Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก-เข้มเครื่องชั่ง ปิดช่องกดราคา

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” ช่วยเกษตรกรขายได้เป็นธรรม เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก–เข้มเครื่องชั่ง–ชูกรอบกฎหมาย ปิดช่องกดราคา

เชียงราย,23 ตุลาคม 2568 – สัญญาณเตือนจากทุ่งนา และแผนตอบสนองที่ต้องทันเวลา เสียงสะท้อนจากชาวนาอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวปลายไร่” อีกต่อไป เมื่อความกังวลเรื่องระบายผลผลิตและแรงกดราคาหวนกลับมาในจังหวะผลผลิตเริ่มเทลงตลาด รัฐจึงขยับทันที กรมการค้าภายในประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สหกรณ์การเกษตร และโรงสีในพื้นที่ เพื่อยืนยัน “ช่องทางขายมีจริง–รับซื้อมีต่อเนื่อง–การซื้อขายต้องโปร่งใส” พร้อมเปิดแผน “ตลาดนัดข้าวเปลือก” สองระลอกในเดือนพฤศจิกายน และส่งทีมชั่งตวงวัดลงพื้นที่ ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และป้ายราคารับซื้อให้ชัดเจนตามกฎหมายที่บังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา เพื่อปิดทางเอาเปรียบเกษตรกรอย่างเด็ดขาด

ภาพรวมสถานการณ์ข้าวเหนียวครองสัดส่วน 62%—ตัวเลขที่บอกทั้ง “โอกาส” และ “แรงกดดัน”

ข้อมูล ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2568 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดแล้ว 24% หรือ 202,854 ตัน จากประมาณการผลผลิตทั้งหมด 845,225 ตัน โดยเป็นข้าวเหนียวมากที่สุด 539,977 ตัน คิดเป็น 62% ข้าวเจ้า 22% ข้าวหอมมะลิ 14% และข้าวหอมปทุม 2% ด้านราคารับซื้อ “ข้าวเหนียว” ความชื้น 25–30% อยู่ที่ 6.70–7.30 บาทต่อกิโลกรัม ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าความเข้มข้นของข้าวเหนียวในโครงสร้างผลผลิตปีนี้ คือ “ฐานรายได้หลัก” ของครัวเรือนนาในพื้นที่ แต่ก็คือ “แรงกดดันราคา” หากกลไกตลาดไม่โปร่งใสพอหรือการแข่งขันไม่เป็นธรรม

ปฏิบัติการเชิงรุก “ตลาดนัดข้าวเปลือก” + “เข้มงวดเครื่องมือวัด” + “กฎหมายเอาผิด”

เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรและผ่อนแรงกดดันด้านราคา กรมการค้าภายในร่วมกับจังหวัดกำหนด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” จำนวน 2 ครั้ง

  • ระหว่าง 11–13 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรป่าแดด จำกัด อำเภอป่าแดด
  • และ 18–20 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรแม่สาย จำกัด อำเภอแม่สาย

เวทีนี้เปิดให้ชาวนานำผลผลิตมาพบผู้ซื้อหลากรายมากขึ้น เกิดการแข่งขันราคา โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขนาบด้วยมาตรการ “คุมเข้ม” การชั่งตวงวัด ลงพื้นที่ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และกำกับให้สถานประกอบการติดป้ายราคารับซื้ออย่างชัดเจนตามกฎหมาย ซึ่งหากพบการฝ่าฝืน เช่น ไม่ติดป้ายราคา ติดป้ายไม่ถูกต้อง หรือใช้อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่เพิ่งประกาศใช้ในปีนี้

“กรมฯ ติดตามสถานการณ์รับซื้ออย่างใกล้ชิด และย้ำให้มั่นใจว่าการรับซื้อเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม หากพบการเอาเปรียบเกษตรกร จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” — นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (สรุปสาระคำให้สัมภาษณ์)

กรอบกฎหมายที่ “ฟันได้จริง” จากป้ายราคา–เครื่องชั่ง สู่บทลงโทษจำคุก

เครื่องมือทางกฎหมายคือฐานความเชื่อมั่นที่ทำให้มาตรการภาคสนาม “กัดได้จริง” โดยเฉพาะ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 69 พ.ศ. 2568 เรื่องการแสดง “ราคารับซื้อสินค้าเกษตร” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2568 กำหนดให้ผู้รับซื้อในห่วงโซ่ต้องแสดงราคารับซื้อให้ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หาก “ไม่ปิดป้ายราคา” หรือ “แสดงราคาไม่ถูกต้อง” มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหาก “กดราคา” หรือ “เอาเปรียบเกษตรกร” เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นสัญญาณ “แดงก้าวข้ามเหลือง” ให้ผู้เล่นในตลาดต้องยึดกติกาอย่างเคร่งครัด

พญาเม็งราย จุดเริ่ม “เสียงกังวล” ที่กลายเป็น “แผนปฏิบัติการ”

กรณีเกษตรกรในอำเภอพญาเม็งรายสะท้อนความห่วงใยเรื่องการขายผลผลิต คือเหตุปัจจัยที่ทำให้หน่วยงานรัฐ “ลงมือทันที” สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเชิญสหกรณ์–โรงสี–ตัวแทนเกษตรกร ประชุมคลี่สถานการณ์ เร่งยืนยัน “สหกรณ์รับซื้อได้ต่อเนื่อง” ไม่มีการหยุดหรือปฏิเสธรับซื้อ และระดมโรงสีในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงเข้ารับซื้อเพิ่มในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงราคาถูกกด และทำให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

ตลาดนัดข้าวเปลือก” เวทีแข่งขันราคาที่เห็นผลเร็ว

ตลาดนัดข้าวเปลือกมิใช่เพียง “อีเวนต์ขายข้าว” แต่เป็นการสร้าง แพลตฟอร์มแข่งขันราคา ในระยะสั้น ให้ชาวนาพบผู้ซื้อได้โดยตรงมากขึ้น รัฐ–สหกรณ์–โรงสี–ผู้ซื้อจากนอกพื้นที่จึงมารวมกันในจุดเดียว ขยายจำนวน “ผู้เสนอราคา” ให้มากกว่าโครงสร้างปกติที่มีผู้ซื้อจำกัด และหากเชื่อมโยงกับระบบตรวจเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคาในพื้นที่ จะทำให้การประกาศราคาในตลาดนัดกลายเป็น “จุดอ้างอิง” ที่กดแรงฮั้วหรือการบิดเบือนราคาได้ในทางปฏิบัติ. ขณะเดียวกัน การรวมผู้ซื้อจำนวนมากไว้ในที่เดียว ยังลดต้นทุนธุรกรรมของชาวนา ทั้งเรื่องการเดินทางและเวลา เป็นผลบวกทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่สะท้อนในกระเป๋าเงินอย่างชัดเจน

 “โครงสร้างผลผลิต” และ “กรอบราคารับซื้อ”

  • ผลผลิตออกสู่ตลาด: 24% หรือ 202,854 ตัน จากรวม 845,225 ตัน (ณ 19 ต.ค. 2568)
  • สัดส่วนข้าวเหนียว: 62% หรือ 539,977 ตัน (ฐานหลักรายได้เกษตรกรนาในพื้นที่)
  • ราคารับซื้อข้าวเหนียว (ความชื้น 25–30%): 6.70–7.30 บาท/กก.

ตัวเลขทั้งสามเส้นนี้สะท้อน “โจทย์กำกับตลาด” ที่ต้องเร่งจัดการ เพราะยิ่งส่วนแบ่งข้าวเหนียวสูง แรงกดดันด้านราคายิ่งมีแนวโน้มชัด หากการแข่งขันไม่เปิดกว้างพอหรือมาตรฐานการซื้อขายขาดความโปร่งใส

พันธุ์ “กข 22” กับปัญหากลายพันธุ์ จากข้อร้องเรียนสู่กระบวนการพิสูจน์

อีกประเด็นที่รัฐต้องเร่งขานรับ คือข้อเรียกร้องเรื่องพันธุ์ กข 22 ที่เกษตรกรบางส่วนระบุว่า “ไม่ได้คุณภาพ” เพราะเกิดปัญหากลายพันธุ์ จนทำให้ขายได้ราคาไม่ดีดังเดิม กรมการค้าภายในจึงประสานหน่วยงานในพื้นที่และ กรมการข้าว เพื่อ “ลงพื้นที่พิสูจน์พันธุ์” แยกให้ชัดว่าความผิดปกติเกิดที่ใด—เมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูก หรือกระบวนการหลังเก็บเกี่ยว—ก่อนจะกำหนดมาตรการแก้ไขที่ตรงจุดต่อไป นี่คือตัวอย่างของ “ลูปข้อมูล–วิทยาศาสตร์–นโยบาย” ที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อไม่ให้ “ราคา” เป็นคำตอบสุดท้ายของปัญหาเชิงโครงสร้าง

ภูมิทัศน์การแข่งขัน บทบาท “โรงสี–สหกรณ์” และเครือข่ายนอกพื้นที่

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายได้ประสาน ชมรมโรงสีข้าวจังหวัด และเครือข่ายโรงสีในพื้นที่ใกล้เคียง ให้เข้าร่วมรับซื้อในช่วงผลผลิตออกมาก เพื่อเพิ่มคู่แข่งด้านราคาและดึง “ราคาอ้างอิง” ให้สะท้อนอุปสงค์–อุปทานจริงมากขึ้น ขณะเดียวกัน “สหกรณ์การเกษตร” ในจังหวัดยังทำหน้าที่เป็น “กลไกหลัก” ด้านการรับซื้อ–รวบรวม–เชื่อมต่อกับผู้ซื้อปลายน้ำ ซึ่งในหลายพื้นที่ได้ขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่าน MOU รับซื้อข้าวในราคายุติธรรม เพื่อถัก “เสถียรภาพตลาด” ให้แน่นขึ้นในระยะกลาง

ชุดมาตรการ “รักษาเสถียรภาพราคาข้าว” ระดับประเทศ

ควบคู่ปฏิบัติการภาคสนาม รัฐบาลยังเดินนโยบายเชิงระบบ อาทิ โครงการสินเชื่อชะลอการขายและมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวนาปี 2568/69 เพื่อเสริมสภาพคล่อง–ยืดการขาย และลดแรงเทขายเมื่อผลผลิตออกกระจุกตัว มาตรการชุดนี้ช่วย “คาน” แรงกดราคาจากฝั่งอุปทาน และเชื่อมโยงกับตลาดในระดับจังหวัดอย่างเชียงรายที่กำลังเดินหน้ามาตรการคุมเกมการซื้อขายอย่างใกล้ชิด

กรณีศึกษา “การคุ้มครองเชิงรุก”  เมื่อกฎหมาย + การตรวจสอบ ณ จุดซื้อ ทำงานร่วมกัน

หัวใจสำคัญของการคุ้มครองเกษตรกรคือ “การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก” ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาจึงค่อยแก้ การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดไปยังจุดรับซื้อ ทำให้ “มาตรฐานการซื้อขาย” ถูกยกขึ้นในระดับเดียวกัน ไม่ว่าผู้ซื้อจะเป็นโรงสีรายใหญ่ ผู้รวบรวม หรือผู้ค้ารายย่อย การตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และการบังคับ “ป้ายราคารับซื้อ” ตามประกาศ กกร. ทำให้การเอาเปรียบทำได้ยากขึ้น และหากมีการกดราคาโดยไม่เป็นธรรม ก็จะมี “หลักฐาน” สำหรับดำเนินคดีได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ข้อพิพาทมักจบเพียง “คำต่อคำ”

เสียงจากกรมการค้าภายใน

สาระสำคัญจากคำชี้แจงของ นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน สะท้อน 3 ประเด็นหลัก

  1. ความต่อเนื่องของการรับซื้อ—สหกรณ์ในพื้นที่ไม่ได้หยุดหรือปฏิเสธการรับซื้อ เพื่อให้ชาวนามั่นใจว่าขายได้จริง
  2. ตลาดนัดข้าวเปลือก—เป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรอง และสร้างสภาพแข่งขันราคาในช่วงผลผลิตล้น
  3. การคุ้มครองตามกฎหมาย—ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคา และพร้อมดำเนินคดีหากพบการเอาเปรียบ

แม้ข้อความที่สื่อออกมาจะกระชับ แต่หาก “แปลความ” สู่งานภาคสนาม นี่คือการส่งสัญญาณ “รัฐอยู่ตรงหน้าไซโล” ไม่ใช่อยู่แค่หลังโต๊ะ

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเกษตรกร ใช้สิทธิ–ลดความเสี่ยง–เพิ่มอำนาจต่อรอง

  • ตรวจสภาพความชื้น ให้ใกล้มาตรฐานที่ตลาดยอมรับ เพื่อไม่ถูกกดราคาระหว่างชั่ง
  • ชั่งน้ำหนักก่อนขาย ที่จุดชั่งอิสระของสหกรณ์ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
  • บันทึกภาพป้ายราคา ณ จุดรับซื้อ พร้อมวัน–เวลา เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง
  • ขายผ่านตลาดนัดข้าวเปลือก ในวันที่กำหนด เพื่อเปิดเวทีแข่งขันราคาหลายราย
  • ร้องเรียน 1569 เมื่อพบพฤติกรรมเอาเปรียบ หรือพบเครื่องมือชั่ง–วัดไม่ได้มาตรฐาน

ข้อปฏิบัติเหล่านี้สอดรับกับกรอบกฎหมายและมาตรการของรัฐ และสำคัญที่สุดคือ “เกษตรกรต้องมีข้อมูลในมือ” ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ

จากฤดูเก็บเกี่ยวนี้ สู่ “ระเบียบวินัยตลาด” ระยะยาว

ปฏิบัติการในเชียงรายวันนี้ คือภาพจำลองของ “วินัยตลาดสินค้าเกษตร” ที่ควรเกิดทั่วประเทศ—ข้อมูลราคาเปิดเผย ตรวจสอบได้ เครื่องมือวัดได้มาตรฐาน ผู้ซื้อ–ผู้ขายรู้สิทธิ–รู้หน้าที่ และรัฐ “เปิดไฟหน้า–ยืนอยู่ในตลาดจริง” เมื่อทั้งห่วงโซ่ทำงานบนกติกาเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นย่อมมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะจะกลายเป็น “ความคาดหวังใหม่” ของผู้เล่นในตลาด—กติกาที่ชัดเจน ยุติธรรม และทำให้รายได้ของครัวเรือนเกษตร คาดเดาได้มากขึ้น ในทุกฤดูกาล.

 “ขายได้ เป็นธรรม ตรวจสอบได้” ต้องเกิดพร้อมกัน

เรื่องเล่าจากพญาเม็งรายอาจเริ่มจากความกังวลของชาวนา แต่วันนี้กำลังขยายผลเป็นชุดปฏิบัติการเต็มรูปแบบ—สหกรณ์รับซื้อต่อเนื่อง ตลาดนัดข้าวเปลือก 2 ระลอก โรงสีใน–นอกจังหวัดเข้าร่วมแข่งราคา เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดลงพื้นที่ และ “กรอบกฎหมายใหม่” ที่บังคับให้แสดงราคารับซื้อ ตอกย้ำความโปร่งใส พร้อมบทลงโทษชัดเจน การขับเคลื่อนเช่นนี้ไม่ได้หมายถึงการ “แก้ข่าว” แต่คือการ “แก้ตลาด” ให้เดินได้ด้วยตัวเอง และที่สุดแล้ว “ขายได้–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้” จะไม่ใช่แค่สโลแกน หากทุกข้อกำหนดและการบังคับใช้ดำเนินไปอย่างจริงจังในทุกจุดรับซื้อของจังหวัด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าภายใน
  • สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกสินค้าเกษตรไทยไตรมาส 2 แข็งแกร่ง นำโดยตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป

ส่งออกเกษตรไทย Q2/68 โต 4.2% แรงหนุน “US–EU” ก่อนภาษีสหรัฐฯ มีผล ขณะจีนโตช้า–ข้าวทรุดหนัก รัฐ–เอกชนถูกจี้เร่งยกระดับคุณภาพและกระจายความเสี่ยง

กรุงเทพฯ, 31 สิงหาคม 2568 — ในราคาเช้าตรู่ของปลายไตรมาส 2 รถห้องเย็นบรรทุกไก่แปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงทะยานออกจากคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง ปลายทางคือ “ผู้บริโภคโลก” ที่ยังต้องการโปรตีนและสินค้าอุปโภคบริโภค—ภาพนี้คือฉากหน้าของสถิติส่งออกเกษตรไทยที่ “เขียวสด” ช่วงเมษายน–มิถุนายน 2568 แม้หลายตัวแปรรายตลาดยังขรุขระและบางหมวดสินค้ากลับหดแรงจนน่ากังวล

รายงานของ Krungthai COMPASS ชี้ว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 ขยายตัว 4.2% (YoY) เร่งขึ้นจากไตรมาสแรก โดยได้แรงส่งจาก สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป ที่นำเข้าล่วงหน้าก่อน มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะมีผลในเดือนสิงหาคม ขณะที่ จีน ตลาดใหญ่สุดของไทยยังโตน้อย และ อาเซียน เริ่มฟื้นจากฐานต่ำ

ตลาดหลัก โตไม่เท่ากัน—US–EU เร่งเครื่อง จีนประคองตัว อาเซียนเริ่มหายใจ

  • สหรัฐฯ (สัดส่วน ~10%) โต 18.1% YoY เป็น “แรงขับหลัก” จากดีมานด์ อาหารสัตว์เลี้ยง และ ถุงมือยางจากยางพารา ที่เร่งนำเข้าก่อนภาษีมีผล
  • สหภาพยุโรป (EU) (สัดส่วน ~8%) โต 13.3% YoY โดดเด่นด้วย ไก่สด/แปรรูป ที่ยังแข่งขันได้ด้านคุณภาพและมาตรฐาน
  • จีน (สัดส่วน ~24%) โตเพียง 2% YoY การนำเข้าเด่นไปที่ วัตถุดิบ เพื่อการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก สะท้อนอุปสงค์ปลายน้ำที่ยังเปราะบาง
  • อาเซียน (สัดส่วน ~23%) ฟื้น 3.8% YoY โดยมี น้ำตาลทราย เป็นหัวลากสำคัญ

สัญญาณนี้แปลว่า “การเร่งซื้อก่อนภาษี” มีบทบาทจริง และตลาดที่เน้นมาตรฐาน–การตรวจสอบคุณภาพสูง (อย่าง EU) ยังเปิดโอกาสให้สินค้าไทยที่ปรับตัวทัน ส่วนจีนแม้ยังเป็นตลาดหมายเลข 1 แต่ “ความเร็วในการเติบโต” ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ภาพสินค้า อุตสาหกรรมเกษตรฉุดขึ้น—เกษตรดิบยังอ่อน ข้าวติดลบแรง ผลไม้ชะงัก

โครงสร้างการเติบโตสะท้อนความต่างในเชิงคุณค่า (value-add)

  • กลุ่มเกษตรดิบ (สัดส่วน ~55%): -1.2% YoY
  • กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร (สัดส่วน ~45%): +12.1% YoY

ดาวเด่นที่ฉุดรวมให้บวก

  • ไก่สด/แปรรูป: +11.2% YoY ได้แรงหนุนตลาด EU และจีน
  • น้ำตาลทราย: +22.7% YoY จากผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้น
  • มันสำปะหลัง: กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 2 ปี +4.9% YoY ตามการนำเข้าของจีน
  • อาหารสัตว์เลี้ยง: +9.1% YoY แรงซื้อชัดในสหรัฐฯ–ยุโรป
  • ยางพารา: +4.3% YoY โดยเฉพาะ น้ำยางข้น ที่จีนเร่งนำเข้า เพิ่มกว่า 100% เพื่อผลิตถุงมือยางส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีบังคับใช้

ตัวที่น่าห่วง

  • ข้าว: หดแรง -34.1% YoY โดยเฉพาะ ข้าวขาว 5% ร่วงถึง -58% เมื่อ อินเดีย กลับมาส่งออกและกดการแข่งขันด้านราคา
  • ผลไม้: โตเพียง +2.2% YoY โดย ทุเรียน ซึ่งเป็น “เรือธง” หด -6.5% จาก มาตรการตรวจคุณภาพเข้มของจีน และประเด็นการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

เมื่อนำภาพนี้มาวางบนแผนที่โลจิสติกส์ชายแดน จะยิ่งเห็น “ความเปราะบางแบบพื้นที่” ชัดขึ้น: ทิศเหนือ–อีสาน ที่พึ่งพาด่านบกไปจีนและเพื่อนบ้าน ได้อานิสงส์จากสินค้าแปรรูป/วัตถุดิบบางตัว แต่ในช่วงที่ด่านมีข้อจำกัดหรือความตึงเครียดทางการเมือง ปริมาณเคลื่อนย้ายผลไม้สดและเกษตรดิบจะสะดุดเป็นพิเศษ

สงครามการค้า + จีนชะลอ = สองแรงกดในครึ่งหลังปี 2568–ปี 2569

Krungthai COMPASS ประเมิน “แรงกด” ที่ต้องรับมือสองด้านพร้อมกัน

  1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (อัตรา 19%) ที่เริ่มมีผลในเดือนสิงหาคม มีแนวโน้มฉุดหมวดที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง โดยเฉพาะห่วงโซ่ ยาง–น้ำยางข้น–ถุงมือยาง หลังพ้นช่วง “เร่งซื้อก่อนภาษี”
  2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำให้ดีมานด์สินค้าบริโภคและวัตถุดิบเติบโตช้าลง พร้อมกฎระเบียบคุณภาพ–สุขอนามัยพืช (SPS) เข้มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ ผลไม้ และ ข้าว

ภาพรวมปี 2568–2569 จึงมีความเสี่ยงที่ ยางพารา อาจกลับไปหดตัวต่อเนื่อง และ ข้าว อาจลดลงแรงถึง -48% ในปี 2568 หากไม่มีมาตรการเสริมความสามารถแข่งขันด้านราคา–คุณภาพ ส่วน ไก่ แม้ยังโตได้ แต่ต้องประคองมาร์จินท่ามกลางคู่แข่งอย่าง บราซิล ที่ได้เปรียบด้านต้นทุน ขณะที่ ผลไม้ไทย มีโอกาสกลับมาขยายตัวในปี 2569 หาก “ด่านคุณภาพ” ผ่านได้ราบรื่นกว่าเดิม

เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน เมื่อหน้าด่านสะดุด ผลรวมประเทศก็สั่น

แม้รายไตรมาสของเกษตรรวมจะบวก แต่เส้นเลือด “หน้าด่าน” ยังบอบบาง—โดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคมที่ภาพรวม การค้าชายแดน ลดลงหนัก เพราะการเมืองชายแดนฝั่งกัมพูชาและข้อจำกัดการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน ขณะที่ “การค้าผ่านแดน” ไปจีนกลับยังแรงจากวัฏจักรผลไม้และอุปสงค์เฉพาะทาง จุดนี้สะท้อนว่า นโยบายด่าน และ มาตรการคุณภาพ มีน้ำหนักพอ ๆ กัน: หากหน้าด่านนิ่ง—สินค้าสดเดินทางได้เร็ว และถ้าคุณภาพ–เอกสารครบ—ตลาดปลายทางก็เปิดรับอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ “อยู่เป็น–อยู่รอด–อยู่ยั่งยืน”: 7 ข้อทำได้จริง

1) ล็อกมาตรฐานคุณภาพผลไม้–โปรตีน:
เร่งขยายระบบ Pre-clearance / Pre-inspection กับประเทศคู่ค้า และสนับสนุน ระบบตรวจย้อนกลับ (traceability) ระดับฟาร์ม–ล้ง–โรงงาน ให้เชื่อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐ ช่วยให้ผลไม้และเนื้อสัตว์ผ่านด่าน SPS/TBT ได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยง “ถูกสุ่มตรวจ–ถูกตีกลับ”

2) ยกระดับสินค้าดิบสู่แปรรูปคุณค่าเพิ่ม:
ตั้งเป้าหมวดที่มี value-add สูง—เช่น แปรรูปยางพารา (ยางทางการแพทย์, ยางกันสั่น), มันสำปะหลัง (modified starch), และโปรตีนแปรรูป—เพื่อกันกระสุนในช่วงราคาโภคภัณฑ์ผันผวน

3) กระจายตลาดและหน้าต่างเวลา:
จัดพอร์ตส่งออกแบบ “กระจายฤดูกาล–กระจายประเทศ” ลดการกระจุกตัวในจีนช่วงผลไม้พีก และเพิ่มสัดส่วนตลาดกำลังซื้อสูงใน ตะวันออกกลาง–สหรัฐฯ–ยุโรปตะวันออก ผ่านข้อตกลงความร่วมมือด้านมาตรฐานอาหารฮาลาล–สุขอนามัยสัตว์

4) โลจิสติกส์คอขวดเป็นต้นทุนเงียบ—ต้องแก้แบบแพ็กเกจ:
ทดลอง ช่องตรวจเฉพาะกิจช่วงฤดูผลไม้, ขยายเวลาทำการด่านแบบกำหนดช่วง และพัฒนา คลังเย็น–ศูนย์รวบรวม ใกล้ด่านบก/ด่านราง ควบคู่การผลักดัน Single Window เอกสารข้ามแดน

5) คุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน–ราคาโภคภัณฑ์:
ผลักดันการใช้เครื่องมือ hedging อย่างจริงจังใน SMEs ผ่านสถาบันการเงินรัฐ–เอกชน และให้สิทธิประโยชน์ภาษีกับผู้ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย

6) สื่อสาร–แจ้งเตือนล่วงหน้าเรื่องภาษี/กำแพงการค้า:
ตั้ง War room การค้า ประสานหน่วยงานเศรษฐกิจและการทูตเชิงพาณิชย์ แจ้งเตือน “มาตรการใหม่–โควตา–มาตรฐานสุขอนามัย” ให้ผู้ส่งออกทราบล่วงหน้าพร้อมคู่มือปฏิบัติในรูปแบบ checklists

7) ข้าวต้อง “เกมใหม่”:
ยกเครื่องยุทธศาสตร์จาก “ปริมาณ–ราคา” เป็น “ความต่าง–คุณภาพ–เรื่องราว” เร่งพัฒนา ข้าวพรีเมียม/ข้าวสุขภาพ ปรับแพ็กจิ้ง–แบรนด์ และสร้างความร่วมมือกับห้าง–แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างประเทศ เปลี่ยนสมรภูมิแข่งขันออกจากสงครามราคาที่อินเดีย-เวียดนามถนัด

คำเตือนจากตัวเลข จุดแข็ง–จุดอ่อนในคำเดียวกัน

  • การโตของ อุตสาหกรรมเกษตร แปลว่าผู้ประกอบการไทย “เดินมาถูกทาง” ในการเพิ่มมูลค่า
  • แต่การหดตัวของ ข้าว และการโตช้าของ ผลไม้ สื่อว่าการบ้านเรื่อง “คุณภาพ–มาตรฐาน–ต้นทุน” ยังรอการแก้เชิงระบบ
  • ดีมานด์ US–EU ที่ดีขึ้น อาจ “ผ่อนแรง” หลังภาษีสหรัฐฯ มีผล หากไม่มีการบริหารความเสี่ยง–เจรจาทางการค้าเสริม
  • จีน ยังเป็น “เสือหลับ”—หากเศรษฐกิจฟื้นและไทยแก้คอขวดคุณภาพ-โลจิสติกส์ได้ทัน ผลไม้–แปรรูปไทยยังมีพื้นที่เติบโต

สรุปย่อตัวเลขสำคัญ (ไตรมาส 2/2568)

  • ส่งออก เกษตร+อุตสาหกรรมเกษตร: +4.2% YoY
  • ตลาด: US +18.1%, EU +13.3%, จีน +2%, อาเซียน +3.8%
  • กลุ่มสินค้า: เกษตรดิบ -1.2%, อุตสาหกรรมเกษตร +12.1%
  • รายสินค้าเด่น: ไก่ +11.2%, น้ำตาล +22.7%, มันสำปะหลัง +4.9%, อาหารสัตว์เลี้ยง +9.1%, ยางพารา +4.3% (น้ำยางข้นที่จีนเร่งนำเข้า >100%)
  • รายสินค้าน่าห่วง: ข้าว -34.1% (ข้าวขาว 5% -58%), ผลไม้ +2.2%, ทุเรียน -6.5%

จาก “เร่งซื้อก่อนภาษี” สู่ “แข่งขันจริงบนมาตรฐาน”

ตัวเลขสวยในไตรมาส 2 ไม่ได้บอกว่าทางข้างหน้าจะราบรื่น—ครึ่งหลังปี 2568 คือบททดสอบจริงหลังมาตรการภาษีสหรัฐฯ มีผล และเมื่อจีนยังชะลอ ไทยจำเป็นต้อง “คุมคุณภาพให้เป๊ะ–ลดต้นทุนให้คม–เปิดตลาดให้กว้าง” ควบคู่กับการทำให้ “ด่าน” เดินได้อย่างคาดเดาได้ หากปรับตัวทัน ชุดสินค้าที่ไทยถนัด—ตั้งแต่โปรตีนแปรรูปถึงแป้งมันดัดแปร—จะยังสร้างมูลค่าเพิ่ม และผลไม้ไทยก็มีพื้นที่กลับมา “เฉิดฉาย” ในปี 2569 เมื่อมาตรฐานคือภาษาเดียวกันระหว่างเรากับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Krungthai COMPASS (ธนาคารกรุงไทย): รายงานวิเคราะห์ “การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย ไตรมาส 2/2568” (เผยแพร่ปลายส.ค. 2568) – ตัวเลขอัตราการเติบโตรายหมวดสินค้า/รายตลาด, สมมติฐานความเสี่ยงภาษีสหรัฐฯ, แนวโน้ม H2/2568–ปี 2569
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์: ข่าวเผยแพร่/สรุปสถานการณ์ “การค้าชายแดน–การค้าผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 และช่วง 7 เดือนแรก – ใช้ประกอบบริบทความเสี่ยงหน้าด่านและการเติบโตของการค้าผ่านแดนไปจีน
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์: ชุดข้อมูลสถิติการส่งออกสินค้าเกษตร–อุตสาหกรรมเกษตร (รายตลาด/รายหมวด) เพื่อเทียบเคียงแนวโน้มไตรมาส
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ส่งออกเกษตรไทยโต 8% ครองแชมป์อาเซียน

ไทยครองอันดับ 1 อาเซียน ส่งออกสินค้าเกษตรโตต่อเนื่องสู่ตลาดโลก

ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรไทยโต 8% สู่ตลาดโลก มูลค่ากว่า 19,826 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม – สิงหาคม) พบว่า ประเทศไทยส่งออกสินค้าเกษตรสู่ตลาดโลกมูลค่ารวม 19,826 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว โดยในส่วนของการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่ไทยมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) มีมูลค่า 13,774 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนถึง 69% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็น จีน อาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรเติบโตดี โดยเฉพาะในกลุ่ม FTA

นายจิรายุยังระบุว่า ประเทศไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับ 8 ของโลก โดยกลุ่มประเทศคู่ค้า FTA ได้แก่ จีน อาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่ส่งออกได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเดือนสิงหาคมเพียงเดือนเดียว การส่งออกไปกลุ่ม FTA ขยายตัว 9% โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่นที่โตขึ้น 11% อินเดีย 24% นิวซีแลนด์ 34% และชิลี 42.8% ซึ่งตลาดเหล่านี้มีความต้องการสินค้าเกษตรไทยสูงขึ้น

สินค้าเกษตรส่งออกสำคัญที่ขยายตัวในตลาดโลก

ในเดือนสิงหาคม 2567 ไทยมีสินค้าเกษตรที่ส่งออกอันดับต้นๆ และเติบโตอย่างน่าพอใจ ได้แก่ ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ข้าว ยางพารา ไก่ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ซึ่งต่างมีการขยายตัวดี เช่น ข้าวเติบโต 41% และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งเติบโต 21% สะท้อนถึงการเป็นผู้นำในตลาดเกษตรที่ได้รับความต้องการสูง

โอกาสสู่การขยายตลาดด้วยข้อตกลง FTA

นายจิรายุชี้ว่าการเปิดตลาดผ่าน FTA และการลดภาษีนำเข้าในหลายประเทศช่วยให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น โดยรัฐบาลไทยได้ดำเนินการทำ FTA ครอบคลุม 18 ประเทศ ซึ่งลดภาษีให้กับสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่แปรรูป และผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง ทำให้สินค้าเหล่านี้สามารถส่งออกไปยังหลายประเทศได้โดยไม่เสียภาษีนำเข้า ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News