Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสน. หนุน อบจ.เชียงราย! วางแผนรับมือน้ำท่วม-ภัยแล้งแบบมืออาชีพ

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เข้าหารือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำแบบรอบด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน-ระหว่าง-หลังเกิดภัยพิบัติ

การหารือระดับจังหวัดสู่การวางรากฐานระบบจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องรับรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดประชุมหารือสำคัญระหว่างผู้แทนจาก สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กับ คณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิด และเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการน้ำแบบองค์รวม ครอบคลุมทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัยพิบัติ

การประชุมครั้งนี้มี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานให้การต้อนรับพร้อมด้วย นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายกฯ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านภัยพิบัติ เข้าร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้โดยละเอียดกับคณะจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและระบบภูมิสารสนเทศที่แม่นยำสำหรับการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่

PDOSS กลไกสำคัญสู่การบริหารภัยพิบัติแบบเบ็ดเสร็จ

ในที่ประชุม นางอทิตาธรได้กล่าวถึงนโยบายหลักขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายที่ให้ความสำคัญกับการใช้ ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (Provincial Disaster One Stop Service: PDOSS) ซึ่งเป็นระบบที่นำมาใช้ในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับภัยพิบัติทุกรูปแบบ

PDOSS ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลด้านภัยพิบัติและสาธารณภัยทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบเตือนภัยพิบัติแบบเรียลไทม์
  • การจัดการเครือข่ายน้ำและการระบายน้ำ
  • การบริหารไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
  • การแจ้งเหตุและรับเรื่องร้องเรียนภัยพิบัติแบบจุดเดียว
  • ระบบเยียวยาผู้ประสบภัยแบบเบ็ดเสร็จ

ระบบดังกล่าวช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย

แผนบริหารจัดการน้ำกลยุทธ์ตั้งรับภัยพิบัติยุคใหม่

หนึ่งในหัวข้อหลักที่ถูกหยิบยกในการหารือครั้งนี้ คือการบริหารจัดการน้ำเชิงป้องกัน ที่ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดความรุนแรงของผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน ดินถล่ม หรือภัยแล้ง

การวางแผนล่วงหน้าครอบคลุมตั้งแต่

  • การวิเคราะห์แหล่งน้ำต้นทุน
  • การก่อสร้างเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ
  • การจัดการเส้นทางระบายน้ำในเขตเมืองและชนบท
  • การใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการใช้ระบบ แบบจำลองน้ำหลาก (Flood Simulation) ร่วมกับแบบจำลองภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถเตือนภัยล่วงหน้าและจัดการพื้นที่เสี่ยงได้ล่วงหน้า 3 – 7 วัน

การสร้างความร่วมมือระดับนโยบายและภาคปฏิบัติ

ตัวแทนจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนองค์ความรู้ ฐานข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น โดยเน้นการส่งเสริมการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และการเชื่อมโยงข้อมูลกับแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐระดับชาติ ระดับจังหวัด และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการจัดการอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ความสำคัญของการเตรียมพร้อมในทุกระดับ

การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดภัยพิบัติ ไม่เพียงเป็นภารกิจของหน่วยงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหน้าที่ร่วมกันของทุกภาคส่วน ซึ่งการจัดทำ แผนรับมือภัยพิบัติรายตำบลและรายหมู่บ้าน กำลังถูกขยายผลอย่างจริงจังในจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งตนเองเบื้องต้น ก่อนการเข้าช่วยเหลือจากหน่วยงานหลัก

ทั้งนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ยังได้ผลักดันโครงการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ (Real-time water level sensors) ในพื้นที่เสี่ยง เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจแบบทันสถานการณ์ และการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงที

วิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางอนาคต

จากข้อมูลด้านการบริหารน้ำและภัยพิบัติของจังหวัดเชียงราย พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่จังหวัดเชียงรายเผชิญกับภัยธรรมชาติต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูฝนและฤดูแล้งที่แปรปรวนอย่างรุนแรงจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีแนวโน้มของ ความถี่ของน้ำท่วมฉับพลันเพิ่มขึ้น 12% และ อัตราฝนเฉลี่ยต่อปีสูงขึ้นกว่า 20% จากค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี

ข้อมูลเชิงสถิติเหล่านี้สะท้อนความจำเป็นในการเร่งพัฒนาระบบจัดการน้ำให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับตัวเชิงโครงสร้างและการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาท้องถิ่นและแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายประสบเหตุอุทกภัย รวม 9 ครั้ง กระจายทุกอำเภอหลัก
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยพิบัติในปีเดียวสูงถึง 3,200 ล้านบาท
  • พื้นที่ที่อยู่ในโซนเสี่ยงน้ำท่วมตามแผนที่ GIS ของกรมทรัพยากรน้ำ จำนวน 147 หมู่บ้าน
  • อัตราฝนเฉลี่ยในฤดูฝนปี 2567 อยู่ที่ 1,698 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 17%
    (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ, สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน), สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)

สรุป

การหารือระหว่างสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทย ไม่เพียงเสริมสร้างการป้องกันภัยพิบัติอย่างยั่งยืน แต่ยังช่วยส่งเสริมความมั่นคงของชีวิตประชาชนในพื้นที่ ผ่านความร่วมมือระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วธ. จับมือ 111 ศิลปินเชียงราย Art for Earth สะท้อนวิกฤตโลก

เชียงราย ART FOR EARTH 2025 ศิลปะร่วมสมัยเพื่อปลุกพลังสิ่งแวดล้อมและจิตสำนึกสังคม

เปิดม่านศิลปะร่วมสมัยกลางหุบเขาเชียงราย

เชียงราย,7 พฤษภาคม 2568 จังหวัดเชียงรายกลายเป็นศูนย์กลางแห่งพลังสร้างสรรค์ เมื่อกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับศิลปินร่วมสมัยกว่า 111 คน เปิดนิทรรศการ CHIANG RAI ART FOR EARTH 2025 ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย พร้อมด้วยผลงานศิลปะกว่า 140 ชิ้น ถ่ายทอดเรื่องราวด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากภัยพิบัติผ่านมุมมองศิลปะที่ลึกซึ้ง

ศิลปะร่วมสมัย Soft Power ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและจิตวิญญาณ

นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวในพิธีเปิดว่า รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนทุนวัฒนธรรมและสร้าง Soft Power ผ่านศิลปะร่วมสมัย เพื่อยกระดับบทบาทของประเทศไทยในระดับนานาชาติ การรวมตัวของศิลปินทั่วประเทศในโครงการนี้ ถือเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม

ปลุกพลังเยาวชนผ่านศิลปะ เปลี่ยนโลกด้วยพู่กัน

โครงการครั้งนี้เปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนได้เรียนรู้ผ่านการมีส่วนร่วมกับศิลปิน ไม่เพียงแต่เป็นผู้ชม แต่ยังเป็นผู้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลกร้อน น้ำท่วม ภัยพิบัติ และผลกระทบต่อชุมชน เช่น กรณีน้ำท่วมเชียงรายปี 2567 ที่ส่งผลกระทบประชาชนกว่า 500,000 คน และสร้างความเสียหายมากกว่า 5,000 ล้านบาท

รศ.ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ แรงบันดาลใจเบื้องหลังโครงการ

รองศาสตราจารย์ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ ศิลปินร่วมสมัยผู้มีบทบาทสำคัญต่อวงการศิลปะไทย เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดการจัดนิทรรศการครั้งนี้ ด้วยความตั้งใจจะใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนให้ง่ายต่อความเข้าใจและเข้าถึงจิตใจคนทุกกลุ่ม

กิจกรรมสร้างสรรค์และการเรียนรู้เพื่อสังคม

โครงการนี้ประกอบด้วยกิจกรรมมากมาย ได้แก่

  • การอบรมเชิงปฏิบัติการ
  • การเสวนาออนไลน์ทั่วประเทศ
  • การแสดงบทกวีและดนตรีสร้างแรงบันดาลใจ
  • นิทรรศการศิลปะร่วมสมัยในพื้นที่จริงและออนไลน์
  • การจัดทำหนังสือรวมผลงานเพื่อเผยแพร่ทั่วประเทศ

ศิลปะสร้างสังคม เปลี่ยนความคิด สู่วิธีปฏิบัติ

เป้าหมายของโครงการไม่ใช่แค่ความงามเชิงศิลป์ หากแต่ต้องการ

  1. สื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านศิลปะ
  2. กระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม
  3. สร้างเครือข่ายศิลปินและนักวิชาการ
  4. ยกระดับบทบาทของศิลปะร่วมสมัยเพื่อสังคม

พลังศิลปะในภาคเหนือ เชียงรายคือหัวใจ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวต้อนรับด้วยความภาคภูมิใจว่า เชียงรายเป็นเมืองแห่งศิลปะ โดยเคยเป็นเจ้าภาพงาน Thailand Biennale Chiang Rai 2023 และโครงการ ART FOR EARTH ครั้งนี้ ได้สร้างแรงกระเพื่อมใหม่อีกครั้ง พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา การท่องเที่ยว และสร้างบุคลากรทางศิลปะรุ่นใหม่

สถานที่และระยะเวลาดำเนินการ

  • วันที่ 3 – 5 พฤษภาคม: ณ หอศิลป์ศรีดอนมูล อาร์ต สเปซ อ.เชียงแสน
  • วันที่ 7 – 31 พฤษภาคม: ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย

ศิลปะคือพลังที่เปลี่ยนแปลงโลกได้จริง

โครงการ CHIANG RAI ART FOR EARTH 2025 คือเวทีที่ศิลปินนำความรู้สึก ความคิด และพลังแห่งศิลปะมาหล่อหลอมเป็นพลังบวกให้สังคม ได้ตระหนักและลงมือแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • น้ำท่วมเชียงรายปี 2567 ส่งผลกระทบกว่า 500,000 คน
  • ความเสียหายจากน้ำท่วมมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในเขตเมืองเชียงรายในช่วงฤดูแล้งปี 2567 สูงกว่าค่ามาตรฐาน WHO กว่า 2.5 เท่า (ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (www.disaster.go.th)
  • สำนักงานศิลปะร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม (www.ocac.go.th)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

งบ 646 ล้านบาท ของเทศนครเชียงราย โอกาสที่คุณกำหนดได้เอง

งบประมาณเทศบาลนครเชียงราย ปี 2568 มูลค่า 646 ล้านบาท โอกาสและความท้าทายในการพัฒนาท้องถิ่น

ประเทศไทย, 7 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งบประมาณท้องถิ่นคือหัวใจสำคัญที่หล่อเลี้ยงการพัฒนาเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีเทศบาลรวมกันถึง 574 แห่ง ประกอบด้วยเทศบาลนคร 6 แห่ง เทศบาลเมือง 31 แห่ง และเทศบาลตำบล 537 แห่ง ในจำนวนนี้ จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการท้องถิ่น โดยเทศบาลนครเชียงรายได้รับความสนใจอย่างมากจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 มูลค่ารวม 646,624,800 บาท ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความท้าทายในการบริหารจัดการเมืองที่มีประชากร 77,911 คน บนพื้นที่ 60.85 ตารางกิโลเมตร การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนชาวเชียงรายจะมีส่วนกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองผ่านการเลือกผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน

ความสำคัญของงบประมาณท้องถิ่น

งบประมาณท้องถิ่นเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงการพัฒนาในระดับชุมชน โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเทศบาลทั้งสิ้น 73 แห่ง รองจากจังหวัดเชียงใหม่ที่มีถึง 121 แห่ง งบประมาณของเทศบาลนครเชียงรายในแต่ละปีมาจากสามแหล่งหลัก ได้แก่ (1) รายได้จากการจัดเก็บเอง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีโรงเรือน และภาษีป้าย (2) งบประมาณจากการจัดสรรของรัฐบาล เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต และ (3) เงินอุดหนุนจากรัฐบาลทั้งในรูปแบบทั่วไปและเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนภารกิจและโครงการพัฒนาท้องถิ่น

ในปีงบประมาณ 2568 เทศบาลนครเชียงรายได้รับงบประมาณรวม 646,624,800 บาท ลดลงจากปี 2567 จำนวน 10,182,800 บาท ซึ่งได้รับงบประมาณรวม 656,807,600 บาท การลดลงของงบประมาณในครั้งนี้ส่งผลให้ผู้บริหารท้องถิ่นต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างครอบคลุม ประชากร 77,911 คนของเทศบาลนครเชียงราย ประกอบด้วยผู้หญิง 41,192 คน และผู้ชาย 36,719 คน มีความหลากหลายทั้งในด้านอายุ เพศ และความต้องการ การจัดสรรงบประมาณจึงต้องคำนึงถึงความครอบคลุมและความเท่าเทียม เพื่อให้ทุกกลุ่มในสังคมได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง

สถานะการคลังและการบริหารงบประมาณ

จากข้อมูลของฝ่ายแผนงานและงบประมาณ กองยุทธศาสตร์และงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย สถานะการคลังในปีงบประมาณ 2567 (ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567) แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของเทศบาล ดังนี้

  • เงินฝากธนาคาร: 672,992,744.27 บาท
  • เงินสะสม: 44,641,036.42 บาท
  • เงินทุนสำรองเงินสะสม: 0.00 บาท
  • รายการกันเงินไว้แบบก่อหนี้ผูกพันและยังไม่ได้เบิกจ่าย: 4 โครงการ รวม 14,760,789.00 บาท
  • รายการกันเงินไว้โดยยังไม่ได้ก่อหนี้ผูกพัน: 18 โครงการ รวม 69,139,200.00 บาท
  • เงินกู้คงค้าง: 92,994,648.21 บาท

สถานะการคลังดังกล่าวสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินของเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งอย่างไรก็ตาม การที่มีเงินกู้คงค้างถึงเกือบ 93 ล้านบาท และงบประมาณที่ลดลงจากปีก่อนหน้า ทำให้การจัดสรรงบประมาณในปี 2568 ต้องเน้นความคุ้มค่าและการตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างตรงจุด

ในส่วนของการบริหารงบประมาณในปี 2566 เทศบาลนครเชียงรายมีรายรับจริงรวม 912,797,893.31 บาท แบ่งเป็น

  • หมวดภาษีอากร: 142,775,013.07 บาท
  • หมวดค่าธรรมเนียม ค่าปรับ และใบอนุญาต: 17,277,750.79 บาท
  • หมวดรายได้จากทรัพย์สิน: 10,048,864.81 บาท

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของเทศบาล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเมืองในด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม การที่งบประมาณในปี 2568 ลดลงจากปีก่อนหน้า ทำให้ผู้บริหารต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดสรรงบประมาณปี 2568 ความท้าทายและโอกาส

งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ของเทศบาลนครเชียงรายครอบคลุมหลากหลายแผนงานที่มุ่งตอบสนองความต้องการของประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิต ประกอบด้วย

  • แผนงานบริหารงานทั่วไป: มุ่งเน้นการบริหารจัดการภายในและการพัฒนาบุคลากร รวมถึงการจ่ายเงินเดือนและค่าตอบแทนสำหรับนายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี และพนักงานเทศบาล
  • แผนงานการศึกษา: สนับสนุนการพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของเยาวชน
  • แผนงานสาธารณสุข: เสริมสร้างระบบสาธารณสุขและการเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาด รวมถึงการจัดซื้อวัสดุวิทยาศาสตร์และการแพทย์ในช่วงที่มีโรคระบาด
  • แผนงานสังคมสงเคราะห์: จัดสรรเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (95,845,200 บาท) และเบี้ยความพิการ (15,784,800 บาท) เพื่อสนับสนุนกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบำนาญ (1,470,000 บาท)
  • แผนงานโยธาและอุตสาหกรรม: รวมถึงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าเป็นเคเบิลใต้ดินตามสัญญาเลขที่ 2192/40/2565 และการบำรุงรักษาและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน
  • แผนงานการจัดการภัยพิบัติ: เตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมและไฟป่า ที่เกิดถี่ขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ
  • แผนงานการท่องเที่ยว: ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยรถรางและรถโค้ช เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น

นอกจากนี้ งบประมาณเฉพาะการสถานธนานุบาล ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญของเทศบาล มีรายรับรวม 52,030,500 บาท และรายจ่ายที่ครอบคลุมการบริหารจัดการสถานธนานุบาล เช่น ค่าตอบแทนพนักงาน ค่าบำรุงรักษาทรัพย์สิน และเงินทดแทนท้องถิ่นร้อยละ 30 (7,200,000 บาท) การบริหารจัดการสถานธนานุบาลนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลในการให้บริการทางการเงินที่เข้าถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

ความท้าทายหลักของเทศบาลนครเชียงรายในปี 2568 คือการบริหารงบประมาณที่ลดลงให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในช่วงที่เมืองกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะกำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองในระยะต่อไป ผู้บริหารคนใหม่จะต้องเผชิญกับคำถามสำคัญ เช่น

  • จะจัดลำดับความสำคัญของโครงการพัฒนาอย่างไร เพื่อให้ตอบโจทย์ทั้งความต้องการเร่งด่วนและการพัฒนาในระยะยาว?
  • จะบริหารจัดการหนี้กู้ยืมที่คงค้างอยู่เกือบ 93 ล้านบาทอย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต?
  • จะเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ท้องถิ่นอย่างไร เพื่อลดการพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐบาล?

วิสัยทัศน์และความคาดหวัง

งบประมาณครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการกำหนดทิศทางการใช้จ่ายของเทศบาล แต่ยังเป็นโอกาสที่ผู้บริหารท้องถิ่นจะแสดงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่กำลังจะมาถึงจึงไม่เพียงแต่เป็นการเลือกผู้นำ แต่ยังเป็นการเลือกวิสัยทัศน์และนโยบายที่จะกำหนดอนาคตของเมือง ผู้สมัครที่สามารถนำเสนอแผนการบริหารงบประมาณที่ชัดเจน โปร่งใส และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ จะมีโอกาสได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุด

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจคือการจัดสรรเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลในการดูแลกลุ่มเปราะบางในสังคม นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การเปลี่ยนระบบไฟฟ้าเป็นเคเบิลใต้ดิน และการจัดการภัยพิบัติ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายให้กับประชาชนในระยะยาว โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยรถรางและรถโค้ช จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

การบริหารงบประมาณ 646 ล้านบาทในปี 2568 ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับนายกเทศมนตรีคนใหม่ โดยเฉพาะในบริบทที่งบประมาณลดลงและความคาดหวังของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริหารจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการต่อยอดงบประมาณเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชน เช่น

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบไฟฟ้า และการจัดการน้ำท่วม จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับประชาชน
  • การส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจท้องถิ่น: การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับชุมชน
  • การดูแลกลุ่มเปราะบาง: การจัดสรรเงินเบี้ยยังชีพและการพัฒนาระบบสวัสดิการจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและผู้พิการ
  • การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ: การลงทุนในระบบเตือนภัยและการจัดการภัยพิบัติจะช่วยลดความสูญเสียจากภัยธรรมชาติที่เกิดถี่ขึ้น

โอกาสและบทบาทของผู้นำท้องถิ่น

การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสที่ประชาชนชาวเชียงรายจะมีส่วนกำหนดอนาคตของเมือง ผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้ง งบประมาณ 646 ล้านบาทในปี 2568 เป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้บริหารท้องถิ่นสามารถใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและพัฒนาเมืองให้ก้าวหน้า ผู้สมัครที่สามารถนำเสนอนโยบายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนจะมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากกว่า

หนึ่งในโอกาสสำคัญของผู้บริหารคนใหม่คือการต่อยอดงบประมาณเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว เช่น การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมือง นอกจากนี้ การบริหารจัดการหนี้กู้ยืมที่คงค้างอยู่เกือบ 93 ล้านบาทจะเป็นบททดสอบความสามารถของผู้บริหารในการรักษาความสมดุลทางการคลัง

การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นโอกาสที่ประชาชนชาวเชียงรายจะแสดงพลังในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเมือง สิทธิและอำนาจในการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ประชาชนสามารถใช้เพื่อเลือกผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มในสังคม การเลือกผู้นำที่มีความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบจะช่วยให้งบประมาณ 646 ล้านบาทถูกใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของบริบทงบประมาณท้องถิ่นในภาคเหนือและจังหวัดเชียงราย ต่อไปนี้คือสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนเทศบาลในภาคเหนือ: 574 แห่ง (เทศบาลนคร 6 แห่ง, เทศบาลเมือง 31 แห่ง, เทศบาลตำบล 537 แห่ง)
    ที่มา: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 2567
  • จังหวัดที่มีเทศบาลมากที่สุดในภาคเหนือ: เชียงใหม่ (121 แห่ง), เชียงราย (73 แห่ง), ลำปาง (43 แห่ง)
    ที่มา: กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 2567
  • งบประมาณเทศบาลนครเชียงราย ปี 2568: 646,624,800 บาท (ลดลง 10,182,800 บาท จากปี 2567)
    ที่มา: ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย, 2567
  • รายรับจริงของเทศบาลนครเชียงราย ปี 2566: 912,797,893.31 บาท (ภาษีอากร 142,775,013.07 บาท, ค่าธรรมเนียม 17,277,750.79 บาท, รายได้จากทรัพย์สิน 10,048,864.81 บาท)
    ที่มา: ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย, 2567
  • ประชากรเทศบาลนครเชียงราย: 77,911 คน (ชาย 36,719 คน, หญิง 41,192 คน)
    ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, 2567
  • เงินกู้คงค้างของเทศบาลนครเชียงราย: 92,994,648.21 บาท (ณ 31 กรกฎาคม 2567)
    ที่มา: ฝ่ายแผนงานและงบประมาณ เทศบาลนครเชียงราย, 2567
  • งบประมาณสถานธนานุบาล ปี 2568: รายรับ 52,030,500 บาท, รายจ่ายรวมค่าบำรุงรักษาและเงินทดแทนท้องถิ่น 7,200,000 บาท
    ที่มา: รายงานรายละเอียดประมาณการรายรับ-รายจ่ายสถานธนานุบาล, เทศบาลนครเชียงราย, 2567

สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาท้องถิ่นในจังหวัดเชียงราย และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างยั่งยืน การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนชาวเชียงรายจะมีส่วนกำหนดอนาคตของเมืองผ่านการเลือกผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์ความต้องการของทุกกลุ่มในสังคม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

มท.4 ลุยแม่สาย ตามปม สารหนู-ตะกั่ว เร่งสร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน สารหนู-ตะกั่วปนเปื้อนแม่น้ำสาย กระทบประชาชนกว่าแสนคน

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 — จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอย่างรุนแรง หลังจากการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วปนเปื้อนในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของพื้นที่ โดยมีการตรวจพบสารหนูในระดับสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า

การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.30 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย รวมถึงการตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจติดตามราชการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ณ อาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตลาดสายลมจอย รวมถึงตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย เพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม

การปนเปื้อนของสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำสายต้องเผชิญกับปัญหาผื่นคันและอาการผิดปกติทางผิวหนังหลังจากสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อน นอกจากนี้ ร้านอาหารและธุรกิจที่พึ่งพาแม่น้ำสายต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารและน้ำ

ต้นเหตุของการปนเปื้อน

จากการสืบสวนพบว่า ต้นเหตุของการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ต้นน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่โดยนักลงทุนชาวจีนที่ไม่มีระบบการจัดการน้ำเสียอย่างเหมาะสม ทำให้สารพิษจากการสกัดแร่ไหลลงสู่แม่น้ำสายและแม่น้ำกก

มาตรการของภาครัฐ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง และแจ้งเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำจากแม่น้ำสายโดยตรง รวมถึงการเร่งสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข

นักวิชาการและภาคประชาชนได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเน้นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมกิจกรรมการทำเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของการปนเปื้อน รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พบสารหนูในแม่น้ำสายสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า
  • ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมีจำนวนมากกว่า 120,000 คน
  • มีการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในหลายจุด โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศเพื่อนบ้าน

บทสรุป

สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ต้องปรับจุดไหนถ้ารัฐบาลดัน “Amazing Thailand Year 2025”

ครม. เห็นชอบแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายพร้อมหรือยัง ถ้าต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือในการจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 39 ล้านคน และสร้างรายได้ถึง 3.4 ล้านล้านบาท จังหวัดเชียงรายได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของแคมเปญนี้ ด้วยศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน

ความท้าทายของการท่องเที่ยวไทยและโอกาสของเชียงราย

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2566 การท่องเที่ยวสร้างรายได้กว่า 2.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัยในปี 2567 ที่สร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐานในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้สร้างความท้าทายต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายจากน้ำท่วมและดินสไลด์ในเชียงรายทำให้ถนนและสะพานหลายแห่งไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวและการค้าชายแดนที่ด่านแม่สาย

ถึงกระนั้น ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายและโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนา รัฐบาลจึงริเริ่มแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเน้นเมืองรองที่มีศักยภาพสูง เช่น เชียงราย ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ดอยตุงและสามเหลี่ยมทองคำ และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่นและพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

รายละเอียดแคมเปญและการบูรณาการ

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) โดยมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนดำเนินการตามแนวทางที่กำหนด เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มรายได้และพยุงเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า แคมเปญนี้มุ่งเน้นการบูรณาการพันธมิตรทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและเผยแพร่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่ระดับสากล โดยแบ่งแนวทางการดำเนินงานออกเป็น 11 ด้าน

แล้วจังหวัดเชียงรายสามารถทำอะไรได้บ้างใน 11 ข้อของแคมเปญ

  1. ด้านสายการบิน สนับสนุนสายการบินในประเทศด้วยการลดค่าธรรมเนียม เพิ่มเที่ยวบินในช่วงเทศกาล และขยายเส้นทางสู่เมืองรอง เช่น เชียงราย เพื่อลดความแออัดในเมืองหลัก เชียงรายสามารถผลักดันให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช่น งานลอยกระทงหรือปีใหม่ และพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน API เพื่อให้ข้อมูลเที่ยวบินเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นร่วมมือกับสายการบิน low-cost เพื่อจัดโปรโมชั่นตั๋วราคาพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงราย
  2. ด้านโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และบริษัททัวร์ยกระดับมาตรฐานโรงแรมและโฮมสเตย์ ร่วมมือกับแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงที่พักรายย่อย ส่งเสริมโฮมสเตย์ในชุมชนท้องถิ่น เช่น ชุมชนชาวเขาดอยช้าง ให้ได้มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย และร่วมมือกับแพลตฟอร์ม OTA เพื่อโปรโมทที่พักรายย่อยจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่รวมโฮมสเตย์และร้านอาหารพื้นเมืองในอำเภอแม่สาย
  3. ด้านห้างสรรพสินค้าและร้านค้า มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษแก่นักท่องเที่ยว พร้อมพัฒนาระบบคืนภาษีอัตโนมัติ ร้านค้าท้องถิ่นในเชียงราย เช่น ตลาดไนท์บาซาร์ สามารถมอบส่วนลดและของที่ระลึก เช่น ผ้าทอมือล้านนา แก่นักท่องเที่ยว และติดตั้งเครื่องคืนภาษีอัตโนมัติในห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัลเชียงรายจัดแคมเปญ “Chiang Rai Shopping Festival” ที่มอบส่วนลด 10-20% สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
  4. ด้าน OTAs (Online Travel Agency) จัดโปรโมชั่นแพ็คเกจท่องเที่ยวครอบคลุมเมืองรอง และส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ร่วมมือกับ OTA เช่น Agoda หรือ Booking.com เพื่อจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น พร้อมโปรโมชั่นส่วนลด สร้างแพ็คเกจ “Chiang Rai Cultural Journey” ที่รวมที่พัก ทัวร์วัด และอาหารพื้นเมือง
  5. ด้านระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ พัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว และจัดทำบัตร Amazing Pass สำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถโดยสารท้องถิ่นหรือรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงจัดทำบัตร “Chiang Rai Travel Pass” สำหรับการเดินทางไม่จำกัดใน 1 วัน
  6. ด้านความปลอดภัย: จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวครอบคลุม 77 จังหวัด และพัฒนาบริการ call center 1155 ให้เป็น one-stop service จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (TAC) ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น อำเภอแม่สาย และฝึกอบรมอาสาสมัครท่องเที่ยวให้เป็นเจ้าบ้านที่ดีเปิดศูนย์ TAC ที่สามเหลี่ยมทองคำ พร้อมล่ามภาษาจีนและอังกฤษ
  7. ด้านการตรวจลงตรา (Visa) ขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าและพัฒนาระบบยื่นขอวีซ่าออนไลน์ สนับสนุนนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเป้าหมาย เช่น จีนและอินเดีย และพัฒนาระบบยื่นวีซ่าออนไลน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด่านแม่สายจัดตั้งจุดให้ข้อมูลวีซ่าที่ด่านศุลกากรแม่สาย
  8. ด้าน Event จัดงานเทศกาลระดับสากล เช่น มหาสงกรานต์ และส่งเสริมการลงทุนในงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ จัดงานเทศกาลระดับนานาชาติ เช่น “Chiang Rai International Balloon Festival” หรือ “Chiang Rai Marathon” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจัดงานลอยโคมที่ถนนคนเดินเชียงราย พร้อมการแสดงวัฒนธรรมล้านนา
  9. ด้านแหล่งท่องเที่ยว ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติ และจัดกิจกรรม Night at The Museum ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติผาแต้ม และจัดกิจกรรม Night at The Museum ที่วัดร่องขุ่นหรือพิพิธภัณฑ์บ้านดำจัดงาน “Night at Wat Rong Khun” พร้อมการแสดงแสงสีและทัวร์ยามค่ำคืน
  10. ด้านประชาสัมพันธ์ ใช้สื่อเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย และร่วมมือกับ influencer ท่องเที่ยวในการสร้างคอนเทนต์จัดแคมเปญ #ChiangRaiVibes เพื่อเชิญชวนให้แชร์ภาพถ่ายแหล่งท่องเที่ยว
  11. ด้านอื่น ๆ พัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศ และจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยว ฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้พูดภาษาจีนและอังกฤษ และร่วมมือกับค่ายโทรศัพท์เพื่อจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเชียงรายจัดอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นในอำเภอเชียงแสนให้พูดภาษาจีนสำหรับนักท่องเที่ยวจากจีน

แคมเปญนี้คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน และสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การกีฬา และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับสากล

การฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมของเชียงราย

จังหวัดเชียงรายเผชิญกับความท้าทายจากอุทกภัยในปี 2567 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ถนนและสะพานในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน อย่างไรก็ตาม การอนุมัติงบประมาณ 2,049.69 ล้านบาทในปี 2568 เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานใน 17 จังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้ช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยเน้นการซ่อมแซมเส้นทางสำคัญ เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และทางหลวงชนบท

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายได้ดำเนินการหลายอย่าง ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนนและสะพานที่เสียหาย เพื่อให้การสัญจรในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น สามเหลี่ยมทองคำและดอยตุง เป็นไปอย่างราบรื่น
  2. การพัฒนาการเข้าถึง เพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง และพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะภายในจังหวัด
  3. การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัลเพื่อโปรโมทวัดร่องขุ่น สามเหลี่ยมทองคำ และงานเทศกาลท้องถิ่น เช่น ประเพณีลอยกระทง
  4. การพัฒนาบุคลากร ฝึกอบรมมัคคุเทศก์และอาสาสมัครท่องเที่ยวให้สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศ เช่น จีนและอังกฤษ

ความท้าทายและโอกาสของเชียงราย

  • โอกาสของเชียงราย
  1. การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ: เชียงรายสามารถเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง เช่น เชียงใหม่และพะเยา เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวภาคเหนือ
  2. การค้าชายแดน การฟื้นฟูถนนที่ด่านแม่สายจะช่วยกระตุ้นการค้าขายและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน
  3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกีฬา การจัดงานเทศกาลและการแข่งขันกีฬาจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจวัฒนธรรมและกีฬา
  4. โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การลงทุนในถนนและระบบระบายน้ำจะช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติในอนาคต
  • ความท้าทายของเชียงราย
  1. โครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า การก่อสร้างในพื้นที่ภูเขาอาจล่าช้า ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อม
  2. การแข่งขันกับเมืองอื่น เชียงรายต้องแข่งขันกับเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งมีทรัพยากรมากกว่า
  3. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วมและดินสไลด์ในช่วงฤดูฝนอาจกระทบการท่องเที่ยว
  4. บุคลากรที่ขาดแคลน การขาดมัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศอาจจำกัดการให้บริการ

ตำแหน่งของเชียงราย

เชียงรายมีศักยภาพเป็น เมืองรองที่มีการเติบโตสูง ในแคมเปญนี้ โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกีฬา ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น เชียงรายสามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองหลักได้

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในเชียงราย: ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยว 3.2 ล้านคน สร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)
  2. ผลกระทบจากอุทกภัย: อุทกภัยในปี 2567 ทำให้ถนนในเชียงรายเสียหาย 10 แห่ง ส่งผลให้การท่องเที่ยวลดลง 20% ในบางช่วง (ที่มา: กรมทางหลวง, 2567)
  3. เป้าหมายของแคมเปญ: ดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน สร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2568)
  4. การเติบโตของเมืองรอง: เมืองรองมีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยว 15% ในปี 2566 (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)

สรุป

แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับการท่องเที่ยวไทย โดยเชียงรายสามารถใช้ศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน เพื่อเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ การนำแนวทางทั้ง 11 ข้อไปปรับใช้จะช่วยให้เชียงรายฟื้นตัวจากอุทกภัยและเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะเมืองรองที่มีเอกลักษณ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2566). รายงานการท่องเที่ยวประจำปี.
  • กรมทางหลวง. (2567). รายงานสถานการณ์อุทกภัยและความเสียหายโครงข่ายถนน.
  • สำนักนายกรัฐมนตรี. (2568). มติคณะรัฐมนตรี, 6 พฤษภาคม 2568.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). ข้อมูลแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025”.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ครม.ทุ่ม 2 พันล้าน ฟื้นฟู ‘ถนนเชียงราย’ พร้อม 16 จังหวัด

ครม.อนุมัติงบกลาง 2,049.69 ล้านบาท ฟื้นฟูถนนเสียหายจากอุทกภัย เน้นเชียงรายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – เวลา 11.35 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 2,049.69 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติใน 17 จังหวัด โดยมีจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการเร่งดำเนินการฟื้นฟู

การจัดสรรงบประมาณแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กรมทางหลวง 1,619.90 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 429.79 ล้านบาท เพื่อใช้ซ่อมแซมและปรับปรุงเส้นทางคมนาคมหลักและรองที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในช่วงเดือนพฤษภาคม–ตุลาคม 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

เชียงราย จุดวิกฤตโครงข่ายถนนภาคเหนือ

จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรงบประมาณจากทั้งสองหน่วยงานรวมเป็นจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากพบความเสียหายสะสมต่อเนื่องหลายระลอกจากพายุฤดูฝน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม ทำให้ถนนสายหลักอย่างแม่สรวย-เทิง และแม่จัน-เชียงแสน ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง รวมถึงสะพานขาดในหลายจุด

จากข้อมูลของกรมทางหลวง พบว่าในเดือนกันยายน 2567 อิทธิพลจากพายุ “ยางิ” ทำให้พื้นที่ 10 จุดในจังหวัดเชียงรายไม่สามารถสัญจรได้ ดินสไลด์และคอสะพานขาดหลายแห่ง โดยเฉพาะในอำเภอเมือง แม่สาย เวียงแก่นและเทิง ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนและส่งผลต่อภาคขนส่งอย่างกว้างขวาง

กรมทางหลวงชนบทรายงานเพิ่มเติมว่าในปีเดียวกัน มีอย่างน้อย 9 สายทางในเชียงรายถูกน้ำกัดเซาะ ถนนทรุดตัว และสะพานพังเสียหาย ไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึงทางเชื่อมไปยังพื้นที่ชายแดนที่มีบทบาททางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น จุดผ่านแดนถาวรแม่สาย

งบกลางฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาชน

สำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การจัดสรรงบกลางครั้งนี้ มุ่งเน้นให้การซ่อมแซมถนนและสะพานเป็นไปอย่างเร่งด่วนภายในปีงบประมาณ 2568 โดยเบิกจ่ายในหมวดงบลงทุนค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และดำเนินการฟื้นฟูในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย เลย ภูเก็ต ยะลา พิษณุโลก อุดรธานี หนองคาย และกาญจนบุรี

ภาพรวมความเสียหายทั่วประเทศ ปี 2567

ในช่วงกลางปี (ก.ค.–ส.ค.) ทช. รายงาน 7 สายทางได้รับผลกระทบในจังหวัดตาก กาญจนบุรี จันทบุรี และตราด โดย 6 สายทางไม่สามารถสัญจรได้ ขณะที่ทล. รายงานความเสียหาย 10 จุดในเชียงรายและแพร่ โดย 9 จุดไม่สามารถใช้งานได้

ช่วงปลายปี (ต.ค.–ธ.ค.) ความเสียหายขยายวงกว้างไปยังภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ทล. รายงานว่า 63 จุดเสียหาย และมี 47 จุดไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนทช. รายงาน 97 สายทางได้รับความเสียหายใน 6 จังหวัด โดย 66 สายทางใช้การไม่ได้

ปี 2568 ฟื้นฟูเพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำซาก

รัฐบาลได้เตรียมการฟื้นฟูเชิงรุก โดย ครม. ยังอนุมัติงบกลางปี 2567 เพิ่มเติมอีก 3,017 ล้านบาท สำหรับซ่อมแซมความเสียหายในอีก 39 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนวางระบบบริหารความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติในปี 2568 โดยเน้นการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น

เชียงรายในฐานะศูนย์กลางฟื้นฟูภาคเหนือ

เชียงรายไม่เพียงได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยธรรมชาติในปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นจังหวัดที่มีบทบาทสำคัญด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจชายแดน การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในเชียงรายจึงเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินการควบคู่กับการส่งเสริมภาคการขนส่ง การท่องเที่ยว และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2568)

  • จังหวัดเชียงราย ได้รับการจัดสรรงบรวมจาก ทล. และ ทช. เป็น 2 ใน 17 จังหวัด
  • ทล. รายงานความเสียหายในเชียงราย 10 จุด ในช่วง พ.ค.–ธ.ค. 2567
  • ทช. รายงานสายทางเสียหายในเชียงราย 9 สายทาง
  • งบกลางปี 2568 ฟื้นฟู 17 จังหวัด รวมวงเงิน 2,049.69 ล้านบาท (ทล. 1,619.90 ล้านบาท / ทช. 429.79 ล้านบาท)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี (แถลงข่าว ครม. 6 พ.ค. 2568)
  • กระทรวงคมนาคม
  • กรมทางหลวง
  • กรมทางหลวงชนบท
  • สำนักงบประมาณ (สงป.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เริ่มวิกฤต หลัง ‘น้ำกก’ ปนเปื้อน พบชาวบ้านแสบตา ปลาผิดปกติ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำสาขาโขง เรียกร้องรัฐบาลเร่งเจรจาระหว่างประเทศแก้ปัญหาเหมืองต้นน้ำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 –  เพจ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานว่า จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่กำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอันเนื่องจากการปนเปื้อนของสารหนู (Arsenic) ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาสำคัญของแม่น้ำโขง ผลการตรวจสอบโดยหน่วยงานในพื้นที่และนักวิชาการยืนยันว่าสารหนูมีระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยสาเหตุหลักเชื่อว่ามาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเหล่านี้ วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อน้ำอุปโภคบริโภค การประมง และการเกษตรของชุมชนในพื้นที่ สร้างความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำ

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง และจีน) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พร้อมนำเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อจัดการมลพิษอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศยังคงเป็นศูนย์ ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำกก

แม่น้ำกกเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ภาคตะวันออกของเมียนมา ด้วยความยาวรวมประมาณ 285 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่บ้านท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และไหลผ่านอำเภอเมือง เวียงชัย ดอยหลวง แม่จัน และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน รวมความยาวในประเทศไทยประมาณ 145 กิโลเมตร แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งมีต้นน้ำในพื้นที่เดียวกัน ก็เป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ชุมชนในอำเภอแม่สายและเชียงแสนพึ่งพา

ลุ่มน้ำกกมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตบันทึกว่ามีพันธุ์ปลา 71 ชนิด รวมถึงปลาท้องถิ่น 64 ชนิดและปลาต่างถิ่น 7 ชนิด ปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลากดคัง ปลาแข้ ปลาคางเบือน และปลาดังแดง เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชน นอกจากนี้ ยังพบปลาที่อยู่ในบัญชีแดงของ IUCN เช่น ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย รวมถึงนากใหญ่ธรรมดาที่อาศัยอยู่ชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำกก ลุ่มน้ำกกยังประกอบด้วยลำห้วยสาขา 24 แห่ง และมีลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย เช่น เกาะดอน แก่งหิน หาดทราย และหนองน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยน้ำมีลักษณะขุ่นขาวและเปลี่ยนสีผิดปกติ แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใส การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงรายรายงานว่าน้ำดิบจากแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในปี 2567 และพุ่งสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568 ความผิดปกติเหล่านี้เริ่มสร้างความกังวลในหมู่ชุมชน โดยเฉพาะเมื่อน้ำที่เก็บในขวดยังคงขุ่นขาวและตกตะกอนช้า แม้วางทิ้งไว้นานถึงหนึ่งสัปดาห์

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จากอิทธิพลของพายุยางิเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล ส่งผลให้หน่วยงานในพื้นที่และภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างละเอียด

การปนเปื้อนสารหนูและผลกระทบต่อชุมชน

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ผลการตรวจสอบยืนยันว่าแม่น้ำกกอยู่ในสภาพพอใช้ถึงเสื่อมโทรม และมีการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า ตะกอนดินในแม่น้ำกกก็พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสัตว์หน้าดินอย่างรุนแรง

ผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูส่งผลต่อชุมชนในหลายมิติ:

  1. น้ำอุปโภคบริโภค เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิสยามเชียงราย จุดริมกก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย ว่ามีอาการปวดแสบและตาบวมหลังลงงมหาของในคลองที่ผันน้ำจากแม่น้ำกก เหตุการณ์นี้ทำให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายโดยตรง และแนะนำให้ล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ
  2. การประมง ชาวประมงในพื้นที่ เช่น ที่บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน และใต้ฝายป่ายางมน ตำบลริมกก อำเภอเมือง รายงานว่าปลาที่จับได้มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีผื่นหรือสีผิวผิดปกติ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวที่จับได้ระหว่างวันที่ 28 เมษายน ถึง 4 พฤษภาคม 2568 ไปตรวจหาสารปนเปื้อนที่สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย โดยผลคาดว่าจะทราบภายใน 3 สัปดาห์ ชาวบ้านหลายคนไม่กล้าบริโภคหรือจำหน่ายปลา ส่งผลให้รายได้จากการประมงลดลงอย่างมาก
  3. การเกษตร ดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เจริญเติบโต ชาวบ้านในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่และลาหู่ รายงานว่าดินโคลนมีลักษณะเหนียวแน่นและแห้งแข็ง ซึ่งแตกต่างจากดินร่วนที่เคยอุดมสมบูรณ์หลังน้ำท่วมในอดีต
  4. สุขภาพประชาชน การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งหรือโรคผิวหนังในระยะยาวหากมีการสะสมในร่างกาย กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กและผู้สูงอายุ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้มากที่สุด

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า “แม่น้ำกกเคยเป็นแหล่งชีวิตของชุมชน แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็นแหล่งภัยคุกคาม การปนเปื้อนสารหนูไม่เพียงกระทบต่อน้ำและปลา แต่ยังคุกคามวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์ที่พึ่งพาแม่น้ำมาแต่โบราณ รัฐบาลต้องเร่งเจรจา 4 ฝ่ายเพื่อหยุดการปล่อยสารพิษจากเหมืองในรัฐฉาน”

มาตรการรับมือและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤต หน่วยงานและภาคประชาชนได้ดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำและปลา: คพ.1 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายกำลังเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเพื่อวิเคราะห์สารโลหะหนักอย่างละเอียด สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวไปตรวจหาสารปนเปื้อน โดยผลการตรวจจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทางการบริโภคและการจัดการมลพิษ
  2. การแจ้งเตือนประชาชน: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย และล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาการทางประสาท ควรพบแพทย์ทันที การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
  3. ข้อเสนอจากภาคประชาชน สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง เสนอแผนรับมือ 3 ระยะ:
    • ระยะเร่งด่วน: ตรวจสอบสารปนเปื้อนในน้ำ ปลา และสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำมะ
    • ระยะกลาง: ขยายการตรวจสอบไปยังแม่น้ำโขงและลำห้วยสาขา 28 แห่งในลุ่มน้ำกก ตั้งแต่อำเภอท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ ถึงปากแม่น้ำกก
    • ระยะยาว: ตรวจสอบแม่น้ำคำ แม่น้ำอิง และแม่น้ำงาว ในระยะ 10 กิโลเมตรจากปากแม่น้ำ เพื่อสร้างฐานข้อมูลสำหรับการจัดการมลพิษ
  4. ข้อเรียกร้อง 7 ข้อ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้:
    • แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขมลพิษข้ามพรมแดน โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ
    • จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ภายใน 30 วัน
    • เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย
    • สร้างความร่วมมือกับเมียนมาและกลุ่มกองกำลังว้าเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ
    • พัฒนาระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใสเพื่อแจ้งข้อมูลคุณภาพน้ำ
    • ขยายการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
    • เปิดเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ และจีน) โดยใช้กลไกระดับอาเซียนบวกจีน
  5. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนไปยังฝั่งเมียนมา แต่การเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นและขาดความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและสาขาจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง การผลักดันให้ปัญหานี้เข้าสู่เวทีอาเซียนและกลไกระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มแรงกดดันต่อการควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน

การวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาเป็นปัญหาที่มีมิติซับซ้อน ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกและสาขามีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศของแม่น้ำโขง การปนเปื้อนสารหนูอาจรบกวนห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งสัตว์น้ำและมนุษย์ การจัดการมลพิษต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดในรัฐฉาน และพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โรคผิวหนัง และความผิดปกติของระบบประสาทหากสะสมในร่างกายในระยะยาว การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้ การแจ้งเตือนและให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับวิธีป้องกันการสัมผัสสารหนูเป็นสิ่งสำคัญ

  • มิติด้านเศรษฐกิจ

การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการประมงและการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของชุมชนชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำกก การลดลงของผลผลิตทางการเกษตรและรายได้จากการประมงทำให้ชุมชนเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

การทำเหมืองในรัฐฉานอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กองกำลังว้า และได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศ ทำให้การเจรจาเพื่อควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองเป็นเรื่องซับซ้อน ความขัดแย้งทางการเมืองภายในเมียนมาทำให้การประสานงานข้ามพรมแดนเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม การผลักดันปัญหานี้สู่เวทีอาเซียนหรือกลไกระดับภูมิภาคอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการแก้ไข

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ รวมถึงการสนับสนุนชุดตรวจสารปนเปื้อนราคาประหยัด จะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การยกระดับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนสู่เวทีระหว่างประเทศจะช่วยสร้างความตระหนักและความร่วมมือในระดับภูมิภาค

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กิจกรรมเหมืองแร่เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการวิกฤตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐาน และการแจ้งเตือนประชาชนเป็นการป้องกันที่เหมาะสมในระยะสั้น การเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด

  • ภาคประชาชนและนักวิชาการ

ภาคประชาชนและนักวิชาการเห็นว่าการจัดการที่ต้นตอ เช่น การยุติการทำเหมืองในรัฐฉาน เป็นสิ่งจำเป็น การตรวจสอบน้ำและปลาเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้ พวกเขาต้องการให้มีการเจรจาระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาระบบสื่อสารที่โปร่งใสเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคุณภาพน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและสาขา: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พบสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) สูงสุดที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่, รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำ, 2568
  2. ความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำกก: พบพันธุ์ปลา 71 ชนิดในแม่น้ำกก รวมถึงปลาในบัญชีแดงของ IUCN อย่างน้อย 2 ชนิด (ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย) และนากใหญ่ธรรมดาที่กระจายตัวชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำ
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานการสำรวจสัตว์น้ำในแม่น้ำกก, 2567
  3. ผลกระทบต่อการประมง: รายได้จากการประมงในลุ่มน้ำกกและโขงในจังหวัดเชียงรายลดลง 25% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน จากเดิมที่มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  4. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในลุ่มน้ำกกในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 200,000 คน โดยรวม 9 กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่ ลาหู่ และปกาเกอะญอ
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่, ข้อมูลประชากร, 2567
  5. ความยาวและลักษณะของแม่น้ำกก: แม่น้ำกกมีความยาวในประเทศไทย 145 กิโลเมตร แบ่งเป็นตอนบน 62 กิโลเมตร ตอนกลาง 21 กิโลเมตร และตอนปลาย 62 กิโลเมตร มีลำห้วยสาขา 24 แห่ง
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำกก, 2567
  6. ปริมาณตะกอนดินจากน้ำท่วม: การน้ำท่วมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 นำตะกอนดินโคลนที่มีสารหนูในระดับสูงถึง 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมในบางจุด ซึ่งเกินค่ามาตรฐานสำหรับการอยู่อาศัย
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), 5 พฤษภาคม 2568

  • ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเครือข่ายแม่น้ำเพื่อชีวิต, เมษายน – พฤษภาคม 2568

  • การศึกษาพันธุ์ปลาของสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, 2567–2568

  • ประกาศเตือนประชาชนจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • มูลนิธิสยามเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านผวาปลาแม่น้ำโขง หลังพบโลหะหนัก กปภ. เร่งตรวจน้ำดิบ

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง หลังพบสารหนูปนเปื้อน ชาวบ้านหวั่นผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนานาชาติและเส้นเลือดหลักของชุมชนในจังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่ตรวจพบในระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย-เชียงแสน ประกาศแผนเร่งด่วนในการตรวจสอบน้ำดิบจากแม่น้ำโขงที่ใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอเชียงแสนและเชียงของ หลังทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงพบสารหนูในระดับสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แสดงความกังวลอย่างหนัก โดยหลายคนไม่กล้าบริโภคปลาและกังวลต่อผลกระทบต่อการเกษตรจากตะกอนดินโคลนที่อาจปนเปื้อน

สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนท้องถิ่น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในลุ่มน้ำโขง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติกำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบและวางมาตรการแก้ไข เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในแม่น้ำโขง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำโขง

แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในจังหวัดเชียงราย แม่น้ำโขงได้รับน้ำจากแม่น้ำสาขาหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งไหลมาจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พื้นที่เหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งทำเหมืองแร่ที่มีกิจกรรมต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแหล่งน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง น้ำในแม่น้ำสายมีลักษณะขุ่นขาวและมันวาวเมื่อกระทบแสงแดด แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใสกว่าปกติ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายรายงานว่าระบบผลิตน้ำประปาไม่สามารถกรองน้ำให้ใสได้ตามปกติ โดยน้ำดิบมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลากของปี 2567 และสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 จากอิทธิพลของพายุยางิ ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล สร้างความตื่นตัวให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เพื่อหาคำตอบว่าสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปถึงแม่น้ำโขงหรือไม่

การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขงและผลกระทบ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดยอาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง รวม 9 จุด ตั้งแต่บริเวณหัวฝาย อำเภอแม่สาย ไปจนถึงเทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน ผลการตรวจเบื้องต้นโดยใช้ชุดตรวจ Intelligent Heavy Metal Quantification Kit (IQUAN) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ในทุกจุด โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า

ผลการตรวจในจุดต่างๆ มีดังนี้:

  • จุดที่ 1: แม่น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม-หัวฝาย อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 3: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 4: คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.18 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 5: แม่น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 6: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 7: แม่น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 8: แม่น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 9: แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร

การค้นพบสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรกในพื้นที่เชียงราย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ร้ายแรง เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้ในการประมง การเกษตร และการผลิตน้ำประปาในหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ที่บ้านแก่งทรายมูล อำเภอเชียงแสน รายงานว่าไม่กล้าบริโภคปลาจากแม่น้ำโขง หลังกรมประมงเก็บตัวอย่างปลาเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อนเมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ความกังวลนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายพบว่าดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่เจริญเติบโต

นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการ กปภ. สาขาแม่สาย-เชียงแสน ระบุว่า ทาง กปภ. มีแผนเก็บตัวอย่างน้ำดิบจากแม่น้ำโขงในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะเน้นตรวจสอบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งจะดำเนินการถี่ขึ้นในช่วงหน้าแล้ง และปรับตามสถานการณ์ในฤดูน้ำหลาก เขายืนยันว่าระบบผลิตน้ำประปามีกระบวนการทางเคมีและการกรองที่สามารถกำจัดสารโลหะหนักได้ แต่การตรวจสอบน้ำดิบเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า “การพบสารหนูในแม่น้ำโขงไม่ใช่แค่ปัญหาของเชียงราย แต่เป็นปัญหาระดับภูมิภาค เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศ สารหนูที่สะสมในปลาหรือพืชผลทางการเกษตรอาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว หากไม่มีการจัดการที่ต้นตอ”

มาตรการแก้ไขและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤตการปนเปื้อนในแม่น้ำโขง หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ จะลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงภายในสัปดาห์นี้ ตามคำสั่งจากรองนายกรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ผลการตรวจจะใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
  2. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนน้ำไปยังฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก การเจรจานี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสารหนู
  3. การส่งเสริมการเฝ้าระวังโดยชุมชน: มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาเชียงราย ได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่และไทใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินและติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย: อาจารย์ ดร.สืบสกุล เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำถาวรในจังหวัดเชียงราย เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ รวมถึงสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีชุดตรวจคุณภาพน้ำราคาประหยัด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้หยุดกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกันระหว่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อปกป้องระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีมิติหลากหลาย ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

การพบสารหนูในแม่น้ำโขงบ่งชี้ถึงความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ สารหนูที่สะสมในดินและสัตว์น้ำอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า การจัดการปัญหานี้ต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในรัฐฉาน

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและโรคผิวหนังหากสะสมในร่างกายในระยะยาว ชาวบ้านที่พึ่งพาแม่น้ำโขงในการประมงและการเกษตรมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การตรวจสอบและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำนานาชาติ ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว การเจรจากับเมียนมาและประเทศอื่นๆ ในลุ่มน้ำโขงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งอาจทำให้การควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่เป็นไปได้ยาก

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับปัญหานี้สู่เวทีระหว่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและการสนับสนุนชุดตรวจราคาประหยัดจะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำของตนเอง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การตรวจสอบและปรับปรุงระบบน้ำประปาของ กปภ. เป็นมาตรการที่จำเป็น แต่การแก้ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงต้องเน้นที่การจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องแหล่งน้ำและสุขภาพประชาชน

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตมีความปลอดภัย และการตรวจสอบน้ำดิบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันความเสี่ยง

  • ชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาการ

ชาวบ้านและนักวิชาการกังวลว่าการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพและการเกษตร พวกเขาต้องการให้มีการจัดการที่ต้นตอ โดยเฉพาะการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ และการตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้าถึงได้สำหรับชุมชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำโขง: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำโขง บริเวณเทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน ที่ระดับ 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร และสูงสุดที่สามเหลี่ยมทองคำที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร (เกินมาตรฐาน 19 เท่า)
    ที่มา: สถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานการตรวจสอบน้ำ, 2568
  2. ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสาย: ในปี 2568 ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสายสูงถึง 7,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลาก และ 1,000 NTU ในช่วงปกติ เทียบกับ 3,000-4,000 NTU ในปี 2567
    ที่มา: การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย-เชียงแสน, รายงานคุณภาพน้ำ, 2568
  3. ผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567: น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ส่งผลให้มีตะกอนดินโคลนปนเปื้อนสารหนูในระดับที่อาจกระทบสัตว์หน้าดินใน 4 จาก 5 จุดที่ตรวจสอบ
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567
  4. การประมงในแม่น้ำโขง: ชุมชนในจังหวัดเชียงรายที่พึ่งพาการประมงในแม่น้ำโขงมีรายได้เฉลี่ย 500 ล้านบาทต่อปี แต่ลดลง 20% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  5. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในอำเภอแม่สายและเชียงแสนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 150,000 คน
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลประชากร, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: WHO < 0.01 mg/L

  • ค่าสารหนูสูงสุดที่พบ: 0.19 mg/L (สามเหลี่ยมทองคำ)

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • กรมทรัพยากรธรณี

  • กรมควบคุมมลพิษ

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1)

  • ข้อมูลตรวจน้ำประปาแม่สาย: กปภ.แม่สาย, เมษายน 2568 พบค่าสารหนู 0.014 mg/L

  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายเนื้อหอม ธุรกิจใหม่พุ่ง อันดับ 2 ภาคเหนือ

เชียงรายยังเติบโต ธุรกิจตั้งใหม่ไตรมาสแรกทะลุ 200 ราย สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่

ประเทศไทย, 5 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลใหม่ประจำไตรมาส 1/2568 (เดือนมกราคม – มีนาคม) โดยพบว่า จังหวัดเชียงรายมีจำนวนการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่รวม 241 ราย อยู่ในอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีจำนวนสูงสุดที่ 991 ราย และมากกว่าพิษณุโลกซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 ด้วยจำนวน 135 ราย

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเชียงรายในการเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของภาคเหนือ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการเป็นประตูการค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)

เชียงรายกับโอกาสทางธุรกิจที่กำลังขยายตัว

การเพิ่มขึ้นของจำนวนธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นภายใต้บริบทของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท้องถิ่น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในพื้นที่ ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านท่องเที่ยว การค้าชายแดน การขนส่ง และธุรกิจภัตตาคารร้านอาหารที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทางด่านพรมแดนแม่สาย

การมีสนามบินนานาชาติเชียงรายที่รองรับเที่ยวบินตรงจากจีนและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เช่น ถนนวงแหวนรอบเมือง ด่านโลจิสติกส์แม่สาย และศูนย์กลางกระจายสินค้า ล้วนส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในจังหวัดโดยตรง

ภาคเหนือยังคงมีพลวัตทางเศรษฐกิจ

นอกจากเชียงรายแล้ว จังหวัดในภาคเหนือที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง และลำพูน โดยตัวเลขการจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ในเชียงใหม่สูงถึง 991 ราย ขณะที่ลำปางและลำพูนมีจำนวน 111 และ 98 ราย ตามลำดับ ทั้งนี้ การกระจุกตัวของธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่มีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไตรมาสแรกปี 2568 มีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ในภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 2,267 ราย คิดเป็นประมาณ 9.5% ของทั้งประเทศ โดย 3 จังหวัดที่มีจำนวนสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (991 ราย), เชียงราย (241 ราย) และพิษณุโลก (135 ราย)

จำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลตั้งใหม่ ไตรมาส 1/2568 ใน 17 จังหวัดภาคเหนือ ดังนี้

  1. เชียงใหม่: 991 ราย
  2. เชียงราย: 241 ราย
  3. พิษณุโลก: 135 ราย
  4. นครสวรรค์: 129 ราย
  5. ลำปาง: 111 ราย
  6. ลำพูน: 98 ราย
  7. เพชรบูรณ์: 83 ราย
  8. ตาก: 82 ราย
  9. กำแพงเพชร: 70 ราย
  10. น่าน: 52 ราย
  11. อุตรดิตถ์: 51 ราย
  12. พะเยา: 50 ราย
  13. สุโขทัย: 47 ราย
  14. พิจิตร: 41 ราย
  15. แพร่: 39 ราย
  16. แม่ฮ่องสอน: 19 ราย
  17. อุทัยธานี: 17 ราย

ประเทศไทยยังน่าจับตามองในสายตานักลงทุนต่างชาติ

ในระดับประเทศ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่าในไตรมาสแรกของปี 2568 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่รวมทั้งสิ้น 23,823 ราย แม้จะลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเล็กน้อย (ประมาณ -4.72%) แต่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 79,920 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงมีต่อระบบเศรษฐกิจไทย

ที่น่าสนใจคือในไตรมาสเดียวกันนี้ มีการขออนุญาตจากนักลงทุนต่างชาติในการประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำนวนถึง 272 ราย เพิ่มขึ้นถึง 53% จากปีก่อนหน้า โดยมีเงินลงทุนรวมกว่า 47,033 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนจาก 5 ประเทศที่ลงทุนสูงสุด ได้แก่ ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, จีน, สิงคโปร์ และฮ่องกง ธุรกิจที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเหล่านี้ได้แก่ ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล พลังงานทางเลือก โลจิสติกส์ และการผลิตเพื่อส่งออก

ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ หนุนเศรษฐกิจภาคเหนือ

หนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจการขนส่งทางอากาศ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยในปี 2567 มีจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางผ่านทางอากาศในประเทศไทยถึง 141 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 16% ขณะที่เที่ยวบินมีจำนวนรวม 886,438 เที่ยว และมีการขนส่งสินค้าทางอากาศมากกว่า 1.5 ล้านตัน

ในระดับประเทศ มีนิติบุคคลด้านธุรกิจขนส่งทางอากาศจำนวน 141 ราย โดยเป็นธุรกิจขนาดเล็กถึง 81.56% มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 53,499 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มธุรกิจนี้สามารถทำกำไรในปี 2566 ถึง 73,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 185%

สำหรับจังหวัดเชียงราย การเติบโตของธุรกิจขนส่งทางอากาศกำลังเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยมีการเสนอให้พัฒนาอาคารคลังสินค้า และศูนย์กลางการบินภูมิภาคเพื่อรองรับการเติบโตของการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สายและพื้นที่รอยต่อสามเหลี่ยมทองคำ

ความท้าทายและโอกาสในระยะยาว

แม้ว่าแนวโน้มการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในจังหวัดเชียงรายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การคงความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนจากภาครัฐ การเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการท้องถิ่น และการเข้าถึงแหล่งทุน รวมถึงต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และมาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ

สถิติ

  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในเชียงรายไตรมาส 1/2568: 241 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ในภาคเหนือรวม: 2,267 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนธุรกิจใหม่ทั้งประเทศไตรมาส 1/2568: 23,823 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • จำนวนผู้โดยสารทางอากาศปี 2567: 141 ล้านคน (สำนักงานการบินพลเรือน)
  • จำนวนเที่ยวบิน: 886,438 เที่ยวบิน (CAAT)
  • มูลค่าการลงทุนจากต่างชาติในไทยไตรมาส 1/2568: 47,033 ล้านบาท จาก 272 ราย (BOI)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

เชียงรายประกาศปิด “ภูชี้ฟ้า” ชายแดนเดือด ‘ลาว’ ปะทะหนัก

อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าประกาศปิดจุดชมวิวชั่วคราว หลังเหตุปะทะชายแดนฝั่งลาว

เชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ) ได้ประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้าในพื้นที่ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น และตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับทหารลาว ส่งผลให้มีกระสุนปืนตกลงในฝั่งไทยและสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชน

เหตุการณ์นี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 และต่อเนื่องจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 โดยมีรายงานเสียงปืนและการปะทะอย่างรุนแรงในพื้นที่ภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง เมืองปากทา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าถือเป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมถึงป้องกันความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่ยังไม่คลี่คลาย

ความตึงเครียดชายแดนไทย-ลาว

จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเวียงแก่น เป็นพื้นที่ที่มีพรมแดนติดกับสปป.ลาว โดยมีแม่น้ำโขงและแนวเขตแดนธรรมชาติเป็นตัวแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศ พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่รู้จักในด้านความงามของธรรมชาติ โดยเฉพาะจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความใกล้ชิดกับชายแดนทำให้พื้นที่นี้มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ความไม่สงบในฝั่งลาว โดยเฉพาะในแขวงบ่อแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประวัติความขัดแย้งและการค้ายาเสพติด

ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่บ้านร่มฟ้าผาหม่น หมู่ 15 และบ้านผาตั้ง หมู่ 14 ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น เริ่มรายงานว่าได้ยินเสียงคล้ายปืนดังขึ้นเป็นระยะจากฝั่งลาว บริเวณเมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว รายงานดังกล่าวได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวด้านความมั่นคงชายแดน ซึ่งระบุว่าเกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายกับทหารลาว โดยมีการยึดฐานปฏิบัติการทหารลาวบริเวณภูผาหม่นได้ 3 จาก 4 แห่ง นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่ากระสุนปืนขนาด 7.62 มม. ตกลงในฝั่งไทย สร้างความเสียหายให้กับหลังคาบ้านของนางพิมพ์ใจ อนุชิตวรการ และนางสาวมรกต แซ่โซ้ง ในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่น

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับชุมชนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภูชี้ฟ้า ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับจุดปะทะ อำเภอเวียงแก่นจึงออกหนังสือด่วนที่สุด (ที่ ชร 1318.3/1165 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568) เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้งดทำกิจกรรมในพื้นที่ตามแนวชายแดนและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด การตัดสินใจปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าของอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าจึงเป็นผลสืบเนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและความจำเป็นในการปกป้องชีวิตของนักท่องเที่ยว

การปะทะในฝั่งลาวและผลกระทบต่อประเทศไทย

การปะทะในฝั่งสปป.ลาวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. และต่อเนื่องจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 โดยแหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุว่า กองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย ซึ่งคาดว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่ร่วมมือกับเครือข่ายนอกประเทศ ได้โจมตีฐานปฏิบัติการทหารลาวบริเวณภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว การโจมตีครั้งนี้ใช้ยุทธวิธีที่ผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยมีการแบ่งกำลังออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อล่อและโจมตีทหารลาวที่เข้ามาสนับสนุน ส่งผลให้ทหารลาวเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย รวมถึงนายทหารระดับหัวหน้า 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่ยังติดค้างอยู่ในพื้นที่ปะทะ

สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรงเมื่อกองกำลังติดอาวุธขุดหลุมและอุโมงค์เพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของทหารลาว ทำให้ทหารลาวไม่สามารถเข้าถึงฐานที่ถูกยึดได้ การใช้รถหุ้มเกราะและเฮลิคอปเตอร์ของทหารลาวก็เผชิญกับข้อจำกัด เนื่องจากภูมิประเทศที่เป็นป่าและมีถ้ำจำนวนมากในพื้นที่ภูผาหม่น นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ซึ่งติดตามพ่อที่เป็นทหารไปยังฐานปฏิบัติการ ติดอยู่ในพื้นที่ปะทะ สร้างความกังวลให้กับทางการลาวที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือ

ในฝั่งไทย หน่วยทหารพรานที่ 3104 (ทพ.3104) และฝ่ายปกครองอำเภอเวียงแก่นได้ตรึงกำลังตามแนวชายแดนตั้งแต่ผาตั้ง ภูชี้ดาว ภูชี้เดือน ไปจนถึงภูชี้ฟ้า เพื่อป้องกันผลกระทบจากเหตุการณ์ในลาว นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ นายอำเภอเวียงแก่น ระบุว่า ได้ออกตรวจพื้นที่เสี่ยงและสั่งการให้ผู้นำชุมชนจัดชุดเวรยามเพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์ รวมถึงขอความร่วมมือจากประชาชนให้แจ้งเบาะแสหากพบบุคคลต้องสงสัยในพื้นที่

ด้านสถานีเรือเชียงของได้จัดชุดลาดตระเวนทางน้ำเพื่อรักษาความปลอดภัยบริเวณแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นจุดที่อาจได้รับผลกระทบจากการปะทะในฝั่งลาว การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยงจากกระสุนปืนที่อาจตกลงในฝั่งไทย และปกป้องนักท่องเที่ยวจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน

สถานการณ์ล่าสุดและมาตรการรับมือ

จนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในฝั่งลาวเริ่มสงบลง โดยไม่มีรายงานการปะทะเพิ่มเติมตั้งแต่ช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม ทางการลาวยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ภูผาหม่นได้ทั้งหมด และยังคงเผชิญกับความท้าทายในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเด็กหญิงที่ติดอยู่ในฐานปฏิบัติการ มีรายงานว่าทางการลาวจับกุมสมาชิกกองกำลังติดอาวุธได้ 2 ราย ซึ่งให้การว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่มีการวางแผนโจมตีมานาน โดยอาจเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ

ก่อนหน้านี้ ตำรวจเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ได้ยึดยาบ้า 20.2 ล้านเม็ด ซึ่งถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ในพื้นที่ ชาวบ้านในลาวจึงเชื่อว่าเหตุปะทะครั้งนี้อาจเป็นการตอบโต้จากกลุ่มค้ายาเสพติดที่สูญเสียผลประโยชน์จากการปราบปรามของทางการลาว อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน และทางการลาวยังไม่เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มกองกำลังดังกล่าว

ในฝั่งไทย อำเภอเวียงแก่นได้ออกหนังสือสอบถามไปยังเมืองปากทา ซึ่งได้รับคำตอบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องภายในของลาว และจะแจ้งความคืบหน้าเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย นายสุพจน์ ลังกาวีระนันท์ กล่าวว่า “ขณะนี้เราเน้นการเฝ้าระวังและปกป้องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดน” ทางการไทยยังคงประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงในลาวเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าจะยังคงมีผลจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ โดยอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้าได้ประชาสัมพันธ์ผ่านเพจ “อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า-Phu Chi Fa National Park” เพื่อแจ้งนักท่องเที่ยวให้งดเดินทางมายังพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ ทางการได้แนะนำให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้แนวชายแดนเพื่อความปลอดภัย

ความท้าทายและโอกาส

เหตุการณ์ปะทะในฝั่งลาวและผลกระทบต่อประเทศไทยสะท้อนถึงความซับซ้อนของสถานการณ์ชายแดน ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งความมั่นคง การค้ายาเสพติด และความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ดังนี้:

มิติด้านความมั่นคง

การปะทะในฝั่งลาวเผยให้เห็นถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำหรับการค้ายาเสพติดและกิจกรรมข้ามชาติ การที่กระสุนปืนตกลงในฝั่งไทยแสดงถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศ รวมถึงการพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า

มิติด้านการท่องเที่ยว

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชนท้องถิ่น ผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น โรงแรมและร้านอาหาร อาจเผชิญกับรายได้ที่ลดลงในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม การปิดชั่วคราวนี้เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานในการปกป้องนักท่องเที่ยว ซึ่งอาจช่วยรักษาความเชื่อมั่นในระยะยาว

มิติด้านการค้ายาเสพติด

การสันนิษฐานว่าเหตุปะทะเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการปราบปรามยาเสพติดในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ การจับกุมยาบ้า 20.2 ล้านเม็ดในแขวงบ่อแก้วแสดงถึงความเข้มงวดของทางการลาว แต่ก็อาจกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้จากกลุ่มค้ายา การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างไทย ลาว และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ไทยและลาวพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงและการจัดการชายแดน การจัดตั้งกลไกประสานงานฉุกเฉินและการแลกเปลี่ยนข้อมูลจะช่วยลดผลกระทบจากความขัดแย้งในอนาคต นอกจากนี้ การส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดเชียงราย เช่น วัดร่องขุ่นหรือดอยช้าง อาจช่วยชดเชยผลกระทบจากการปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้า

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

  • หน่วยงานความมั่นคงและทางการไทย หน่วยงานความมั่นคงและทางการไทยมองว่าการปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าและการตรึงกำลังตามแนวชายแดนเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยว การแจ้งเตือนและการประสานงานกับฝั่งลาวแสดงถึงความรับผิดชอบในการจัดการสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของไทย
  • ชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการ ชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการในพื้นที่อาจรู้สึกกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปิดแหล่งท่องเที่ยวและความเสียหายจากกระสุนปืนที่ตกลงในฝั่งไทย พวกเขาต้องการให้ทางการแก้ไขสถานการณ์อย่างรวดเร็วและให้การสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลกระทบ

การปิดจุดชมวิวภูชี้ฟ้าและการตรึงกำลังตามแนวชายแดนเป็นมาตรการที่สมเหตุสมผลเพื่อปกป้องความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทางการควรพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และสื่อสารข้อมูลอย่างชัดเจนเพื่อลดความตื่นตระหนกของประชาชน การประสานงานกับฝั่งลาวเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันเหตุการณ์ซ้ำในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวที่ภูชี้ฟ้า: ในปี 2567 จุดชมวิวภูชี้ฟ้ามีนักท่องเที่ยวประมาณ 500,000 คน สร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นประมาณ 1,000 ล้านบาท
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  2. การจับกุมยาเสพติดในแขวงบ่อแก้ว: ตำรวจเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว จับกุมยาบ้า 20.2 ล้านเม็ดในปี 2568 ถือเป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 5 ปี
    ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 5 พฤษภาคม 2568
  3. ความเสียหายจากกระสุนปืน: มีบ้านเรือนในหมู่บ้านร่มฟ้าผาหม่นเสียหายจากกระสุนปืน 2 หลัง โดยกระสุนขนาด 7.62 มม. ตกในพื้นที่เมื่อวันที่ 3-4 พฤษภาคม 2568
    ที่มา: อำเภอเวียงแก่น, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 4 พฤษภาคม 2568
  4. จำนวนผู้เสียชีวิตในฝั่งลาว: การปะทะที่ภูผาหม่นและบ้านเชียงตอง ส่งผลให้ทหารลาวเสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
    ที่มา: สำนักข่าวชายขอบ, รายงานจากแหล่งข่าวความมั่นคง, 5 พฤษภาคม 2568
  5. ความถี่ของเหตุการณ์ชายแดน: ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2564-2568) มีรายงานเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-ลาวในจังหวัดเชียงรายอย่างน้อย 10 ครั้ง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
    ที่มา: กองกำลังผาเมือง, รายงานความมั่นคงชายแดน, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  • สำนักข่าวชายขอบ, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 5 พฤษภาคม 2568
  • อำเภอเวียงแก่น, รายงานสถานการณ์ชายแดน, 4 พฤษภาคม 2568
  • สำนักข่าวชายขอบ, รายงานจากแหล่งข่าวความมั่นคง, 5 พฤษภาคม 2568
  • กองกำลังผาเมือง, รายงานความมั่นคงชายแดน, 2567
  • อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า (เตรียมการ)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE