Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายชูจุดขาย “คูลเคชั่น” พลิกวิกฤตโลกร้อนสู่ปีทองการท่องเที่ยว

อพยพหนีร้อนสู่ “คูลเคชั่น” เชียงรายชูจุดขายอากาศเย็น–ธรรมชาติสงบ พลิกวิกฤตโลกร้อนเป็น “ปีทองท่องเที่ยวใหม่”

เชียงราย, 6 กันยายน 2568 – เมื่อยุโรปเผชิญคลื่นความร้อนรุนแรงจนหลายเมืองแตะ 40°C พร้อมไฟป่าถี่กว่าที่เคย จุดหมายฤดูร้อนคลาสสิกอย่างสเปน โปรตุเกส และกรีซเริ่มถูกนักเดินทาง “หลบเลี่ยง” มากกว่า “ไหลเข้า” ปรากฏการณ์นี้ผลักดันคำใหม่ในพจนานุกรมท่องเที่ยวโลก—คูลเคชั่น (Coolcation)” หรือการท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาอากาศที่เย็นกว่า เงียบกว่า และไม่แออัด—จากคำฮิตสู่ กติกาใหม่ของการวางแผนทริปหน้าร้อนปี 2025

คำถามจึงดังขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะ เชียงราย เมืองเหนือที่โอบล้อมด้วยเทือกดอยและลำน้ำว่า นี่คือโอกาสพลิกวิกฤตสภาพอากาศ ให้กลายเป็นปีทองของเชียงรายได้หรือไม่?”

คลื่นร้อนเปลี่ยนยุโรป สัญญาณเตือนที่กลายเป็นสัญญาณตลาด

ตลอดสองฤดูร้อนที่ผ่านมา สื่อเศรษฐกิจระดับโลกและหน่วยงานด้านท่องเที่ยวของยุโรป รายงานคลื่นความร้อน/ไฟป่าที่ส่งผลกระทบต่อจุดหมายเมดิเตอร์เรเนียนอย่างเป็นระบบ ทั้งการอพยพปิดชายหาดชั่วคราว ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน และความเสี่ยงต่อสุขภาพของนักเดินทาง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทรนด์ท่องเที่ยวสากลอย่าง เจนนี เซาธาน (Jenny Southan) ซีอีโอ Globetrender ประเมินว่า เดือนกรกฎาคม–สิงหาคม กำลังกลายเป็น “เขตเสี่ยงภูมิอากาศ” สำหรับการท่องเที่ยวมวลชนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน—ภาษาธุรกิจคือ “ดีมานด์ย้ายฤดูกาลและย้ายพิกัด”

ข้อมูลเสริมจากเครือข่ายที่ปรึกษาท่องเที่ยว Virtuoso สะท้อนตรงกันว่า 79% ของที่ปรึกษายอมรับ “เหตุอากาศสุดขั้วมีผลต่อการวางแผนเดินทาง” และ 55% ของลูกค้าหันไปเลือก นอกฤดูกาล (shoulder season) มากขึ้น ขณะเดียวกัน European Travel Commission (ETC) ชี้แนวโน้ม “เลี่ยงที่แออัด/เปลี่ยนเส้นทาง” เริ่มปรากฏอย่างมีนัยสำคัญ และสายการบินในยุโรปเหนืออย่าง SAS รายงานยอดจองจากยุโรปใต้สู่ นอร์เวย์ สำหรับฤดูร้อนปี 2025 เติบโตเด่น (บางเส้นทางขยายตัวระดับสองหลัก) ยืนยันว่า “คูลเคชั่น” ไม่ใช่แฟชั่น แต่เป็น พฤติกรรมใหม่ที่วัดได้

สำหรับประเทศเศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงอย่างกรีซ สเปน และโปรตุเกส ซึ่งสัดส่วนรายได้จากท่องเที่ยวต่อ GDP อยู่ที่ราว 18%, 12.3% และ 11.9% ตามลำดับ ความปั่นป่วนของฤดูกาลหมายถึงความเสี่ยงต่อรายได้ท้องถิ่นโดยตรง ยิ่งทำให้จุดหมาย “เย็นกว่า–โลว์คีย์กว่า” ทั่วโลกถูกมองหามากขึ้น

คูลเคชั่นคืออะไร และทำไมเชียงราย “เข้าแกน” เทรนด์นี้

คูลเคชั่น (Coolcation) คือการเดินทางที่มี อุณหภูมิ เป็นตัวตั้ง—ผู้เดินทางหลีกเลี่ยงความร้อนจัดและฝูงชน หันไปหาสถานที่ที่ เย็นกว่า สงบกว่า และมีประสบการณ์กลางแจ้งที่เข้ากับอากาศ กิจกรรมยอดนิยมจึงเปลี่ยนจากนอนอาบแดดสู่ เดินป่า ชมทะเลหมอก พายเรือในลำน้ำเย็น น้ำตก/ล่องแก่ง หรือ เที่ยวเมืองเล็กที่มีวัฒนธรรมเข้ม

เมื่อจับเลนส์นี้ไปส่องแผนที่ไทย เชียงราย สอดรับกับคำจำกัดความแทบทุกมิติ

  1. ภูมิประเทศสูง/ลมเย็นโดยธรรมชาติ – เทือกดอยตั้งแต่ ดอยตุง–ดอยช้าง–ดอยแม่สลอง (สันติคีรี) ไปจนถึงแนวสันเขา ภูชี้ฟ้า–ภูชี้ดาว–ผาตั้ง ทำให้อุณหภูมิบนที่สูง ต่ำกว่าพื้นราบหลายองศา โดยเฉพาะเช้าตรู่ที่มักแตะระดับเย็นสบายแม้ในฤดูฝนปลายฝนต้นหนาว
  2. สายน้ำคลายร้อน – เมืองถูกผ่าโดย แม่น้ำกก และรายล้อมด้วยน้ำตกชื่อดังอย่าง ขุนกรณ์–ห้วยแม่ซ้าย รวมถึงแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับ ล่องแพ/พายคายัค/เล่นน้ำ ที่มอบ “ความเย็นในกิจกรรม” แม้อากาศภายนอกจะอบอ้าว
  3. ความสงบและความเป็นท้องถิ่น – เทียบกับเมืองท่องเที่ยวเมกะฮิต เชียงรายเสนอ “จังหวะช้า” แบบ Slow Tourism ที่นักท่องเที่ยวยุคคูลเคชั่นมองหา ทั้งตลาดกลางคืนท้องถิ่น งานคราฟต์ชนเผ่า ร้านกาแฟ–ไร่ชา (ชาผู่อูหลง/ชาเขียวคุณภาพ) และพิพิธภัณฑ์/อาร์ตสเปซที่เดินชมแบบไม่ต้องเบียดคน
  4. การเข้าถึงหลากหลายเส้นทาง – สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชื่อมกรุงเทพฯ/หัวเมืองหลัก และเครือข่ายถนนขึ้นดอยถูกปรับปรุงต่อเนื่อง ทำให้ “เที่ยวดอย–ลงเมือง–ลงน้ำ” ทำได้ภายในทริปเดียว

กล่าวให้ชัด เชียงราย มีทั้ง “เย็นโดยธรรมชาติ” และ “เย็นด้วยกิจกรรม” ซึ่งตรงสูตรคูลเคชั่นอย่างเป็นรูปธรรม

เช้าวันหมอกที่ภูชี้ฟ้า และยามเย็นริมน้ำกก

ลองจินตนาการเช้าวันหนึ่งปลายสิงหาคม หมอกขาวคลุมสันเขา ผู้คนจำนวนไม่มากค่อยๆ เดินขึ้นสู่จุดชมวิว ภูชี้ฟ้า เมื่อดวงอาทิตย์แตะขอบฟ้าลาว–ไทย คลื่นเมฆยวบลงใต้เท้า อุณหภูมิที่ผิวแก้มคือ “เย็นจริง ไม่ต้องพึ่งแอร์” กลางวันคุณลงเมือง จิบชาในไร่ชาที่ ดอยแม่สลอง หลบร่มใต้ต้นชาอายุหลายสิบปี แล้วเฉลียงยามเย็นปรับโหมดเป็น เรือหางยาวล่องแม่น้ำกก ลมเย็นปะทะใบหน้า เมืองทั้งเมืองเดินช้าลงโดยไม่ต้องบอก—นี่คือ ประสบการณ์คูลเคชั่นฉบับเชียงราย ที่พูดกับร่างกายมากกว่าคำโฆษณา

บทเรียนจากโลก เทรนด์ที่ “ย้ายฤดูกาล” และ “ย้ายแผนที่”

การเคลื่อนย้ายดีมานด์มีสองชั้นสำคัญ

  • ย้ายฤดูกาล – จากคิว Jul–Aug ไปสู่ May–Jun / Sep–Oct ซึ่งเย็นกว่าและปลอดภัยกว่า
  • ย้ายแผนที่ – จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสู่ ละติจูดสูง/พื้นที่ภูเขา/เส้นทางน้ำ

ถ้าเชียงรายอ่านเกมนี้ได้เร็ว เมืองสามารถ อัพเกรดหน้าฝน” ให้เป็น “High Season ใหม่ของคูลเคชั่น” เพราะปลายฝน–ต้นหนาว คือหน้าที่ ภูมิทัศน์เขียวชุ่ม น้ำตกแรง หมอกหนา อุณหภูมิเย็นพอดี และ—ที่สำคัญ—ไม่ชนฤดูกาลหมอกควัน (ก.พ.–เม.ย.) ที่ภาคเหนือจำเป็นต้องบริหารความเสี่ยงร่วมกับชุมชน

กลยุทธ์ “เชียงรายคูลเคชั่น” ทำอย่างไรให้โอกาสกลายเป็นปีทอง

เพื่อให้คอนเซ็ปต์จากข่าวโลกลงจอดสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ทีมข่าวสรุป 9 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ สำหรับภาครัฐ–เอกชนเชียงราย ดังนี้

