได้อีก ก็จะอยู่ต่อเพื่อดูให้ครบทุกเรื่องและทุกมิติ  ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจแต่รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของทุกภาคส่วน  พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลนี้ทุ่มเทเต็มที่  ขอให้อยู่ร่วมกันด้วยกฎหมาย  เมื่อกฎหมายบอกมาเช่นไรเราก็ทำตามอยู่แล้ว  ขอให้ก้าวข้ามไปและเดินหน้าไปจะดีกว่า

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ สว. ระบุว่า การพักโทษของนายทักษิณจะทำให้ นายกฯ เศรษฐา เป็นดาวไร้แสง  นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “จะคิดอะไรก็คิดกันไป เพราะพรุ่งนี้ 7 โมงเช้าผมก็ตื่นไปทำงานประชุม ครม. อาทิตย์หน้าก็ลงพื้นที่ภาคใต้ อาทิตย์ถัดไปก็ไปต่างประเทศเพื่อเจรจาFTA และหานักลงทุนใหม่เข้าประเทศ จะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ตนสะทกสะท้านได้ เพราะตนก็จะทำงานต่อไป โดยยึดมั่นในผลประโยชน์และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกคน จะว่าอย่างไรก็ว่าไปไม่เป็นไร”

 

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าการเมืองจากนี้จะร้อนขึ้นและจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ หลังนายทักษิณได้รับการพักโทษ  นายกฯ กล่าวว่า มันก็ร้อนทุกวัน ทุกเรื่องก็ร้อนหมด  เพราะพื้นฐานทุกวันนี้เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญ การใช้งบประมาณ ปี 68 ก็ยังไม่สามารถใช้ได้ ฉะนั้นถ้าเรามีเงินในกระเป๋าทำให้ทุกคนอยู่ดีกินดี มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น การศึกษา และระบบสาธารณสุขที่ดี ก็เชื่อว่าชีวิตจะดีขึ้น

 

นายกฯ กล่าวต่อไปว่า จะพยายามพิสูจน์ตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เป็นการบั่นทอนอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าใครติมาแล้วสามารถทำให้ดีขึ้นได้ก็จะพยายามทำ แต่ถ้าให้ตัวผมเองรู้สึกด้อยค่าเพราะคำพูดอะไรที่จับต้องไม่ได้ ตนเองไม่เสียอารมณ์ตรงนั้นดีกว่า เพราะถ้ามาดูแววตาพี่น้องประชาชนที่สกลนคร อุดรธานี นครพนม หนองบัวลำภู มันเป็นแรงกระตุ้นเป็นความหวังและแรงบันดาลใจให้ตนเองตื่นขึ้นมาทำงานในวันพรุ่งนี้เช้า

 

ส่วนการปรับ ครม. นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเองกับรัฐมนตรีพรรคร่วม ก็ยังทำงานร่วมกันด้วยดี กลับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยเอกธรรมนัส  พรหมเผ่า  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ยังคุยกันด้วยดี และก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดี กับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาครองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  ส่วนการย้ายเรือนจำและการเดินทางมาที่จังหวัดอุดรครั้งนี้ซึ่งมีการหารือเรื่องของการย้ายเรือนจำ ตนเองก็มีการพูดคุยกับพันตำรวจเอกทวี  สอดส่อง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมซึ่งอยู่พรรคประชาชาติ  ซึ่งทุกคนต่างพรรคกันหมด  นายกฯ กล่าวย้ำว่าทุกคนมีความตั้งใจดีในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ทั้งนี้หากถึงเวลาต้องปรับ ครม. ก็ต้องปรับ เพราะฉะนั้นที่ถามตนเองมาทุกอาทิตย์ก็ยังไม่ปรับ ครม. ทั้งนี้ ทุกคนมี KPI หมด และเชื่อว่า รัฐมนตรีทุกคนตั้งเป้าไว้สูงและก็ยังสามารถทำได้ดีกว่านี้ รวมถึงตนเองด้วย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

