Categories
NEWS UPDATE

“ภูมิธรรม” ชูโรดแมป 8 Quick Wins บีบงานเร่งด่วนเห็นผลใน 90 วัน

“8 Quick Wins” กับโจทย์ใหญ่ของมหาดไทยภายใน 3 เดือน

  • บริบทความเร่งด่วนมี “ตัวเลข” รองรับ: หนี้ครัวเรือนไทยแตะ ราว 91% ของจีดีพี ในไตรมาส 1/2568—ระดับใกล้จุดสูงสุดและยังเป็นแรงกดทับคุณภาพชีวิตประชาชนและกำลังซื้อฐานราก ขณะที่คดีอาชญากรรมออนไลน์ปี 2567 ก่อความเสียหาย หลายหมื่นล้านบาท สวนกระแสความพยายามกวาดล้างของรัฐ อีกด้าน ปัญหายาเสพติดยังรุนแรงต่อเนื่องตามด่านชายแดนและโครงข่ายข้ามชาติ ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณเตือนจาก UNODC/AP ว่าปริมาณ “ยาเสพติดสังเคราะห์” ในภูมิภาคยังสูง การประกาศ “3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข” จึงวางโจทย์ตรงกลางระหว่าง ความมั่นคงของชุมชน และ คุณภาพชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน ที่ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมเร็ว ๆ นี้
  • กลไกขับเคลื่อน ทุก 15 วัน กับ คณะกรรมการระดับชาติ ที่รัฐมนตรีตั้งขึ้น โดยมีนายอภิชาติ โตดิลกเวชช์เป็นประธาน ถือเป็น “สวิตช์ความเร็ว” ที่จะทดสอบระบบบังคับบัญชาแบบยกกำลัง—จากส่วนกลางลงถึงจังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน พร้อมกำหนดเส้นตาย 3 เดือน เพื่อปิดดีล “Quick Wins” แรกของกระทรวง
  • หากคิกออฟใหญ่ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน เป็นการ “ตั้งธง” ทางการเมือง-นโยบายให้ตรงกันทั้งประเทศ คำประกาศ “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม : มองไกล ใจเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่งประชาชน” คือประโยคตั้งเข็มทิศที่ต้องพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงในพื้นที่ ไม่ใช่เพียงสโลแกน

 “ภูมิธรรม” ชูโรดแมป “8 Quick Wins” บีบงานเร่งด่วนเห็นผลใน 90 วัน ตั้งคกก.ติดตามทุก 15 วัน เร่ง “ไร้ทุกข์”–ต่อยอด “สร้างสุข” ให้ประชาชน

ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดถึงนายอำเภอ จากปลัดอำเภอถึงผู้นำท้องถิ่น ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงและภาคีเครือข่าย เมื่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก้าวขึ้นเวทีและประกาศคำมั่น มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม มองไกล ใจเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่งประชาชน” ก่อนเปิดแผนเร่งด่วน “8 Quick Wins: 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข” พร้อมเส้นตาย “ให้เห็นผลจริงภายใน 3 เดือน” เพื่อยืนยันว่าคำสัญญาจากส่วนกลางจะไม่หยุดแค่พิธีเปิด แต่จะไปต่อถึงปลายน้ำในทุกตำบล หมู่บ้าน และชุมชนทั่วประเทศ

ทำไม “ตอนนี้” และ “เร็ว” จึงสำคัญ

เบื้องหลังคำว่า “Quick Wins” มีเหตุผลเชิงโครงสร้างรองรับ ในระดับครัวเรือน ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 1/2568 อยู่แถว 91% ของจีดีพี ระดับ “สูงติดอันดับโลก” ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากเผชิญต้นทุนดอกเบี้ยสูง กำลังซื้อต่ำ และช่องว่างทางโอกาสที่กว้างขึ้น การแก้หนี้ต้องเดินคู่กับการเพิ่มรายได้และการเข้าถึงบริการรัฐที่สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อคลี่คลายความกดดันเชิงสังคมที่ซ้อนอยู่ใต้พรม.

ด้านความปลอดภัย สถิติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ล็อตเตอรี่ปลอม-หลอกลงทุนผ่านแอปยังพุ่งสูง สร้างความเสียหายรวม หลายหมื่นล้านบาท ในปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าการป้องกันเชิงรุก-ปราบปรามเชิงซ้อน และการฟื้นฟูผู้เสียหายด้วยกระบวนการยุติธรรมที่เข้าถึงง่าย ยังเป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องเชื่อมให้ติด ขณะที่ปัญหา ยาเสพติดสังเคราะห์ ไหลข้ามพรมแดนยังไม่คลายสอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ภูมิภาคของ UNODC ที่ชี้ว่าปริมาณและการยึดจับในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังอยู่ในระดับสูง

บนฉากใหญ่ของภัยพิบัติและสภาพอากาศสุดขั้ว ประเทศไทยเพิ่งเร่งเครื่องวางระบบ Cell Broadcast System (CBS) เพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยพิบัติ “ตรงถึงมือถือ” ครอบคลุมเลขหมายกว่า ร้อยล้านเบอร์—อีกขั้นของการคุ้มครองประชาชนในพื้นที่เสี่ยง หากเครื่องมือพร้อมใช้งานจริงได้ทั่วหน้า ย่อมลดความสูญเสียและยกระดับความเชื่อมั่นต่อรัฐในยามวิกฤต

“3 ไร้ทุกข์” ดับปัญหาเรื้อรังให้ถึงราก

แพ็กแรกของ Quick Wins เน้น “ขจัดทุกข์” 3 เรื่องหลักที่แตะชีวิตผู้คนโดยตรง

  1. เร่งกวาดล้างยาเสพติดเชิงรุก — ตั้งแต่ชายแดนถึงชุมชน ผ่านการบูรณาการตำรวจ-ฝ่ายปกครอง-ทหาร-ป.ป.ส.-สาธารณสุข—ครบวงจร ป้องกัน–ค้นหา–บำบัด–ฟื้นฟู เป้าคือ “No Drugs, No Dealers” ให้เห็นในระดับหมู่บ้าน โดยเน้นตัดเส้นเลือดฝอย (ผู้ค้ารายย่อย/เครือข่ายส่งต่อ) ควบคู่กับทำแผนรายบุคคลให้ผู้เสพกลับสู่ครอบครัวและงานได้อย่างยั่งยืน ลดโอกาสการกลับไปพัวพันซ้ำ
  2. จัดระเบียบสังคม–ปราบผู้มีอิทธิพลและอาชญากรรมยุคใหม่ — กวาดล้าง แก๊งคอลเซ็นเตอร์/หลอกลงทุน/ฟอกเงิน โดยใช้ฐานข้อมูลและการสืบสวนดิจิทัล สั่งการเชื่อม ศูนย์ดำรงธรรม–ตำรวจไซเบอร์–ธนาคาร–กสทช. เพื่อ “ตัดตอนเงิน” ให้ทันก่อนไหลออกนอกระบบ กดดันทั้งบนดิน-ออนไลน์ พร้อมยึดทรัพย์สินเครือข่ายผิดกฎหมายเพื่อนำคืนผู้เสียหาย
  3. ทำให้ทุกพื้นที่ “ปลอดภัยสำหรับทุกคน” — เร่งปรับปรุงไฟส่องสว่าง–CCTV จุดเสี่ยงทางกายภาพ ปรับดีไซน์พื้นที่สาธารณะให้รองรับกลุ่มเปราะบาง และทดสอบใช้งาน CBS เตือนภัยพิบัติระดับจังหวัด/อำเภอควบคู่ระบบแจ้งเตือนเดิม ช่วยลดเวลาตอบสนองในเหตุฉุกเฉิน

“5 สร้างสุข” ต่อท่อคุณภาพชีวิตให้เติบโตยั่งยืน

จาก “ไร้ทุกข์” สู่ “สร้างสุข” กระทรวงวางเป้าสร้างผลบวกเชิงโครงสร้างบน 5 มิติ

  1. แก้หนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ — แม้การจัดการหนี้เป็นอำนาจร่วมของหลายหน่วย (ธปท.-คลัง-ยุติธรรม) แต่มหาดไทยจะขับเคลื่อนบทบาท “นายอำเภอ–ท้องถิ่น” เป็น Frontline Broker ทำ คลินิกหนี้ระดับอำเภอ ภายใต้กติกากลาง เชื่อมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ/พักชำระ/รีไฟแนนซ์ พร้อมเวิร์กช็อป “วินัยการเงิน” ในชุมชน เป้าคือให้ครัวเรือนที่เปราะบางหลุดจากวงจรหนี้นอกระบบและฟื้นศักยภาพรายได้. (ฐานปัญหา: หนี้ครัวเรือนสูงใกล้จุดพีก)
  2. สุขภาวะและการศึกษาชุมชน — ขยายบทบาท อปท.–รพ.สต.–อาสาสมัคร ให้มี “ผู้จัดการดูแลผู้สูงอายุ” ในระดับหมู่บ้าน ส่งเสริม เศรษฐกิจสุขภาพ (อาหารปลอดภัย Farm to Table–อาชีพดูแลผู้สูงวัย) ควบคู่ยกระดับการศึกษาและทักษะอาชีพเยาวชนเชิงพื้นที่ เพื่อ “จับคู่” อุปสงค์–อุปทานแรงงานจริง ลดช่องว่างงานกับความสามารถ.
  3. เมืองคึกคักด้วย Soft Power — หนุน “1 ตำบล 1 Start-up” และกิจกรรมสร้างสรรค์ตามโมเดล 5F (Food–Film–Fashion–Fighting–Festival) ผูกกับอัตลักษณ์ชุมชนและปฏิทินท่องเที่ยวท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจฐานราก (สอดคล้องกรอบนโยบายรัฐบาลด้าน Soft Power)
  4. บริการรัฐสะดวก–รวดเร็ว — เร่งขยายบริการดิจิทัลของกรมการปกครองและหน่วยในสังกัด ให้ประชาชน “ทำธุระกับรัฐ” ออนไลน์ได้มากขึ้น ลดเอกสาร ลดระยะเวลา ขยายจุดบริการเคลื่อนที่—โดยคิกออฟให้ทุกจังหวัดประกาศ “รายการบริการด่วน” ที่จะปรับปรุงภายใน 90 วันแรกตามเป้า Quick Wins
  5. ยกระดับระบบรับเรื่องร้องทุกข์ — ปรับบทบาท “ศูนย์ดำรงธรรม” ให้เป็น One-Stop Mediation & Resolution เชื่อมฐานข้อมูลกลาง–ติดตามผลแบบเรียลไทม์ ตั้ง KPI การปิดเรื่องในเวลาที่กำหนด และวิเคราะห์ปัญหาเชิงพื้นที่จากดาต้า เพื่อป้องกันการร้องเรียนซ้ำซาก ทั้งนี้ ศูนย์ดำรงธรรมเป็นช่องทางรัฐ–ประชาชนที่มีภาระงานสูงมาโดยตลอด และถูกยกระดับบทบาทอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง.

กลไก–ความเร็ว–การลงมือทำ” ตั้งคณะกรรมการกลาง ติดตามทุก 15 วัน

เพื่อให้โรดแมป “จากเวทีสู่พื้นที่” เดินได้จริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย” มี นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ เป็นประธาน ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง–กำกับ–ติดตาม–รายงานผล” ต่อเนื่อง ทุก 15 วัน โดยมีกลไกจากทุกกรมร่วมเป็นทีมขับเคลื่อนกลาง ขณะเดียวกัน ทุกจังหวัด ต้องตั้งคณะกรรมการลักษณะเดียวกันเป็นมิเรอร์ในระดับพื้นที่ แปลงนโยบายเป็นแผนงาน-โครงการ-ตัวชี้วัดและกรอบเวลาเดียวกันทั้งหมด เพื่อลดปัญหา “แปลนโยบายคนละฉบับ” ที่มักเกิดขึ้นในระบบราชการขนาดใหญ่

“สิ่งที่เราเริ่มวันนี้ ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ แต่คือพันธสัญญาที่ต้องเห็นผลกับประชาชนในเวลาอันสั้น” — สารจากเวทีคิกออฟซึ่งย้ำ “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม” ว่าต้องวัดได้จริงในชุมชน

ดัชนีวัดผล จะรู้ได้อย่างไรว่าชนะ “เร็วและจริง”

ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณะจำนวนมากเห็นพ้องว่า Quick Wins ต้องกำหนด “ตัวชี้วัดที่จับต้องได้” และเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ—เพื่อสร้างแรงกดดันเชิงบวกต่อระบบปฏิบัติการของรัฐ บทเรียนจากคดี อาชญากรรมออนไลน์ ชี้ว่าการ “ตัดตอนช่องทางการเงิน” เร็วขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาจลดความเสียหายรวม หลายพันล้านบาทต่อปี ในขณะที่การบูรณาการแก้ ยาเสพติด หากวัดผลที่ “จำนวนผู้ผ่านโปรแกรมบำบัดกลับสู่สังคมได้จริง” และ “จุดเสี่ยงลดลง” (มากกว่าจำนวนจับกุมล้วน ๆ) จะทำให้การลงทุนงบประมาณตอบโจทย์มนุษย์และชุมชนมากขึ้น

ด้านความปลอดภัยสาธารณะ การทดสอบ–ใช้งาน CBS อย่างเป็นระบบ ร่วมกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไฟ–กล้อง และการซ้อมรับมือภัยพิบัติระดับอำเภอทุกเดือน สามารถวัดผลได้จาก เวลาเฉลี่ยในการแจ้งเตือน และ สัดส่วนประชาชนที่ได้รับแจ้งเตือนทันเวลา ซึ่งจะสะท้อน “ความพร้อมของรัฐ” ที่ประชาชนสัมผัสได้โดยตรง

ปิดเกม 3 เดือนอย่างไรให้ “ยั่งยืน”

แม้ Quick Wins จะเน้น “เร็ว” แต่การสร้าง ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ต้องประคอง 3 องค์ประกอบพร้อมกัน
หนึ่ง กลไกสั่งการต้อง “บาง เบา เร็ว” โดยคณะกรรมการระดับชาติช่วย “แก้คอขวด” ให้พื้นที่
สอง งบประมาณและบุคลากรต้อง “ตรงจุด” โดยเฉพาะงานไซเบอร์–ข้อมูล–สังคมสงเคราะห์–บำบัดฟื้นฟู
สาม การสื่อสารสาธารณะต้อง “โปร่งใส ตรวจสอบได้” ผ่านแดชบอร์ดจังหวัด/อำเภอที่อัปเดตราย 15 วัน เท่าจังหวะติดตามผลเพื่อให้ประชาชนร่วมรับรู้และ “ดันหลัง” ระบบราชการจากภายนอก

ในภาพใหญ่ หาก หนี้ครัวเรือน ลดระดับความเปราะบางลงอย่างมีนัย และกราฟ คดีไซเบอร์/ความเสียหาย โค้งลงต่อเนื่อง ขณะจุดเสี่ยงความปลอดภัยและความเสี่ยงจากภัยพิบัติลดลงด้วย CBS+โครงสร้างพื้นฐาน ที่ทำงานได้จริง ก็จะเป็นสัญญาณว่ากระทรวงมหาดไทยเดินบนเส้นทางถูกต้องและประโยค “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม” กำลังเปลี่ยนจากคำประกาศสู่ ความจริงในชีวิตประจำวันของคนไทย

สรุปสาระสำคัญ “8 Quick Wins 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข”

  • 3 ไร้ทุกข์: (1) กวาดล้างยาเสพติดเชิงรุกครบวงจร (2) จัดระเบียบสังคม–ปราบผู้มีอิทธิพลและอาชญากรรมออนไลน์ (3) ทำทุกพื้นที่ให้ปลอดภัยด้วยโครงสร้างพื้นฐานและระบบเตือนภัยสมัยใหม่ (CBS)
  • 5 สร้างสุข: (1) แก้หนี้ครัวเรือนเป็นระบบ (2) เสริมสุขภาวะ–การศึกษาชุมชน (3) เมืองคึกคัก–Soft Power–1 ตำบล 1 Start-up (4) บริการรัฐดิจิทัล สะดวก รวดเร็ว (5) ระบบรับเรื่องร้องทุกข์ยุคใหม่ผ่านศูนย์ดำรงธรรมและดาต้ากลาง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
  • คำกล่าวของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • ข่าวจากสื่อมวลชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

ค่าครองชีพพุ่ง-เงินเฟ้อติดลบ! ผลักคนไทยสู่หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหด

เปิดวงจร “หนี้นอกระบบ” อัตราดอกเบี้ยสุดโหด ซ่อนใต้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ลดลง

ประเทศไทย, 12 สิงหาคม 2568 – แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่ำกว่า 90% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ครัวเรือนไทยจำนวนมากกลับถูกผลักออกจากสินเชื่อในระบบ จนพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นอย่างน่าห่วง ตัวเลขที่ดูดีอาจกำลังบัง “วิกฤตเงียบ” ที่ลุกลามสู่ชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เปราะบางอย่างภาคเหนือและชายขอบเมืองใหญ่

บ่ายวันฝนโปรยในเชียงราย เสียงโทรศัพท์ทวงหนี้ดังขึ้นตรงเวลา ความกังวลเรื่องรายได้และค่าครองชีพกลับมาทับซ้อนอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ตัวเลขมหภาคบอกว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ราว 88.4% สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 ทว่า “ภาพรวมสีเขียว” ไม่ได้แปลว่าครัวเรือนแข็งแรงขึ้น เพราะปัจจัยสำคัญคือการเข้มงวดสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้คนจำนวนมากต้องออกจากระบบที่ปลอดภัย และเดินเข้าหาเงินกู้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูงผิดกฎหมายแทน.

ภาพสะท้อนที่สวนทางตัวเลขดีขึ้น แต่ชีวิตยากขึ้น

ข้อมูลทางการระบุว่า CPI เดือนมิถุนายน 2568 ติดลบ 0.25% ต่อปี และเดือนกรกฎาคมติดลบต่อเนื่อง 0.7% หลายฝ่ายจึงชี้ว่าไม่มีภาวะ “เงินเฟ้อพุ่ง” ในสถิติ ทว่าในชีวิตจริง ค่าใช้จ่ายจำเป็นกลับไม่ลด ประชาชนยังรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงกดดันอย่างต่อเนื่อง.

ผลสำรวจผู้บริโภค Marketbuzzz ชี้ว่า “ค่าครองชีพ” คือความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทย 42% สะท้อนความรู้สึกที่ “สวนทาง” กับตัวเลขราคาโดยรวมที่ลดลง ผู้บริหารบริษัทวิจัยชี้ว่าต้องมีมาตรวัดคุณภาพชีวิตที่ครอบคลุมกว่าเดิม จึงจะเห็นภาพจริงของครัวเรือน

ด้านรายจ่ายครัวเรือน สถิติระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 ครัวเรือนไทยใช้จ่ายเฉลี่ยราว 18,207 บาทต่อเดือน โดยสัดส่วนสูงสุดยังเป็นอาหารและเครื่องดื่ม สะท้อนแรงกดดันด้านปัจจัยสี่ที่ยังหนักหน่วง.

หนี้นอกระบบพุ่งแตะ “จุดสูงสุดในรอบ 16 ปี”

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุสัดส่วน “หนี้นอกระบบ” ในภาพรวมเพิ่มขึ้นเป็น 30.1% สูงสุดในรอบ 16 ปี จากเดิม 21.7% ในปีก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความเปราะบางและการถูกปิดประตูสินเชื่ออย่างชัดเจน โดยหลายสำนักข่าวเศรษฐกิจรายงานสอดคล้องกัน.

ยังมีสัญญาณเตือนจาก “หนี้รอวันเสีย” หรือ Stage 2 (SML) ที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ธปท.รายงานอัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้นพิเศษของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเป็นราว 6.98% สิ้นปี 2567 ขณะที่หนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 532,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย หาก SML ทะลักเป็น NPL มากขึ้น ความเสี่ยงหลุดออกจากระบบย่อมสูงตาม.

ทำไมคนไทย “ต้อง” ไปพึ่งนอกระบบ

หนึ่ง ระบบเข้มงวดขึ้น วงเงินและเงื่อนไขสินเชื่อรัดกุม รายได้ไม่แน่นอนทำให้ผ่านเกณฑ์ยาก แม้ดอกเบี้ยต่ำกว่านอกระบบมาก แต่ “เข้าถึง” ยากกว่า

สอง ค่าครองชีพกดดันต่อเนื่อง แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมติดลบหลายเดือน แต่ค่าใช้จ่ายจำเป็นยังสูง คนจำนวนมากจึงหมุนเงินไม่ทัน และต้องหาทางออกที่เร็วที่สุด แม้จะมีต้นทุนดอกเบี้ยมหาศาล.

สาม ความรู้สึก “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ปรากฏชัดในผลสำรวจ UTCC ที่พบว่าคนไทย 46.3% อยู่ในภาวะหมุนเงินตึงมือ ขณะหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนยังอยู่ระดับสูง.

เปิดวงจรกลโกงดอกโหดคิดอย่างไร จึงหลุดไม่พ้น

1) ดอกเบี้ยรายเดือนหลอกตา
ตัวเลข 10–20% ต่อเดือนดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อคิดเป็นรายปี เท่ากับ 120–240% ต่อปี เงินต้นแทบไม่ลด เพราะต้องจ่ายดอกก่อนเสมอ ยิ่งช้า ยิ่งบาน ไม่มีเพดานคุ้มครองตามกฎหมายสำหรับเจ้าหนี้เถื่อน

2) “ดอกลอย” หรือหักดอกล่วงหน้า
เจ้าหนี้หักดอกจากเงินต้นตั้งแต่ต้น เช่น กู้ 10,000 บาท ได้เงินจริง 8,000 บาท แต่ต้องใช้คืน 10,000 บาท พร้อมดอกที่คำนวณจากยอดเต็ม ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงพุ่งสูงผิดปกติทันที.

3) สัญญาอำพราง
บางรายให้ใช้บัตรผ่อนซื้อสินค้าเกินความจำเป็น แล้วนำสินค้าไปแลกเงินสด ยอดหนี้กลับไปผูกกับผู้ให้บริการทางการเงินในระบบแทน แต่ลูกหนี้ได้รับเงินจริงต่ำกว่ายอดหนี้ที่ต้องชำระ วิธีนี้ทำให้ตรวจจับยากและสร้างภาระยืดเยื้อ

4) ทวงหนี้กดดันรายวัน
การโทร ข้อความ หรือเยี่ยมบ้านบ่อยครั้งทำให้เกิดแรงกดดันด้านจิตใจ หลายกรณีมีการข่มขู่หรือประจาน ซึ่งผิดกฎหมายโดยตรงตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศกำหนด “ทวงได้ไม่เกินวันละหนึ่งครั้ง” พร้อมกรอบเวลาชัดเจน.

กฎหมายคุ้มครองสิทธิขอบเขตที่ “เจ้าหนี้เถื่อน” ละเมิดอยู่เสมอ

กฎหมายไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมระหว่างบุคคลไม่เกิน 15% ต่อปี ส่วนผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตมีเพดานเฉพาะ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับไม่เกิน 25% ต่อปี และบัตรเครดิตไม่เกิน 16% ต่อปี เกินจากนี้ถือว่าผิดกฎหมาย และมีโทษทั้งจำคุกและปรับตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา.

หากถูกคุกคาม ประจาน หรือใช้ความรุนแรง ลูกหนี้สามารถแจ้งความคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนทันที และใช้ช่องทางไกล่เกลี่ยของรัฐเพื่อยุติข้อพิพาทโดยสันติ ซึ่งมีหน่วยงานรองรับทั่วประเทศ.

มาตรการรัฐ อุดช่องว่างการเข้าถึงเงินกู้ “ที่เป็นธรรม”

รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารรัฐ เช่น ออมสิน และ ธ.ก.ส. ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ได้รับความช่วยเหลือกว่า 77,000 ราย วงเงินรวมกว่า 2,400 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ผลักดัน “พิโกไฟแนนซ์” เพื่อให้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมายมากขึ้น.

ข้อมูล ณ ต้นปี 2567 ระบุว่ามีผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิราว 1,140 ราย ครอบคลุม 75 จังหวัด เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการปิดหนี้นอกระบบด้วยอัตราที่ตรวจสอบได้.

เสียงสะท้อนจากเศรษฐกิจมหภาคตัวเลขหนี้ลด แต่ความเสี่ยงยังสูง

แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงกว่า 16.4 ล้านล้านบาท และไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงในเอเชีย นักวิเคราะห์และ ธปท. ต่างย้ำว่ามาตรการใด ๆ ต้องไม่บิดเบือนวินัยการเงิน และต้องรักษาเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่กันไป.

วงจรที่ต้องตัดให้ขาด

เมื่อรายได้โตช้า ค่าครองชีพยังสูง การเข้าถึงเครดิตในระบบยากขึ้น ครัวเรือนจึงเลือก “ทางลัดที่แพง” คือเงินกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยรายเดือนทำให้เงินต้นไม่ยอมลด ลูกหนี้ต้องกู้ใหม่มาโปะแทน เกิดการทบต้นทบดอก และความเสี่ยงเชิงสังคมตามมา ทั้งความรุนแรง การประจาน และความเครียดในครอบครัว หากปล่อยให้ “Stage 2” ล้นเป็น “NPL” มากขึ้น ผู้กู้ล็อตใหญ่จะถูกผลักออกจากระบบเพิ่ม วงจรนอกระบบจึงขยายตัวโดยอัตโนมัติ.

ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร…ถ้าแก้ให้ถูกจุด

หนึ่ง เข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม
เมื่อพัฒนาช่องทางในระบบให้ไวและยืดหยุ่นขึ้น คนตัวเล็กจะไม่ต้องยอมรับดอกเบี้ยที่เอาเปรียบ

สอง ลดภาระดอกเบี้ยทันที
รีไฟแนนซ์จากนอกระบบเข้าสู่สินเชื่อรัฐ ดอกเบี้ยต่อปีต่ำกว่าดอกนอกระบบหลายสิบเท่า เงินต้นเริ่มลดจริง

สาม คุ้มครองสิทธิอย่างมีพลัง
รู้กฎหมาย รู้ช่องทางร้องเรียน และมีเวทีไกล่เกลี่ยที่เข้าถึงได้ ทำให้ลูกหนี้ไม่ต้องเผชิญหน้าลำพัง.

ทางออกเชิงนโยบาย 3 เงื่อนไขที่ต้องทำพร้อมกัน

  1. รายได้และอาชีพ เพิ่มศักยภาพทำมาหากินในท้องถิ่น ลดรายจ่ายจำเป็น และสร้างกันชนเงินออมฉุกเฉิน
  2. เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดขั้นตอน ตรวจสอบรายได้ไม่เป็นทางการด้วยข้อมูลดิจิทัล เปิดทางให้คนทำอาชีพอิสระเข้าถึงวงเงินเล็กไวขึ้น
  3. กำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามทวงหนี้ผิดกฎหมาย สืบสวนสัญญาอำพราง และทำ “แพลตฟอร์มไกล่เกลี่ย” ให้ประชาชนใช้ได้จริงทุกอำเภอ

เช็กลิสต์เอาตัวรอดสำหรับครัวเรือน (ทำได้ทันที)

  • หยุดเลือด เจรจาขอลดดอก หรือขยายงวด หากถูกข่มขู่ให้รวบรวมหลักฐานทันที
  • ขอความช่วยเหลือ โทร 1567 ศูนย์ดำรงธรรม, 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, 1359 สายด่วนการเงินนอกระบบ, 1111 กด 77 ศูนย์ไกล่เกลี่ย/คุ้มครองสิทธิ
  • หาช่องทางในระบบ พิจารณาสินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินหรือ ธ.ก.ส. วงเงินตามมูลหนี้จริง กำหนดดอกชัด ตรวจสอบได้
  • รู้สิทธิของตน หากเจ้าหนี้ทวงหนี้เกินวันละหนึ่งครั้ง หรือประจาน ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุด 100,000 บาท แจ้งหน่วยงานกำกับได้ทันที.

สรุป

วิกฤตหนี้นอกระบบไม่ได้เกิดจาก “ความฟุ่มเฟือย” แต่จากโครงสร้างรายได้ ค่าครองชีพ และการเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่ยังไม่ทั่วถึง แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงมาก และ “หนี้รอวันเสีย” กำลังก่อตัว หากไม่แก้ที่ต้นตอ วงจรนอกระบบจะยืดเยื้อ และต้นทุนทางสังคมจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ คำตอบจึงไม่ใช่เพียง “ปล่อยวงเงินใหม่” แต่เป็นการทำงานสามด้านพร้อมกัน คือเพิ่มรายได้ ขยายสินเชื่อในระบบที่เป็นธรรม และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อพาคนไทยกลับเข้าสู่ระบบการเงินที่ปลอดภัย และปิดฉาก “วงจรดอกโหด” ให้เด็ดขาด.

  • หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

ติดต่อหน่วยงานช่วยเหลือ (สำหรับผู้อ่าน)

  • ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599
  • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สศค. กระทรวงการคลัง 1359 / www.1359.go.th
  • กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ/ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1111 กด 77 และ eMediation ระบบออนไลน์. khlongha.pathumthani.police.go.thinfo.go.th
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ข้อมูลหนี้ครัวเรือน, SML/NPL และกรอบนโยบายการเงิน). Bot AppMae Fa LuangBot
  • สำนักข่าว Reuters และสื่อเศรษฐกิจไทย (อัตราเงินเฟ้อล่าสุด, สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP). Reuters+2Reuters+2
  • The Standard/NESDC (ยอดหนี้ครัวเรือนรวมและสัดส่วนต่อ GDP). THE STANDARDNESC Development Council
  • Marketbuzzz Consumer Pulse (ความกังวลค่าครองชีพ). DLA Piper
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย/UTCC (สัดส่วนหนี้นอกระบบ 30.1% และภาวะหมุนเงินยาก 46.3%). กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนX (formerly Twitter)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสื่อเศรษฐกิจ (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน). Bangkok Post
  • กฎหมายและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านหนี้: กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ธปท., พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศ “วันละ 1 ครั้ง”. Trading EconomicsBotreport.dopa.go.th
  • ช่องทางช่วยเหลือและโครงการรัฐ: สายด่วน 1359/เว็บไซต์ กพช., สินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินและ ธ.ก.ส., สรุปผลดำเนินงาน 6 เดือนของรัฐบาล. กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนgsb.or.thRoyal Thai Government
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทย 2568 เศรษฐกิจยั่งยืนหรือแค่พยุง? รัฐบาลใหม่เผชิญบทพิสูจน์

รัฐบาลใหม่กับการแก้โจทย์เศรษฐกิจไทย ปี 2568 สู่การเติบโตที่ยั่งยืนหรือแค่พยุงระยะสั้น?

ประเทศไทย, 7 กรกฎาคม 2568 – ปี 2568 กลายเป็นปีแห่งการจับตา “บทพิสูจน์ศักยภาพรัฐบาลใหม่” ที่ต้องเผชิญกับคลื่นเศรษฐกิจโลก ปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน และโจทย์หนี้ครัวเรือนที่สั่งสมมานาน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” รัฐบาลประกาศเดินหน้าด้วยนโยบายเชิงรุก และงบประมาณลงทุนสูงสุดในรอบ 17 ปี หวังปลุกเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นกับดักการเติบโตต่ำ แต่นโยบายเหล่านี้จะนำไทยสู่ความยั่งยืน หรือเพียงแค่สร้างคลื่นกระเพื่อมชั่วคราวในระบบเศรษฐกิจ?

เปิดฉากปีแห่งบททดสอบ เศรษฐกิจไทยในพายุความไม่แน่นอน

แม้รัฐบาลจะจุดพลุสร้างความหวังด้วยนโยบายขับเคลื่อนการลงทุนและมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ยากคาดเดา ขณะที่ในประเทศเองก็เผชิญปัญหาโครงสร้างเช่น หนี้ครัวเรือนสูง สังคมสูงวัย และผลิตภาพแรงงานที่ถดถอย ด้านสถาบันวิจัยและนักวิเคราะห์ชั้นนำสะท้อนภาพเศรษฐกิจปี 2568 ด้วยคาดการณ์ GDP ที่ “แตกต่างสุดขั้ว” ตั้งแต่ 1.4% ถึง 2.6% โดยมองปัจจัยเสี่ยงหลักทั้งการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และแรงกระแทกจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ตารางที่ 1การคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 (หน่วย: %)

หน่วยงาน

คาดการณ์ (%)

ข้อสังเกต

สศค.

2.5

เสถียรภาพในประเทศ, เงินเฟ้อต่ำ

ธปท.

2.3

Q1 ดีกว่าคาด, Q2 ดีขึ้น

KResearch

1.4 – 2.4

ส่งออก-ท่องเที่ยวต่ำ, หนี้เสียสูง

World Bank/IMF

1.8

ผลกระทบสงครามการค้า, หนี้สูง

SCB EIC

1.5

การค้าโลก, ข้อจำกัดการคลัง

TDRI

2.5-3.0

FDI/ลงทุนรัฐ, สินค้าจีนเข้า

กกร.

2.4-2.9

ท่องเที่ยว, รัฐอัดมาตรการ

ขณะที่ “เงินเฟ้อทั่วไป” ยังคงต่ำ (0.8%) อันเป็นผลจากพลังงานราคาตกและอุปสงค์อ่อนแรง มิได้สะท้อนเศรษฐกิจแข็งแรง แต่กลับชี้ถึงกำลังซื้อที่ถดถอย

เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสัญญาณเปราะบางใต้ตัวเลขบวก

  • การท่องเที่ยว คือความหวังหลัก คาดนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน แต่การใช้จ่ายต่อหัวต่ำกว่าระดับก่อนโควิด สะท้อนโครงสร้างรายได้ประเทศที่เปราะบาง
  • การลงทุนภาคเอกชน ได้แรงหนุนจาก FDI ย้ายฐานหนีสงครามการค้า แต่หนี้ครัวเรือนและเกณฑ์สินเชื่อเข้มข้นยังฉุดกำลังซื้อและศักยภาพลงทุน
  • การบริโภคในประเทศ โต 2-3% จากรายได้และเงินโอนภาครัฐผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทว่า “หนี้ครัวเรือน” 16.2 ล้านล้านบาท (เกือบ 90% ของ GDP) กลับเป็นเงาทะมึนที่กัดกินกำลังซื้อ
  • การส่งออก ไตรมาส 1 โตจากการเร่งระบายสินค้าก่อนภาษีใหม่สหรัฐฯ ทว่าระยะยาวอ่อนแรงจากสงครามการค้าและสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดไทย

ความท้าทายเชิงโครงสร้างหนี้ครัวเรือนสูง-สังคมสูงวัย-ขีดจำกัดการคลัง

รัฐบาลต้องเผชิญโจทย์ “หนี้ครัวเรือนสูงสุดประวัติการณ์” ที่กัดกินศักยภาพการบริโภคและสร้าง NPL เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าทำให้สินค้าจีนเบี่ยงเบนเข้าไทย-กดดันตลาดในประเทศให้แข่งขันรุนแรง สังคมไทยเองก็เร่งเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” แรงงานขาดแคลน ผลิตภาพตกต่ำ ทุนมนุษย์ด้อยประสิทธิภาพ ระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ดิจิทัล หนี้สาธารณะ 63.3% ของ GDP ขยับขึ้นทุกปีจนพื้นที่การคลังเหลือน้อยลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคุกคามความเชื่อมั่นนักลงทุน

รัฐบาลใหม่ภายใต้ ‘แพทองธาร’ปรับยุทธศาสตร์-ตั้งทัพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

การตั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมี “นายพิชัย ชุณหวชิร” เป็นแม่ทัพคลัง ประสานกับนายกรัฐมนตรี มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” โดยเน้น 5 ยุทธศาสตร์หลักที่รวมการลงทุนภาครัฐ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และสร้างสังคมเสมอภาค

จุดเปลี่ยนสำคัญธนาคารแห่งประเทศไทยกับทิศทางดอกเบี้ยและเสถียรภาพ

ปี 2568 ยังเป็น “จุดเปลี่ยนผู้นำ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่การเลือกผู้ว่าฯ คนใหม่ระหว่าง “ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส” (เน้นเสถียรภาพการเงิน) และ “นายวิทัย รัตนากร” (แก้ปัญหาฐานราก) จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสถูกปรับลดอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพื่อประคองเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน แม้จะกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อและคุณภาพสินเชื่อ

งบประมาณ 2568การลงทุนภาครัฐสูงสุดในรอบ 17 ปี – หวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

งบประมาณปี 2568 อยู่ที่ 3.75 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุนสูงถึง 24.2% หรือ 908,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน เน้นยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และพัฒนาโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกัน “งบกู้ขาดดุล” กว่า 865,000 ล้านบาท ก็เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ

มาตรการเรือธงดิจิทัลวอลเล็ตกับข้อกังขาเรื่องความยั่งยืน

  • ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการเรือธง เติมเงินให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคนในระยะแรก และเตรียมขยายไปยังผู้สูงวัย 4 ล้านคน รวมถึงประชาชนทั่วไปต่อไป คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น
  • บ้านเพื่อคนไทย – โครงการคอนโดมิเนียมรัฐให้ผ่อนต่ำยาว 30 ปี หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยในเมือง
  • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน – เดินหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” “จ่ายตรง คงทรัพย์” และ “จ่ายตัดต้น” ช่วยกลุ่มหนี้ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อบ้าน/รถ

แต่เสียงสะท้อนจากสื่อและนักวิชาการ เตือนถึง “วินัยการคลัง” ที่อาจถูกกระทบจากการกู้เงินอัดฉีด โดยเฉพาะเมื่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้รัฐวิสาหกิจยังสูง หากการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเพียงการ “ดึงกำลังซื้ออนาคต” มาใช้ปัจจุบัน อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในภายหลัง

นโยบายโครงสร้างจุดเปลี่ยนแท้จริงของเศรษฐกิจไทย

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การเติบโตยั่งยืนต้องมาจากการ “ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่แค่กระตุ้นระยะสั้น รัฐบาลใหม่ต้องเร่งยกระดับทุนมนุษย์ แก้ช่องว่างทักษะดิจิทัล ส่งเสริมอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ขยายตลาดการส่งออกและสร้างความสามารถแข่งขันใหม่ รวมถึงปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย โปร่งใส และลดทุจริต

เส้นทางเศรษฐกิจไทยระหว่างโอกาสและกับดัก

ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2568 เปรียบเสมือนการขับเรือกลางมรสุม แม้มี “คลื่นบวก” จากนโยบายรัฐและมาตรการลงทุน แต่รากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก และแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกยังคงสร้างความเปราะบางสูง นโยบายรัฐจะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเด็ดขาด-รอบคอบในการปฏิรูป สร้างโอกาสใหม่ และรักษาวินัยการคลังในระยะยาว

 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. เน้นลงทุนที่สร้างผลิตภาพระยะยาว เช่น ดิจิทัล-โครงสร้างพื้นฐาน-ทุนมนุษย์ มากกว่าการอัดฉีดชั่วคราว
  2. รักษาวินัยการคลัง พร้อมบริหารหนี้สาธารณะอย่างยั่งยืน วางแผนงบประมาณระยะปานกลางชัดเจน
  3. ส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้าง เร่งพัฒนาทุนมนุษย์ ระบบการศึกษา และอุตสาหกรรมใหม่ สร้างความสามารถแข่งขัน
  4. ลดอุปสรรคการลงทุน-เพิ่มความโปร่งใส สร้างกลไกติดตาม-ประเมินผลนโยบายแบบเรียลไทม์
  5. พัฒนานโยบายการเงินและบริหารหนี้เชิงรุก ประสานระหว่างธปท.และรัฐบาลเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงิน

บทสรุป

รัฐบาลใหม่ปี 2568 เผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย แม้นโยบายลงทุนและมาตรการกระตุ้นจะสร้างคลื่นหวังในระยะสั้น แต่โจทย์หลักคือการเร่งปฏิรูปโครงสร้างให้สำเร็จ สร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตอย่างแท้จริง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพมนุษย์และความสามารถแข่งขันของประเทศ ไทยจะพลิกวิกฤตนี้ได้หรือไม่ ยังต้องติดตามบทพิสูจน์ต่อไปในอีก 1 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ SCB EIC
  • สถาบันวิจัย TDRI
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สมาคมนักวางแผนการเงินร่วมแบงก์ชาติแก้หนี้ครัวเรือน 91.4% GDP

สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจับมือแบงก์ชาติ เสริมความรู้ทางการเงินแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กำลังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยมุ่งสร้างทักษะความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ให้กับประชาชนทุกกลุ่ม ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมหาวิทยาลัย พร้อมอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านการวางแผนการเงินที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาแก่ประชาชนที่มีปัญหาหนี้

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงแตะ 91.4% ต่อ GDP

นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนไทยในปี 2567 มีแนวโน้มพุ่งสูงถึง 91.4% ต่อ GDP โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือวัยเริ่มต้นทำงาน (25-29 ปี) ที่กว่า 50% มีหนี้เร็ว และ 25% ในจำนวนนี้เป็นหนี้เสีย ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการออมและวางแผนการเกษียณ ทำให้เพียง 15.7% ของคนไทยมีการเตรียมตัววางแผนเกษียณอย่างเพียงพอ

เสริมสร้างความรู้ทางการเงินผ่านการศึกษา

ความร่วมมือครั้งนี้เน้นเสริมสร้างความรู้ทางการเงินตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงมหาวิทยาลัย โดยจัดทำหลักสูตรที่ช่วยให้เยาวชนรู้เท่าทันการเงิน การลงทุนที่ถูกกฎหมาย และกลโกงต่างๆ พร้อมสร้างหมอหนี้ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาด้านหนี้สิน

โครงการอบรมหมอหนี้เพื่อประชาชน

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดโครงการอบรมหมอหนี้เพื่อประชาชน โดยรุ่นแรกจัดขึ้นวันที่ 16 และ 23 พฤศจิกายน 2567 มีผู้เข้าร่วมอบรมเต็มจำนวน 50 คน และยังมีผู้สนใจเพิ่มเติมอีกกว่า 300 คน เนื้อหาหลักสูตรครอบคลุมการให้ความรู้เกี่ยวกับสินเชื่อรายย่อย ข้อมูลเครดิตบูโร กฎหมายเกี่ยวกับหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ และมาตรการแก้หนี้ต่างๆ ผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบประกาศนียบัตรและสามารถให้คำปรึกษาแก่ประชาชนในโครงการแก้หนี้ของแบงก์ชาติต่อไป

สร้างหมอหนี้และเสริมความรู้เพื่ออนาคตที่มั่นคง

นายวิโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนในทุกระดับ สร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและพร้อมช่วยเหลือประชาชน เมื่อหลุดพ้นจากปัญหาหนี้สินแล้ว การวางแผนการเงินเพื่ออนาคต เช่น การเกษียณ การศึกษาของบุตร หรือการสร้างความมั่งคั่งในชีวิต จะสามารถบรรลุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสมาคมนักวางแผนการเงินไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน ด้วยการลดปัญหาหนี้และสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการเงินให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมนักวางแผนการเงินไทย (TFPA)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE