Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ภัยน้ำไม่หวั่น! เชียงรายเดินหน้าติดตั้งโทรมาตรน้ำ สร้างเครือข่ายประชาชน

เชียงรายเดินหน้าสร้างเครือข่ายแจ้งเตือนภัยภาคประชาชน ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำริมแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย เสริมแผนรับมือภัยพิบัติอย่างมีส่วนร่วม

เชียงราย, 20 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายประกาศเดินหน้าก้าวสำคัญในการสร้างระบบการแจ้งเตือนภัยและบริหารจัดการภัยพิบัติระดับชุมชนอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อแจ้งเตือนภัยในลำน้ำแม่กกและลำน้ำแม่สายอย่างมีส่วนร่วม โดยมุ่งเป้ายกระดับการป้องกันภัยพิบัติให้ครอบคลุมทั้งมิติทางวิทยาศาสตร์และมิติของการมีส่วนร่วมในชุมชน

ขับเคลื่อนชุมชนเข้มแข็ง สู่ระบบแจ้งเตือนภัยยุคใหม่

กิจกรรมสำคัญจัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 14.00 น. ณ ศาลาประชาคมหมู่บ้านเมืองงิม ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน โดยภายในงานมีหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ตำบลริมกกเข้าร่วมกันอย่างคับคั่ง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้กล่าวถึงนโยบายสำคัญของจังหวัดในการยกระดับศักยภาพของประชาชนในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของ “เครือข่ายอาสาสมัครแจ้งเตือนภัย” ว่าเป็นฟันเฟืองหลักของการจัดการภัยพิบัติในยุคปัจจุบัน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนจะทำให้ระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยในพื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนสามารถดูแลและปกป้องตนเองจากภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน

ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำ – เสริมเขี้ยวเล็บระบบเตือนภัยริมลำน้ำสำคัญ

หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมดังกล่าว คณะผู้บริหารจังหวัดได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบริเวณจุดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในอดีต เพื่อประเมินสภาพและหาแนวทางบรรเทาปัญหาในระยะยาว จากนั้นเดินทางต่อไปยังสะพานข้ามแม่น้ำกกบ้านเวียงคือนา เพื่อสำรวจจุดติดตั้งเสาวัดระดับน้ำ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมสำคัญในการเสริมระบบเตือนภัยน้ำท่วมของจังหวัดในปีนี้

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเปิดเผยว่า จังหวัดได้เริ่มติดตั้งโทรมาตรน้ำหรือเสาวัดระดับน้ำอย่างจริงจังในปีงบประมาณ 2568 โดยมีแผนการติดตั้งเสาระดับน้ำจำนวน 10 จุดริมแม่น้ำกก และ 11 จุดริมแม่น้ำสาย เพื่อให้ชุมชนสามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนระดับน้ำได้แบบเรียลไทม์ ลดความเสี่ยงในการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น

ขณะเดียวกัน จังหวัดยังเร่งดำเนินการขุดลอกแม่น้ำกก โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้ามากกว่าร้อยละ 50 พร้อมเตรียมขยายแผนไปยังแม่น้ำสาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำและลดความเสี่ยงน้ำท่วมในฤดูฝน

สร้างความพร้อมและความเข้มแข็งในทุกชุมชน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังเน้นย้ำถึงบทบาทของ “อาสาสมัครแจ้งเตือนภัย” ประจำหมู่บ้านทุกแห่ง โดยอาสาสมัครเหล่านี้ต้องปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ แจ้งเตือนข้อมูลอย่างถูกต้องแก่ชาวบ้านในพื้นที่ และเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งจุดพักพิงให้กับผู้เปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย รวมถึงการส่งต่ออาหาร น้ำดื่ม เครื่องนุ่งห่ม และเวชภัณฑ์ได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

“เราจะอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ไม่ได้ เราต้องมีหน้าที่ร่วมกัน และให้ความร่วมมือกันทุกฝ่าย นี่คือแผนที่จังหวัดเชียงรายจะดำเนินการร่วมกับส่วนราชการ ท้องถิ่น และประชาชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และร่วมกันฝ่าวิกฤตภัยพิบัติในปี 2568 นี้ไปด้วยกัน” นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวทิ้งท้าย

วิเคราะห์และบทสรุป

ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของจังหวัดเชียงรายที่ได้นำเทคโนโลยีและแนวคิดการบริหารจัดการร่วมกับชุมชนมาใช้แบบบูรณาการ เสริมศักยภาพให้ประชาชนได้มีบทบาทสำคัญในระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่น ๆ ในการยกระดับการจัดการภัยพิบัติบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมและความร่วมมือทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานกิจกรรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชน 20 มิถุนายน 2568
  • คำกล่าวของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35)
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วิกฤตน้ำกก 7 ชุมชนรวมพลังสู้ภัยพิษ-น้ำท่วม ชี้รัฐไร้คำตอบ

เชียงรายผนึกพลังชุมชน สู้วิกฤต “น้ำกก-น้ำโขง” ปนเปื้อนสารพิษ ขยายเครือข่ายรับมือภัยพิบัติข้ามพรมแดน

ปัญหาแม่น้ำปนเปื้อนข้ามพรมแดนกลายเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของชุมชนริมฝั่งน้ำกกและแม่น้ำโขง

เชียงราย, 8 มิถุนายน 2568 – เมื่อเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.) และองค์กรภาคประชาชนจากจังหวัดเชียงรายรวมตัวเปิดเวทีแลกเปลี่ยน ณ โฮงเฮียนแม่น้ำของ อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย หวังต่อยอดการเฝ้าระวังเชิงรุกจากปัญหาน้ำท่วมสู่การรับมือ “น้ำเป็นพิษ” ที่กำลังแทรกซึมเข้าสู่วิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างเงียบงัน

การรวมตัวของผู้แทนจาก 7 หมู่บ้านสองฝั่งแม่น้ำกก ได้แก่ บ้านร่มไทย, บ้านใหม่หมอกจ๋าม, บ้านผาใต้, บ้านจะคือ, บ้านแคววัวดำ, บ้านผาขวาง และบ้านโป่งนาคำ นับเป็นการรวมพลังท้องถิ่นที่ไม่รอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงฝ่ายเดียว โดยในวงเสวนา มีการเปิดเผยถึงสถานการณ์จริงจากพื้นที่ที่ต้องเผชิญภัยน้ำหลากซ้ำซาก รวมถึงการพบสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ปรอท และแคดเมียม ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากเหมืองแร่ต้นน้ำฝั่งเมียนมาที่มีมากกว่า 40 แห่งโดยไม่มีข้อมูลเปิดเผย

เสียงจากชุมชน เมื่อแม่น้ำไม่ปลอดภัย ชีวิตต้องสู้เพื่ออยู่กับความจริง

“ตอนนี้เราดื่มน้ำไม่ได้ จับปลามาก็ไม่แน่ใจว่าจะกินได้ไหม ปลูกผักก็ไม่มั่นใจเรื่องดิน” คือคำกล่าวจากชาวบ้านในเวทีที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำ แต่กลับถูกบีบให้เผชิญกับสารพิษที่ไร้ชื่อ ผู้คนต้องกลายเป็นแนวหน้ารับผลกระทบโดยไม่มีระบบเตือนภัย ไม่มีข้อมูลจากรัฐที่สามารถตรวจสอบได้ และไม่มีกลไกใดที่สามารถชะลอความเสียหายได้ทันท่วงที

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ “ครูตี๋” ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ เปิดเผยว่า การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำโดยภาคประชาชนพบว่าปริมาณตะกอนและโลหะหนักในแม่น้ำโขงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากต้นน้ำในเมียนมาไปจนถึงเชียงของ การเฝ้าระวังจากรัฐยังล่าช้าและไม่มีช่องทางให้ชาวบ้านมีส่วนร่วม ทั้งที่ประชาชนคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน จากวัดท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวอย่างมีพลังว่า “เราเป็นลูกแม่น้ำกก เราจะไม่ยอมให้สิ่งแวดล้อมของลูกหลานเราถูกทำลาย แม้เราจะไม่เห็นผลในรุ่นเรา แต่เราจะส่งต่อการต่อสู้ต่อไป”

การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากล่างขึ้นบน สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังภัยพิบัติ

ในกิจกรรมครั้งนี้ยังมีการอบรมการวัดระดับน้ำ การตรวจค่าตะกอน และการใช้ไลน์กลุ่มแจ้งเตือนระดับน้ำเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ฉับพลัน โดยมีผู้แทนจากทั้งท้องถิ่น ภิกษุ ผู้นำชุมชน และภาคประชาสังคมเข้าร่วมอย่างเข้มแข็ง นายทาเคโอ โตโยต้า ผู้เชี่ยวชาญจากโครงการเสริมศักยภาพฯ ได้ถ่ายทอดเทคนิคการเตือนภัยที่ใช้ได้จริงในพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้เครือข่ายสามารถช่วยเหลือกันเองเมื่อเกิดภัยซ้ำ

ชาวบ้านแต่ละพื้นที่ยังได้แชร์ประสบการณ์น้ำท่วมหนักในปี 2567 ทั้งที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า น้ำขึ้นกว่า 20 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง และบางพื้นที่ถึงขั้นสูญเสียผู้คนจากความเศร้าหลังภัยพิบัติ ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นในการมีระบบเตือนภัยที่แม่นยำและทันท่วงที

รัฐเริ่มขยับ ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในเชียงราย-เชียงใหม่

ในวันเดียวกัน นายนิกร ศิรโรจนานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” รวม 4 จุด ได้แก่

  • จุดที่ 1: ศูนย์การแพทย์แผนไทย อบต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 2: ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก)
  • จุดที่ 3: ด่านพรมแดนแม่สาย (แม่น้ำสาย)
  • จุดที่ 4: สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำโขง)

โดยแต่ละจุดจะตรวจสอบคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน และสารปนเปื้อน พร้อมแสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อมูลสาธารณะโปร่งใส พร้อมรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนอย่างเป็นระบบ

เส้นทางต่อสู้ของประชาชนเมื่อรัฐยังช้า

แม้การตั้งศูนย์เฝ้าระวังจะเป็นสัญญาณบวก แต่คำถามสำคัญคือ “ทันหรือไม่?” เพราะชาวบ้านยังต้องใช้น้ำ กินปลา และปลูกผักอยู่ทุกวัน ขณะที่สารพิษอาจแพร่กระจายโดยไร้การเตือน

เวทีในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ แต่คือการส่งสัญญาณเตือนรัฐและสังคมไทยว่า ภัยพิบัติในยุคใหม่ไม่ได้มีเพียงน้ำหลากหรือแผ่นดินไหว แต่รวมถึง “ภัยเงียบ” จากสารพิษที่ไหลมากับสายน้ำ และไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
  • เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (คอก.)
  • กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
  • สัมภาษณ์ภาคสนามโดยสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
    (เผยแพร่วันที่ 8 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรวมพลัง! ปิดเหมืองกอบกู้แม่น้ำ จี้รัฐบาลเร่งแก้พิษ

เชียงรายรวมพลัง “ปอยหลวงปิดเหมือง” วันสิ่งแวดล้อมโลก เรียกร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาสารพิษข้ามแดนในลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – บรรยากาศเช้าวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เต็มไปด้วยเสียงกลอง พลังศรัทธา และความหวัง เมื่อชาวเชียงรายกว่า 1,000 คน ทั้งภาคประชาสังคม เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนหลากหลายกลุ่ม จัดกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” ภายใต้สัญลักษณ์แถลงการณ์ 5 ภาษา ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เร่งฟื้นฟูแม่น้ำสายหลักภาคเหนือที่กำลังเผชิญวิกฤตสารปนเปื้อนข้ามพรมแดนจากเหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

จุดเริ่มต้นของ “ขบวนแห่” เพื่อสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 9 โมงเช้า ณ สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง ด้วยขบวนแห่ขนาดใหญ่ นำโดยสมาคมขัวศิลปะที่นำงาน “ศพปลาแค้” สะท้อนผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำ ตามด้วยนักเรียน ชาวบ้าน และกลุ่มเยาวชนซึ่งหลายคนเป็น “เสียงจริง” จากชุมชนที่ได้รับผลกระทบทั้งจากการจับปลาไม่ได้ การลงเล่นน้ำแล้วมีอาการผื่นคัน ไปจนถึงการดำรงชีพที่ถูกเปลี่ยนแปลงเพราะวิกฤตสิ่งแวดล้อม

จุดไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเดินเท้าของประชาชนและนักเรียนจากสวนฯ ไปจนถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำกก พร้อมการอ่านแถลงการณ์ 5 ภาษา – ไทย อังกฤษ จีน เมียนมา และไทใหญ่ – เรียกร้องให้ผู้นำประเทศ รวมถึงรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า เร่งปิดเหมืองต้นเหตุปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

แถลงการณ์ถึงรัฐบาลไทยและประชาคมโลก

ตัวแทนเครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ได้นำรายชื่อผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คนเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมกับยื่นข้อเรียกร้องผ่านตัวแทนไปยังรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า

รองปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ส่งหนังสือถึงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือในการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ พร้อมกับนัดหมายหารือระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ วันที่ 6 มิถุนายนนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจะประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อเดินหน้ามาตรการอย่างเร่งด่วน

เสียงจากคนท้องถิ่น “หยุดเหมืองพิษ คืนชีวิตให้สายน้ำกก”

ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ “ครูตี๋” นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว เผยว่า ผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง โดยในปีนี้พบปลาจำนวนมากมีตุ่มพองและตายผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็มีรายงานจากชาวบ้านที่ลงเล่นน้ำแล้วเกิดผื่นคัน ต้องใส่ชุดป้องกันเต็มที่

“วันนี้รัฐบาลคงเห็นแล้วว่าประชาชนคนเชียงรายมองว่าปัญหานี้มีความสำคัญกับชีวิต ถ้ารัฐบาลยังช้า หรือไม่ขับเคลื่อนอย่างจริงจัง จะเกิดปัญหาสุขภาพและอาชีพประชาชนในระยะยาว สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนที่สุดคือ หยุดเหมือง และฟื้นฟูลำน้ำให้กลับมาเป็นปกติ” ครูตี๋กล่าว

ข้อเสนอและความคาดหวัง

กิจกรรมครั้งนี้ นอกจากเป็นสัญลักษณ์การรวมพลังของคนเชียงรายแล้ว ยังถือเป็นการส่งเสียงเตือนที่ดังไปถึงส่วนกลางและนานาชาติว่าการจัดการกับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่ายทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมขอให้รัฐใช้มาตรการทางการทูตและความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมกับเมียนมาและจีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของไทยไม่ให้ถูกทำลายเพราะปัญหาจากภายนอก

ประชาชนยังเสนอให้รัฐเร่งรัดระบบเตือนภัยคุณภาพน้ำ ตรวจสอบคุณภาพปลาน้ำจืดในท้องถิ่น และมีมาตรการฟื้นฟูทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงเร่งส่งเสริมให้มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านระบบนิเวศในลุ่มน้ำข้ามแดน

บทสรุปและผลลัพธ์

“ปอยหลวงปิดเหมือง” ในปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือเสียงสะท้อนของผู้คนที่ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ชาวเชียงรายและประชาชนที่เกี่ยวข้องยังรอคอยความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News