คกก.นโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เห็นชอบศึกษาขยายเวลาจำหน่าย

 
เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 โดยมี นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค และกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
 
          นายแพทย์ชลน่านให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า ในวันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องการขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อสนับสนุนการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ โดยได้นำข้อเสนอจากที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 มาประกอบการพิจารณา และเห็นว่า 1) ปัจจุบันมีกฎหมายที่กำหนดเกี่ยวกับเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สำหรับร้านอาหารทั่วไป ได้แก่ ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 และกฎกระทรวงที่ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2558 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551และต้องคำนึงถึง พระราชบัญญัติสถานบริการ 2509 ซึ่งถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องปรับแก้กฎหมายเหล่านี้และต้องคำนึงถึงเวลาเปิดปิด ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการและการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว และ2) ข้อมูลในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ ยังไม่มีข้อมูลทางสถิติที่ชัดเจน สมควรศึกษาข้อมูลแล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลของจังหวัดนำร่อง เพื่อนำมากำหนดเวลาที่จะขยาย เพื่อความละเอียดรอบคอบ
 

          “ที่ประชุมได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อไปทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดกรอบระยะเวลาในการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารทั่วไปอย่างรอบคอบรอบด้าน ทั้งนี้ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการศึกษาข้อมูล แต่เนื่องจากเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมก็จะเร่งรัดให้เร็วที่สุดโดยคำนึงถึงข้อมูลที่เพียงพอสำหรับประกอบการพิจารณา นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย” นายแพทย์ชลน่านกล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

“หมอชลน่าน” หนุน เครือข่ายฯ ร่วมสร้างสังคมไทยปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

 
เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ 2567 ณ อาคารเฉลิมพระบารมี ๕๐ ปี  แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมมหกรรมวิชาการฟ้าใส 2567 “ปกป้องสุขภาพของคนไทยห่างไกลควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า” และมอบรางวัลเพชรนคราอวอร์ด ประจำปี 2567 ให้แก่องค์กรและบุคคลที่มีผลงานในการควบคุมยาสูบด้านต่าง ๆ จำนวน 65 รางวัล โดยมี ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ รศ. นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา เลขาธิการเครือข่ายวิชาชีพแพทย์ในการควบคุมการบริโภคยาสูบ บุคลากรวิชาชีพสุขภาพ และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมกว่า 600 คน
 

         นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอันดับ 1 ของประชากรทั่วโลก และทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึงปีละกว่า 70,000 คน ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจภาคครัวเรือนปีละกว่า 100,000 ล้านบาท ปัจจุบันประเทศไทยมีกระบวนการควบคุมการบริโภคยาสูบที่เข้มแข็ง มีอัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 35 ในปี 2532 เหลือร้อยละ 17.4 ในปี 2564 ซึ่งนับเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมของทุกภาคีเครือข่ายที่ร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์การควบคุมยาสูบของประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากผลิตภัณฑ์ยาสูบรุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่เย้ายวนใจให้กลุ่มเด็กและเยาวชนทดลองสูบ โดยจากการสำรวจล่าสุด ในปี 2566 พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนและสตรีเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ในปี 2566 ซึ่งหากไม่รีบดำเนินการแก้ไขจะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างตามมา ทั้งด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
 

          นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า การเข้าถึงกระบวนการเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงยาเลิกบุหรี่มาตรฐานมีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน ซึ่งต้องขอบคุณสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ที่ได้จัดตั้งเครือข่ายคลินิกฟ้าใส เป็น one stop service ให้บริการเลิกยาสูบโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ปัจจุบันมี 563 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ และขณะนี้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาเลิกบุหรี่ที่ชื่อว่า Cytisine ได้แล้ว จึงนับเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้เข้าถึงยาชนิดนี้ต่อไป
 

          “การดำเนินงานด้านการควบคุมยาสูบจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานช่วยกันขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา กระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้การสนับสนุนสร้างสังคมปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าลดจำนวนผู้สูบปัจจุบัน ป้องกันผู้สูบหน้าใหม่ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น สร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่และบุหรี่ฟ้า ไม่ให้หลงเชื่อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ” นพ.ชลน่านกล่าว
 

          สำหรับการประชุมในวันนี้ เครือข่ายหลายภาคส่วน อาทิ เครือข่ายคลินิกฟ้าใส สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุรี่ และเครือข่ายสถานประกอบการปลอดบุหรี่ จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน ข้อมูลสถานการณ์ของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ๆที่แพร่หลายอยู่ในขณะนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ตามบริบทพื้นที่ และเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่นๆ ได้ร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความมั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และปลอดภัยจากพิษของบุหรี่
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“วราวุธ” เป็นพยาน พม. – ออมสิน แก้หนี้ ขรก.พม. เตรียมขยายแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย

 
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 67 เวลา 09.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการส่งเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงิน (MSO FinProtect)” ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับธนาคารออมสิน โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายวุฒิพงษ์ ภิรมยาภรณ์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าฐานรากและสนับสนุนนโยบายรัฐ ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สะพานขาว กรุงเทพฯ

นายวราวุธ กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยถึงปัญหาหนี้สิ้นของประชาชน และได้สั่งการให้ทุกกระทรวงรวบรวมปัญหาหนี้สิ้นทั้งระบบ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการวางแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินของบุคลากรกระทรวง พม. โดยความร่วมมือกับธนาคารออมสิน ภายใต้ “โครงการส่งเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงิน (MSO FinProtect)” เป็นการประสานความร่วมมือในการให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้สินให้แก่บุคลากรกระทรวง พม. ตลอดจนสนับสนุนความรู้และให้คำปรึกษาแนะนำ การวางแผน และการรักษาวินัยทางการเงิน 

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า ความร่วมมือในวันนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของทั้งสองหน่วยงานในการช่วยเหลือสวัสดิการด้านการเงินให้แก่บุคลากรกระทรวง พม. ทุกคน ทุกระดับ โดยผู้บริหารทั้งสองหน่วยงานตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสวัสดิการด้านการเงินของบุคลากร เพื่อแบ่งเบา แก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน ด้วยการสนับสนุนข้อมูล ความรู้ การให้คำปรึกษาแนะนำ การจัดการมาตรการผ่อนปรนทางด้านดอกเบี้ย การวางแผนและการรักษาวินัยทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลต่อบุคลากรที่พร้อมเข้าร่วมโครงการในวันนี้ จำนวน 3,233 คน มียอดหนี้สินรวมกัน 3,884,720,010 บาท ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้สินของบุคลากรกลุ่มนำร่อง จำนวน 150 คน วงเงินไม่เกิน 250,000 บาท โดยเบื้องต้นของเป้าหมายคือ ลูกหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้นอกระบบ มีจำนวนหนี้รวมทั้งหมด 16,118,109 บาท ในจำนวนเงินดังกล่าว มีภาระชำระดอกเบี้ย จำนวนเงิน 3,183,665 บาทต่อปี หากทำการปรับโครงสร้างหนี้สินกับธนาคารออมสินแล้ว จะสามารถลดภาระการชำระดอกเบี้ยได้ จำนวนเงิน 1,733,035 บาทต่อปี จะเห็นได้ว่าเบื้องต้น เป็นโครงการนำร่องจากจำนวนบุคลากร 150 เท่านั้น และหากดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้สินได้ทั้งหมด 3,233 คน จะส่งผลให้ภาระหนี้สินด้านดอกเบี้ยที่จ่ายได้ผ่อนคลายลง สำหรับบุคลากรที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้สินในเรื่องการยืดระยะเวลาชำระ ยิ่งจะส่งผลให้ลดภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ทำให้สามารถบริหารการเงินส่วนบุคคลให้เกิดสภาพคล่องในการดำรงชีพได้ดียิ่งขึ้น

นายวราวุธ กล่าวต่ออีกว่า ตั้งแต่ที่ตนได้เข้ามาทำงานที่กระทรวง พม. เมื่อเดือนกันยายน 2566 เห็นได้ว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ รวมถึงอาสาสมัครของกระทรวง พม. มีภารกิจมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรับฟังปัญหาและเข้าไปแก้ปัญหาของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านที่อยู่อาศัย สภาพความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัว ดังนั้น การที่กระทรวง พม. จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องดูแลคนของเรา ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้นแล้ว เราจะเป็นน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว ดังนั้น วันนี้สิ่งที่สำคัญคือการแสดงให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวง พม. ได้เห็นว่าผู้บริหารของกระทรวง พม. ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการ เข้าใจและให้ความสำคัญกับสถานการณ์และความเป็นอยู่ของเพื่อนข้าราชการทุกคน จึงเป็นเหตุผลให้เริ่มดำเนินโครงการในวันนี้ และต้องขอขอบคุณธนาคารออมสินที่เข้ามาเป็นผู้แก้โครงสร้างหนี้สินและดูแลการจัดระเบียบของหนี้สินทั้งหลายของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. 

นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นของโครงการนี้ จะเข้ามาดูปริมาณหนี้สินทั้งหมดว่า มีจำนวนเท่าไหร่และจะมาปรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตนั้นค่อนข้างสูง ดังนั้น การที่ธนาคารออมสินเข้ามาดูแลหนี้สิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต เราจะสามารถปรับมูลค่าดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายลดลงไปได้กว่าครึ่ง ซึ่งคาดว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ไปได้มากพอสมควร นอกจากนี้ เรายังมีแผนเจรจากับสถาบันการเงิน เรื่องหนี้ที่อยู่อาศัย เพราะปัญหาที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญของพี่น้องประชาชนรวมถึงเพื่อนข้าราชการกระทรวง พม. ดังนั้น การที่เราจะสามารถเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินเรื่องบ้าน ตนเชื่อมั่นว่าการทำโครงการนี้และในอนาคตนั้น จะเพิ่มศักยภาพการทำงาน
ของเพื่อนข้าราชการกระทรวง พม. ได้เป็นอย่างดี
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

งานสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ ปี 67 บ้านสันบุญเรือง ครั้งที่ 6 อ.แม่สาย

 

เมื่อวันที่วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 19.00 น. นายก นก นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงานสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ บ้านสันบุญเรือง ครั้งที่ 6 ประจำปี 2567 พร้อมด้วย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ที่ปรึกษานายก อบจ.เชียงราย นายชัยสิทธิ์ ชัยเนตร เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย นายชาญชัย แสนรัตน์ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย อ.แม่สาย เขต 2 ณ ลานอเนกประสงค์ บ้านสันบุญเรือง ต.เกาะข้าง อ.แม่สาย โดยมี ร.ต.อ.เด่นวุฒิ จันต๊ะขัติ นายก อบต.เกาะช้าง เป็นผู้กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจาก นายณรงค์พล คิดอ่าน นายอำเภอแม่สาย นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรี ต.แม่สาย นายเด่นชัย ลาวิชัย นายก อบต.ศรีเมืองชุม เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ด้วย

 

ในงานดังกล่าวมีกิจกรรมการประกวดหนูน้อยขวัญใจไทลื้อ 4 ไตยเฮือน การแสดงชุดสีสันไทลื้อ โดยกลุ่มพัฒนาสตรีบ้านสันบุญเรือง การประกวดขบวนไตยเฮือน และการแสดงของนักเรียนโรงเรียนบ้านสันบุญเรือง โดยทางบ้านสันบุญเรือง ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นทุกๆปี เพื่อเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ นำเสนอวิถีชีวิต การแต่งกายที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่า แก่การอนุรักษ์ ส่งเสริมให้คงอยู่สืบไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News