Categories
ECONOMY

คนต่างชาติแห่ซื้อคอนโดไทย โอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น 3.1%

คนต่างชาติซื้อคอนโดในไทย 9 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้น 3.1% มูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือคอนโดมิเนียม ของคนต่างชาติทั่วประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) พบว่า มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ 11,036 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่ารวม 51,458 ล้านบาท ลดลง 1.5%

โอนกรรมสิทธิ์ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่า

ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 การโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวน 3,756 หน่วย เพิ่มขึ้น 11.6% และมีมูลค่ารวม 18,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% ซึ่งแสดงถึงความสนใจที่ยังคงมีจากคนต่างชาติในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย

กรุงเทพฯ-ชลบุรี ครองสัดส่วนสูงสุด

จังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. กรุงเทพมหานคร: มีจำนวนหน่วย 4,269 หน่วย คิดเป็น 38.7% มูลค่า 30,528 ล้านบาท
  2. ชลบุรี: มีจำนวนหน่วย 3,976 หน่วย คิดเป็น 36% มูลค่า 11,021 ล้านบาท
  3. ภูเก็ต
  4. เชียงใหม่
  5. สมุทรปราการ

เมื่อรวมสัดส่วนของกรุงเทพฯ และชลบุรี จะคิดเป็น 74.7% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด และ 80.7% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติทั่วประเทศ

ผู้ซื้อสัญชาติเมียนมาและอินเดียโดดเด่น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ผู้ซื้อคอนโดมิเนียมสัญชาติเมียนมามีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้นถึง 202.6% ขณะที่ผู้ซื้อสัญชาติอินเดียมีมูลค่าการโอนต่อหน่วยมากที่สุด โดยเฉลี่ย 6.3 ล้านบาท ต่อหน่วย และขนาดห้องเฉลี่ย 76.5 ตารางเมตร

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทย

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติในไทยยังคงได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น กรุงเทพฯ และชลบุรี ซึ่งมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มขึ้นของจำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์แสดงถึงศักยภาพของตลาดในระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
NEWS UPDATE

อสังหาฯ ไทยรับมือสังคมสูงวัย เน้นที่อยู่อาศัยตอบโจทย์

การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทยปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 รายงานข่าวจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลสำรวจเกี่ยวกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยระบุว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจาก 6.8% ในปี 2537 เป็น 20% ในปี 2567 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4.89% อย่างไรก็ตาม การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน

สถานการณ์การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ

ปี 2567 พบว่า มีโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุทั้งหมด 916 โครงการ แบ่งเป็นเนอร์สซิ่งโฮม 832 โครงการ และที่อยู่อาศัยทั่วไป 84 โครงการ โดยพื้นที่ที่มีโครงการมากที่สุดอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 516 โครงการ นอกจากนี้ อัตราการเข้าพักในเนอร์สซิ่งโฮมเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 70.91% โดยจังหวัดชลบุรีมีอัตราการเข้าพักสูงสุดที่ 76.95% ตามมาด้วยนครราชสีมา 73.71% และเชียงใหม่ 73.07%

ในส่วนของที่อยู่อาศัย อัตราการเข้าพักในจังหวัดสมุทรปราการอยู่ที่ 70.91% และกรุงเทพฯ อยู่ที่ 75.64% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตเมืองและศูนย์กลางเศรษฐกิจ

ราคาค่าเช่าและการเข้าถึงบริการ

ผลสำรวจระบุว่าค่าเช่าเนอร์สซิ่งโฮมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มภาครัฐและมูลนิธิอยู่ในช่วง 15,001-20,000 บาท ขณะที่กลุ่มเอกชนมีค่าเช่าสูงถึง 30,001-50,000 บาท ส่วนโครงการที่อยู่อาศัยของภาครัฐมีค่าเช่าเฉลี่ยต่ำกว่า 10,000 บาท โดยกลุ่มเอกชนมีค่าเช่าที่นิยมอยู่ในช่วง 30,001-50,000 บาท

รายได้และการพัฒนากลไกสนับสนุน

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่พึ่งพารายได้จากบุตร 35.7% รองลงมาคือรายได้จากการทำงาน เบี้ยยังชีพ และบำนาญ ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนากลไกทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เช่น สินเชื่อเพื่อที่พักอาศัยแบบเช่าระยะยาว การซื้อสิทธิ์การอยู่อาศัย และโครงการขายหรือเช่าในราคาที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มรายได้ปานกลางถึงต่ำ

มุมมองอนาคต

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้พัฒนาสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยผลักดันการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน

ข่าวดังกล่าวสะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยเน้นการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความต้องการที่หลากหลายของประชากรกลุ่มนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แห่ขายบ้านเพิ่มขึ้น ในธุรกิจเอสเอ็มอีชั้นกลาง

การแห่ขายบ้านที่ดินเพิ่มขึ้นในธุรกิจเอสเอ็มอีคนชั้นกลาง ท่ามกลางพิษเศรษฐกิจและหนี้เรื้อรัง

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวได้รายงานสถานการณ์ตลาดบ้านมือสองที่เข้าสู่ตลาดในปัจจุบัน โดยนายปรีชา ศุภปิติพร นายกสมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้เปิดเผยว่าตลาดบ้านมือสองในปัจจุบันมีสองประเภทหลัก คือ ผู้ขายบ้านเองและผู้ที่ถูกบังคับให้ขายเนื่องจากเป็นหนี้เสีย ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มีการเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลังโควิด-19

ปัจจัยที่ทำให้ตลาดบ้านมือสองขยายตัว

หลังจากมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลสิ้นสุดลง ทำให้หลายธุรกิจเอสเอ็มอีและคนชั้นกลางต้องเผชิญกับปัญหาหนี้เสีย ส่งผลให้มีการนำที่ดินมาฝากขายมากขึ้น ในกรณีของธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ทำให้พวกเขาต้องขายบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียมเพื่อชำระหนี้ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความต้องการบ้านมือสองสูง

การแข่งขันในตลาดบ้านมือสองและความสนใจจากบริษัทรับซื้อหนี้

ทรัพย์สินมือสองเริ่มได้รับความสนใจจากบริษัทรับซื้อหนี้มากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดและราคาการซื้อหนี้สูงขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาทที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและราคาขายไม่สูงมาก ทำให้บ้านมือสองมีการซื้อขายเปลี่ยนมือคล่องกว่าบ้านมือหนึ่งที่มักจะมีการกู้ยืมสูง

ภาพรวมตลาดบ้านมือสองในไตรมาสที่ 2/2567

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 2/2567 ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศมีการประกาศขายทั้งหมด 140,725 หน่วย มูลค่า 718,436 ล้านบาท โดยประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการประกาศขายมากที่สุด ได้แก่:

  1. บ้านเดี่ยว: 55,754 หน่วย (39.6%) มูลค่า 373,917 ล้านบาท (52.0%)
  2. ทาวน์เฮ้าส์: 41,384 หน่วย (29.4%) มูลค่า 105,191 ล้านบาท (14.6%)
  3. ห้องชุด: 35,963 หน่วย (25.6%) มูลค่า 201,887 ล้านบาท (28.1%)
  4. อาคารพาณิชย์: 5,326 หน่วย (3.8%) มูลค่า 30,635 ล้านบาท (4.3%)
  5. บ้านแฝด: 2,298 หน่วย (1.6%) มูลค่า 6,805 ล้านบาท (0.9%)
ความท้าทายและความหวังในอนาคตของตลาดบ้านมือสอง

แม้ว่าในช่วงต้นปีตลาดบ้านมือสองจะมีการขยายตัวดี แต่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตลาดเริ่มชะลอตัวเนื่องจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน การเมืองที่ไม่เสถียร และนโยบายเศรษฐกิจที่ยังไม่เดินหน้าเต็มที่ อย่างไรก็ตาม นายปรีชา ศุภปิติพร ยังคงมีความหวังว่าเมื่อรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ เศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้น ทำให้ตลาดบ้านมือสองกลับมาเติบโตอีกครั้ง

มาตรการและแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและตลาดบ้านมือสอง

รัฐบาลมีแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการลดภาระหนี้ครัวเรือนและสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี เพื่อให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสามารถในการผ่อนชำระบ้านและลดการเกิดหนี้เสีย นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการซื้อขายบ้านมือสองผ่านโครงการต่างๆ และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดบ้านมือสอง

บทสรุป

ตลาดบ้านมือสองในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและหนี้เรื้อรัง แต่ก็ยังมีโอกาสในการเติบโตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวและรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ ความสนใจจากบริษัทรับซื้อหนี้และการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นตลาดบ้านมือสองให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News