Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เวียดนามแซงไทย! ชิงเจ้าการบิน เจ้าการเกษตร ไทยจะตามทันไหม?

การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ไทยเผชิญความท้าทายจากเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตร

เวียดนาม, 12 พฤษภาคม 2568 – การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมาสะท้อนถึงความท้าทายที่กำลังเผชิญ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกมิติของเศรษฐกิจ ด้วยมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวเพียง 1.9% ในปี 2566 ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการพัฒนาที่ชะลอตัว ขณะที่เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการบิน การท่องเที่ยว และการเกษตร

เศรษฐกิจไทยในมุมมองภูมิภาค

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจของอาเซียน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ไม่ต่อเนื่องและการขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวทำให้การพัฒนาในหลายภาคส่วนเริ่มชะลอตัว ข้อมูลจากธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า การเติบโตของจีดีพีไทยในปี 2566 ที่ 1.9% นั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่อยู่ราว 4.2% สะท้อนถึงความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ในทางตรงกันข้าม เวียดนามแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมหลัก เช่น การผลิต การท่องเที่ยว และการเกษตร การสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดนามที่มีความต่อเนื่องช่วยให้ภาคเอกชนสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งมีสายการบินเวียตเจ็ทเป็นตัวอย่างที่โดดเด่น

การบินและการท่องเที่ยว – เวียตเจ็ทขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนาม

นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยเฉพาะในภาคการบินและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจีดีพี สายการบินเวียตเจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัดชั้นนำของเวียดนาม ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายเครือข่ายการบินทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งสร้างรายได้เสริมจากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) และการให้บริการภาคพื้น

จากงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เวียตเจ็ทรายงานรายได้รวม 17.952 ล้านล้านดอง (ประมาณ 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และกำไรก่อนหักภาษี 836,000 ล้านดอง (ประมาณ 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้เสริมจากบริการต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนถึง 35% ของรายได้รวม สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจที่หลากหลาย

เวียตเจ็ทยังขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2568 ได้เปิดเส้นทางใหม่เชื่อมโยงกรุงฮานอยและโฮจิมินห์ ซิตี กับเมืองสำคัญในจีน (ปักกิ่งและกวางโจว) และอินเดีย (เบงกาลูรูและไฮเดอราบาด) รวมถึงวางแผนเปิดเส้นทางใหม่ไปยังนิวซีแลนด์ (โฮจิมินห์ ซิตี – โอ๊คแลนด์) ภายในปลายปี 2568 ปัจจุบัน เวียตเจ็ทให้บริการ 137 เส้นทางทั่วโลก โดยมีเส้นทางระหว่างประเทศ 97 เส้นทาง และภายในประเทศ 40 เส้นทาง

นอกจากนี้ เวียตเจ็ทยังลงทุนในฝูงบินที่ทันสมัย โดยเพิ่มเครื่องบินใหม่ 2 ลำในไตรมาสแรกของปี 2568 ทำให้มีเครื่องบินทั้งสิ้น 106 ลำ ซึ่งเป็นหนึ่งในฝูงบินที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ด้วยอัตราขนส่งผู้โดยสารเฉลี่ย 87% และความน่าเชื่อถือทางเทคนิคสูงถึง 99.72% เวียตเจ็ทจึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

การขนส่งสินค้าทางอากาศ จุดแข็งของเวียตเจ็ท

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เวียตเจ็ทแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัว โดยมุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศเพื่อชดเชยรายได้ที่สูญเสียจากการเดินทางของผู้โดยสาร การขนส่งแบบ Cargo in Cabin และการโหลดสินค้าใต้ท้องเครื่องบินช่วยให้เวียตเจ็ทรักษาผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงวิกฤต บริษัทลูกอย่างสายการบินไทยเวียตเจ็ทยังได้รับการถ่ายทอดความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเห็นได้จากโครงการต่างๆ เช่น “ลิ้นจี่บินได้” “ลำไยบินได้” และ “สับปะรดบินได้” ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รวมถึงโครงการ “ทะเลบินได้” และ “กุ้งบินได้” จากภูเก็ต

ความสามารถในการขนส่งสินค้าเกษตรทางอากาศของเวียตเจ็ทและไทยเวียตเจ็ทแสดงถึงความเข้าใจในความต้องการของตลาดและการตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เวียดนามสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเกษตร เวียดนามแซงหน้าด้วยตัวเลขการส่งออก

นอกเหนือจากภาคการบิน อุตสาหกรรมเกษตรของเวียดนามยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ทำให้สามารถแซงหน้าประเทศไทยในแง่ของมูลค่าการส่งออก ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม (MARD) ระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าการส่งออกผักและผลไม้ของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากรวมการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้ และประมง มูลค่ารวมจะสูงถึง 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.7% จากปี 2566

ในทางกลับกัน ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2567 อยู่ที่ 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ก็ถูกเวียดนามแซงหน้าไปเล็กน้อย สินค้าเกษตรหลักของเวียดนาม เช่น ผลไม้ ข้าว กาแฟ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการขยายตลาดส่งออก

ไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร

การแข่งขันระหว่างไทยและเวียดนามในอุตสาหกรรมการบินและการเกษตรสะท้อนถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาที่ชะลอตัวและนโยบายที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งตามการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งมีนโยบายที่ต่อเนื่องและชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบุคลากรที่มีศักยภาพ การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การเรียนรู้จากความสำเร็จของเวียดนาม เช่น การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของเวียตเจ็ท และการสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตรอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันและแข่งขันในเวทีโลกได้

โอกาสและความท้าทาย

การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนามแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของนโยบายที่ต่อเนื่องและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ในขณะที่ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการท่องเที่ยวและการเกษตร การขาดความชัดเจนในนโยบายและการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งทำให้เสียโอกาสในการแข่งขัน การลงทุนในเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบดิจิทัลในการจัดการซัพพลายเชนเกษตร และการพัฒนาฝูงบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย

นอกจากนี้ การสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระหว่างไทยและเวียดนาม จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ การแข่งขันที่สร้างสรรค์จะเป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การเติบโตของจีดีพี:
    • ประเทศไทย: 1.9% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
    • เวียดนาม: 5.0% ในปี 2566 (ที่มา: ธนาคารโลก)
  2. มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร:
    • เวียดนาม: 62,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม)
    • ประเทศไทย: 52,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย)
  3. ผลการดำเนินงานของเวียตเจ็ท:
    • รายได้รวมไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 17.952 ล้านล้านดอง (690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
    • กำไรก่อนหักภาษี: 836,000 ล้านดอง (32.1 ล้าน初心
  4. จำนวนผู้โดยสารของเวียตเจ็ท:
    • ไตรมาสที่ 1 ปี 2568: 6.87 ล้านคน (ที่มา: รายงานผลประกอบการของเวียตเจ็ท)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารโลก: รายงานการเติบโตของจีดีพีในอาเซียน ปี 2566
  • กระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของเวียดนาม: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • กระทรวงพาณิชย์ของประเทศไทย: รายงานการส่งออกสินค้าเกษตร ปี 2567
  • รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของสายการบินเวียตเจ็ท
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“เวียดนาม” แรงท่องเที่ยวพุ่ง ติดอันดับโลก แซงไทย

เวียดนาม ขึ้นแท่นจุดหมายท่องเที่ยวโลก ค้นหาพุ่งทะยานติดอันดับ 7

การท่องเที่ยวเวียดนามกระแสแรงต่อเนยื่อง

ในช่วงต้นปี 2568 กระแสการท่องเที่ยวเวียดนามกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยสถิติการค้นหาข้อมูลการเดินทางไปเวียดนามเพิ่มสูงขึ้นราว 10-25% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ประเทศเวียดนามทะยานขึ้นสู่อันดับที่ 7 ของประเทศที่ได้รับความสนใจด้านการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก เป็นเพียงชาติเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติด 10 อันดับแรก และทิ้งห่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 18), สิงคโปร์ (อันดับที่ 25), ไทย (อันดับที่ 36), อินโดนีเซีย (อันดับที่ 37) และมาเลเซีย (อันดับที่ 39)

10 เมืองยอดนิยม จุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

สำหรับเมืองท่องเที่ยวที่นักเดินทางสนใจมากที่สุดในเวียดนาม 10 อันดับแรกประกอบด้วย โฮจิมินห์, ฮานอย, ดานัง, ฟูก๊วก, นาตรัง, ฮอยอัน, หวุงเต่า, ดาลัต, ฟานเทียต และเว้ แต่ละเมืองล้วนมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม เมืองที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในปีนี้ ได้แก่ เมืองหวุงเต่า และนิญบิ่ญ ที่มีการค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มสนใจจุดหมายใหม่ๆ ในเวียดนามนอกเหนือจากเมืองหลักมากขึ้น

ตลาดนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ครองแชมป์สนใจเวียดนามมากสุด

ตลาดนักท่องเที่ยวที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเวียดนามสูงสุดในปีนี้ คือ สหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ไต้หวัน มาเลเซีย และฮ่องกง ซึ่งล้วนเป็นตลาดสำคัญและมีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวเวียดนามในอนาคต

รูปแบบท่องเที่ยวหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

ปัจจัยสำคอญที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม คือ ความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ ได้ตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่เน้นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและการท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม นอกจากนี้ เวียดนามยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การเดินทางด้วยรถไฟแบบหรูหรา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ตอบสนองกลุ่มเป้าหมายหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหนุนการเติบโต

สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยว่า รัฐบาลเวียดนามได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับและรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะระบบขนส่งที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ขณะเดียวกันสายการบินต่างๆ ได้เปิดเส้นทางบินตรงเชื่อมโยงเมืองสำคัญทั่วโลกกับเวียดนามมากขึ้น ทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลบวกอย่างมากต่อภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ

แคมเปญการตลาดกระตุ้นนักท่องเที่ยวโลก

ในส่วนของการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เวียดนามได้ดำเนินแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้นในตลาดต่างประเทศ เป้าหมายหลักคือ การสร้างแบรนด์การท่องเที่ยวเวียดนามให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก ผลลัพธ์จากแคมเปญนี้ปรากฏชัดเจนผ่านจำนวนการค้นหาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุเป้าหมาย

จากการเปิดเผยของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 7.67 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยตั้งเป้าหมายยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 22-23 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2568

บทวิเคราะห์และแนวโน้ม

จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวโน้มที่แข็งแกร่งของการท่องเที่ยวเวียดนาม การที่เวียดนามขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก สะท้อนให้เห็นความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้เวียดนามสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ หากรัฐบาลเวียดนามยังคงเดินหน้าในแนวทางนี้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าภายในปี 2570 เวียดนามมีโอกาสจะติดอันดับ Top 5 ของโลกในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมได้อย่างแน่นอน

สถิติอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนค้นหาข้อมูลการเดินทางไปเวียดนาม เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-25% ในปี 2568 (ที่มา: Google Trends, 2025)
  • นักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนเวียดนามเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 รวม 7.67 ล้านคน โต 23.8% (ที่มา: Vietnam National Administration of Tourism, VNAT, 2025)
  • อันดับความนิยมเวียดนามอันดับ 7 ของโลกด้านการท่องเที่ยว (ที่มา: ForwardKeys, 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • Google Trends, 2025
  • Vietnam National Administration of Tourism, VNAT, 2025
  • ForwardKeys, 2025
  • vnexpress
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News