Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

เชียงรายยกระดับเฝ้าระวังโรคหัด หลังพบผู้ป่วยสะสม 28 ราย กระจุกตัวชายแดน

เชียงรายยกระดับเฝ้าระวัง “โรคหัด” หลังตัวเลขผู้ป่วยพุ่ง รัฐย้ำเป้าครอบคลุมวัคซีนเกิน 95% คุมระบาดแนวชายแดน

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 — สถานการณ์โรคหัด (Measles) กำลังกลายเป็นโจทย์เร่งด่วนของระบบสาธารณสุขในจังหวัดชายแดนภาคเหนือ โดยเฉพาะ “เชียงราย” ที่หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดรายงานผู้ป่วยสะสม 28 ราย ตลอดปี 2568 (ตั้งแต่สิงหาคมถึงปัจจุบันพบ 27 ราย) และพบการกระจุกตัวของผู้ป่วยใน อำเภอเชียงแสน 10 ราย, เชียงของ 8 ราย และอำเภอเมือง 5 ราย ขณะที่ทำเนียบรัฐบาลส่งสัญญาณเตือนระดับประเทศ หลังภาพรวมทั้งปีมีรายงานผู้ป่วย “ไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมัน” สะสม 1,928 ราย และพบว่าประมาณ หนึ่งในสี่ (26.5%) มี “ความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา” อย่างชัดเจน พร้อมบันทึกภาวะปอดอักเสน พร้อมบันทึกภาวะปอดอักเสบ 4.5% ของผู้ป่วยทั้งหมด

สาระสำคัญที่ทำให้เชียงรายต้องเร่งคุมเข้ม คือ “ความเชื่อมโยงข้ามแดน” โดยผู้ป่วยบางส่วนสัมพันธ์กับการระบาดในแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และยังมีผู้ป่วยจากฝั่งลาวเข้ารับการรักษาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายด้วย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) จึงขอความร่วมมือผู้ปกครองและกลุ่มเสี่ยง “เร่งฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์” และสังเกตอาการไข้-ผื่น หากพบให้รีบพบแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ และ สมองอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ภาพรวมสถานการณ์  เชียงราย vs ประเทศไทย

  • เชียงราย (ข้อมูล สสจ.)
    • ผู้ป่วยสะสมปี 2568  28 ราย
    • ช่วงการระบาด  ส.ค.–ปัจจุบัน 27 ราย
    • พื้นที่พบมาก  เชียงแสน (10), เชียงของ (8), เมือง (5), เวียงแก่น (3), ขุนตาล (1), ดอยหลวง (1)
    • กลุ่มเสี่ยงเด่น  เด็กก่อนวัยเรียน, รองลงมา วัยทำงานอายุ 20–40 ปี
  • ภาพรวมประเทศ (คำแถลงรองโฆษกรัฐบาล 21 พ.ย. 2568)
    • ผู้ป่วยไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมันสะสม  1,928 ราย
    • ผู้ป่วยมีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา  511 ราย (26.5%)
    • พบภาวะปอดอักเสบ  23 ราย (4.5%)
    • ช่วงก.ย.–ต.ค. 2568 พบผู้ป่วยสงสัยหัด 46 ราย กระจายหลายจังหวัด และ “พบเพิ่มขึ้นในภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงราย”
    • สาเหตุเชิงโครงสร้าง  ความครอบคลุมวัคซีนต่ำกว่าเกณฑ์ 95% ในหลายพื้นที่

สัญญาณเตือน จึงมิได้จำกัดเฉพาะแนวชายแดน แต่สะท้อน “ช่องว่างภูมิคุ้มกัน” ที่หากปล่อยให้การครอบคลุมวัคซีน (coverage) ต่ำกว่า 95% ตามเกณฑ์ที่จำเป็นต่อ “ภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) จะเอื้อให้การแพร่เชื้อเกิดขึ้นได้ “ทุกพื้นที่”

ทำไม “โรคหัด” จึงต้องคุมเข้มเป็นพิเศษ

โรคหัดเป็นโรคไวรัสทางเดินหายใจที่ แพร่ทางอากาศ (airborne) จากการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ติดต่อได้สูงมาก ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่เคยป่วยมาก่อนมีโอกาสติดเชื้อแทบทั้งหมดหากสัมผัสเชื้อ จุดที่น่าห่วงคือ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ที่เกิดได้ในเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ปอดอักเสบ (เป็นสาเหตุการเสียชีวิตสำคัญ), หูชั้นกลางอักเสบ, และ สมองอักเสบ ซึ่งแม้พบน้อยแต่มีความรุนแรงสูง

ลำดับอาการสำคัญที่ควรรู้

  1. ระยะนำ (ก่อนผื่นขึ้น)  ไข้สูง ไอแห้ง น้ำมูกไหล ตาแดงแพ้แสง และที่เป็น “สัญญาณจำเพาะ” คือ จุดขาวเล็ก ๆ ที่กระพุ้งแก้ม (Koplik’s spots)
  2. ระยะผื่นขึ้น  ผื่นแดงเริ่มที่ใบหน้า ลามลงลำตัว แขน ขา มักมีไข้สูงต่อเนื่อง 3–4 วัน
  3. ระยะฟื้น  ผื่นจางใช้เวลาราว 7–10 วัน แต่ควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่อเนื่อง

ข้อเท็จจริงชวนคิด  จากข้อมูลระดับประเทศ ผู้ป่วยที่บันทึกภาวะปอดอักเสบอยู่ที่ 4.5% สะท้อนว่าแม้โรคหัดมีภาพจำว่า “เป็นโรคในเด็ก” แต่ก็ไม่ใช่โรคเบา และการปล่อยให้การระบาดลุกลามจะเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่มีการเคลื่อนย้ายข้ามแดนถี่และรวดเร็ว

มาตรการเร่งด่วน  ฉีดวัคซีนให้ครบ ตัดวงจรระบาด

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า การควบคุมโรคหัดให้มีประสิทธิภาพ ต้องขับเคลื่อนให้ ครอบคลุมการฉีดวัคซีนมากกว่า 95% ทั่วทั้งประเทศ โดยมีข้อแนะนำหลักดังนี้

  • เด็กเล็ก (วัคซีน MMR/MR)
    • เข็มที่ 1 ช่วงอายุ 9–12 เดือน
    • เข็มที่ 2 ช่วงอายุ 18 เดือน
    • หาก “ยังไม่ครบ 2 เข็ม” ให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานเข้ารับวัคซีน โดยเร็วที่สุด
  • ผู้ใหญ่/ผู้ที่ต้องเดินทาง (โดยเฉพาะไป–กลับประเทศที่มีการระบาด)
    • หาก “ไม่เคยรับวัคซีนหรือไม่แน่ใจประวัติ” ควรรับวัคซีน MR 2 เข็ม (หรืออย่างน้อย 1 เข็ม) และควรฉีด ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนเดินทาง
  • มาตรการลดแพร่เชื้อในชุมชน
    • เลี่ยงพื้นที่คนแออัดในช่วงระบาด
    • สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ และกักตัวเมื่อป่วย
    • หากกลับจากประเทศที่มีการระบาด (เช่น สหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร เนเธอแลนด์ ออสเตรเลีย เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ สปป.ลาว ฯลฯ) แล้วมีอาการไข้/ผื่น/ตาแดง ให้พบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง

สสจ.เชียงราย ยืนยันว่า รพ. และ รพ.สต. ทุกแห่งในจังหวัด มีระบบเฝ้าระวังและบริการวัคซีนรองรับ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามกำหนดการ “คลินิกวัคซีน” ใกล้บ้านได้ทันที

เชียงราย  จุดเสี่ยง–จุดแข็ง และบทเรียนจากแนวชายแดน

1) ด่านหน้า อำเภอชายแดนคือสมรภูมิสำคัญ
การพบผู้ป่วยกระจุกตัวที่ เชียงแสน–เชียงของ สอดคล้องกับภูมิศาสตร์ของเชียงรายที่เป็น “จุดเชื่อมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง” มีช่องทางการเคลื่อนย้ายของแรงงาน นักท่องเที่ยว และการค้าชายแดนหนาแน่น ความเชื่อมโยงกับการระบาดใน แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

2) โอกาส ระบบบริการสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง
แม้ความเสี่ยงจะสูงจากการเคลื่อนย้ายข้ามแดน แต่เชียงรายมีจุดแข็งคือ เครือข่ายบริการสุขภาพปฐมภูมิ กระจายครอบคลุม การค้นหา–คัดกรอง–รายงานผู้ป่วยทำได้เร็ว หากผนวกรวมกับ “แผนรณรงค์วัคซีนแบบเชิงรุก” ในชุมชน (เช่น การขึ้นทะเบียนเด็กเล็กที่ยัง missed วัคซีน) จะช่วย “ปิดช่องโหว่ภูมิคุ้มกัน” ได้ทันเวลา

3) โฟกัสกลุ่มเสี่ยง เด็กก่อนวัยเรียนและวัยทำงาน 20–40 ปี
รูปแบบผู้ป่วยของเชียงรายชี้ชัดว่าไม่ใช่เฉพาะเด็กเล็ก แต่ยังพบมากใน “วัยทำงาน” ซึ่งเดินทางและมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง เจ้าหน้าที่ควรเชื่อมข้อมูลวัคซีนกับสถานประกอบการ/แรงงานข้ามแดน เพื่อกระตุ้นการเข้ารับวัคซีน MR ในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มทำงานบริการ–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ชายแดน

เข้าใจโรคให้ถูก  5 ประเด็นสำคัญที่ประชาชนควรรู้

  1. โรคหัดติดต่อได้ทางอากาศ จึง “หน้ากาก–ล้างมือ–เว้นระยะ” ยังสำคัญมากเมื่อมีอาการระบบหายใจ
  2. วัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง การฉีดครบ 2 เข็มปกติจะสร้างภูมิคุ้มกันได้ยาวนาน
  3. Koplik’s spots (จุดขาวเล็ก ๆ ที่กระพุ้งแก้ม) คือ “สัญญาณจำเพาะ” หากพบ รีบพบแพทย์
  4. หญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เรื่องภูมิคุ้มกัน ไม่ควรรับวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตระหว่างตั้งครรภ์ แต่ควรอาศัย “ภูมิคุ้มกันฝูงชนในครอบครัว”
  5. หายดีแล้วยังแพร่เชื้อได้ชั่วคราว ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์เรื่องการกักตัวจนพ้นระยะติดต่อ

มุมมองเชิงระบบ  ตัวเลขบอกอะไรเรา

ตัวเลข 1,928 ราย ของผู้ป่วยไข้ออกผื่นสงสัยหัด/หัดเยอรมัน “ทั้งประเทศ” ในปี 2568 และสัดส่วน 26.5% ที่มีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา บอกเราว่า “ห่วงโซ่การแพร่เชื้อจำนวนหนึ่งสามารถไล่รอยได้” ดีสำหรับการคุมโรค แต่ก็สะท้อนว่า “ยังมีช่องโหว่ภูมิคุ้มกัน” ในหลายพื้นที่ เพราะรัฐบาลระบุชัดว่า ครึ่งกว่าของจังหวัดยังครอบคลุมวัคซีนไม่ถึงเกณฑ์ 95%

ในทางปฏิบัติ การยกระดับ coverage ให้แตะ 95%+ ต้องทำ 3 เรื่องคู่ขนาน

  • ทำฐานข้อมูลเชิงรุก รู้ว่าเด็กคนใด “ยังขาดเข็มไหน” และเร่งติดตาม
  • สื่อสารความเสี่ยงอย่างตรงไปตรงมา อธิบายภาวะแทรกซ้อน สร้างแรงจูงใจเชิงสังคม (“ฉีดเพื่อปกป้องลูกหลานและชุมชน”)
  • เพิ่มจุดบริการ–เวลาบริการ ให้เข้าถึงง่ายในชุมชน/โรงเรียน/ที่ทำงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและชุมชนแรงงานเคลื่อนย้ายสูง

สำหรับเชียงราย การเร่ง “วัคซีนเชิงรุกตามรอยผู้สัมผัส” (ring vaccination) รอบผู้ป่วยยืนยัน รวมถึงการประสานงานด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและสถานพยาบาลฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เป็นกุญแจที่จะป้องกัน “คลัสเตอร์ในโรงพยาบาลและชุมชน” ไม่ให้ขยายตัว

คำแนะนำประชาชน  เช็กลิสต์สั้น ๆ แต่สำคัญ

  • ผู้ปกครอง  ตรวจ “สมุดวัคซีน” ลูกว่าครบ MMR 2 เข็ม หรือยัง ถ้ายัง รีบไปฉีดทันที
  • ผู้ใหญ่/ผู้เดินทางต่างประเทศ–ชายแดน  หากไม่แน่ใจว่ารับวัคซีนครบหรือไม่ ให้ปรึกษา รพ./รพ.สต. เพื่อพิจารณา MR เสริม โดยฉีด ล่วงหน้า 2 สัปดาห์ ก่อนเดินทาง
  • เมื่อป่วยคล้ายหวัดแต่มีผื่น–ตาแดง–จุดขาวที่กระพุ้งแก้ม  ใส่หน้ากาก ลดการพบปะผู้อื่น และรีบพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
  • ชุมชน–โรงเรียน–สถานประกอบการ  สนับสนุน “วันนัดฉีดวัคซีน” ร่วมกับ สสอ./รพ.สต. และสร้างวัฒนธรรม “ป่วยให้หยุด–พบแพทย์เร็ว”

เสียงจากภาครัฐ  “วัคซีนครบคือเกราะดีที่สุด”

สาระจากคำแถลงของ รองโฆษกรัฐบาล สอดคล้องกับข้อเตือนจาก สสจ.เชียงราย ทั้งคู่ย้ำ “ข้อความเดียวกัน” คือ เร่งฉีดวัคซีนให้ครบตามเกณฑ์ และย้ำมาตรการป้องกันพื้นฐานส่วนบุคคล พร้อมแจ้งว่า ประเทศไทยมีมาตรการวัคซีนพร้อมควบคุมการระบาด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับ ความร่วมมือของประชาชน หากพื้นที่ใด coverage ต่ำกว่า 95% “การระบาดเกิดได้เสมอ”

ในมุมพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงราย การขับเคลื่อนจะต้อง “สองมือสองฝั่ง” ทั้งภายในจังหวัด (ปูพรมวัคซีน–เฝ้าระวัง–สื่อสาร) และการประสานข้ามแดน (ข้อมูลผู้ป่วย–จุดผ่านแดน–แรงงานเคลื่อนย้าย) เพื่อให้การตอบสนองรวดเร็วพอจะ “ดักหน้า” เชื้อที่แพร่กระจายทางอากาศได้ง่ายมาก

จากสถิติสู่การตัดสินใจในชีวิตจริง

  • ข้อเท็จจริง  เชียงรายมีผู้ป่วยสะสม 28 ราย ปีนี้ โดยกระจุกตัวในอำเภอชายแดน ขณะที่ทั้งประเทศมีผู้ป่วยสงสัยหัด/หัดเยอรมันสะสม 1,928 ราย และพบภาวะปอดอักเสบ 4.5%
  • ความเสี่ยง  การเคลื่อนย้ายข้ามแดนและ coverage วัคซีนที่ยังไม่ถึง 95% ในหลายพื้นที่
  • ทางออก: “วัคซีนครบ–เฝ้าระวังเข้ม–สื่อสารตรง” คือสามสูตรสำคัญ หากเชียงรายเร่งปิดช่องโหว่ภูมิคุ้มกันในเด็กเล็กและวัยทำงาน พร้อมจับมือชุมชน–โรงเรียน–สถานประกอบการ เชื้อที่ติดต่อทางอากาศอย่างโรคหัดก็จะถูก “ตัดวงจร” อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยคชวนคิด: หนึ่งเข็มที่หายไป อาจกลายเป็นคลื่นการระบาดทั้งชุมชน แต่หนึ่งวันที่รีบฉีดให้ครบ สามารถหยุดคลื่นนั้นได้”

ประชาชนสามารถติดต่อ โรงพยาบาล/รพ.สต.ใกล้บ้าน เพื่อตรวจสอบสถานะวัคซีนและนัดหมายฉีดได้ทันที หากมีอาการเข้าข่าย ไข้สูง–ผื่น–ตาแดง–จุดขาวในกระพุ้งแก้ม ควร สวมหน้ากากและไปพบแพทย์เร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสม

สรุปสัญญาณอาการโรคหัดที่พบได้บ่อย

  • ไข้สูง ไอแห้ง น้ำมูกไหล
  • ตาแดง แพ้แสง
  • Koplik’s spots (จุดขาวเล็ก ๆ ขอบแดงในกระพุ้งแก้ม)
  • ผื่นขึ้นจากหน้า “ลามลง” ลำตัว แขน ขา
  • ไข้สูงต่อเนื่อง 3–4 วัน ก่อนค่อย ๆ ลด และผื่นจางใน 7–10 วัน
  • ภาวะแทรกซ้อน ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ สมองอักเสบ (พบมากในเด็กเล็ก/ผู้ภูมิคุ้มกันต่ำ/หญิงตั้งครรภ์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คำแถลงรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (21 พ.ย. 2568)
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

จับร้านขายยาผิดกฎหมาย ยึดของกลางกว่า 15,000 ชิ้น

จับร้านขายยาผิดกฎหมายเชียงราย ยึดของกลาง 15,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่ห้องประชุมกาสะลองคำ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย ทันตแพทย์ฉลองชัย สกลวสันต์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พล.ต.ต.มานพ เสนากุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมสถานประกอบการจำหน่ายยา เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์เสริมความงามผิดกฎหมาย โดยตรวจยึดของกลางได้กว่า 15,000 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 5 ล้านบาท

ตรวจยึดยาและผลิตภัณฑ์ความงามผิดกฎหมาย

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายและสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่ามีสถานที่จำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ผิดกฎหมาย บริเวณถนนเวียงบูรพา หรือบายพาสฝั่งตะวันออก ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบภายในร้านพบยาควบคุมและผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จำนวนมาก

ยาอันตรายและผลิตภัณฑ์เสริมความงามผิดกฎหมาย

ของกลางที่ยึดได้ในครั้งนี้ประกอบด้วยยาอันตรายที่ต้องมีการควบคุมตามกฎหมาย เช่น โบท็อกซ์ ยาชาไลโดเคน กลูต้าไธโอนสำหรับฉีด คอลลาเจนชนิดฉีด โซเดียมไฮยาลูโรเนตชนิดฉีด วิตามินชนิดฉีด ฟิลเลอร์ เส้นไหมร้อยหน้า และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดที่ไม่ผ่านการขึ้นทะเบียนจาก อย. และเครื่องมือแพทย์สำหรับใช้ในคลินิกความงามที่ต้องได้รับการควบคุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นายแพทย์วัชรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ยาและผลิตภัณฑ์ที่ตรวจยึดได้บางรายการเป็นของที่ต้องใช้ในคลินิกเฉพาะทางเท่านั้น ไม่สามารถจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปได้ การลักลอบจำหน่ายเช่นนี้จึงถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายต่อผู้บริโภค ทั้งนี้ขอเตือนให้ประชาชนระมัดระวังในการเลือกซื้อยาและผลิตภัณฑ์ความงาม ควรเลือกซื้อจากแหล่งที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

เบาะแสจากประชาชนสู่การจับกุม

ด้าน พล.ต.ต.มานพ เสนากุล เปิดเผยว่า การจับกุมในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากได้รับเบาะแสจากประชาชนที่สังเกตเห็นความผิดปกติของการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ทั้งในรูปแบบการจำหน่ายหน้าร้านและการขายผ่านช่องทางออนไลน์ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนและรวบรวมหลักฐานจนแน่ชัด ก่อนที่จะยื่นขอหมายค้นจากศาลจังหวัดเชียงราย เพื่อเข้าตรวจค้นและยึดของกลางทั้งหมด

จากการตรวจสอบพบว่าผู้ประกอบการได้เช่าสถานที่ดังกล่าวตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 และมีการเคลื่อนย้ายสถานที่เก็บสินค้าบ่อยครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ โดยสินค้าบางรายการนำเข้ามาจากต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย ก่อนนำมาจัดจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด พร้อมกับทำโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะขยายผลการจับกุมไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น หมอกระเป๋า หรือผู้รับซื้อเพื่อนำไปขายต่อ

โทษหนัก จำคุก 5 ปี

สำหรับโทษของการจำหน่ายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงความผิดอื่นๆ ตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 ที่ระบุโทษปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 1 ปี ซึ่งในกรณีนี้ผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกข้อหาและมีการขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ต่อไป

นายแพทย์วัชรพงษ์กล่าวปิดท้ายว่า ขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อยาและผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ควรตรวจสอบแหล่งที่มาว่าได้รับการรับรองจาก อย. และเลือกใช้บริการจากสถานประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งขอให้ผู้ประกอบการที่ยังจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายอยู่ยุติการกระทำดังกล่าวทันที เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News