  1. รีแบรนด์ปลายฝน–ต้นหนาวเป็นฤดู “Cool & Green”
    ตั้งแคมเปญ “Coolcation Chiang Rai: Green Season, Blue Sky” สื่อสารจุดขาย “เย็น–เขียว–ไม่แออัด” พร้อมแพ็กเกจ 3 วัน 2 คืน ที่รวม “ดอย–น้ำ–เมือง” ในราคาพอจับต้อง
  2. สร้างเส้นทาง “เย็นโดยธรรมชาติ” + “เย็นด้วยกิจกรรม”
    จับคู่ ภูชี้ฟ้า/ดอยแม่สลอง (หมอก–ไร่ชา) กับ ล่องแม่น้ำกก/น้ำตกขุนกรณ์ (กิจกรรมคลายร้อน) ปิดท้ายด้วย Night Market/คาเฟ่ริมน้ำ ให้ครบมิติของคูลเคชั่น
  3. Night Economy = เครื่องปรับอากาศตามธรรมชาติ
    ผลักดัน เมืองเก่า–วัดสำคัญ–พิพิธภัณฑ์ภาพเก่า เปิดรอบค่ำ พร้อมไฟสวย–ทัวร์เดินเท้า–คอนเสิร์ตแจ๊สเบาๆ กลางลมแม่น้ำ ลดภาระเดินช่วงแดดจัด และกระจายรายได้หลังพระอาทิตย์ตก
  4. Green Mobility
    รถเวียนไฟฟ้าเส้น สนามบิน–ตัวเมือง–ท่าเรือแม่น้ำกก–สถานีขนส่ง–ขึ้นดอย พร้อม บัตรวันเดียว (Day Pass) ช่วยลดคาร์บอนและทำให้การเดินทางไร้รอยต่อ
  5. มาตรฐาน “ที่พักคูล”
    เชิญโรงแรม/โฮมสเตย์เข้าร่วมมาตรฐาน CF-Hotels (Carbon–Forest) เช่น ตั้งเป้าลดพลังงาน/เพิ่มร่มเงา/ใช้น้ำฝน/ขยายพื้นที่สีเขียว และเล่าเรื่องผ่าน Dashboard ง่ายๆ ให้แขกเห็น “คุณเย็นอย่างยั่งยืนอย่างไร”
  6. ปฏิทินเทศกาล “เย็นแล้วค่อยฉลอง”
    จัด งานชา–กาแฟ–อาร์ตบนดอย ใน Sep–Oct ที่อากาศพอดี เชิญช่างฝีมือชนเผ่า/ศิลปินร่วมสมัยร่วม Curate ประสบการณ์ Slow & Local
  7. บริหารความเสี่ยงหมอกควัน
    สื่อสารชัดว่า “หน้าร้อน (ก.พ.–เม.ย.) ไม่ใช่ หน้าคูลเคชั่น” พร้อมแผน Early Burning Control/ท่องเที่ยวอาสา ฟื้นฟูป่า และแจ้ง คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ผ่านช่องทางทางการ
  8. ทำการตลาดข้อมูล (Data-led Marketing)
    เก็บสถิติ อุณหภูมิ–ดัชนีความร้อน (HI)–จำนวนนักท่องเที่ยว–ระยะเวลาพำนัก–ค่าใช้จ่าย/ทริป รายเดือน แล้วเล่าเป็นอินโฟกราฟิกให้เอเจนซียุโรป/เอเชียเห็นว่า “เชียงราย = หนีร้อนแล้วสนุกกว่า
  9. เข้าระบบรางวัลคุณภาพ–ยั่งยืนของประเทศ
    กระตุ้นผู้ประกอบการสมัคร Thailand Tourism Awards หมวด Sustainability เพื่อใช้ “ตรากินรี” เป็นตรารับรองคุณภาพ–ยั่งยืน เพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดต่างประเทศ

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ

  • ผู้ว่าการ ททท. เคยย้ำทิศทาง “ยกระดับคุณภาพ–ยึดความยั่งยืน” และผลักดันรางวัล/มาตรฐานที่สอดคล้อง GSTC เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยพร้อมแข่งขันในตลาดที่ให้ค่าด้านสังคม–สิ่งแวดล้อม
  • ผู้เชี่ยวชาญเทรนด์ท่องเที่ยวสากล ชี้ “คูลเคชั่น” จะแข็งแรงขึ้นใน 2–3 ปี และ ฤดูพีกเมดิเตอร์เรเนียนจะเลื่อนไป May–Jun / Sep–Oct
  • เอเยนต์–แพลตฟอร์ม ในยุโรปสะท้อนดีมานด์ “เย็นกว่า–เงียบกว่า” เพิ่มขึ้นจริง จากผลสำรวจ Virtuoso และความเคลื่อนไหวการจองที่ Scandinavia/Nordic

คำกล่าวเหล่านี้ แม้ต่างพื้นที่ แต่ส่งสัญญาณเดียวกัน: ตลาดโลกกำลังมองหาความเย็นและความสงบแบบมีคุณภาพ ใครตอบได้ก่อน ย่อมได้ส่วนแบ่งก่อน

เศรษฐกิจท้องถิ่นจะได้อะไร 4 เม็ดเงินที่มากับคูลเคชั่น

  1. ยืดฤดูกาล–ถ่างรายได้: จาก high season ช่วง พ.ย.–ก.พ. ไปถึง May–Jun / Sep–Oct ลดความผันผวนทางรายได้ของผู้ประกอบการ
  2. ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้น: นักท่องเที่ยวคูลเคชั่นมักซื้อประสบการณ์เชิงคุณภาพ (ไร่ชา–เวิร์กช็อปคราฟต์–ไกด์เฉพาะทาง) ซึ่ง มาร์จิ้นสูงกว่าทัวร์ปริมาณ
  3. กระจายรายได้สู่ชุมชน: เส้นทาง “ดอย–น้ำ–เมือง” เปิดโอกาส โฮมสเตย์–ช่างฝีมือ–ไกด์ท้องถิ่น–ชุมชนชนเผ่า เข้าห่วงโซ่
  4. ลดต้นทุนสังคม/สิ่งแวดล้อม: แทนการแบกรับภาระนักท่องเที่ยวหนาแน่นแบบพีกซัมเมอร์ เมืองจะ “หายใจได้” ทั้งทรัพยากรและคุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัย

ความท้าทายที่ต้องเผชิญตรงๆ

  • หมอกควัน/คุณภาพอากาศช่วงปลายฤดูหนาว–ต้นร้อน: จำเป็นต้อง “ล็อกอิน” ปฏิทินคูลเคชั่นไว้ช่วง ปลายฝน–ต้นหนาว และสื่อสารโปร่งใส
  • โครงสร้างพื้นฐานบางดอยยังจำกัด: ต้องปรับปรุง จุดจอด/ทางเดิน/ห้องน้ำ/ระบบขนส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับแบบ “เพิ่มคุณภาพไม่เพิ่มปริมาณ”
  • การสื่อสารตลาดยังกระจัดกระจาย: ควรมี แพลตฟอร์มกลาง ของจังหวัดที่รวมเส้นทาง คิวกิจกรรม ค่า HI/อากาศ และจองบริการได้ในที่เดียว
  • การทำงานร่วมกัน: โอกาสนี้ต้องอาศัย พันธมิตรข้ามภาคส่วน—ท่าอากาศยาน/เอกชนท่องเที่ยว/ชุมชน/องค์กรสิ่งแวดล้อม—เพื่อให้ “เย็นและยั่งยืน” จริง

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ที่จับต้องได้

  • อัตราพักเฉลี่ย (AOR) ช่วง May–Jun / Sep–Oct เพิ่มขึ้น
  • ระยะเวลาพำนักเฉลี่ย (ALOS) ยาวขึ้นจากการทำเส้นทาง “ดอย–น้ำ–เมือง”
  • ค่าใช้จ่ายต่อทริป เพิ่ม จากสัดส่วนกิจกรรมคุณภาพ (ชา–คราฟต์–ไกด์เฉพาะทาง)
  • สัดส่วนขนส่งไฟฟ้า/ปลอดคาร์บอน ในเมืองหลัก/เข้าแหล่งท่องเที่ยว
  • คะแนนความพึงพอใจ/รีวิว ที่กล่าวถึง “เย็น/เงียบ/คุณภาพ–ยั่งยืน” เพิ่ม

เชียงรายพร้อมแค่ไหน ทุนเดิมที่มีและสิ่งที่ควรเร่ง

ทุนเดิม ของเชียงรายคือ ภูมิประเทศสูง–ลำน้ำ–วัฒนธรรมชนเผ่า–ไร่ชา/กาแฟ–ศิลปะร่วมสมัย ซึ่งเป็นชุดสินค้าที่ “เข้าใจง่าย” สำหรับตลาดคูลเคชั่น เพิ่มด้วยสินทรัพย์ใหม่อย่าง พิพิธภัณฑ์/อาร์ตสเปซ และ ตลาดกลางคืนเชิงคราฟต์ ที่คัดสรรคุณภาพ

สิ่งที่ควรเร่ง คือ แพ็กเกจบูรณาการ ที่ทำให้นักเดินทาง “เห็นภาพใน 10 วินาที” เช่น

  • Coolcation Classic: ภูชี้ฟ้า–ไร่ชาแม่สลอง–ล่องกก–Night Market
  • Cool & Culture: ดอยตุง–หมู่บ้านชนเผ่า–พิพิธภัณฑ์ภาพเก่า–อาร์ตคาเฟ่
  • Cool Adventure: เดินป่าลุ่มน้ำ–พายคายัค–น้ำตก–แคมป์เบาๆ ใต้ดาว

และทั้งหมดนี้ควรแนบ ข้อมูลอุณหภูมิ/ดัชนีความร้อน (HI)/คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ เพื่อปิดความกังวลของนักเดินทางยุคข้อมูล

ปีทองจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรา “ทำให้ความเย็นมีระบบ”

โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ สภาพอากาศ เปลี่ยนการตัดสินใจของผู้คนมากพอๆ กับ ราคาและเวลา “คูลเคชั่น” จึงไม่ใช่เพียงคำสวย แต่คือ ตรรกะใหม่ของการตลาดท่องเที่ยว ที่มองหาอากาศเย็น ประสบการณ์แท้จริง และความไม่แออัด เชียงรายมีองค์ประกอบครบ—ดอยสูง ลำน้ำ วัฒนธรรม และความสงบ—เหลือเพียง การจัดระเบียบข้อเสนอ ให้ชัด สื่อสารให้เร็ว และดำเนินการแบบยั่งยืน

ถ้า “ความเย็น” คือสินค้า เชียงรายต้องทำให้มันเป็น ระบบบริการครบวงจร ตั้งแต่ไฟลต์บิน รถไฟฟ้า เส้นทางเที่ยว แพ็กเกจที่พัก–กิจกรรม ไปจนถึงการเล่าเรื่องผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม/ชุมชนอย่างโปร่งใส เมื่อถึงวันนั้น คูลเคชั่น จะไม่ใช่แค่การหนีร้อนชั่วคราว แต่คือ ข้อได้เปรียบที่ยั่งยืน ที่พาเชียงรายก้าวสู่ “ปีทอง” ได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • CNBC International – บทวิเคราะห์เทรนด์ “Coolcation” และผลกระทบจากคลื่นความร้อนยุโรปต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยว (รายงานปี 2024–2025)
  • European Travel Commission (ETC) – รายงานแนวโน้มการเดินทางของชาวยุโรปฤดูร้อนล่าสุด: ความกังวลด้านความแออัดและการเลือกเส้นทางนอกกระแส
  • Virtuoso – ผลสำรวจที่ปรึกษาการเดินทางระดับโลกเกี่ยวกับอิทธิพลของเหตุอากาศสุดขั้วต่อการวางแผนทริป (สัดส่วน 79% และ 55%)
  • Scandinavian Airlines (SAS) – ข่าวประชาสัมพันธ์/ข้อมูลสรุปผลการจองเส้นทางสู่สแกนดิเนเวียฤดูร้อน 2025 (อัตราเติบโตจากยุโรปใต้และฝรั่งเศส)
  • หน่วยงานสถิติ/การท่องเที่ยวประเทศกรีซ สเปน โปรตุเกส – สัดส่วนรายได้การท่องเที่ยวต่อ GDP (กรีซ ~18%, สเปน ~12.3%, โปรตุเกส ~11.9%)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) – นโยบาย/เอกสารสื่อสารด้านการยกระดับคุณภาพ–ความยั่งยืน, แนวทางเชื่อมโยงมาตรฐาน GSTC, แคมเปญส่งเสริมฤดูกาลทางเลือกและการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ
  • กรมอุตุนิยมวิทยา – ข้อมูลภูมิอากาศพื้นฐานภาคเหนือ/เชียงราย และดัชนีความร้อน (ใช้ประกอบการสื่อสารความเหมาะสมของปลายฝน–ต้นหนาว)
  • อุทยานแห่งชาติ/กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช – ข้อมูลพื้นที่ท่องเที่ยวธรรมชาติสำคัญของเชียงราย: ภูชี้ฟ้า–ภูชี้ดาว–ผาตั้ง–น้ำตกขุนกรณ์ และแนวทางการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย/เทศบาลนครเชียงราย – โครงการโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว และปฏิทินกิจกรรมท้องถิ่น
  • งานวิชาการ/บทความเทรนด์ท่องเที่ยว จากสำนักข่าวเศรษฐกิจและวารสารด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เกี่ยวกับ Slow Tourism, Authenticity Tourism และผลกระทบโลกร้อนต่อฤดูกาลท่องเที่ยว
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
LIFESTYLE

ThaiHealth Watch 2025 เจาะลึก 7 เทรนด์สุขภาพปี 2568

สสส. เปิดตัว ThaiHealth Watch 2025 นำเสนอ 7 ประเด็นทิศทางสุขภาพคนไทย ปี 2568

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ กรุงเทพฯ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นประธานเปิดงาน “จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย 2568 (ThaiHealth Watch 2025)” โดยมีเป้าหมายสำคัญในการนำเสนอ 7 ประเด็นสุขภาพสำคัญของคนไทยในปี 2568 เพื่อสร้างการรับรู้และร่วมขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล (Data-Driven Society)

7 ประเด็นสุขภาพสำคัญในปี 2568

  1. ยิ่งเปราะบาง ยิ่งเดือดร้อน วิกฤตโลกเดือด
    ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด สสส. เน้นสร้างทักษะคนรุ่นใหม่เพื่อลดผลกระทบจากปัญหานี้
  2. ชีวิตอมฝุ่น ตัวเลขผู้ป่วยก้าวกระโดด นโยบายก้าวไม่ทัน
    คุณภาพอากาศของประเทศไทยเฉลี่ยรายปีสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลกถึง 5 เท่า ส่งผลให้ผู้ป่วยทางเดินหายใจเพิ่มกว่า 11 ล้านคน/ปี สสส. ชวนจับตาร่างกฎหมายอากาศสะอาดที่จะเข้าสภาฯ ในต้นปี 2568
  3. เยียวยาจิตใจ ปรับพฤติกรรมใหม่ เข้าถึงการดูแลได้ทุกคน
    ผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2.9 ล้านคนในปี 2566 โดย สสส. ได้พัฒนานวัตกรรม “ประสบการณ์” เพื่อสร้างความเข้าใจและลดช่องว่างระหว่างวัย
  4. ต่างวัยต่างติดจอ เผชิญปัญหาต่าง กระทบชีวิตไม่แตกต่าง
    คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 7.04 ชั่วโมง/วัน แต่ยังมีความรู้เท่าทันภัยออนไลน์ต่ำ ส่งผลให้เกิดปัญหา เช่น การพนันออนไลน์ การคุกคามทางเพศ สสส. จึงผลักดันกลไกเครือข่ายเฝ้าระวังภัยออนไลน์
  5. เด็กอ้วนเพิ่ม ผู้ใหญ่ความดันพุ่ง ทำสุขภาพทรุด เศรษฐกิจโทรม
    เด็กอ้วนมีแนวโน้มป่วยโรค NCDs สูงขึ้น เช่น เบาหวานที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มจาก 4.8 ล้านคนในปี 2566 เป็น 5.3 ล้านคนในปี 2583 สสส. เร่งสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพ
  6. โรคติดต่อจะไม่ติดต่อ เติมความรู้ให้แน่น ก่อนจะเล่นกับความรัก
    ผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 53 คน/แสนประชากรในปี 2566 สสส. พัฒนาเว็บไซต์ www.คุยเรื่องเพศ.com เพื่อให้ความรู้แก่ทุกกลุ่มวัย
  7. การตลาดบุหรี่ไฟฟ้า ภาพหวานเหมือนขนม ซ่อนพิษขมสำหรับเด็ก
    เด็กไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% โดยส่วนหนึ่งมาจากการตลาดที่ดึงดูดนักสูบหน้าใหม่ สสส. เน้นผลักดันนโยบายและสร้างความตระหนักถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า

พัฒนานวัตกรรม ThaiHealth Watch

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเปิดงาน จับตาทิศทางสุขภาพคนไทย 2568 (ThaiHealth Watch 2025) ว่า “สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนสังคมด้วยข้อมูล (Data-Driven Society) พัฒนานวัตกรรม ThaiHealth Watch เพื่อนำเสนอแนวทางลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นใหม่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยรวบรวมองค์ความรู้จากสถานการณ์สุขภาพคนไทย ปี 2567 ประกอบกับความคิดเห็นเรื่องสุขภาพยอดนิยมบนสื่อออนไลน์ และข้อแนะนำทั้งระดับปัจเจกบุคคลและนโยบายต่อสังคม เกิดเป็นประเด็นกระแสสังคม 7 ประเด็น 1.ยิ่งเปราะบาง ยิ่งเดือดร้อน วิกฤตโลกเดือด สำนักบริการด้านสภาพแวดล้อมของสหภาพยุโรป พบปี 2566 เป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิร้อนที่สุด โลกร้อนขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความหลากหลายทางระบบนิเวศ ระบบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ไทยเสี่ยงจากผลกระทบสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับ 9 ของโลก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางคือกลุ่มเสี่ยงที่สุด สสส. จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย สร้างทักษะคนรุ่นใหม่สามาร

พ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า 2.ชีวิตอมฝุ่น ตัวเลขผู้ป่วยก้าวกระโดด นโยบายก้าวไม่ทัน รายงานคุณภาพอากาศปี 2566 พบไทยมีมลพิษมากเป็นอันดับที่ 36 ของโลก เฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 23.3 มคก./ลบ.ม. มากกว่าค่าเฉลี่ยรายปีที่องค์การอนามัยโลกกำหนดถึงเกือบ 5 เท่า โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบเทียบเท่ากับสูบบุหรี่ 1,224 มวน ส่งผลให้มีผู้ป่วยทางเดินหายใจกว่า 11 ล้านคนต่อปี สสส. ชวนจับตาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2-3 ในต้นปี 2568 3.เยียวยาจิตใจ ปรับพฤติกรรมใหม่ เข้าถึงการดูแลได้ทุกคน พบผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 สสส. ร่วมกับภาคีพัฒนานวัตกรรมดูแลสุขภาพจิต ภายใต้โครงการ “ประสบการณ์” เพื่อลดช่องว่างและทัศนคติระหว่างวัย 4.ต่างวัยต่างติดจอ เผชิญปัญหาต่าง กระทบชีวิตไม่แตกต่าง พฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย 2565 โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พบคนไทยใช้อินเทอร์เน็ต 7.04 ชม./วัน แต่กลับมีความรู้ด้านการป้องกันภัยออนไลน์ต่ำ ส่งผลให้เสพติดพนันออนไลน์ โดนกลั่นแกล้ง คุกคามทางเพศ สสส. ได้ผลักดันกลไกเครือข่ายสร้างทักษะรู้เท่าทันสื่อทุกกลุ่มวัย เพื่อเฝ้าระวังและลดภัยออนไลน์ทุกรูปแบบ

1 ในสิ่งสำคัญที่ สสส. มุ่งเน้นการขับเคลื่อน

          น.ส.สุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. กล่าวว่า ปัจจัยที่เป็นตัวแปรสำคัญส่งผลให้การลดโรค NCDs ทำได้ยาก คือ 1.นวัตกรรม ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงสังคม และพฤติกรรมของคน เช่น การสั่งอาหารเดลิเวอรี่ อาหารแปรรูป 2.การตลาดที่กระตุ้นการบริโภค 3.บุหรี่ไฟฟ้าและกัญชา เข้าถึงได้ง่าย 4.ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ PM2.5 ทำให้ออกกำลังกายนอกอาคารไม่ได้ 5.ปัญหาความเครียด สุขภาพจิต 6.รางวัลที่ให้ตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการกินเกินพอดี

    “1 ในสิ่งสำคัญที่ สสส. มุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานป้องกันและลดอัตราป่วยด้วยโรค NCDs สื่อสารรณรงค์ให้ความรู้ จุดประกายการเปลี่ยนแปลง เช่น สสส. ขับเคลื่อนเรื่องเหล้าในกลุ่มผู้หญิง เหล้ามีผลต่อมะเร็งเต้านม ทำให้อัตราการดื่มในกลุ่มผู้หญิงลดลง หรือกรณีบุหรี่ไฟฟ้า เรื่องไอบุหรี่เกาะปอดไม่สามารถล้างไม่ได้ รวมถึงจุดประกายการตั้งเป้าหมายที่สามารถทำได้ง่าย เช่น แคมเปญ “ไขมันเริ่มสลายเมื่อออกกำลังกายอย่างน้อย 10 นาที” สร้างกระแสสังคมเพื่อปรับพฤติกรรมเสี่ยง เรื่องงดเหล้าเข้าพรรษา” น.ส.สุพัฒนุช กล่าว

มุ่งแก้ปัญหาสุขภาพจิตในวัยทำงาน

ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช รองคณบดี คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปี 2566 คนไทยมีอัตราการฆ่าตัวตาย 7.9 คนต่อประชากรแสนคน และยังมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี แต่บุคลากรด้านสุขภาพจิตกลับเป็นสาขาที่มีจำนวนจำกัด มีจิตแพทย์ 1,000 คน นักจิตวิทยา 1,000 คน ซึ่งการจะเพิ่มบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอต้องใช้เวลาถึง 5-10 ปี กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่า 10 ปีข้างหน้า สุขภาพจิตจะกลายเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ทำให้เกิดการสูญเสียเป็นอันดับ 1 ของโรคไม่ติดต่อทั้งหมด ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง คือ กลุ่มวัยทำงาน พบมีความเครียดในการทำงาน 42.7% ในจำนวนนี้มีภาวการณ์ฝืนทำงานแม้มีปัญหาสุขภาพจิต 27.5% การรักษาในโรงพยาบาลจึงอาจไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต

 

   “แนวทางการสร้างนโยบายการส่งเสริมสุขภาวะทางจิตที่ดีในการทำงาน 6 เรื่อง 1.เพิ่มสวัสดิการด้านการรักษาสุขภาพกายและใจ 2.อบรมให้ความรู้และจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจ 3.เพิ่มสวัสดิการการลา 4.ส่งเสริมการพูดคุยสื่อสารและรับฟังปัญหา 5.สร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมที่ดีในองค์กร 6.เพิ่มสวัสดิการทางการเงิน ช่วยให้พนักงานเข้าถึงการได้รับบริการหรือการส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพใจ” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว

เป้าหมายของ ThaiHealth Watch 2025

“ThaiHealth Watch 2025” จะเป็นเครื่องมือสำคัญกระตุ้นสังคมให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://resourcecenter.thaihealth.or.th/healthtrend หรือรับข้อมูลเฉพาะบุคคลได้ผ่านแอปพลิเคชัน “Persona Health”

“สุขภาพดีเริ่มได้ที่ตัวเรา” นพ.พงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ENVIRONMENT

‘ดร.ธรณ์’ เตือนโลกร้อนแรง แม้ไม่มี ‘เอลนีโญ’

“ดร.ธรณ์ชี้โลกร้อนแรงขึ้นแม้ไม่มีเอลนีโญ ผลกระทบชัดเจนทั้งบนบกและทะเล”

ดร.ธรณ์เผยข้อมูลโลกร้อนขึ้นแม้ไม่มีเอลนีโญ

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Thon Thamrongnawasawat” ระบุถึงสถานการณ์โลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงนี้ไม่มีปรากฏการณ์เอลนีโญเข้ามาเสริมให้ร้อนยิ่งขึ้น แต่ผลการวิจัยจาก NOAA ชี้ให้เห็นว่า เดือนกันยายนที่ผ่านมามีพื้นที่บนโลกถึง 11% ที่สร้างสถิติอุณหภูมิสูงสุด โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งพบว่าความหนาวมาช้ากว่าปกติ

สีแดงบนแผนที่สะท้อนสภาพอากาศรุนแรง

ดร.ธรณ์ยกตัวอย่างถึงสีบนแผนที่อุณหภูมิว่า พื้นที่สีแดงบ่งบอกถึงอุณหภูมิที่ร้อนจัดจนสร้างสถิติใหม่ ส่วนพื้นที่ในประเทศไทยนั้นก็ประสบกับสภาพอากาศร้อนมากในเดือนตุลาคมที่เคยเป็นช่วงฤดูหนาวของไทย ดร.ธรณ์แสดงความกังวลว่า โลกกำลังมุ่งสู่อนาคตที่ฤดูหนาวจะมาสั้นและเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ โดยอุณหภูมิหนาวจะไม่ต่อเนื่องเหมือนในอดีต เช่น ในกรุงเทพฯ ที่เคยมีอากาศเย็นต่อเนื่องหลายสัปดาห์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่วัน

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและแนวปะการัง

นอกจากบนบก ทะเลก็ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นผิดปกติ ทำให้เกิดภาวะปะการังฟอกขาว หญ้าทะเลและสัตว์น้ำอย่างพะยูนก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้ในสภาพอากาศที่ร้อนติดต่อกันยาวนาน

COP29 กับความหวังที่ลดน้อยลง

ดร.ธรณ์ยังกล่าวถึงการประชุม COP29 ที่กำลังจะมาถึงว่า แม้จะมีข้อตกลงมากมายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมยังต้องใช้เวลายาวนาน และข้อตกลงเหล่านี้ทำเพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ ขณะที่โลกยังคงประสบปัญหาความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Thon Thamrongnawasawat

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

โลกผลิตขยะพลาสติกปีละ 57 ล้านตัน ส่วนใหญ่เกิดจากประเทศกำลังพัฒนา

จากรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยวารสาร “เนเจอร์” ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติกที่สร้างขึ้นทั่วโลกมากถึง 57 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับ 52 ล้านเมตริกตัน ต่อปี โดยกว่า 2 ใน 3 ของมลพิษนี้มาจากประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

การศึกษานี้ได้รับการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยลีดส์ ในสหราชอาณาจักร โดยนักวิจัยได้ตรวจสอบการผลิตขยะพลาสติกในเมืองและเทศบาลมากกว่า 50,000 แห่งทั่วโลก พบว่าปริมาณขยะที่ถูกทิ้งลงในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่งนั้น สามารถเติมเต็มพื้นที่ของสวนสาธารณะ เซ็นทรัลพาร์ค ในนครนิวยอร์กด้วยขยะพลาสติกสูงเท่ากับตึกเอ็มไพร์สเตทได้เลยทีเดียว

 

มลพิษจากพลาสติกในประเทศกำลังพัฒนา

หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดมลพิษพลาสติกจำนวนมากคือ การที่รัฐบาลในประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถรวบรวมและกำจัดขยะได้อย่างเหมาะสมสำหรับประชากรราว 15% ของโลก การศึกษาพบว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาใต้สะฮาราเป็นพื้นที่ที่มีการผลิตขยะพลาสติกมากที่สุด โดยเฉพาะในประเทศอินเดียที่มีประชากรจำนวนมากถึง 255 ล้านคนที่เผชิญกับปัญหานี้

ประเทศอินเดียเป็นผู้นำโลกในการผลิตมลพิษจากพลาสติก โดยสร้างมลพิษมากถึง 10.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งมากกว่าประเทศไนจีเรียและอินโดนีเซียถึงสองเท่า เมืองใหญ่ที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก ได้แก่ ลากอส ประเทศไนจีเรีย ตามมาด้วย นิวเดลี ประเทศอินเดีย, ลูอันดา ประเทศแองโกลา, การาจี ประเทศปากีสถาน และ อัลกาฮิราห์ ประเทศอียิปต์

แม้ประเทศจีนมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก แต่จากข้อมูลของการศึกษาครั้งนี้ จีนอยู่อันดับสี่ในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก แต่จีนได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการลดปริมาณขยะพลาสติกในประเทศ

 

สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรในด้านมลพิษจากพลาสติก

ประเทศสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 90 ของโลกในการปล่อยมลพิษจากพลาสติก โดยมีปริมาณขยะมากกว่า 52,500 ตันต่อปี ขณะที่สหราชอาณาจักรอยู่อันดับที่ 135 โดยมีปริมาณขยะเกือบ 5,100 ตัน แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีระบบการจัดการขยะที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหามลพิษจากพลาสติกได้

 

ข้อตกลงสากลเพื่อลดมลพิษพลาสติก

ในปี 2565 ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้ตกลงที่จะทำ ข้อตกลงทางกฎหมาย เพื่อจัดการกับปัญหามลพิษจากพลาสติกอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงการกำจัดขยะพลาสติกในมหาสมุทร ข้อตกลงสุดท้ายคาดว่าจะถูกเจรจาในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศเกาหลีใต้ การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจนในการลดมลพิษและควบคุมการผลิตพลาสติกอย่างยั่งยืน

 

ผลกระทบของไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

จากข้อมูลการศึกษานี้ พบว่า 57% ของมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก มาจากพลาสติกที่ถูกเผาอย่างไม่ถูกต้อง หรือถูกทิ้งลงในสิ่งแวดล้อมเปิดโล่ง สิ่งนี้ส่งผลให้เกิด ไมโครพลาสติก และ นาโนพลาสติก ซึ่งแพร่กระจายเข้าสู่ทุกมุมของโลก ตั้งแต่ยอดเขาเอเวอเรสต์ ไปจนถึงร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาในมหาสมุทรแปซิฟิก

ไมโครพลาสติกได้เข้าสู่ระบบนิเวศน์ รวมถึงเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านน้ำดื่ม อาหาร และอากาศที่เราหายใจ นักวิทยาศาสตร์ได้พบไมโครพลาสติกในเนื้อเยื่อต่างๆ ของมนุษย์ เช่น หัวใจ สมอง และอวัยวะอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องการเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของไมโครพลาสติกต่อสุขภาพมนุษย์

 

โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตพลาสติก

องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่า การผลิตพลาสติกจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ประมาณ 440 ล้านตันต่อปี ไปจนถึงมากกว่า 1,200 ล้านตัน ในอนาคต ซึ่งหมายความว่า โลกของเรากำลังจมอยู่กับพลาสติก” ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AP

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News