Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

งบฯ เกือบ 3 พันล้าน! เปิดแผน 8 ปี “รื้อ-สร้างใหม่ทั้งทางน้ำและเมืองชายแดน” แก้ปัญหาน้ำท่วมแม่สายถาวร

งบฯ เกือบ 3 พันล้าน เปิดแผน 8 ปี “รื้อ–สร้างใหม่ทั้งทางน้ำและเมืองชายแดน” แก้น้ำท่วมแม่สายถาวร รับบทประตูเศรษฐกิจ GMS

แม่สาย, จังหวัดเชียงราย – วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ห้องประชุมโรงแรมปิยะพร พาวิลเลี่ยนฮอลล์ อำเภอแม่สาย เต็มไปด้วยตัวแทนหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนริมฝั่งแม่น้ำสายที่เคยถูกน้ำหลากซัดบ้านเรือนจนเสียหาย เมื่อกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เปิดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 1 เพื่อศึกษา “แผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสาย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ จังหวัดเชียงราย” อย่างเป็นทางการ

ภายใต้แผนนี้ รัฐเตรียมใช้งบประมาณรวม 2,950 ล้านบาท ในช่วงเวลา 8 ปี ตั้งแต่ปลายปี 2568 จนถึงสิ้นปี 2575 เพื่อบูรณะทั้ง “ทางน้ำ–โครงสร้างป้องกัน–ระบบระบายน้ำ–พื้นที่ตั้งถิ่นฐานของประชาชน” โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “ยุติวงจรน้ำหลาก–น้ำท่วมซ้ำซาก” ในเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สายที่ถูกนิยามว่าเป็นประตูสำคัญเชื่อมไทย–เมียนมา และกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS)

การประชุมครั้งนี้มี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายอำเภอแม่สาย ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ขณะที่กรมโยธาธิการและผังเมืองได้มอบหมายให้บริษัท วอเตอร์ ดีเว็ลลัฟเม็นต์ คอนซัลแท็นส์ กรุ๊ป จำกัด ทำหน้าที่ที่ปรึกษาและนำเสนอรายละเอียดเชิงวิศวกรรมและผังเมืองต่อที่ประชุม

น้ำท่วมซ้ำซาก–ความเสียหายกว่า 6 พันล้าน ฉากหลังของ “แผนใหญ่น้ำสาย”

อำเภอแม่สายในวันนี้ ไม่ใช่เพียงอำเภอชายแดนที่มีสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาและตลาดค้าชายแดนคึกคัก หากแต่เป็น “พื้นที่เสี่ยงภัย” ที่ชื่อของมันถูกเชื่อมโยงกับข่าวน้ำหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนไหลบ่ามาอย่างต่อเนื่องหลายปี

รายงานของบริษัทที่ปรึกษาชี้ให้เห็นว่า ต้นตอสำคัญของปัญหาอยู่ที่ “การขยายตัวของชุมชนและเขตเมือง” ซึ่งรุกล้ำเข้าไปใน “เขตทางน้ำหลากของแม่น้ำสาย” ไปจนเกือบเต็มตลอดแนวบางช่วงของลำน้ำ เมื่อประกอบเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกหนักในระยะเวลาสั้น ๆ น้ำจึงไม่สามารถไหลผ่านตามธรรมชาติได้อย่างสะดวก เกิดเป็นน้ำหลากและน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี

เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนกันยายน 2567 ถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างชัดเจน หลังจากมีฝนสะสมกว่า 200 มิลลิเมตรในพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำหลาก–ดินโคลนไหลจากพื้นที่ต้นน้ำลงสู่เขตเศรษฐกิจชายแดน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ทั้งบ้านเรือน ร้านค้า โกดังสินค้า และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของรัฐ

ด้วยสถานะของแม่สายในฐานะ “ด่านการค้าชายแดนและเมืองหน้าด่านของไทยใน GMS” รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจขยับจากมาตรการเฉพาะหน้า ไปสู่ “แผนหลักถาวร” ที่มีทั้งการศึกษาเชิงระบบ ออกแบบรายละเอียด และกำหนดกรอบการลงทุนระยะยาว เพื่อไม่ให้เหตุการณ์น้ำหลากกลายเป็น “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ต่อเศรษฐกิจชายแดนในอนาคต

ในปีงบประมาณ 2568–2569 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเบื้องต้นจำนวน 23,578,000 บาทให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ใช้สำหรับการศึกษาแผนหลักและออกแบบรายละเอียดในพื้นที่เป้าหมาย ก่อนจะนำไปสู่การของบดำเนินการเต็มรูปแบบรวม 2,950 ล้านบาทในช่วงปีถัดไป

พื้นที่ศึกษา 10.75 ตร.กม. ในเมือง 3 เทศบาล ปรับทางน้ำ–จัดระเบียบเมือง

แผนการศึกษาครอบคลุมพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลเวียงพางคำ เทศบาลตำบลแม่สาย และเทศบาลตำบลแม่สายมิตรภาพ ซึ่งมีเนื้อที่รวม 56.13 ตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่จะถูกศึกษาความเหมาะสมเชิงลึกและออกแบบรายละเอียดอยู่ที่ 10.75 ตารางกิโลเมตร โดยเน้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบและมีความสำคัญต่อการระบายน้ำของแม่น้ำสายและพื้นที่ชุมชนโดยรอบ

แนวคิดหลักของโครงการ คือ “จัดระบบทางน้ำหลากใหม่” ให้สามารถรองรับน้ำหลากที่ไหลผ่านฝายเหมืองแดงบริเวณวัดถ้ำผาจมได้ไม่น้อยกว่า 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเป็นปริมาณน้ำหลากสูงสุดที่เกิดขึ้นจริงในปี 2567 ตัวเลขนี้ถูกใช้เป็น “ค่ามาตรฐานออกแบบ” (design discharge) เพื่อให้โครงสร้างต่าง ๆ มีความสามารถเพียงพอต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เคยเกิดขึ้นแล้ว

การออกแบบโครงสร้างป้องกันและระบบระบายน้ำ จะประกอบด้วย

  • การจัดให้มี “ทางน้ำหลาก” เพื่อเปิดพื้นที่ให้กระแสน้ำเคลื่อนตัวได้สะดวกมากขึ้นในช่วงฝนตกหนัก
  • การสร้าง “คันป้องกันน้ำหลากริมฝั่งแม่น้ำสาย” (พนังกั้นน้ำ) เพื่อป้องกันน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน
  • การปรับปรุง “ระบบระบายน้ำหลัก” ทั้งท่อระบายน้ำ คูระบายน้ำ และจุดเชื่อมต่อระหว่างทางน้ำสาธารณะกับแม่น้ำสาย เพื่อให้รองรับปริมาณน้ำฝนได้ดีขึ้น

คันกั้นน้ำ 3 ช่วง–ถนน 4 สาย–การรื้อถอนอาคารริมฝั่ง ผังเมืองใหม่บนฐานความเสี่ยงเดิม

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบนเวทีประชุม คือ “แผนก่อสร้างคันกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก รวมความยาวประมาณ 3,920 เมตร ได้แก่

  • ช่วงที่ 1 ความยาว 998 เมตร
  • ช่วงที่ 2 ความยาว 1,361 เมตร
  • ช่วงที่ 3 ความยาว 1,561 เมตร

คันกั้นน้ำดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับแนวถนนสายสำคัญ 4 สาย ที่ต้องมีการ “รื้อย้ายอาคารสิ่งปลูกสร้าง” ตามความจำเป็นในเขตขนานถนนเพื่อเปิดทางให้โครงสร้างใหม่ ได้แก่

  • ถนนสายลมจอย ความยาว 485 เมตร
  • ถนนตัดแนวใหม่ ความยาว 631 เมตร
  • ถนนเกาะทราย ความยาว 769 เมตร
  • ถนนกรมชลประทาน ความยาว 2,035 เมตร

แนวคันกั้นน้ำและถนนที่ปรับปรุงใหม่เหล่านี้ เปรียบเสมือน “โครงกระดูกหลัก” ของการจัดการน้ำหลากในอนาคต เพราะนอกจากจะทำหน้าที่ป้องกันน้ำเข้าท่วมชุมชนแล้ว ยังจะเป็นแนวเชื่อมต่อระหว่างระบบถนน–ระบบน้ำ–ระบบระบายน้ำในเมือง ให้ทำงานสอดประสานกันอย่างมีทิศทาง

แต่ในเชิงสังคมและชุมชน การรื้อย้ายอาคารริมฝั่งแม่น้ำและในแนวถนนที่กำหนด ย่อมมีผลต่อครัวเรือน ร้านค้า และกิจการจำนวนไม่น้อย รัฐจึงต้องวางแผนการจัดหาที่ดินใหม่และการชดเชยเยียวยาอย่างเป็นระบบควบคู่ไปด้วย

จัดหาที่ดิน 3 แปลงรองรับผู้ได้รับผลกระทบ ย้ายออกจากทางน้ำหลากสู่พื้นที่ปลอดภัยกว่า

เพื่อรองรับการโยกย้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการรื้อถอนอาคารในเขตทางน้ำหลากและแนวคันกั้นน้ำ โครงการได้กำหนด “พื้นที่รองรับการตั้งถิ่นฐานใหม่” ไว้เบื้องต้น 3 แปลง ได้แก่

  1. แปลงที่ 1 – ที่ดินสถานีใบยาสูบเวียงพาน เนื้อที่ 78 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวา ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 2.5 กิโลเมตร
  2. แปลงที่ 2 – ที่ดินของกระทรวงการคลัง เนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 7.5 กิโลเมตร
  3. แปลงที่ 3 – ที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ 35 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 1.5 กิโลเมตร

ที่ดินเหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาความเหมาะสมในมิติผังเมือง การคมนาคม การเข้าถึงบริการพื้นฐาน และศักยภาพการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ประกอบอาชีพในอนาคต ก่อนจะกำหนดรูปแบบการจัดแบ่งที่ดิน การชดเชย หรือการจัดสรรใหม่ในรายละเอียดต่อไป

เมื่อพิจารณาในภาพรวม การจัดหาที่ดินรองรับไม่เพียงเป็นมาตรการรองรับผลกระทบจากโครงการเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการ “จัดระเบียบการตั้งถิ่นฐานใหม่” ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติ โดยผลักชุมชนที่รุกล้ำทางน้ำหลากออกจากพื้นที่เสี่ยง และส่งเสริมให้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับมากขึ้น

ไทม์ไลน์ 8 ปี–งบประมาณ 2,950 ล้านบาท จากแบบบนกระดาษสู่โครงสร้างจริงริมแม่น้ำ

โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่สายครั้งนี้มีกรอบการดำเนินงานยาวนานราว 8 ปี และใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 2,950 ล้านบาท แบ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

  • ปลายปี 2568 – กลางปี 2569 (ประมาณ 6 เดือน)
    สำรวจพื้นที่ เก็บข้อมูล ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้น และจัดทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
  • ปี 2569 – 2570 (ระยะเวลา 15–18 เดือน, งบประมาณราว 600 ล้านบาท)
    จัดหาที่ดินโดย “วิธีเจรจาตกลงซื้อขาย” กับเจ้าของที่ดินในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่สำหรับคันกั้นน้ำ ทางน้ำหลาก ถนน และพื้นที่รองรับการตั้งถิ่นฐานใหม่
  • ต้นปี 2570 – ปลายปี 2571 (ระยะเวลา 12–18 เดือน, งบประมาณ 140 ล้านบาท)
    เริ่มก่อสร้าง “คันดินฐานป้องกันน้ำท่วม” และ “คันคอนกรีตเสริมเหล็กระยะแรก” เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำหลักในช่วงต้นของโครงการ
  • ปลายปี 2570 – กลางปี 2573 (ระยะเวลา 24–35 เดือน, งบประมาณ 160 ล้านบาท)
    ก่อสร้างคันคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนที่เหลือ พร้อมทั้งถนนใหม่ และการปรับปรุงถนนเดิมที่เชื่อมโยงแนวคันกั้นน้ำและชุมชนโดยรอบ
  • ต้นปี 2571 – สิ้นปี 2572 (ระยะเวลา 12–24 เดือน, งบประมาณ 400 ล้านบาท)
    จัดหาที่ดินด้วย “วิธีปรองดอง/ออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน” พร้อมมาตรการเยียวยาและจัดการสิทธิในที่ดินอย่างเป็นธรรม
  • กลางปี 2571 – สิ้นสุดโครงการปี 2575 (ระยะเวลา 42–48 เดือน, งบประมาณ 450 ล้านบาท)
    ปรับปรุง “ระบบระบายน้ำหลัก” ของเมือง ทั้งคูระบายน้ำ ท่อระบายน้ำ และจุดระบายน้ำสู่แม่น้ำสาย เพื่อรองรับฝนตกหนักในอนาคต
  • กลางปี 2572 – กลางปี 2575 (ระยะเวลา 30–36 เดือน, งบประมาณ 400 ล้านบาท)
    ก่อสร้าง “เขื่อนป้องกันตลิ่ง” และ “จัดภูมิทัศน์ทางน้ำหลาก” เพื่อป้องกันการพังทลายของตลิ่งและยกระดับคุณภาพสภาพแวดล้อมริมแม่น้ำ ทั้งด้านความปลอดภัยและทัศนียภาพ

เมื่อนำงบประมาณแต่ละส่วนมารวมกัน จะได้ตัวเลขรวม 2,950 ล้านบาท ซึ่งต้องอาศัยการจัดสรรและการผลักดันต่อเนื่องตลอดหลายรัฐบาล จึงจะทำให้แผนนี้เดินหน้าไปจนถึงเส้นชัยได้ตามเป้าหมายปี 2575

จากกำแพงดินชั่วคราวสู่ระบบป้องกันถาวร บทเรียนจากน้ำท่วมปลายปี 2567

หลังน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 ก่อนมีแผนหลักฉบับนี้ เจ้าหน้าที่ทหารกรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้ลงพื้นที่ร่วมกับฝ่ายปกครอง ใช้เครื่องจักร–อุปกรณ์–กำลังพลเข้ารื้ออาคารริมฝั่งแม่น้ำบางส่วน และก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม “ชั่วคราวและกึ่งถาวร” สูงประมาณ 3 เมตร ตลอดแนวแม่น้ำสายระยะทางราว 3 กิโลเมตร พร้อมทั้งร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 ขุดลอกแม่น้ำรวก ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร

มาตรการดังกล่าวช่วย “ซื้อเวลา” ให้แม่สายพ้นจากภาวะวิกฤติในระยะสั้น ลดความเสี่ยงในการเผชิญกับน้ำหลากทันทีในฤดูกาลถัดมา แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ

  • ยังมีอาคารริมฝั่งจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถรื้อถอนได้ในทันที
  • แนวป้องกันที่สร้างขึ้นถูกออกแบบในลักษณะเฉพาะหน้า
  • ระบบระบายน้ำภายในเมืองยังไม่ได้รับการปรับปรุงรองรับอย่างครบวงจร

จึงเป็นที่มาของการ “รอคอยการเข้ามาดำเนินการ” ของกรมโยธาธิการและผังเมืองในรูปแบบแผนระยะยาว เพื่อเปลี่ยนจากการแก้ไขปัญหาเชิงจุด ไปสู่โครงสร้างถาวรที่วางบนการศึกษาทั้งทางวิศวกรรม ผังเมือง และมิติทางสังคมร่วมกัน

โจทย์ที่มากกว่า “ตลิ่งและตัวเลขงบประมาณ” เมืองชายแดนที่ต้องอยู่กับน้ำอย่างเข้าใจ

แม้แผนหลักแก้น้ำท่วมแม่สายจะมีตัวเลขและไทม์ไลน์ที่ชัดเจน แต่การผลักดันให้แผนนี้ประสบความสำเร็จจริง ยังต้องเผชิญโจทย์สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่

  1. การมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระยะ
    การรื้อย้ายอาคาร การเปลี่ยนแปลงแนวถนน และการจัดหาที่ดินใหม่ ย่อมกระทบต่อชีวิตและการทำมาหากินของครัวเรือนจำนวนไม่น้อย การสร้างความเข้าใจ ความโปร่งใสในการชดเชย และการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมออกแบบอนาคตชุมชนของตนเอง จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญ ว่าแผนนี้จะได้รับการยอมรับหรือไม่
  2. ความต่อเนื่องของนโยบายในระยะยาว
    ด้วยกรอบเวลากว่า 8 ปี และงบประมาณเกือบ 3,000 ล้านบาท โครงการลักษณะนี้จำเป็นต้องอาศัย “ความต่อเนื่องเชิงนโยบาย” ข้ามรัฐบาลและข้ามปีงบประมาณ การกำกับติดตามอย่างใกล้ชิดจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จะช่วยให้แผนไม่หยุดชะงักกลางคัน และสามารถปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับสภาพจริงที่เปลี่ยนไปได้
  3. การประสานกับการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน
    แม่สายในฐานะเมืองเศรษฐกิจชายแดน ต้องรองรับทั้งการค้าข้ามแดน การท่องเที่ยว และการลงทุนในอนาคต การจัดระเบียบทางน้ำ ทางถนน และพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ จึงควรผูกโยงกับ “ภาพรวมการพัฒนาเมืองชายแดน” ไม่ให้มาตรการด้านน้ำกลายเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับช่วยสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนว่าพื้นที่นี้มีความปลอดภัยและมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างจริงจัง

แผนน้ำ 3 พันล้านกับอนาคตแม่สาย–จากเมืองเสี่ยงน้ำท่วมสู่เมืองหน้าด่านที่ยืนได้อย่างยั่งยืน

เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดทั้งหมด แผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในอำเภอแม่สาย ไม่ใช่เพียง “โครงการชลศาสตร์” แต่เป็น “แผนผังเมือง–ผังชีวิต–ผังเศรษฐกิจ” ฉบับใหญ่ของเมืองชายแดนแห่งนี้

ตัวเลขงบประมาณ 2,950 ล้านบาท และกรอบเวลา 8 ปี อาจดูใหญ่และยาวนาน แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำหลากครั้งล่าสุดเพียงครั้งเดียวที่สูงกว่า 6,000 ล้านบาท และความเสี่ยงที่จะเกิดซ้ำในอนาคต หากไม่มีการจัดระเบียบทางน้ำและที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง การลงทุนครั้งนี้จึงอาจเป็น “ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อความมั่นคงระยะยาว” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในมุมของคนแม่สายและจังหวัดเชียงราย โครงการนี้คือบททดสอบสำคัญว่า เมืองชายแดนที่ยืนอยู่บนจุดตัดของเศรษฐกิจ–การเมือง–การค้าระหว่างประเทศ จะสามารถ “อยู่กับน้ำ” ได้อย่างเข้าใจและเป็นระบบเพียงใด

หากแผนดำเนินไปได้ตามเป้าหมาย ทั้งทางน้ำหลาก คันกั้นน้ำ ระบบระบายน้ำ และการจัดสรรพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ถูกออกแบบอย่างรอบด้าน แม่สายอาจไม่เพียงหลุดพ้นจากภาพเมืองที่ถูกน้ำหลากซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ยังเสริมสถานะให้เป็น “เมืองหน้าด่านที่มั่นคง ปลอดภัย และพร้อมรองรับโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต” ของทั้งจังหวัดเชียงรายและประเทศไทยโดยรวม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย และที่ทำการอำเภอแม่สาย
  • บริษัท วอเตอร์ ดีเว็ลลัฟเม็นต์ คอนซัลแท็นส์ กรุ๊ป จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พลิกเมืองโลจิสติกส์ แรงงานเชียงราย ต้อง Upskill รับ รถไฟเด่นชัย-เชียงของ ปี 2571

ภารกิจเร่งด่วน ‘คนไทยต้องมีงานทำ’ เมื่อเชียงรายเผชิญวิกฤตแรงงานคู่ขนาน ท่ามกลางเมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน พลิกเมืองสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ลุ่มน้ำโขง

เชียงราย, 26 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เสียงย้ำของนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ที่ประกาศโดยกระทรวงแรงงาน ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนสวยหรู หากแต่สะท้อน “ภารกิจระดับชาติ” ในการปกป้องความมั่นคงของประชาชน จากปัญหาการว่างงาน ความไม่มั่นคงทางรายได้ และความเสี่ยงจากรูปแบบอาชญากรรมใหม่ ๆ ที่กำลังกัดกินสังคมไทย

ในขณะที่รัฐบาลกลางเร่งเดินหน้าจัดหาตำแหน่งงาน 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน เชียงราย–ในฐานะประตูเศรษฐกิจชายแดนตอนบน–กำลังยืนอยู่บนจุดตัดสำคัญของประวัติศาสตร์แรงงานจังหวัดหนึ่งด้านคือ “การเติบโตเชิงเร่ง” ของการจ้างงานและเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานมูลค่ากว่า 8.5 หมื่นล้านบาท แต่อีกด้านคือ “โครงสร้างแรงงานที่เปราะบาง” แรงงานนอกระบบสูง ปรากฏการณ์แรงงานชายแดนช็อกแบบฉับพลัน และเงื่อนไข Skills Mismatch ที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคตอันใกล้

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “เชียงรายจะมีงานเพิ่มขึ้นเท่าไร” แต่คือ “คนเชียงราย พร้อมแค่ไหนที่จะได้งานที่มั่นคงและมีคุณภาพ” เมื่อรถไฟ รถบรรทุก และเครื่องบิน ขนสินค้าและผู้โดยสารหลั่งไหลเข้ามาเต็มศักยภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

วิกฤตแรงงานระดับชาติ และคำประกาศ ‘คนไทยต้องมีงานทำ’

นโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมเป้าหมายจัดหาตำแหน่งงานมากกว่า 150,000 อัตรา ภายใน 4 เดือน ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและโครงข่ายศูนย์จัดหางานทั่วประเทศ

รัฐมนตรีแรงงานย้ำว่า ปัญหาการตกงานไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติ แต่คือรากเหง้าของวิกฤตทางสังคมหลายมิติ – ตั้งแต่ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหายาเสพติด ไปจนถึงการถูกล่อลวงโดยแก๊งสแกมเมอร์ที่โยกย้ายฐานปฏิบัติการตามช่องโหว่ของเศรษฐกิจชายแดน

“งานต้องการคน และคนก็ต้องการงาน หน้าที่ของรัฐคือทำให้สมการนี้ลงตัว โดยใช้ข้อมูลจริงจากตลาดแรงงาน เชื่อม นายจ้าง–ทักษะ–ความต้องการของประชาชน ให้เดินไปด้วยกัน”
– นางสาวตรีนุช เทียนทอง

ปฏิบัติการนี้ขับเคลื่อนผ่าน ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย” 87 แห่ง ทั้งส่วนกลางและสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีตำแหน่งงานว่างรองรับทันที 61,399 อัตรา ครอบคลุมภาคการผลิต การค้า โลจิสติกส์ ดิจิทัล ท่องเที่ยว และบริการ พร้อมตั้ง KPI ผลักดันการบรรจุงานเฉลี่ย วันละ 1,000 อัตรา

ในเชิงผลลัพธ์เชิงปริมาณ ตั้งแต่ตุลาคม 2568 ถึงปัจจุบัน กรมการจัดหางานบรรจุแรงงานในประเทศไปแล้ว 42,000 คน สร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 7,560 ล้านบาท และส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศกว่า 17,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศปีละราว 12,240 ล้านบาท สะท้อนบทบาทเชิงรุกของรัฐในการดึงประชาชนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงในระยะยาว

อย่างไรก็ดี เบื้องหลังตัวเลขที่ขยับดีขึ้น ยังมี “โจทย์เชิงคุณภาพ” ที่ต้องแก้ – โดยเฉพาะในจังหวัดเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างเชียงราย

เชียงราย เมืองโตเร็วแต่ฐานแรงงานเปราะบาง

ข้อมูลการวิเคราะห์ภาวะการจ้างงานของ สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ตลาดแรงงานเชียงรายกำลัง “ฟื้นตัวและขยายตัวในอัตราเร่ง”

  • ปี 2566 คาดมีผู้มีงานทำรวม 609,306 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7,601 คน (เติบโต 1.3%)
  • ปี 2567 คาดผู้มีงานทำเพิ่มเป็น 622,534 คน เพิ่มขึ้น 13,228 คน – เกือบ สองเท่า ของการเพิ่มขึ้นในปี 2566

การเร่งตัวของการจ้างงานครั้งนี้ สอดคล้องกับการคาดการณ์การเติบโตของผลผลิตภาคบริการที่ 9.1% และภาคอุตสาหกรรมที่ 9.5% ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำจังหวัดอยู่ที่ 340 บาท/วัน ช่วยให้เชียงรายยังรักษาความสามารถแข่งขันด้านต้นทุนแรงงาน เมื่อเทียบกับจังหวัดที่มีค่าแรงสูงกว่ามากในประเทศ

แต่เมื่อเจาะลึกลงไปใน “โครงสร้าง” จะพบอีกด้านของเหรียญที่น่ากังวลไม่แพ้กัน

  • การโตที่ “ผูกกับร้านเล็กรายย่อย”

โครงสร้างการจ้างงานของเชียงรายยังผูกติดอยู่กับ ภาคการค้าปลีกและบริการ อย่างเหนียวแน่น

  • ภาคการค้าปลีกมีคนทำงานรวม 55,206 คน ลูกจ้าง 21,707 คน
  • ภาคบริการมีคนทำงาน 54,690 คน ลูกจ้าง 24,347 คน

แต่ “หัวใจ” ของการจ้างงานกลับอยู่ที่ สถานประกอบการขนาดเล็กมาก (MICRO) ซึ่งมีคนทำงานและลูกจ้างรวมกันถึง 99,189 คน และสร้างมูลค่าตอบแทนแรงงานสูงสุดถึง 3,347.8 ล้านบาท

เมื่อลองรวมกับธุรกิจขนาดเล็ก (S) จะพบว่าแรงงานส่วนใหญ่ในจังหวัดทำงานอยู่ในธุรกิจขนาดเล็กและนอกระบบ ซึ่งมักขาดหลักประกันทางสังคม รายได้ผันผวน และรับแรงกระแทกจากวิกฤตได้รุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่

 “Growth with Fragility” – โตพร้อมความเปราะบาง

ภาวะ “โตแต่เปราะบาง” (Growth with Fragility) ของตลาดแรงงานเชียงรายยิ่งชัดเจน เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อเท็จจริงว่า จังหวัดมีสัดส่วนแรงงานนอกระบบสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ แรงงานกลุ่มนี้เมื่อเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือความเปลี่ยนแปลงจากนโยบายความมั่นคงชายแดน จึงตกหล่นจากระบบคุ้มครองอย่างรวดเร็ว

ภาพนี้ปูพื้นให้เห็นว่า แม้ “จำนวน” ผู้มีงานทำจะเพิ่มขึ้น แต่ “คุณภาพ” ของงานและเสถียรภาพชีวิตแรงงานยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง

แรงสั่นสะเทือนจากชายแดน และมลพิษข้ามพรมแดน เมื่อความมั่นคงกระแทกตลาดแรงงาน

นอกจากโครงสร้างที่เปราะบางจากภายใน เชียงรายยังรับแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกอย่างรุนแรง ทั้งจากมาตรการความมั่นคงชายแดน และวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

  • ‘Mae Sai Shock’: การช็อกด้านลบของแรงงานชายแดน

เดือนกุมภาพันธ์ 2568 รัฐไทยดำเนินมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและระงับการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังฝั่งท่าขี้เหล็ก เมียนมา เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และบ่อนพนันข้ามชาติ

ผลลัพธ์ในฝั่งแรงงานคือ บ่อนคาสิโนและธุรกิจสีเทาหลายแห่งต้องหยุดดำเนินการทันที แรงงานจำนวนมากที่เคยเดินทางจากแม่สายไปทำงานในท่าขี้เหล็กต้อง “หยุดงานแบบฉับพลัน” มาตรการที่ได้ผลในเชิงความมั่นคง กลับสร้าง “Negative Supply Shock” ต่อแรงงานชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบและอยู่นอกสายตาระบบประกันสังคม

แรงงานกลุ่มนี้จำเป็นต้องถูก “ดึงกลับเข้าระบบเศรษฐกิจถูกกฎหมาย” ภายในจังหวัด – ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ หรืออุตสาหกรรม – หากไม่มีมาตรการเปลี่ยนถ่ายทักษะและรองรับอย่างเป็นระบบ การว่างงานเชิงโครงสร้างอาจลุกลามเป็นปัญหาสังคมในระยะยาว

  • มลพิษแม่น้ำกก–สารหนู–โลหะหนัก: ซ้ำเติมวิถีชีวิตเกษตร

อีกฟากหนึ่งของจังหวัด แรงงานภาคเกษตรและชุมชนริมลุ่มน้ำกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมจาก การปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา ซึ่งเกี่ยวโยงกับการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่หายากต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

แม้ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เชียงราย จะยืนยันว่า น้ำประปาหลังการบำบัดมีค่าการตรวจสารหนูต่ำกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร ต่ำกว่ามาตรฐานกรมอนามัยที่กำหนดไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนกว่า 120,000 คน ในเขตเทศบาลนครเชียงรายกลับถดถอยลงอย่างหนัก

ประชาชนจำนวนมากเลิกดื่มน้ำประปา หันไปพึ่งพาน้ำดื่มบรรจุขวด เพิ่มภาระค่าครองชีพ ส่วนชุมชนเกษตรกรกว่า 750 ครัวเรือน ในลุ่มน้ำกกกังวลทั้งราคาผลผลิตที่ตกต่ำ และความเสี่ยงจากการสะสมของสารพิษในดินและพืชผล

เสียงสะท้อนของเกษตรกรและผู้นำชุมชนจึงผลักดันให้ปัญหาน้ำกลายเป็น “โจทย์ความมั่นคงด้านแรงงาน” เพราะเมื่อแหล่งน้ำปนเปื้อน วิถีชีวิตที่พึ่งพาเกษตรกรรม การประมงพื้นบ้าน และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ย่อมถูกกระทบพร้อมกัน

เมกะโปรเจกต์ 8.5 หมื่นล้าน โอกาสทองหรือกับดักใหม่ของตลาดแรงงานเชียงราย

ท่ามกลางความเปราะบางดังกล่าว เชียงรายกำลังก้าวเข้าสู่ยุคการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ทั้งในกรอบ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) และ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ)

จัดบทบาทเมืองชายแดน: Trading City – Port City – Logistic City

จังหวัดกำหนดบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของ 3 อำเภอชายแดนไว้อย่างชัดเจน

  • แม่สาย – Trading City: ศูนย์กลางการค้า การเงิน และบริการชายแดนที่ถูกกฎหมาย
  • เชียงแสน – Port City: เมืองท่าแม่น้ำโขง เชื่อมการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และหัตถกรรม
  • เชียงของ – Logistic City: ศูนย์โลจิสติกส์ บก–น้ำ–ราง และอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรเชิงนิเวศ

การจัดตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์เช่นนี้ จะสร้างความต้องการแรงงานโลจิสติกส์ ท่องเที่ยว บริการ และอุตสาหกรรมแปรรูปในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ เส้นเลือดใหญ่สู่จีนตอนใต้

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ มูลค่า 85,345 ล้านบาท ซึ่งถูกวางให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ เชื่อมโครงข่ายรถไฟของไทยกับลาวและจีนตอนใต้ รองรับทั้งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า โครงการมีความคืบหน้ารวม 46.112% เร็วกว่าแผน และมีกำหนดเปิดเดินรถใน เดือนมกราคม 2571 โดยสถานีเชียงของจะถูกพัฒนาเป็น ย่านกองเก็บและบรรทุกตู้สินค้า บนพื้นที่ราว 150 ไร่ รองรับการค้าผ่านแดนมูลค่าสูงในอนาคต

เมื่อทางคู่เปิดใช้จริง ความต้องการแรงงานสายโลจิสติกส์–ขนส่ง–ซ่อมบำรุง จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง

สนามบินแม่ฟ้าหลวง – จากสนามบินภูมิภาคสู่ Aviation & MRO Hub

การขยายขีดความสามารถของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปสู่การรองรับผู้โดยสาร 6–8 ล้านคนต่อปี ภายในปี 2575 ควบคู่กับแนวคิดการพัฒนา ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) และกิจกรรมเชิงพาณิชย์รอบสนามบิน จะสร้าง “ดีมานด์แรงงานทักษะสูง” ในตำแหน่งช่างเทคนิคการบิน ช่างซ่อมบำรุงโลจิสติกส์ และบริการผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง

หากรวมเมกะโปรเจกต์ด้านราง–ถนน–อากาศทั้งหมดเข้าด้วยกัน เม็ดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเชียงรายถูกประเมินว่าแตะระดับมากกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า พร้อมจะผลักดันเมืองจาก “ศูนย์กลางการค้าชายแดนแบบดั้งเดิม” ไปสู่ Logistic City & Aviation Hub ของลุ่มน้ำโขงตอนบน

แต่คำถามที่สำคัญกว่า คือ “แรงงานท้องถิ่น พร้อมแค่ไหนที่จะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งเหล่านี้”

วิกฤต Skills Mismatch เมื่อโครงสร้างอาชีพไม่ตรงกับอนาคต

แม้ตัวเลขการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น และโครงการลงทุนจะเร่งตัว แต่ข้อมูลจากการรับสมัครงานในพื้นที่สะท้อนชัดว่า เชียงรายกำลังเผชิญ ความไม่สมดุลของทักษะ (Skills Mismatch)

อาชีพมูลค่าสูงที่ยังขาดคน

ในภาคสาธารณสุข มีการเปิดรับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ทั้งพนักงานกระทรวงสาธารณสุขอย่างน้อย 17 อัตรา ตำแหน่งเภสัชกร ผู้ช่วยทันตแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง สะท้อนความต้องการแรงงานทักษะสูงด้านสุขภาพที่ยังไม่เพียงพอ

ในภาคเอกชน มีการประกาศรับ ที่ปรึกษาการขาย ในธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และตำแหน่งในธุรกิจบริการเฉพาะทาง เช่น บาริสต้าในร้านกาแฟคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการขายและการบริการที่แตกต่างจากแรงงานบริการพื้นฐานทั่วไป

ตำแหน่งเหล่านี้เป็น “งานมูลค่าสูงและมั่นคงกว่า” แต่กลับพบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการ ขณะที่แรงงานจำนวนมากยังถูกดูดซับอยู่ในร้านค้าเล็ก ๆ ธุรกิจครัวเรือน และภาคบริการที่ไม่เป็นทางการ

เมื่อการเติบโตไม่แปลว่าทุกคนจะได้งานดีขึ้น

ในด้านหนึ่ง เชียงรายกำลังเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเกษตร–บริการพื้นฐาน ไปสู่เศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยีและทักษะมากขึ้น ผ่านอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การท่องเที่ยวคุณภาพสูง และโครงสร้างพื้นฐานระบบราง–การบิน

แต่อีกด้านหนึ่ง ฐานแรงงานเดิมจำนวนมากยังไม่มีโอกาสเข้าถึงการฝึกอบรม Upskill–Reskill อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ แรงงานชายแดนที่ได้รับผลกระทบจาก “Mae Sai Shock” และเกษตรกรในลุ่มน้ำกกที่ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม

หากไม่มี “สะพานเชื่อมทักษะ” ที่แข็งแรง เมกะโปรเจกต์และนโยบาย “คนไทยต้องมีงานทำ” อาจกลายเป็น “โอกาสที่คนในพื้นที่เข้าไม่ถึง” ขณะที่ตำแหน่งงานคุณภาพสูงอาจตกไปอยู่ในมือแรงงานจากจังหวัดอื่นหรือแรงงานต่างชาติที่มีทักษะพร้อมกว่า

ทางออกเชิงโครงสร้าง ลงทุนในคนควบคู่ลงทุนในทางรถไฟ

เพื่อลดความเปราะบางและเปลี่ยนวิกฤตแรงงานคู่ขนานให้เป็น “หน้าต่างโอกาส” เชียงรายจำเป็นต้องขับเคลื่อนมาตรการเชิงโครงสร้างควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างจริงจัง

  • กลไกเปลี่ยนถ่ายทักษะ: จากชายแดนสู่โลจิสติกส์ และบริการคุณภาพสูง

ภาครัฐ หน่วยงานท้องถิ่น และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และสถาบันอาชีวศึกษา ควรเร่งจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นที่มุ่งเป้าชัดเจนไปที่อุตสาหกรรมอนาคตของเชียงราย ได้แก่

  • โลจิสติกส์และซัพพลายเชน (พื้นที่เชียงของ–เชียงแสน–แม่สาย)
  • งานบริการและการท่องเที่ยวคุณภาพสูง
  • ทักษะดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนและอีคอมเมิร์ซ
  • ทักษะด้านสุขภาพ สาธารณสุขชุมชน และการดูแลผู้สูงอายุ

แรงงานที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจสีเทาชายแดน และแรงงานนอกระบบควรถูกออกแบบให้เป็น “กลุ่มเป้าหมายหลัก” ของหลักสูตร Retraining เหล่านี้ เพื่อดึงเข้ามาสู่ภาคเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมายและมีเสถียรภาพมากขึ้น

ยกระดับคุณภาพการจ้างงานในธุรกิจขนาดเล็ก

ในเมื่อธุรกิจขนาด MICRO เป็นหัวใจของการจ้างงานและมูลค่าตอบแทนแรงงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานเชียงรายจึงต้องเริ่มที่ “ฐาน” ไม่ใช่ปลายยอด

มาตรการเชิงนโยบายอาจรวมถึง

  • เงินอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ธุรกิจขนาดเล็กที่ขึ้นทะเบียนลูกจ้างเข้าสู่ระบบประกันสังคม
  • โปรแกรมให้คำปรึกษาทางธุรกิจ–บัญชี–ดิจิทัล สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดการพึ่งพาแรงงานไร้ทักษะจำนวนมาก
  • การสนับสนุนให้ธุรกิจบริการ–ค้าปลีกในชุมชนเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่มาจากโครงการโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว

ปรับนโยบายค่าแรงสู่ “ค่าแรงตามทักษะ”

ในระยะยาว การพัฒนาตลาดแรงงานเชียงรายอาจต้องขยับจากการถกเถียงเรื่อง “ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ” เพียงอย่างเดียว ไปสู่การสร้างระบบ ค่าแรงตามทักษะ (Skill-based Wages) ที่เชื่อมโยงรายได้กับการพัฒนาฝีมือของแรงงาน

ค่าจ้างที่สะท้อนทักษะที่สูงขึ้นจะกระตุ้นให้แรงงานสนใจเข้าร่วมโครงการฝึกอบรม Upskill–Reskill ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับแรงงานที่มีศักยภาพเหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัด

ก่อนรถไฟจะมาถึง เมืองต้องลงทุนในคนให้ทัน

ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อรถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของเปิดเดินรถเต็มรูปแบบ สนามบินแม่ฟ้าหลวงขยายความจุ และ NEC/SEZ เดินหน้าเต็มกำลัง เชียงรายจะกลายเป็น “ประตูโลจิสติกส์” สำคัญของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมกะโปรเจกต์เหล่านี้พร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล แต่การจะเปลี่ยนเม็ดเงินลงทุน 8.5 หมื่นล้านบาทให้กลายเป็น “ความมั่นคงในชีวิต” ของคนเชียงราย จำเป็นต้องมี “การลงทุนในมนุษย์” ที่เข้มข้นไม่แพ้กัน – ตั้งแต่การฝึกทักษะแรงงาน การปกป้องสิทธิแรงงานนอกระบบ การจัดการวิกฤตชายแดนและมลพิษข้ามพรมแดน ไปจนถึงการปรับโครงสร้างค่าจ้างให้สะท้อนทักษะและผลิตภาพที่แท้จริง

นโยบายระดับชาติ “คนไทยต้องมีงานทำ” จึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนตำแหน่งงาน แต่คือบททดสอบว่า เชียงรายจะสามารถออกแบบ “ระบบรองรับ” ที่ทำให้คนตัวเล็ก ๆ ในร้านค้า ชายแดน และชุมชนลุ่มน้ำ ได้ก้าวขึ้นมาร่วมขบวนเศรษฐกิจใหม่ได้อย่างเท่าเทียมเพียงใด

ก่อนรถไฟขบวนแรกจะแล่นเข้าสู่สถานีเชียงของในปี 2571 คำถามสำคัญที่เชียงรายต้องตอบให้ได้ คือ เราลงทุนในคนทันกับทางรถไฟหรือไม่” เพราะหากคำตอบคือ “ใช่” เมืองนี้จะไม่ได้เป็นเพียงจุดผ่านของสินค้าและผู้โดยสาร หากแต่จะกลายเป็น “เมืองที่คนมีงานทำอย่างมีศักดิ์ศรี” อย่างแท้จริง

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงแรงงาน และกรมการจัดหางาน
  • กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
  • ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) และระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) – จังหวัดเชียงราย และเอกสารมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

เชียงรายสะเทือน! กกจ. สั่งตรวจเข้มปราบ ‘นอมินีต่างชาติ’ และแรงงานเถื่อนทั่วประเทศ

จับตาปราบแรงงานเถื่อนและ “นอมินีต่างชาติ” หลังกรมการจัดหางานสั่งตรวจเข้มทั่วประเทศ ปมแรงงานชายแดน-อาชีพต้องห้าม ปะทุสู่นโยบายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

เชียงราย, 28 ตุลาคม 2568 – เชียงรายกำลัง “หนาวเพิ่ม” ไม่ใช่เพียงเพราะอากาศปลายฝนต้นหนาวเหนือสุดแดนสยาม แต่เป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากนโยบายแรงงานฉบับเข้มงวดที่เริ่มเดินเครื่องจริงจังในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 เมื่อกรมการจัดหางาน (กกจ.) ภายใต้กระทรวงแรงงาน ประกาศปฏิบัติการเชิงรุก ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ คุมเข้มการทำงานที่เข้าข่าย “แย่งอาชีพคนไทย” รวมถึงตรวจสอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” คือธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อคนไทยบังหน้า แต่ให้ต่างชาติดำเนินกิจการแท้จริง

นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจหนังสืออนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่เป็นการ “บูรณาการตรวจเข้ม” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศ ตั้งแต่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวเชิงนานาชาติอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา เกาะสมุย รวมถึงพื้นที่ที่มีแรงงานต่างชาติจำนวนมากและมีพรมแดนเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จังหวัดเชียงราย

“ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ” อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำ พร้อมระบุว่าการเคลื่อนกำลังตรวจในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสองประการ คือ

  1. ป้องกันการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและไม่มีใบอนุญาตทำงาน
  2. ป้องกันกรณีต่างชาติลงมือทำงานเองในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น เช่น ธุรกิจนำเที่ยว ร้านตัดผม หรือบริการเช่ารถในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งถูกมองว่าเป็น “การตัดโอกาสคนไทยโดยตรง” ในสายตาของภาครัฐ

เชียงราย เมืองชายแดนกับแรงงานต่างด้าว 36,568 คนในระบบ

หากมองจากมุมพื้นที่ จังหวัดเชียงรายถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ในประเด็นแรงงานต่างด้าว เพราะเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนทางบกทั้งกับ สปป.ลาว ทางอำเภอเชียงของ และกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทางอำเภอแม่สายและอำเภอแม่จัน ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามแดนเกิดขึ้นได้ทั้งแบบชั่วคราวแบบไป-กลับรายวัน ไปจนถึงการเข้ามาตั้งหลักในอาชีพบริการ พาณิชย์ และก่อสร้าง

จากเอกสารรายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า เชียงรายมีแรงงานต่างด้าว “ที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมาย” ทั้งหมด 36,568 คน ในปี 2567 ซึ่งนับรวมคนต่างด้าวหลายสถานะตามกฎหมายคนต่างด้าวไทย เช่น คนต่างด้าวมาตรา 59 (แรงงานฝีมือ/แรงงาน MOU), มาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อยหรือคนไม่มีสถานะทางทะเบียน), มาตรา 63/2 (กลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้ทำงานภายใต้หลักเกณฑ์เฉพาะ) ตลอดจนแรงงานข้ามแดนแบบไป-กลับบริเวณชายแดนตามฤดูกาลตามมาตรา 64

ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงงานต่างด้าวไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการจ้างงานของจังหวัดในระดับ “เป็นรูปธรรม” แล้ว

หากลงรายละเอียดตามกฎหมายแรงงานคนต่างด้าว พบข้อมูลสำคัญดังนี้

  • แรงงานต่างด้าวตามมาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อย ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ผู้ที่ไม่ได้รับสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว) มีจำนวนมากถึง 16,999 คน ในเชียงรายปี 2567
  • กลุ่มที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 63/2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษ เช่น ตามมติ ครม. วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มีจำนวนรวม 17,349 คน
  • แม้ในมุมมองสาธารณะ เรามักนึกถึงแรงงานเมียนมาในฐานะแรงหลักของการทำงานข้ามแดนบริเวณด่านแม่สาย แต่รายงานระบุว่า กลุ่มแรงงานเมียนมาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานแบบไป-กลับตามฤดูกาล (มาตรา 64) ในพื้นที่ชายแดนเชียงราย อำเภอแม่สาย แม่จัน และอำเภอเมืองเชียงราย มีจำนวนอย่างเป็นทางการเพียง 29 คนในปีล่าสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานแบบ “ข้ามฝั่งเช้า-กลับเย็น” ที่ชาวบ้านมักพูดถึงนั้น ในทางเอกสารอาจยังเข้าไม่ถึงการขึ้นทะเบียนหรือการอนุญาตเต็มรูปแบบ

ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดที่คนทำงานภาคสนามในเชียงรายตั้งข้อสังเกตมานานว่า “มีแรงงานมากกว่าที่ตัวเลขบอกไว้” และช่องว่างดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกว่า “แรงงานเถื่อนกำลังแย่งงานคนในจังหวัด”

เมื่อ “แรงงานเถื่อน” ถูกมองว่าแย่งงาน – แต่ตัวเลขแรงงานไทยบอกอีกเรื่อง

ความตึงเครียดทางสังคมที่กำลังคุกรุ่นในเชียงราย มีอยู่สองด้านที่ต้องมองคู่กัน

ด้านแรก คือเสียงสะท้อนในพื้นที่ว่าตลาดแรงงานท้องถิ่นบางส่วนถูก “กดค่าแรง” จากแรงงานที่ไม่มีเอกสารหรือไม่มีใบอนุญาตทำงาน บางคนเข้ามาทำงานในอาชีพบริการที่ปกติควรเป็นพื้นที่หาเลี้ยงชีพของคนในจังหวัด เช่น งานค้าปลีกย่อยหน้าร้าน งานเช่ารถท่องเที่ยว งานตัดผม หรืองานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น

อาชีพเหล่านี้ไม่ใช่อาชีพรองในมุมเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่คืออาชีพตั้งต้นของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดหน้าด่านที่รายได้ท้องถิ่นพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติและคนเดินทางข้ามแดน

ด้านที่สอง คือข้อมูลทางเศรษฐกิจแรงงานของจังหวัดที่สะท้อนภาพอีกด้าน ซึ่งอาจจะไม่ถูกพูดในวงสนทนาเท่าไรนัก

  • ปี 2567 เชียงรายมีตำแหน่งงานว่าง 12,254 อัตรา
  • มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานอย่างเป็นทางการตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คน
  • มีผู้มารับบริการจัดหางาน 3,498 คน
  • และมีการบรรจุงานสำเร็จ 2,375 คน.

ตัวเลขนี้ตีความได้ว่า ธุรกิจในพื้นที่ยัง “ต้องการคนทำงาน” อยู่มาก โดยเฉพาะแรงงานระดับปฏิบัติการและแรงงานบริการพื้นฐาน เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การก่อสร้าง การผลิต การขนส่ง หรือการค้าปลีก – ซึ่งล้วนเป็นงานที่เชียงรายพึ่งพาทั้งแรงงานท้องถิ่น แรงงานข้ามชาติในระบบ และแรงงานนอกระบบ

อีกจุดที่น่าสนใจคือ จังหวัดเชียงรายมีแรงงานนอกระบบมากถึง 507,372 คน หรือคิดเป็น 86.25% ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดในจังหวัดในปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานภาคเกษตรกรรมและงานบริการพื้นฐาน นี่หมายความว่า โครงสร้างแรงงานในเชียงราย “อยู่ในเงา” เป็นจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยเองหรือแรงงานต่างด้าว

คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “ต่างด้าวมาแย่งงานหรือไม่” แต่คือ “พื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายกำลังอยู่ในระบบจ้างงานที่พรมระหว่างถูกกฎหมาย–ผิดกฎหมายพร่าเลือนเกินไปหรือไม่” และ “ใครคือผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากช่องว่างนี้ – นายจ้าง? ผู้รับงานช่วง? หรือแรงงานเถื่อนเอง?”

“40 อาชีพต้องห้าม” และโทษทั้งจำทั้งปรับ สัญญาณเข้มจากรัฐ

ท่ามกลางความกังวลจากคนในพื้นที่ กระทรวงแรงงานยืนยันชัดเจนว่า ประเทศไทยยังมี “เส้นชัด” ในเรื่องอาชีพที่คนต่างด้าวห้ามทำ โดยประกาศกระทรวงแรงงานกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำไว้ทั้งสิ้น 40 งาน ครอบคลุมตั้งแต่งานตัดผม/เสริมสวย งานขายของหน้าร้าน งานมัคคุเทศก์/จัดนำเที่ยว งานบริการนำรถท่องเที่ยว ไปจนถึงงานขายทอดตลาดและงานเจียระไนเพชรพลอย

การทำงานในอาชีพเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยฝ่าฝืนข้อจำกัดของกฎหมาย มีบทลงโทษชัดเจนทั้งสำหรับแรงงานต่างชาติและนายจ้าง ดังนี้

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต หรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่กฎหมายกำหนด มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท จากนั้นจะถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างหรือสถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานเกินสิทธิ จะถูกปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท “ต่อคนต่างด้าว 1 คน” ที่จ้าง หากทำผิดซ้ำ โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 50,000 – 200,000 บาทต่อหัว พร้อมทั้งถูกห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

ภาษาง่าย ๆ คือ รัฐไทยกำลังส่งสัญญาณว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “แรงงานต่างด้าวรายคน” อย่างเดียว แต่อยู่ที่ “โครงสร้างการจ้าง” ซึ่งรวมถึงนายจ้างไทยที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย และธุรกิจที่อาจเป็นนอมินีต่างชาติ

เชียงรายในสมการระดับประเทศ ชายแดน ช่องโหว่?

แม้คำสั่งตรวจเข้มของกรมการจัดหางานจะถูกสื่อสารในเชิงปกป้องอาชีพของคนไทย แต่ในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงราย มีอีกมุมหนึ่งที่ต้องพิจารณา

ข้อมูลของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายชี้ว่า คนเชียงรายจำนวนมากยังคงออกไปหางานต่างประเทศ โดยปี 2567 มีแรงงานไทยในจังหวัดยื่นขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,085 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้าง งานใช้แรงในระบบบริการ หรือแรงงานรับใช้ในครัวเรือน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานในพื้นที่ยังไม่ตอบโจทย์รายได้ที่เพียงพอสำหรับคนบางกลุ่ม

ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่ความเป็นจริงที่ย้อนแย้ง

  • คนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งออกไปขายแรงงานต่างประเทศ
  • ธุรกิจในเชียงรายยังต้องการแรงงานระดับปฏิบัติการจำนวนมาก
  • นายจ้างในพื้นที่จึงหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น

ในรายงานของจังหวัดระบุชัดว่า “หากแรงงานเหล่านี้ออกไปทำงานต่างประเทศ ทำให้ในจังหวัดเชียงรายขาดแคลนแรงงานตามมา ส่งผลให้นายจ้าง/สถานประกอบการหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้น.”

กล่าวอีกแบบ ระบบแรงงานชายแดนกำลังหมุนโดยพึ่งพากันและกัน คือเศรษฐกิจท้องถิ่นยังเดินต่อได้เพราะมีแรงงานข้ามชาติที่ยอมรับค่าแรงและเงื่อนไขงานบางรูปแบบ ขณะเดียวกัน คนเชียงรายบางส่วนย้ายออกไปทำงานต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับบ้าน

ประเด็นนี้ทำให้การ “ปราบต่างด้าวผิดกฎหมาย” ไม่ใช่ภารกิจง่าย ๆ ทางอารมณ์สาธารณะ เพราะถ้าคุมเข้มจนแรงงานขาด นายจ้างท้องถิ่นอาจเผชิญภาวะคนไม่พอทำงาน ในภาคเกษตร ภาคบริการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้าง และโรงงานผลิต ซึ่งล้วนเป็นหมุดเศรษฐกิจหลักของจังหวัดเชียงราย

ทำไม “นอมินี” จึงกลายเป็นคำร้อน

ในคำสั่งปฏิบัติการรอบนี้ คำว่า “นอมินี” ถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “แย่งอาชีพคนไทย” อย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่า ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ที่แรงงานรายวัน แต่โยงไปถึงโครงสร้างธุรกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ข้อมูลจากกรมการจัดหางานระบุกรณีตัวอย่างที่ถูกตรวจสอบในหลายจังหวัด

  • ธุรกิจให้เช่ารถและมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว
  • ธุรกิจบริการนำเที่ยว
  • ร้านตัดผม/เสริมสวย
    ทั้งหมดเป็นประเภทกิจการที่มีการร้องเรียนว่า มีต่างชาติเป็นผู้ให้บริการหลักจริงในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ แต่ใช้ชื่อคนไทยในการจดทะเบียนหรือถือหุ้น เพื่ออาศัยช่องว่างทางกฎหมาย

ในมุมเชียงราย ประเด็นนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับเศรษฐกิจชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย (ด่านเมียนมา) และอำเภอเชียงของ (ด่านเชื่อม สปป.ลาว ไปสู่เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำ) ที่พึ่งพารายจ่ายของนักท่องเที่ยว นักเดินทาง และผู้ข้ามแดนเพื่อจับจ่ายสินค้า การบริการท่องเที่ยวโดยมัคคุเทศก์ และการเดินทางเช่ารถข้ามเมือง

กระทรวงแรงงานย้ำชัดว่า อาชีพมัคคุเทศก์และจัดนำเที่ยวเป็น “อาชีพสงวนเฉพาะคนไทยเท่านั้น” การว่าจ้างไกด์ต่างชาติถือว่าผิดกฎหมาย และยังถูกมองว่าเป็นการแย่งรายได้ของแรงงานท้องถิ่นในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

จุดนี้เองที่ทำให้เรื่องแรงงานต่างด้าวในเชียงราย ไม่ได้ถูกพูดถึงแค่ในมิติ “แรงงานในโรงงาน” อีกต่อไป แต่ขยับเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงบริการ ซึ่งเป็นรายได้โดยตรงของคนเชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชนวัยทำงานอายุ 18–39 ปี ที่เป็นช่วงอายุซึ่งตลาดแรงงานเชียงรายต้องการสูงที่สุด (สะท้อนจากตำแหน่งงานว่าง 3,328 อัตราในกลุ่มอายุ 25–29 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 27.16 ของตำแหน่งงานว่างทั้งหมดในปี 2567)

ความหมายต่อประชาชนเชียงราย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องจับ-ปรับ

เมื่อมองไปข้างหน้า ประเด็นไม่ได้จบที่การ “กวาดล้าง” หรือ “ปราบปราม” เพียงอย่างเดียว แม้บทลงโทษจะถูกยกระดับให้หนักทั้งจำทั้งปรับ ทั้งแรงงานต่างชาติและนายจ้างก็ตาม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยังต้องเผชิญโจทย์ 3 ชั้นพร้อมกันคือ

  1. จะรักษาพื้นที่ทำกินของแรงงานท้องถิ่น โดยเฉพาะอาชีพบริการระดับต้น ที่คนในพื้นที่ตั้งใจยึดเป็นอาชีพหลักได้อย่างไร
  2. จะป้องกันการเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยต่างชาติในลักษณะนอมินี ซึ่งอาจทำให้เงินไหลออกนอกชุมชน แต่ทำโดยใช้โครงสร้างทางกฎหมายไทยเป็นฉากหน้า ได้อย่างไร
  3. จะดูแลแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในเชียงราย – ทั้งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายกว่า 36,000 คน และที่ยังอยู่นอกระบบ – ให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้ (ทั้งด้านแรงงาน มาตรฐานความปลอดภัย ค่าจ้างที่เป็นธรรม) โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดสะดุดอย่างฉับพลัน ได้อย่างไร

ความท้าทายนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเศรษฐกิจเชียงรายยังพึ่งพาการค้าชายแดน ภาคบริการท่องเที่ยว โรงแรม-อาหาร การก่อสร้าง และภาคการผลิต ซึ่งในปี 2565–2567 ยังเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของจีดีพีจังหวัด โดยเฉพาะภาคการขายส่ง-ขายปลีก การก่อสร้าง และกิจกรรมโรงแรมและอาหารที่จ้างงานรวมกันหลายหมื่นตำแหน่ง

กล่าวอีกแบบ การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าววันนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “คนต่างด้าว” แต่คือเรื่องอนาคตของเศรษฐกิจเชียงรายในระยะกลางด้วย

สายด่วนแจ้งเบาะแส สัญญาณว่ารัฐเปิดช่องให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ

กรมการจัดหางานได้เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแส หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย หรือธุรกิจที่สงสัยว่าเป็นนอมินี โดยสามารถโทรแจ้งได้ที่

  • กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2354-1729
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 1–10
  • หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน.

ช่องทางดังกล่าวสะท้อนว่า ภาครัฐกำลังย้ายบางส่วนของภารกิจตรวจสอบมาสู่ระดับชุมชน เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ – โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานท้องถิ่น – เป็น “หูเป็นตา” ให้หน่วยงานรัฐในการระบุจุดร้อน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านนโยบายแรงงานเตือนว่า การใช้กลไกแจ้งเบาะแสต้องเดินคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ไม่เช่นนั้น ความไม่พอใจเชิงเศรษฐกิจอาจถูกแปรเป็นแรงกดดันทางชาติพันธุ์หรือการเหมารวมทางสัญชาติ ซึ่งจะยิ่งทำให้การจัดระเบียบแรงงานในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น

ปราบปรามอย่างเดียวไม่พอ ต้องจัดการ “สมการแรงงานชายแดน” ให้สมดุล

เมื่อมองภาพรวม เชียงรายกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนด้านแรงงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับจังหวัด

ในเชิงตัวเลข จังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนทำงานตามกฎหมายกว่า 36,000 คน ครอบคลุมทั้งคนต่างด้าวตาม MOU แรงงานกลุ่มชนเผ่าพื้นที่สูงที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว แรงงานที่ได้รับผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี และแรงงานชายแดนที่เข้า-ออกตามฤดูกาล พร้อมกันนั้น คนเชียงรายเองจำนวนไม่น้อยกำลังเดินออกนอกประเทศเพื่อไปทำงานต่างแดน เพราะมองว่าค่าตอบแทนที่อื่นยังดีกว่า นำไปสู่ภาวะขาดแรงงานท้องถิ่นในบางอุตสาหกรรม และการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ยิ่งสูงขึ้น

ในเชิงนโยบาย ส่วนกลางกำลังส่งสัญญาณชัด จะไม่ยอมให้ต่างชาติ “แย่งอาชีพสงวนของคนไทย” โดยเฉพาะในภาคบริการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงอาชีพมัคคุเทศก์ ร้านตัดผม ร้านเช่ารถนำเที่ยว ธุรกิจทัวร์รายย่อย และบริการเชิงพื้นที่ที่กระทบรายได้คนในจังหวัดโดยตรง การฝ่าฝืนเจอโทษทั้งจำทั้งปรับทั้งตัวแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง/ผู้ประกอบการไทยที่สนับสนุน

แต่ในทางปฏิบัติ เขตแดนแรงงานในเชียงรายไม่ใช่เส้นตรง ระหว่าง “ไทย” กับ “ต่างชาติ” เท่านั้น หากแต่เป็นสามเหลี่ยมระหว่าง
(1) ความอยู่รอดของแรงงานท้องถิ่น
(2) ความต้องการแรงงานราคาย่อมเยาและต่อเนื่องของผู้ประกอบการ
(3) การควบคุมแรงงานข้ามชาติให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้จริง

ความท้าทายจึงอยู่ที่การทำให้ทั้งสามมุมนี้อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ผลักให้แรงงานจำนวนมาก (ทั้งไทยและต่างด้าว) หล่นกลับไปอยู่ในเงามืดของเศรษฐกิจนอกระบบ ที่ไม่มีหลักประกัน ไม่มีสิทธิพื้นฐาน และไม่มีเสียงในโต๊ะนโยบาย

หรือพูดให้ชัด – การตรวจจับและลงโทษคือเพียง “ขั้นแรก” แต่การออกแบบระบบแรงงานชายแดนที่ยุติธรรมสำหรับทั้งคนในพื้นที่และคนที่เข้ามาหาโอกาสในประเทศไทย จะเป็นบทพิสูจน์จริงของเชียงรายในปีต่อจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยพุ่ง 4% ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

การค้าชายแดนและผ่านแดนเดือนพฤศจิกายน 2567 ขยายตัว 4% ไทยดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในเดือนพฤศจิกายน 2567 พบว่ามีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 150,203 ล้านบาท ขยายตัว 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการส่งออก 85,676 ล้านบาท (+15.3%) และการนำเข้า 64,527 ล้านบาท (-8.0%) ทำให้ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน 11 เดือนแรกปี 2567

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 1,665,295 ล้านบาท (+6.0%) แบ่งเป็นการส่งออก 957,945 ล้านบาท (+6.5%) และการนำเข้า 707,350 ล้านบาท (+5.4%) ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 250,596 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ

ในเดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่ารวม 82,439 ล้านบาท (+4.6%) โดยไทยได้ดุลการค้า 20,974 ล้านบาท รายละเอียดดังนี้:

  • มาเลเซีย: มูลค่า 25,395 ล้านบาท (+2.8%)
  • ลาว: มูลค่า 23,865 ล้านบาท (+1.3%)
  • เมียนมา: มูลค่า 18,286 ล้านบาท (+1.9%)
  • กัมพูชา: มูลค่า 14,893 ล้านบาท (+18.1%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล (3,479 ล้านบาท) น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ (1,597 ล้านบาท) และน้ำยางข้น (1,320 ล้านบาท)

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม

เดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 67,764 ล้านบาท (+3.2%) โดยไทยได้ดุลการค้า 174 ล้านบาท รายละเอียดการส่งออกสำคัญ:

  • จีน: มูลค่าสูงสุด 37,264 ล้านบาท (+9.0%)
  • สิงคโปร์: มูลค่า 8,859 ล้านบาท (+2.7%)
  • เวียดนาม: มูลค่า 5,867 ล้านบาท (+19.3%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (7,497 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์ยาง (3,006 ล้านบาท) และยางแท่ง TSNR (2,344 ล้านบาท)

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมา

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมาในเดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่า 11,402 ล้านบาท (+6.5%) แม้ว่าการขนส่งในพื้นที่ด่านแม่สอด จังหวัดตาก จะหยุดชะงักเนื่องจากสถานการณ์การสู้รบ แต่มีการเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ด่านอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น:

  • ด่านระนอง: มูลค่าการส่งออก 2,257 ล้านบาท (+131.0%)
  • ด่านแม่สาย: มูลค่าการส่งออก 1,496 ล้านบาท (+13.0%)
  • ด่านสังขละบุรี: มูลค่าการส่งออก 708 ล้านบาท (+714.5%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม และกระเบื้องปูพื้น

แผนการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนปี 2568

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยว่าในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศมีแผนเชิงรุกเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและกระตุ้นการค้าชายแดน โดยจะจัดกิจกรรมภายใต้โครงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในพื้นที่แนวชายแดน เริ่มจากงาน “พาณิชย์นำทัพสินค้าชุมชน” ที่จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม 2568 และกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายของแผนพัฒนา

  • กระจายการลงทุนและกิจกรรมเศรษฐกิจไปยังแนวชายแดน
  • เพิ่มโอกาสการค้าสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยมีการส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค และผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

พิชัยลุยด่านแม่สาย เร่งแก้ปัญหาการค้าชายแดน กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

“พิชัย” ลงพื้นที่ด่านแม่สาย เร่งแก้อุปสรรคการค้าชายแดน ตั้งเป้าปี 70 สร้างเงิน 2 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่ด่านศุลกากรแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามสถานการณ์และเร่งขับเคลื่อนการค้าชายแดน พร้อมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ เพื่อแก้ไขอุปสรรคและผลักดันศักยภาพการค้าชายแดนของประเทศไทย

ปีทองการค้าชายแดน: ผลักดันการค้า-สร้างเศรษฐกิจไทย

นายพิชัยเปิดเผยว่า ปี 2567 ถือเป็น “ปีทองของการค้าชายแดน” โดยในช่วง 10 เดือนแรก (มกราคม-ตุลาคม) การค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1,514,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.18 จากปีก่อนหน้า โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 872,043 ล้านบาท และการนำเข้า 642,794 ล้านบาท ซึ่งประเทศไทยได้ดุลการค้า 229,248 ล้านบาท

กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าขยายมูลค่าการค้าชายแดนให้แตะ 2 ล้านล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570 ภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าชายแดนและการลงทุนชายแดน ปี 2567-2570

เร่งเปิดด่าน เชื่อมโยงการค้าไทย-เมียนมา-ลาว-จีน

ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีจุดผ่านแดนที่เปิดใช้งานแล้ว 86 แห่ง จากทั้งหมด 94 แห่ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเปิด 73 แห่ง นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดด่านเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงการค้าในลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ได้แก่ สปป.ลาว เมียนมา และจีน โดยเฉพาะด่านแม่สาย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเชื่อมโยงการค้าระหว่างไทยและเมียนมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน

นายพิชัยกล่าวถึงการพิจารณายกระดับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน เพื่อรองรับการค้ากับจีน โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ด่านกวนเหลี่ยในจีนรองรับผลไม้ไทยแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ในช่วง 10 เดือนแรก ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดนรวมกว่า 5,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.53 จากปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นการส่งออก 5,650 ล้านบาท และการนำเข้า 312 ล้านบาท

ผลักดันมหกรรมการค้าและพัฒนาชายแดนอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์ยังวางแผนจัดมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศในปี 2568 รวมทั้งหมด 6 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนี้ยังได้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อเปิดด่านเพิ่มเติมทั้งในฝั่งไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

เน้นคุณภาพสินค้า ควบคุมสินค้าด้อยคุณภาพ

นายพิชัยกล่าวถึงบทบาทของกระทรวงพาณิชย์ในการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้า รวมถึงการป้องกันสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค พร้อมกำชับให้ด่านศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ

ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน

นายพิชัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อแก้ไขอุปสรรคการค้า พร้อมให้คำมั่นว่า กระทรวงพาณิชย์พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนอย่างเต็มที่

บทสรุป

การลงพื้นที่ของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเป้าหมายสร้างมูลค่าการค้า 2 ล้านล้านบาทในปี 2570 และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE