Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

คลายกังวล! กปภ. เปิดพิสูจน์น้ำประปาเชียงราย “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” เกินมาตรฐาน WHO

กปภ. ย้ำความเชื่อมั่น: น้ำประปาเชียงราย “ปลอดภัย ไร้สารหนู” หลังปรับกระบวนการผลิตและตรวจสอบเข้มงวด

เชียงราย, 25 กรกฎาคม 2568 – คลายกังวลน้ำประปาเชียงราย กปภ.เปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์มาตรฐาน “สะอาด-ปลอดภัย-ไร้สารหนู” ย้ำมาตรการเหนือ WHO ภายหลังจากที่มีรายงานตรวจพบความขุ่นผิดปกติและสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาของจังหวัดเชียงราย ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความกังวลต่อความปลอดภัยในการใช้น้ำอย่างกว้างขวาง การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จึงรีบเร่งขับเคลื่อนมาตรการสร้างความเชื่อมั่น โดยจัดกิจกรรม “สื่อมวลชนสัญจร” นำผู้สื่อข่าวในพื้นที่ลงพื้นที่จริงเยี่ยมชมกระบวนการผลิต ตรวจสอบห้องควบคุมและห้องปฏิบัติการคุณภาพน้ำประปา ณ กปภ.สาขาเชียงราย พร้อมเปิดเผยข้อมูลและแผนการจัดการเชิงรุกอย่างโปร่งใส

ผู้ว่าการ กปภ. ลงนามการันตี “น้ำดื่มได้จริง” มาตรการผลิตเข้มข้นเกิน WHO

นายจักรพงศ์ คำจันทร์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า กปภ.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิบในแม่น้ำกกตลอด 24 ชั่วโมง และเพิ่มมาตรการควบคุมการผลิตน้ำประปาให้เข้มข้นกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) เช่น ค่าความขุ่น WHO อนุโลม 5 NTU แต่ กปภ.กำหนดสูงสุดเพียง 4 NTU เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน

กระบวนการผลิตน้ำดื่มของ กปภ.เชียงรายมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย

  • การปรับสัดส่วนเคมีเพื่อเร่งการตกตะกอน ดึงโลหะหนักออกจากน้ำดิบ
  • เติมคลอรีน ทั้ง Pre-Chlorine และ Post-Chlorine เพื่อฆ่าเชื้อโรคและคุมคุณภาพ
  • เสริมการเติมโพลิเมอร์และสารแทร็ก เพื่อให้โลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ฯลฯ) ตกตะกอนออกก่อนจ่ายเข้าสู่กระบวนการกรองขั้นสูง
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยนักวิทยาศาสตร์ กำกับทุกขั้นตอนจนถึงปลายทาง
  • สุ่มเก็บตัวอย่างน้ำทั้งระบบ ส่งตรวจบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ทุก 2 สัปดาห์

“น้ำประปา กปภ. สะอาด ปลอดภัย และดื่มได้จริงตามมาตรฐานสากล ผมกล้าการันตี” ผู้ว่าการ กปภ. กล่าว

รายงานผลตรวจล่าสุด ยืนยันไร้สารหนู-ประชาชนใช้น้ำได้ตามปกติ

ผลการสุ่มตรวจคุณภาพน้ำประปาล่าสุดจาก กปภ.เชียงราย เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ยืนยันว่า น้ำประปาทุกจุดปลอดภัย ไร้สารหนู และผ่านค่ามาตรฐานทุกด้าน โดยมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ผ่านแฟนเพจของ กปภ.สาขาเชียงรายและแม่สายทุก 3 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน และเน้นย้ำว่า หากพบค่าความขุ่นหรือสารปนเปื้อนเกินค่าควบคุมแม้แต่น้อย กปภ.จะดำเนินการหยุดจ่ายน้ำและหาแหล่งน้ำใหม่ทันที

นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการ กปภ. (ปฏิบัติการ 1) กล่าวย้ำกับประชาชนชาวเชียงรายว่า “มั่นใจได้น้ำประปาที่ผ่านการผลิตของ กปภ. ใช้อุปโภคบริโภคได้แน่นอน แต่ขอให้หลีกเลี่ยงการนำน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปใช้โดยตรง”

มาตรการและแนวทางเตรียมพร้อม กรณีวิกฤตสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบ

หากสถานการณ์น้ำดิบจากแม่น้ำกกในอนาคตมีสารปนเปื้อนเกินศักยภาพการบำบัด กปภ. มีแผนรองรับทันที ได้แก่

  • เปลี่ยนแหล่งน้ำดิบใหม่ ค้นหาน้ำดิบจากแหล่งที่มีปริมาณและคุณภาพเหมาะสม
  • เพิ่มการเฝ้าระวังและสุ่มตรวจอย่างเข้มข้น
  • สื่อสารแจ้งเตือนประชาชนอย่างโปร่งใส

บทพิสูจน์ “กอบกู้ศรัทธา” ด้วยมาตรการโปร่งใส-วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การดำเนินการของ กปภ.เชียงรายในวิกฤตครั้งนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของหน่วยงานรัฐที่กล้าเปิดบ้านให้สื่อพิสูจน์และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เป็นการ “สร้างศรัทธาเชิงรุก” ต่อประชาชน และสร้างความมั่นใจด้วยข้อเท็จจริงเชิงวิทยาศาสตร์

  • การลงทุนเครื่องจ่ายสารเคมีและเทคโนโลยีทันสมัย มูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ยืนยันถึงความจริงจังในคุณภาพน้ำ
  • โปร่งใส เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำ สร้างบรรทัดฐานใหม่ในการสื่อสารความเสี่ยงภาครัฐ
  • วางแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ สะท้อนความพร้อมต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของแม่น้ำกก

ขณะเดียวกัน กปภ. ยอมรับข้อเท็จจริงว่า ปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือระยะยาวจากทุกหน่วยงาน ไม่ใช่แค่การประปา แต่ต้องร่วมแก้ไขที่ต้นน้ำและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  • จัดทำแผนประชาสัมพันธ์วิทยาศาสตร์น้ำ ให้ประชาชนเข้าใจการบำบัดน้ำ
  • สนับสนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการใช้น้ำดิบโดยตรง
  • ยกระดับการดูแลแหล่งน้ำต้นน้ำ ร่วมกับหน่วยงานสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข
  • เตรียมงบฉุกเฉินและแผนปฏิบัติการกรณีพบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

บทสรุป

การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายกำลังยกระดับมาตรฐานความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการสื่อสารเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนอย่างยั่งยืน ในวิกฤตที่หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม “ความจริงใจและมาตรฐานสูงสุด” คือหัวใจที่ต้องยึดมั่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)
  • บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด
  • รายงานคุณภาพน้ำประปา กปภ.สาขาเชียงราย
  • สัมภาษณ์ผู้ว่าการ กปภ.
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ กปภ.
  • WHO Guidelines for Drinking-water Quality
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สารหนูแม่น้ำกกยังสูง เชียงรายเร่งตรวจน้ำ-ปลา ประชาชนวอนขอผลชัดเจน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำและพร้อมรับมืออุทกภัย บูรณาการหน่วยงานรัฐ-ชุมชนสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งด้านคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและความเสี่ยงต่ออุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน

ประชุมเร่งด่วนบูรณาการทุกภาคส่วน


วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่าน VDO Conference กับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เพื่อรายงานและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และการป้องกันอุทกภัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงหลังฝายเชียงรายที่ค่าความเข้มข้นของสารหนูเกินมาตรฐานในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประตูน้ำช่วงน้ำหลากและการขุดลอกลำน้ำที่ทำให้ตะกอนสารหนูลอยขึ้นปะปนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูหลังฝายยังต่ำกว่าช่วงต้นน้ำกก

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง-ลงพื้นที่ตรวจเข้ม


จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3 จุดหลัก คือ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทีมตรวจสอบเคลื่อนที่เข้าสู่หมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปา โดยผลตรวจล่าสุดพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในตัวปลาอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างพืชผักที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

ด้านสุขภาพประชาชน สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเร่งดำเนินการเชิงรุก ทั้งตรวจร่างกาย เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิด รพ.สต. ให้เป็นจุดเฝ้าระวังและรับแจ้งอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการบริโภคน้ำหรือสัตว์น้ำปนเปื้อน

แผนรับมืออุทกภัย เครื่องมือ-เครื่องจักรพร้อมรับสถานการณ์


ในด้านการรับมืออุทกภัย จังหวัดได้ทบทวนแผนและพื้นที่เสี่ยงทั่วลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง และแม่น้ำรวก โดยติดตั้งโทรมาตร (อุปกรณ์วัดระดับน้ำ) กว่า 21 จุดตลอดแม่น้ำกก และพร้อมจัดซ้อมแผนรับมือภัยในเดือนมิถุนายน 2568 มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น แม่สาย เทิง แม่จัน พร้อมทั้งบริหารจัดการข้อมูล 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด

หน่วยงานกรมการทหารช่างได้สร้างแนวป้องกันน้ำในแม่สายและขุดลอกแม่น้ำรวก รวมถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการขุดลอกแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำท่วมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ยังวางแผนสำรองเผชิญเหตุในระดับหมู่บ้านเพื่อดูแลพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนามบิน และสถานีผลิตน้ำประปา

ภาคประชาชน-ชุมชนร่วมมือ สร้างความมั่นใจในแหล่งอาหาร


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมหาวัน ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน สะท้อนถึงความห่วงใยของชาวบ้านต่อแหล่งอาหารหลัก ซึ่งมีรายได้เสริมจากการจับปลาขาย แต่ต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งจากกระแสข่าวสารปนเปื้อนในน้ำ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานเร่งประกาศผลตรวจอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของชุมชน

วิเคราะห์แนวโน้ม-สร้างเสถียรภาพระยะยาว


การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ สะท้อนถึงความพยายามของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ในการสร้างระบบเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการสื่อสารสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ อาศัยกลไกวิทยาศาสตร์การแพทย์และการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและความมั่นคงด้านอาหารในจังหวัด

สรุป


แม้สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจะยังคงน่าห่วง แต่จากการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า จ.เชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันชัด! แม่น้ำกกใช้เกษตรได้ แนะจัดการดิน-สุขอนามัย

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่เวียงชัย สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร – ย้ำ “น้ำกกยังใช้ทำเกษตรได้” ภายใต้เงื่อนไขการจัดการดินและสุขอนามัย

เชียงราย,11 มิถุนายน 2568 –  นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเกษตรกรผู้ทำนา ณ หมู่ที่ 8 บ้านไตรแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารหนูในบางจุด จนเกิดกระแสข่าวและความวิตกกังวลในวงกว้าง

ผลตรวจชี้ “สารหนูในน้ำกก” มีผลต่างกันแต่ควบคุมได้ – ย้ำรัฐโปร่งใส

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า ในน้ำแม่น้ำกกมีการตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในบางจุดจริง โดยระดับการปนเปื้อนมีความแตกต่างกันตามพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดไม่ได้ปิดบังข้อมูล มีการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งทางการโดยตรง

ผู้ว่าฯ ยังย้ำว่า ประชาชนควรรับข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่มีผลแล็บมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อมูลคุณภาพน้ำและผลตรวจต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

น้ำประปา “ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน” ใช้อุปโภคบริโภคได้ปลอดภัย

หนึ่งในข้อกังวลสำคัญคือคุณภาพน้ำประปาทั้งระดับการประปาภูมิภาคสาขาเชียงรายและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ ซึ่งใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกเป็นต้นทุน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบและผลการวิเคราะห์ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย และการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย พบว่า น้ำประปาผ่านกระบวนการตกตะกอน กรอง และบำบัดตามหลักวิชาการ ได้คุณภาพปลอดภัยตามมาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ

เกษตรจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ แสงคำ กล่าวเสริมว่า ในประเด็นความปลอดภัยของน้ำเพื่อการเกษตร ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการสะสมของโลหะหนักในพืช คือ “การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสม” หากค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป จะช่วยจำกัดการดูดซึมของสารหนูและโลหะหนักเข้าสู่พืชผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลแล็บ “พืช-สัตว์น้ำ” ในพื้นที่แม่น้ำกกยังไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก รวมถึงชนิดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโดยตรงส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน พบว่าปริมาณสารหนูในตัวอย่าง “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” สะท้อนว่ายังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกเพื่อการเกษตรในพื้นที่ได้ตามปกติ

สร้างภูมิคุ้มกันข้อมูล – เน้นรับข่าวสารจากหน่วยงานรัฐ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ประชาชนควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีผลแล็บและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ขอให้ระวังข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน เพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น

เน้นสุขอนามัยและแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกร

นอกจากประเด็นเรื่องคุณภาพน้ำแล้ว เกษตรจังหวัดเชียงรายยังแนะนำเกษตรกรควรป้องกันตัวเองในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่น้ำธรรมชาติ เช่น สวมรองเท้าบูทและเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิดระหว่างลงแปลงนา เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสหรือสะสมสารเคมีหรือโลหะหนักบนผิวหนังในระยะยาว

เสียงสะท้อนจากชาวนาเวียงชัย – รัฐต้องแก้ปัญหาที่ต้นทาง

เกษตรกรในเวียงชัยยังคงติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เป็นทางการ อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ต้นน้ำ และวางแนวทางบรรเทาผลกระทบอย่างยั่งยืน

สร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจและมาตรการเชิงรุก

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสื่อสารข้อมูลวิชาการอย่างต่อเนื่อง และการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจในการประกอบอาชีพของเกษตรกรกับมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รัฐจำเป็นต้องเร่งมือแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่โปร่งใสเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในหมู่ประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐาน 15 จุด แม่น้ำกก-สาย-โขง ชาวประมงหวั่นผลกระทบ

กรมควบคุมมลพิษเผยสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง 15 จุด เสี่ยงกระทบสุขภาพ-เศรษฐกิจ ชาวประมงเดือดร้อน จี้รัฐเร่งมาตรการจัดการ”

เชียงราย, 10 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 4 (26-30 พฤษภาคม 2568) พบสารหนู (Arsenic: As) เกินค่ามาตรฐาน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ในทุกจุดตรวจวัด 15 จุดทั่วทั้ง 3 ลำน้ำ รวมถึง 3 จุดในแม่น้ำสาย และ 2 จุดในแม่น้ำโขง โดยจุดที่มีค่าสูงสุด ได้แก่ บ้านป่าซางงาม อ.แม่สาย (0.038 มก./ล.) และบ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง (0.023 มก./ล.) ข้อมูลชี้ชัดต้นตอหลักมาจากกิจกรรมเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า ส่งผลให้คุณภาพน้ำบริเวณชายแดนไทย-พม่ามีความขุ่นสูงผิดปกติและปริมาณสารหนูพุ่งสูงกว่ามาตรฐาน

ผลกระทบขยายวงกว้าง—เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจชุมชน

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) ระบุว่า การปนเปื้อนสารหนูแพร่กระจายจากต้นน้ำสู่กลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีการเปิดฝายเชียงราย ทำให้ตะกอนที่มีสารหนูถูกปล่อยลงแม่น้ำมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร ผู้ใช้น้ำบาดาลใกล้แม่น้ำ และประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อการบริโภค สมพรเสนอให้รัฐและประปาท้องถิ่นเร่งแจกชุดตรวจน้ำเบื้องต้น (test kit) ให้ชุมชน พร้อมทั้งคัดกรองจุดเสี่ยงและรายงานผลอย่างโปร่งใส

ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การสะสมของสารหนูในแม่น้ำกก สาย และโขง มีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ผ่านการใช้น้ำและการบริโภคสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง หอย ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมในห่วงโซ่อาหารและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ปลาป่วย-ชาวประมงเดือดร้อนหนัก—ขาดความเชื่อมั่น กระทบรายได้

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานผ่านเฟซบุ๊กและสำรวจพื้นที่ พบจำนวนปลาที่ติดเชื้อและมีอาการผิดปกติในแม่น้ำกกและโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลากดและปลาแข้ที่มีตุ่มรุนแรง คาดว่าเป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ไหลมาจากเหมืองในเมียนมา แม้ผลตรวจสอบโลหะหนักในตัวปลาล่าสุดจากกรมประมง (เม.ย.-พ.ค. 2568) จะยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้ปลาจากแม่น้ำเหล่านี้ขายไม่ออก ชาวประมงประสบวิกฤติรายได้ลดลงอย่างรุนแรง

บุญสุข สุวรรณดี ชาวประมงบ้านสบคำ อ.เชียงแสน เปิดเผยว่า “ไม่มีใครซื้อปลาเลย แม่ค้าปิดโทรศัพท์หนี อยากให้รัฐช่วยเหลือ อาจนำปลามาปล่อยในแหล่งน้ำสำรองให้ชาวบ้านมีอาหาร” ขณะที่สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างปลาเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และใช้ผลผลักดันรัฐในการเจรจาปิดเหมืองต้นตอปัญหา

แรงกดดันจากภาคประชาชน—รัฐต้องตอบสนองอย่างโปร่งใสและยั่งยืน

ภาคประชาชนในเชียงรายและเชียงใหม่ออกมาเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการเร่งด่วน 1) แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยง 2) แจกชุดตรวจน้ำและสนับสนุนระบบบำบัดน้ำ 3) ตรวจสอบและเจรจาปิดเหมืองในเมียนมา 4) ฟื้นฟูแหล่งน้ำและดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
กรมควบคุมมลพิษแจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจน้ำครั้งที่ 5 (9-13 มิ.ย. 2568) โดยจะรายงานผลให้สาธารณชนรับทราบต่อไป พร้อมทั้งมีแผนติดตามคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

การพบสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขงในระดับที่เกินมาตรฐานติดต่อกันหลายครั้งสะท้อนถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งปฏิบัติการทั้งในเชิงนโยบายและมาตรการระยะเร่งด่วน เช่น การประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนสาธารณชน การแจก test kit ระบบบำบัดน้ำเฉพาะพื้นที่ และการเจรจาระหว่างประเทศกับเมียนมาเพื่อตัดวงจรปัญหา
ขณะเดียวกัน การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

สรุป

ปัญหามลพิษสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขง ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเฉพาะจุดแต่เชื่อมโยงถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว รัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • สำนักข่าวชายขอบ
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform)
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูทะลักแม่น้ำกก “โรม” จี้รัฐบาลแก้เหมืองทองว้า

วิกฤตแม่น้ำกก สารพิษจากเหมืองทองคำฝั่งเมียนมาคุกคามความมั่นคงและสุขภาพคนไทย

สถานการณ์คุณภาพน้ำกกและแม่น้ำสายพบสารหนูเกินมาตรฐานหลายเท่า

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำฝาง ซึ่งเก็บตัวอย่างเมื่อวันที่ 21-24 เมษายน 2568 ครอบคลุม 15 จุดในเชียงรายและเชียงใหม่ โดยพบว่าน้ำมีความขุ่นผิดปกติและตรวจพบ “สารหนู” (Arsenic) เกินค่ามาตรฐานในหลายจุดอย่างน่าตกใจ

ตัวอย่างเช่นที่สะพานเฉลิมพระเกียรติ 1 อำเภอเมืองเชียงราย พบค่าสารหนู 0.012 mg/L และสูงสุดที่บ้านจะเด้อ ตำบลดอยฮาง ที่ระดับ 0.019 mg/L ซึ่งมากกว่าค่ามาตรฐาน 0.01 mg/L ถึงเกือบสองเท่า ขณะที่ในเขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีจุดหนึ่งที่มีค่าถึง 0.037 mg/L

ร่วมลงพื้นที่ ย้ำภัยเงียบที่ต้องเร่งจัดการ

พระอาจารย์มหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน ให้สัมภาษณ์ว่า การปนเปื้อนของโลหะหนักในลำน้ำกกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งที่ปริมาณน้ำน้อยลง สารพิษจึงเข้มข้นขึ้น ซึ่งกระทบทั้งการเกษตรและอาหารประจำวันของประชาชน โดยขอให้รัฐตรวจสอบสัตว์น้ำและพืชผลที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกอย่างเร่งด่วน

ในวันเดียวกัน รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ได้เดินทางลงพื้นที่แม่อายและเชียงราย เพื่อติดตามปัญหาดังกล่าว พร้อมระบุว่าสารหนูและตะกั่วมีค่าที่น่าเป็นห่วงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ต้นตอปัญหาเหมืองทองผิดกฎหมายในเขตอิทธิพลของกลุ่มว้าในเมียนมา

ข้อมูลจากการตรวจสอบพบว่าแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำกกและสาย ไหลมาจากพื้นที่เขตอิทธิพลของกลุ่มว้า (UWSA) ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีเหมืองทองคำผิดกฎหมายกว่า 30 แห่ง ปล่อยตะกอนสารพิษลงแม่น้ำโดยไม่มีมาตรการควบคุม ส่งผลให้ประเทศไทยซึ่งอยู่ปลายน้ำรับผลกระทบเต็ม ๆ

นายโรมกล่าวว่า ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบต่อคุณภาพน้ำ แต่ยังลุกลามไปถึงเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

หน่วยงานรัฐยืนยันไม่มีการทำเหมืองในเขตประเทศไทย

นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ชี้แจงว่า การตรวจสอบในพื้นที่แม่อายไม่พบกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโลหะหนัก พร้อมเน้นย้ำว่าอำเภอแม่อายไม่ได้เป็นต้นเหตุของปัญหา การแก้ไขต้องทำในระดับประเทศ โดยปัจจุบันมีการแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดให้ชาวบ้านฟรีและเร่งตรวจสอบปลาและดินตะกอนเพิ่มเติม

ข้อเรียกร้องเร่งใช้การทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศ

นายรังสิมันต์ โรม กล่าวอย่างหนักแน่นว่า แม้สถานการณ์ในเมียนมาจะซับซ้อนจากสงครามกลางเมือง แต่รัฐบาลไทยต้องแสดงความชัดเจน ใช้ช่องทางการทูต รวมถึงประเทศที่มีสัมพันธ์ดีกับกลุ่มว้า เพื่อกดดันให้ยุติกิจกรรมเหมืองทองที่เป็นต้นเหตุของปัญหา

“ถ้าไม่แก้วันนี้ ปัญหาจะลุกลามต่อเนื่อง คนไทยจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยอย่างปลอดภัย” นายโรมกล่าว

เหมืองทองฝั่งเมียนมาปล่อยตะกอนลงแม่น้ำกก

ผู้สื่อข่าวยังได้รับคลิปวิดีโอจากชาวบ้าน ซึ่งเผยให้เห็นภาพการระบายตะกอนจากเหมืองทองในเขตรัฐฉานลงสู่แม่น้ำกกอย่างชัดเจน ยืนยันถึงการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายของเหมืองดังกล่าวที่ยังดำเนินอยู่

กมธ.มั่นคงฯ นัดถกแนวทางร่วมกับส่วนราชการในเชียงราย

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ มีกำหนดประชุมร่วมกับหน่วยงานราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อสรุปสถานการณ์และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง สาธารณสุข และการต่างประเทศ

วิกฤตนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือความมั่นคงระดับชาติ

กรณีสารหนูและตะกั่วในแม่น้ำกก ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม แต่สะท้อนถึงปัญหาโครงสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้ทั้งกลยุทธ์ระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อแก้ปัญหานี้

หากยังปล่อยให้กลุ่มอิทธิพลดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายข้ามพรมแดนต่อไปโดยไม่มีการควบคุม สถานการณ์จะยิ่งซับซ้อนและรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สถิติและข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าสารหนูในแม่น้ำกกสูงสุด: 0.037 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
  • ค่าสารตะกั่วในแม่น้ำกก: 0.076 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.05 mg/L)
  • เหมืองทองผิดกฎหมายในรัฐฉาน: กว่า 30 แห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 1
  • สส.ปั๋น – ชิตวัน ชินอนุวัฒน์
  • พรรคประชาชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

มท.4 ลุยแม่สาย ตามปม สารหนู-ตะกั่ว เร่งสร้างพนังกั้นน้ำ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน สารหนู-ตะกั่วปนเปื้อนแม่น้ำสาย กระทบประชาชนกว่าแสนคน

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 — จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอย่างรุนแรง หลังจากการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วปนเปื้อนในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของพื้นที่ โดยมีการตรวจพบสารหนูในระดับสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า

การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.30 น. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย รวมถึงการตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตรวจติดตามราชการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ณ อาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสาย บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตลาดสายลมจอย รวมถึงตรวจสอบการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย เพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม

การปนเปื้อนของสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำสายต้องเผชิญกับปัญหาผื่นคันและอาการผิดปกติทางผิวหนังหลังจากสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อน นอกจากนี้ ร้านอาหารและธุรกิจที่พึ่งพาแม่น้ำสายต้องเผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างมาก เนื่องจากความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารและน้ำ

ต้นเหตุของการปนเปื้อน

จากการสืบสวนพบว่า ต้นเหตุของการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมาจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ต้นน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่โดยนักลงทุนชาวจีนที่ไม่มีระบบการจัดการน้ำเสียอย่างเหมาะสม ทำให้สารพิษจากการสกัดแร่ไหลลงสู่แม่น้ำสายและแม่น้ำกก

มาตรการของภาครัฐ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานภาครัฐได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง และแจ้งเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำจากแม่น้ำสายโดยตรง รวมถึงการเร่งสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำหลากในฤดูฝนที่จะถึงนี้

ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข

นักวิชาการและภาคประชาชนได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยเน้นการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมกิจกรรมการทำเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของการปนเปื้อน รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างประเทศเพื่อเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พบสารหนูในแม่น้ำสายสูงสุดถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรถึง 19 เท่า
  • ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายมีจำนวนมากกว่า 120,000 คน
  • มีการตรวจพบสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในหลายจุด โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศเพื่อนบ้าน

บทสรุป

สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำสายและแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายเป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เริ่มวิกฤต หลัง ‘น้ำกก’ ปนเปื้อน พบชาวบ้านแสบตา ปลาผิดปกติ

เชียงรายเผชิญวิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำสาขาโขง เรียกร้องรัฐบาลเร่งเจรจาระหว่างประเทศแก้ปัญหาเหมืองต้นน้ำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 –  เพจ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานว่า จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่กำลังเผชิญกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอันเนื่องจากการปนเปื้อนของสารหนู (Arsenic) ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาสำคัญของแม่น้ำโขง ผลการตรวจสอบโดยหน่วยงานในพื้นที่และนักวิชาการยืนยันว่าสารหนูมีระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยสาเหตุหลักเชื่อว่ามาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำเหล่านี้ วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อน้ำอุปโภคบริโภค การประมง และการเกษตรของชุมชนในพื้นที่ สร้างความหวาดกลัวและความไม่มั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำ

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง และจีน) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พร้อมนำเสนอข้อเรียกร้อง 7 ข้อเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เพื่อจัดการมลพิษอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศยังคงเป็นศูนย์ ส่งผลให้ชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำกก

แม่น้ำกกเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำโขง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ภาคตะวันออกของเมียนมา ด้วยความยาวรวมประมาณ 285 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่บ้านท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และไหลผ่านอำเภอเมือง เวียงชัย ดอยหลวง แม่จัน และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บ้านสบกก ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน รวมความยาวในประเทศไทยประมาณ 145 กิโลเมตร แม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งมีต้นน้ำในพื้นที่เดียวกัน ก็เป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ชุมชนในอำเภอแม่สายและเชียงแสนพึ่งพา

ลุ่มน้ำกกมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตบันทึกว่ามีพันธุ์ปลา 71 ชนิด รวมถึงปลาท้องถิ่น 64 ชนิดและปลาต่างถิ่น 7 ชนิด ปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น ปลากดคัง ปลาแข้ ปลาคางเบือน และปลาดังแดง เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชุมชน นอกจากนี้ ยังพบปลาที่อยู่ในบัญชีแดงของ IUCN เช่น ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย รวมถึงนากใหญ่ธรรมดาที่อาศัยอยู่ชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำกก ลุ่มน้ำกกยังประกอบด้วยลำห้วยสาขา 24 แห่ง และมีลักษณะทางกายภาพที่หลากหลาย เช่น เกาะดอน แก่งหิน หาดทราย และหนองน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยน้ำมีลักษณะขุ่นขาวและเปลี่ยนสีผิดปกติ แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใส การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงรายรายงานว่าน้ำดิบจากแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในปี 2567 และพุ่งสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568 ความผิดปกติเหล่านี้เริ่มสร้างความกังวลในหมู่ชุมชน โดยเฉพาะเมื่อน้ำที่เก็บในขวดยังคงขุ่นขาวและตกตะกอนช้า แม้วางทิ้งไว้นานถึงหนึ่งสัปดาห์

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่จากอิทธิพลของพายุยางิเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล ส่งผลให้หน่วยงานในพื้นที่และภาคประชาชนเริ่มตื่นตัวและเรียกร้องให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างละเอียด

การปนเปื้อนสารหนูและผลกระทบต่อชุมชน

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ผลการตรวจสอบยืนยันว่าแม่น้ำกกอยู่ในสภาพพอใช้ถึงเสื่อมโทรม และมีการปนเปื้อนสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า ตะกอนดินในแม่น้ำกกก็พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานเช่นกัน แต่ยังไม่ถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อสัตว์หน้าดินอย่างรุนแรง

ผลกระทบจากการปนเปื้อนสารหนูส่งผลต่อชุมชนในหลายมิติ:

  1. น้ำอุปโภคบริโภค เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 มูลนิธิสยามเชียงราย จุดริมกก ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย ว่ามีอาการปวดแสบและตาบวมหลังลงงมหาของในคลองที่ผันน้ำจากแม่น้ำกก เหตุการณ์นี้ทำให้สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายโดยตรง และแนะนำให้ล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ
  2. การประมง ชาวประมงในพื้นที่ เช่น ที่บ้านสบคำ ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน และใต้ฝายป่ายางมน ตำบลริมกก อำเภอเมือง รายงานว่าปลาที่จับได้มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีผื่นหรือสีผิวผิดปกติ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวที่จับได้ระหว่างวันที่ 28 เมษายน ถึง 4 พฤษภาคม 2568 ไปตรวจหาสารปนเปื้อนที่สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย โดยผลคาดว่าจะทราบภายใน 3 สัปดาห์ ชาวบ้านหลายคนไม่กล้าบริโภคหรือจำหน่ายปลา ส่งผลให้รายได้จากการประมงลดลงอย่างมาก
  3. การเกษตร ดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เจริญเติบโต ชาวบ้านในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่และลาหู่ รายงานว่าดินโคลนมีลักษณะเหนียวแน่นและแห้งแข็ง ซึ่งแตกต่างจากดินร่วนที่เคยอุดมสมบูรณ์หลังน้ำท่วมในอดีต
  4. สุขภาพประชาชน การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งหรือโรคผิวหนังในระยะยาวหากมีการสะสมในร่างกาย กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กและผู้สูงอายุ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้มากที่สุด

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต กล่าวว่า “แม่น้ำกกเคยเป็นแหล่งชีวิตของชุมชน แต่ตอนนี้กำลังกลายเป็นแหล่งภัยคุกคาม การปนเปื้อนสารหนูไม่เพียงกระทบต่อน้ำและปลา แต่ยังคุกคามวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์ที่พึ่งพาแม่น้ำมาแต่โบราณ รัฐบาลต้องเร่งเจรจา 4 ฝ่ายเพื่อหยุดการปล่อยสารพิษจากเหมืองในรัฐฉาน”

มาตรการรับมือและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤต หน่วยงานและภาคประชาชนได้ดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำและปลา: คพ.1 และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงรายกำลังเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเพื่อวิเคราะห์สารโลหะหนักอย่างละเอียด สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ส่งตัวอย่างปลา 5 ตัวไปตรวจหาสารปนเปื้อน โดยผลการตรวจจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดแนวทางการบริโภคและการจัดการมลพิษ
  2. การแจ้งเตือนประชาชน: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายออกประกาศเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย และล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดหากจำเป็นต้องสัมผัสน้ำ ผู้ที่มีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาการทางประสาท ควรพบแพทย์ทันที การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงรายยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
  3. ข้อเสนอจากภาคประชาชน สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง เสนอแผนรับมือ 3 ระยะ:
    • ระยะเร่งด่วน: ตรวจสอบสารปนเปื้อนในน้ำ ปลา และสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำมะ
    • ระยะกลาง: ขยายการตรวจสอบไปยังแม่น้ำโขงและลำห้วยสาขา 28 แห่งในลุ่มน้ำกก ตั้งแต่อำเภอท่าตอน จังหวัดเชียงใหม่ ถึงปากแม่น้ำกก
    • ระยะยาว: ตรวจสอบแม่น้ำคำ แม่น้ำอิง และแม่น้ำงาว ในระยะ 10 กิโลเมตรจากปากแม่น้ำ เพื่อสร้างฐานข้อมูลสำหรับการจัดการมลพิษ
  4. ข้อเรียกร้อง 7 ข้อ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้:
    • แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขมลพิษข้ามพรมแดน โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ
    • จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ภายใน 30 วัน
    • เปิดเผยและซักซ้อมมาตรการรับมืออุทกภัยในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย
    • สร้างความร่วมมือกับเมียนมาและกลุ่มกองกำลังว้าเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ
    • พัฒนาระบบสื่อสารสาธารณะที่โปร่งใสเพื่อแจ้งข้อมูลคุณภาพน้ำ
    • ขยายการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
    • เปิดเจรจา 4 ฝ่าย (ไทย เมียนมา กลุ่มชาติพันธุ์ และจีน) โดยใช้กลไกระดับอาเซียนบวกจีน
  5. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนไปยังฝั่งเมียนมา แต่การเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นและขาดความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและสาขาจะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง การผลักดันให้ปัญหานี้เข้าสู่เวทีอาเซียนและกลไกระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มแรงกดดันต่อการควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน

การวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขาเป็นปัญหาที่มีมิติซับซ้อน ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

แม่น้ำกกและสาขามีความหลากหลายทางชีวภาพสูง โดยเฉพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศของแม่น้ำโขง การปนเปื้อนสารหนูอาจรบกวนห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งสัตว์น้ำและมนุษย์ การจัดการมลพิษต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดในรัฐฉาน และพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โรคผิวหนัง และความผิดปกติของระบบประสาทหากสะสมในร่างกายในระยะยาว การสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาในระยะสั้น กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีความเปราะบางต่อผลกระทบเหล่านี้ การแจ้งเตือนและให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับวิธีป้องกันการสัมผัสสารหนูเป็นสิ่งสำคัญ

  • มิติด้านเศรษฐกิจ

การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการประมงและการเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของชุมชนชาติพันธุ์ในลุ่มน้ำกก การลดลงของผลผลิตทางการเกษตรและรายได้จากการประมงทำให้ชุมชนเผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

การทำเหมืองในรัฐฉานอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น กองกำลังว้า และได้รับการสนับสนุนจากบางประเทศ ทำให้การเจรจาเพื่อควบคุมหรือยุติกิจกรรมเหมืองเป็นเรื่องซับซ้อน ความขัดแย้งทางการเมืองภายในเมียนมาทำให้การประสานงานข้ามพรมแดนเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม การผลักดันปัญหานี้สู่เวทีอาเซียนหรือกลไกระดับภูมิภาคอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการแก้ไข

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุม การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและเชียงใหม่ รวมถึงการสนับสนุนชุดตรวจสารปนเปื้อนราคาประหยัด จะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำ นอกจากนี้ การยกระดับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนสู่เวทีระหว่างประเทศจะช่วยสร้างความตระหนักและความร่วมมือในระดับภูมิภาค

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

กิจกรรมเหมืองแร่เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ภาคประชาชน และนักวิชาการ รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการวิกฤตนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตได้มาตรฐาน และการแจ้งเตือนประชาชนเป็นการป้องกันที่เหมาะสมในระยะสั้น การเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด

  • ภาคประชาชนและนักวิชาการ

ภาคประชาชนและนักวิชาการเห็นว่าการจัดการที่ต้นตอ เช่น การยุติการทำเหมืองในรัฐฉาน เป็นสิ่งจำเป็น การตรวจสอบน้ำและปลาเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้ พวกเขาต้องการให้มีการเจรจาระหว่างประเทศและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการตัดสินใจ รวมถึงการพัฒนาระบบสื่อสารที่โปร่งใสเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลคุณภาพน้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและสาขา: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 พบสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) สูงสุดที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่, รายงานการตรวจสอบคุณภาพน้ำ, 2568
  2. ความหลากหลายทางชีวภาพในแม่น้ำกก: พบพันธุ์ปลา 71 ชนิดในแม่น้ำกก รวมถึงปลาในบัญชีแดงของ IUCN อย่างน้อย 2 ชนิด (ปลากระเบนลาวและปลายี่สกไทย) และนากใหญ่ธรรมดาที่กระจายตัวชุกชุมริมฝั่งแม่น้ำ
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานการสำรวจสัตว์น้ำในแม่น้ำกก, 2567
  3. ผลกระทบต่อการประมง: รายได้จากการประมงในลุ่มน้ำกกและโขงในจังหวัดเชียงรายลดลง 25% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน จากเดิมที่มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  4. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในลุ่มน้ำกกในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 200,000 คน โดยรวม 9 กลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ไทใหญ่ ลาหู่ และปกาเกอะญอ
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่, ข้อมูลประชากร, 2567
  5. ความยาวและลักษณะของแม่น้ำกก: แม่น้ำกกมีความยาวในประเทศไทย 145 กิโลเมตร แบ่งเป็นตอนบน 62 กิโลเมตร ตอนกลาง 21 กิโลเมตร และตอนปลาย 62 กิโลเมตร มีลำห้วยสาขา 24 แห่ง
    ที่มา: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, รายงานลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำกก, 2567
  6. ปริมาณตะกอนดินจากน้ำท่วม: การน้ำท่วมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 นำตะกอนดินโคลนที่มีสารหนูในระดับสูงถึง 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมในบางจุด ซึ่งเกินค่ามาตรฐานสำหรับการอยู่อาศัย
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), 5 พฤษภาคม 2568

  • ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเครือข่ายแม่น้ำเพื่อชีวิต, เมษายน – พฤษภาคม 2568

  • การศึกษาพันธุ์ปลาของสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต, 2567–2568

  • ประกาศเตือนประชาชนจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, 5 พฤษภาคม 2568

  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • มูลนิธิสยามเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

น้ำสาย-น้ำรวกวิกฤต! สารหนูพุ่ง มฟล.เตือนภัย

เชียงรายเผชิญวิกฤตแม่น้ำปนเปื้อนสารหนูเกินมาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า นักวิชาการเตือนส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

เชียงราย, 1 พฤษภาคม 2568 – จากกรณีที่ อาจารย์ ดร.สุรพล วรภัทราทร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พบว่ามีการปนเปื้อนของ “สารหนู” (Arsenic) ในระดับที่สูงเกินมาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญในหลายจุด โดยบางพื้นที่พบค่าที่สูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินกว่าค่ามาตรฐานสูงสุดถึง 19 เท่า สร้างความวิตกกังวลต่อทั้งหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และประชาชนในพื้นที่อย่างมาก

ผลการตรวจเบื้องต้น ภาพรวมการปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก

จากการเปิดเผยของโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน ซึ่งดำเนินงานโดย ผศ.ดร.สุรพล วรภัทราทร ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาฯ ดังกล่าว ได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำจากพื้นที่เสี่ยงจำนวน 9 จุดใน อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ได้แก่

  1. น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  2. ลำเหมือง บ้านถ้ำผาจม – หัวฝาย อ.แม่สาย = ไม่เกินมาตรฐาน
  3. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย = 0.14 mg/L
  4. คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย = 0.18 mg/L
  5. น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  6. น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย = 0.12 mg/L
  7. น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน = 0.12 mg/L
  8. น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ = 0.19 mg/L
  9. แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน = 0.14 mg/L

ทั้งนี้ ค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร การตรวจพบที่ 0.19 mg/L ถือว่าเกินกว่ามาตรฐานถึง 19 เท่า

เวทีวิชาการ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ” กับภัยสุขภาพจากน้ำปนเปื้อน

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีการจัดเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “รู้ทัน ร่วมมือ รับมือ: ภัยสุขภาพจากแม่น้ำปนเปื้อน” เพื่อตอบสนองต่อผลกระทบของแม่น้ำกกที่พบการปนเปื้อนสารหนูใน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (0.026 mg/L) และ อ.เมืองเชียงราย (0.012–0.013 mg/L) ซึ่งล้วนเกินมาตรฐานเช่นกัน

ศาสตราจารย์ ดร.สุจิตรา วงศ์เกษมจิตต์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า “แม่น้ำกกคือเส้นเลือดหลักของเชียงราย ปัญหานี้กระทบทั้งสุขภาพและระบบนิเวศ การวิจัยและความร่วมมือทุกภาคส่วนจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันและฟื้นฟู”

ความกังวลจากนักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานสุขภาพ

ผศ.ดร.ไกรลักษณ์ ฟักแก้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ระบุว่า สารหนูเมื่อเข้าสู่ร่างกาย แม้ในปริมาณน้อย แต่หากสะสมในระยะยาวอาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ มะเร็งผิวหนัง และส่งผลต่อระบบประสาท เด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง หากได้รับสารหนูอย่างต่อเนื่องจะกระทบพัฒนาการของสมอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ รักษาการผู้อำนวยการ MFU Wellness Center ชี้ว่า “ไม่ควรตื่นตระหนก แต่ต้องเฝ้าระวัง หากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์ทันที การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรงเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ดีที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้”

ปัญหาจากประเทศเพื่อนบ้าน การทำเหมืองและต้นตอการปนเปื้อน

รายงานจาก อ.แม่สาย เปิดเผยว่า แม่น้ำสายมีต้นน้ำมาจากเมืองสาด ประเทศเมียนมา ห่างจากพรมแดนประมาณ 90 กิโลเมตร มีการดำเนินเหมืองแร่ 4 แห่ง โดยทุนจีน ครอบคลุมทั้งการทำเหมืองทองคำ แมงกานีส และสังกะสี ซึ่งบางแห่งสูบน้ำจากลำน้ำสายโดยตรงเพื่อฉีดพ่นดินหิน ทำให้เกิดการปนเปื้อนโลหะหนักอย่างชัดเจน

ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่า แม่น้ำกกก็มีต้นทางจากเขตว้าแดง (พิเศษที่ 2) ซึ่งมีบริษัทเหมืองแร่ของจีนมากกว่า 23 แห่ง ทำกิจกรรมการทำเหมืองโดยไร้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้ปริมาณสารหนู สารตะกั่ว และโลหะหนักอื่นๆ ไหลลงแม่น้ำกกอย่างต่อเนื่อง

มาตรการรัฐ ยังอยู่ในขั้นประสานงาน-เฝ้าระวัง

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้ “งดใช้และงดสัมผัสน้ำจากแม่น้ำสาย” พร้อมส่งตัวอย่างน้ำให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง โดยเน้นว่าการผลิตน้ำประปายังมีมาตรฐานและปลอดภัยเนื่องจากผ่านกระบวนการกรองโลหะหนัก

ในขณะเดียวกัน อำเภอเชียงแสนและท้องถิ่นในเขตริมฝั่งแม่น้ำโขงได้จัดเวรตรวจน้ำและส่งข้อมูลรายงานรายสัปดาห์เพื่อเฝ้าระวังต่อเนื่อง

วิเคราะห์และข้อเสนอแนะ ปัญหาซับซ้อนที่ต้องการการจัดการข้ามพรมแดน

จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า “ต้นตอ” ของการปนเปื้อนอาจไม่ได้อยู่ในฝั่งไทยโดยตรง หากแต่เป็นผลจากการดำเนินการของเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ผลกระทบตกอยู่กับประชาชนไทยทั้งในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาแม่น้ำในชีวิตประจำวัน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเบื้องต้น ได้แก่

  • จัดตั้งกลไกความร่วมมือไทย-เมียนมา ในการควบคุมการทิ้งของเสียลงแม่น้ำ
  • ส่งเสริมเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียในพื้นที่เสี่ยง
  • ตรวจคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยงเป็นรายไตรมาส และเปิดเผยต่อสาธารณะ
  • สนับสนุนงบประมาณวิจัย-ติดตามคุณภาพน้ำโดยสถาบันการศึกษาในพื้นที่

สถิติเกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: ≤ 0.01 mg/L ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข
  • แม่น้ำสายตรวจพบสูงสุด: 0.19 mg/L (สถาบันวิจัยภัยพิบัติฯ ม.แม่ฟ้าหลวง, 2568)
  • แม่น้ำกกที่แม่อาย: 0.026 mg/L (สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1)
  • รายงานการวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (G-Lab, เม.ย. 2568)
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การรับสารหนูสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง, ระบบทางเดินปัสสาวะ, ตับ และความผิดปกติทางระบบประสาทในระยะยาว

แม้สถานการณ์ขณะนี้จะยังไม่ถึงขั้นวิกฤตระดับต้องอพยพ แต่หากไม่มีการแก้ไขเชิงระบบและความร่วมมือระหว่างประเทศ เชียงรายอาจต้องเผชิญกับภัยสิ่งแวดล้อมระดับวิกฤตในเวลาไม่นานจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในเขตภาคเหนือตอนบน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผลตรวจแม่ “น้ำกก” พบสารหนูต่ำ ชาวบ้านยังผวา เพราะจำนวนปลาลด

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สารหนูและความท้าทายต่อชุมชนและระบบนิเวศในเชียงราย

เชียงราย, 24 เมษายน 2568 – การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้กลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน เกษตรกร และนักท่องเที่ยว หลังจากการตรวจพบสารโลหะหนักในน้ำและปลา รวมถึงภาพปลาที่มีลักษณะผิดปกติที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างหนัก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมประมง กระทรวงสาธารณสุข และองค์กรชุมชนได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและให้ข้อมูลเพื่อคลายความกังวล พร้อมผลักดันแนวทางการแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ชุมชนท้องถิ่นเรียกร้องความชัดเจนและการจัดการปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจมีสาเหตุจากกิจกรรมเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้น ความกังวลจากแม่น้ำกก

แม่น้ำกกเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงราย ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของแม่น้ำกก โดยน้ำมีลักษณะขุ่นแดงและมีตะกอนดินปนเปื้อนอย่างต่อเนื่อง ความกังวลทวีคูณเมื่อมีการเผยแพร่ภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงในโซเชียลมีเดีย ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นปลาจากแม่น้ำกก และอาจเกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนสารหนูจากกิจกรรมเหมืองแร่ในฝั่งประเทศเมียนมา

นายวิรัตน์ พรมสอน จากเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “แม่น้ำกกเป็นสายเลือดของเกษตรกรในเชียงราย เศรษฐกิจของประชาชนและจังหวัดพึ่งพาแม่น้ำนี้อย่างมาก ข่าวร้ายเกี่ยวกับการปนเปื้อนสารโลหะหนักทำให้เรารู้สึกช็อก และจนถึงตอนนี้ เรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร” ความกังวลนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของชุมชนที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำกกในชีวิตประจำวัน

เหตุการณ์นี้เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นเมื่อกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานการตรวจพบสารหนูในแม่น้ำกก โดยสงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากมลพิษข้ามพรมแดน การค้นพบนี้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก

การตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เพื่อตอบสนองต่อความกังวลของประชาชน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย นำโดยนายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่สำรวจแหล่งน้ำและตลาดปลาในพื้นที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเมือง พบว่าปริมาณปลาในแม่น้ำกกลดลงอย่างมาก และประชาชนเริ่มหลีกเลี่ยงการซื้อปลาน้ำจืดจากตลาด ถึงแม้ว่าปลาส่วนใหญ่จะมาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกกโดยตรง

นายณัฐรัฐเปิดเผยว่า กรณีภาพปลาที่มีตุ่มเนื้อสีแดงอมม่วงนั้น เป็นเคสเก่าที่พบในแม่น้ำโขง ฝั่ง สปป.ลาว เมื่อปี 2567 และมีเพียงตัวอย่างเดียวที่พบลักษณะดังกล่าว ลักษณะตุ่มนี้สอดคล้องกับโรคลิมโฟซิสติส (Lymphocystis Disease) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Iridoviridae สกุล Lymphocystivirus โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิหรือความเครียดของปลา อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 บริเวณปากแม่น้ำกก อำเภอเชียงแสน ไม่พบปลาที่มีลักษณะผิดปกติ และยังไม่สามารถเก็บตัวอย่างเพิ่มเติมได้

เพื่อยืนยันความปลอดภัยของปลาในแม่น้ำกก สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างปลาจากจุดใต้ฝายเชียงราย ส่งตรวจวิเคราะห์หาสารโลหะหนักที่ Central Lab บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ผลการตรวจที่ได้รับเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 ระบุว่า:

  • สารหนู (As): พบในปริมาณ 0.13 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • ปรอท (Hg): พบในปริมาณ 0.090 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)
  • แคดเมียม (Cd) และตะกั่ว (Pb): ไม่พบในตัวอย่าง

ผลการตรวจยืนยันว่า ระดับสารโลหะหนักในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2563 (ฉบับที่ 414) และปลอดภัยสำหรับการบริโภค นายณัฐรัฐยังย้ำว่า ปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นปลาเลี้ยง เช่น ปลานิลและปลาทับทิม ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกก

นอกจากนี้ กรมประมง โดยนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ภาพปลาที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้นเป็นภาพเก่าและไม่ใช่ปลาจากแม่น้ำกก อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท กรมประมงได้เก็บตัวอย่างปลาในแม่น้ำกก รวมถึงปลานิลแดง ปลากดหลวง และปลาชนิดอื่นๆ ส่งตรวจวิเคราะห์เพิ่มเติม คาดว่าจะทราบผลภายในวันที่ 28 เมษายน 2568

ผลกระทบต่อชุมชนและการท่องเที่ยว

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพาแม่น้ำในการทำเกษตรกรรมและการประมง นายทวีศักดิ์ มณีวรรณ์ จากเครือข่ายสิทธิและชุมชน มูลนิธิสายรุ้งแม่น้ำโขง กล่าวว่า ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำกกจำนวนมากยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับมลพิษในแม่น้ำ และยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน “เราไม่รู้ว่าน้ำประปาปลอดภัยหรือไม่ น้ำใต้ดินที่สูบจากริมแม่น้ำกกยังใช้ได้หรือเปล่า ผักที่ปลูกริมน้ำยังกินได้หรือไม่ ชาวบ้านต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐ”

ในด้านการท่องเที่ยว ปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญริมแม่น้ำกก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก นายดา ควานช้าง ตัวแทนปางช้าง เปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่า 80% หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 และข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก “เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมาเยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้านำช้างลงน้ำกก ควานช้างหลายคนต้องพาช้างไปเลี้ยงในป่า และบางคนเลิกเลี้ยงช้างแล้ว”

นายบุญศรี พนาสว่างวงค์ จากเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย กล่าวว่า การห้ามชาวบ้านลงน้ำกกทำให้วิถีชีวิตที่ผูกพันกับแม่น้ำถูกตัดขาด “ชาวบ้านต้องใช้น้ำกกในการกิน ใช้ และหาอาหาร ลำพังชาวบ้านช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องการให้หน่วยงานมาตรวจสอบน้ำ ดิน และสุขภาพของชาวบ้านให้ชัดเจน” เขายังระบุว่า มีเด็กในชุมชนบางคนเริ่มมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกก ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสารปนเปื้อน แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดมาตรวจสอบอย่างจริงจัง

การตอบสนองจากภาครัฐและชุมชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ครั้งที่ 3/2568 ว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณรวม 385.454 ล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาได้รับงบประมาณเพิ่มอีก 100 ล้านบาทสำหรับการดูดโคลนทรายในแม่น้ำกก โดยมีเป้าหมายให้การฟื้นฟูเสร็จสิ้นก่อนฤดูฝนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน

นายภูมิธรรมยอมรับว่า มีความกังวลเกี่ยวกับวัตถุอันตรายที่อาจปนเปื้อนมากับดินโคลน จึงมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำในแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำปิง และแม่น้ำโขง เพื่อยืนยันความปลอดภัยสำหรับการอุปโภคและบริโภค

ในส่วนของชุมชน ดร.จักรกริช ฉิมนอก อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า เครือข่ายองค์กรชุมชนและนักวิชาการจะร่วมกันจัดกิจกรรม “ธาราไร้พรมแดน: เสียงจากแม่น้ำกกและชุมชน” ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมสะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย กิจกรรมนี้ประกอบด้วยการแสดงศิลปะสด (Performance Art) และเวทีเสวนาชุมชน เพื่อสื่อสารปัญหาความไม่เป็นธรรมเชิงสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนริมแม่น้ำกกต้องเผชิญจากมลพิษข้ามพรมแดน

ดร.จักรกริชกล่าวว่า “เราต้องการตั้งคำถามว่า ใครได้รับผลกระทบ และใครมีสิทธิในการตัดสินใจ ชาวบ้านริมแม่น้ำกกต้องแบกรับภาระจากกิจกรรมเหมืองแร่ที่อยู่ห่างไกล งานศิลปะและการเสวนาจะเป็นเวทีให้ชุมชนได้เล่าเรื่องราวของแม่น้ำกก และเรียกร้องสิทธิของธรรมชาติในการจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน”

การวิเคราะห์ ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกสะท้อนถึงความท้าทายที่ซับซ้อนในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และการเมืองระหว่างประเทศ ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหารและน้ำในชุมชนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการเกษตร ซึ่งเป็นรากฐานของจังหวัดเชียงราย

มิติสิ่งแวดล้อม การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกอาจมีสาเหตุจากทั้งปัจจัยทางธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา ซึ่งปล่อยสารหนูลงสู่แหล่งน้ำ การที่สารหนูสะสมในดินและน้ำอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร โดยเฉพาะปลาและพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวและข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของเชียงราย นอกจากนี้ ความขุ่นของน้ำและตะกอนดินที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปียังรบกวนระบบนิเวศ โดยแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารของปลาไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ปริมาณปลาในแม่น้ำลดลงอย่างมาก

มิติสังคม ชุมชนริมแม่น้ำกกเผชิญกับความไม่แน่นอนในวิถีชีวิต การขาดข้อมูลที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐทำให้ชาวบ้านจำนวนมากยังคงใช้น้ำกกในการเกษตรและชีวิตประจำวัน โดยไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน การที่เด็กในชุมชนมีอาการตุ่มขึ้นตามตัวหลังสัมผัสน้ำกกบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการตรวจสอบสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

มิติการเมืองระหว่างประเทศ การจัดการมลพิษข้ามพรมแดนเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและเมียนมา การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย รวมถึงการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่และการปล่อยมลพิษลงสู่แหล่งน้ำ

อย่างไรก็ตาม วิกฤตนี้เป็นโอกาสให้หน่วยงานรัฐ องค์กรชุมชน และสถาบันการศึกษาในเชียงรายร่วมมือกันพัฒนาแนวทางการแก้ไขที่ยั่งยืน เช่น การจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้แก่ชุมชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากสารปนเปื้อน และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการสะสมของสารหนูในพืชผลและสัตว์น้ำ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของชุมชนและประชาชน
ชุมชนริมแม่น้ำกกและประชาชนทั่วไปมีความกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของน้ำ ปลา และพืชผลที่อาจปนเปื้อนสารหนู การที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยังไม่ครอบคลุมและไม่ถึงชุมชนทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวและขาดความมั่นใจในการใช้ทรัพยากรจากแม่น้ำกก ความกังวลนี้สมเหตุสมผล เนื่องจากสารหนูสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น (เช่น อาการคลื่นไส้และผื่นผิวหนัง) และระยะยาว (เช่น มะเร็งผิวหนังและความเสียหายต่ออวัยวะภายใน)

การยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยงานรัฐ
หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกรมประมงและกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ระดับสารหนูในปลาจากแม่น้ำกกอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย และปลาที่จำหน่ายในท้องตลาดส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำและดินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกก แสดงถึงความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของชุมชนเป็นสิ่งที่เข้าใจได้และควรได้รับการตอบสนองด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและการสื่อสารที่ทั่วถึงจากหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกัน การตรวจสอบและยืนยันความปลอดภัยของหน่วยงานรัฐเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการลดความตื่นตระหนกและปกป้องสุขภาพประชาชน การแก้ไขปัญหาควรเน้นที่การเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับชุมชน การตรวจสอบสุขภาพประชาชนอย่างเป็นระบบ และการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนอย่างจริงจัง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมั่นใจในความปลอดภัยและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. การปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำ: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ระดับสารหนูในน้ำดื่มที่ปลอดภัยต้องไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร การได้รับสารหนูในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่องอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและอวัยวะภายใน (ที่มา: WHO, Guidelines for Drinking-water Quality, 2022)
  2. ผลกระทบต่อการเกษตร: รายงานจากสมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS) ระบุว่า พื้นที่เพาะปลูกร้อยละ 14–17 ทั่วโลก (ประมาณ 242 ล้านเฮกตาร์) ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนโลหะหนัก โดยสารหนูและแคดเมียมเป็นสารที่พบมากที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ที่มา: Science Journal, 2025)
  3. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: การวิจัยจาก AAAS ประมาณการว่า มีประชากร 900 ล้านถึง 1.4 พันล้านคนทั่วโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจากการปนเปื้อนโลหะหนัก (ที่มา: Science Journal, 2025)
  4. ผลกระทบต่อสัตว์น้ำ: กรมประมงรายงานว่า ปริมาณปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติของประเทศไทยลดลงร้อยละ 20–30 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานประจำปี 2567, กรมประมง)
  5. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในจังหวัดเชียงรายมีรายได้ลดลงร้อยละ 15 ในปี 2567 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับมลพิษในแหล่งน้ำ (ที่มา: รายงานการท่องเที่ยว, ททท., 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)

  • สมาคมเพื่อความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์แห่งอเมริกา (AAAS)

  • กรมประมง

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

  • https://www.science.org
  • https://www.theguardian.com
  • https://theconversation.com
  • https://phys.org
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE