Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ติดตามการดำเนินงานตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ที่จังหวัดเชียงราย

กรมวังผู้ใหญ่ฯ ติดตามโครงการราชทัณฑ์ปันสุขที่เชียงราย

ลงพื้นที่เรือนจำกลางเชียงราย ติดตามการดำเนินงานโครงการกำลังใจฯ

เชียงราย, 6 มีนาคม 2568 – พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง กรมวังผู้ใหญ่ประจำพระองค์ 908 กรรมการมูลนิธิราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และรองประธานกรรมการกองทุนกำลังใจฯ ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และโครงการราชทัณฑ์ปันสุข ณ เรือนจำกลางเชียงราย จังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ส่วนราชการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุมเพื่อรายงานผลการดำเนินงานของโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการภายในเรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังและเสริมสร้างโอกาสให้แก่พวกเขา

ตรวจเยี่ยมสถานพยาบาลและโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต

พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมภายในเรือนจำกลางเชียงราย โดยมีการตรวจสอบการให้บริการทางการแพทย์ผ่านระบบ Telemedicine การทำงานของห้องปฏิบัติการระบบ JHCIS ห้องจ่ายยา และห้องทัณตกรรม นอกจากนี้ ยังมีการตรวจเยี่ยมห้องแม่และเด็กภายในเรือนจำ พร้อมมอบของเยี่ยมให้แก่ผู้ต้องขังหญิงตั้งครรภ์และมารดาที่มีเด็กติดผู้ต้องขัง รวมถึงผู้ต้องขังสูงอายุจำนวน 10 ราย ซึ่งเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและสนับสนุนด้านสุขภาพของผู้ต้องขังในเรือนจำ

เยี่ยมชมโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนับสนุนการทำงานบุคลากรทางการแพทย์

ในช่วงบ่าย พลอากาศเอก สมคิด สุขบาง และคณะ ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน โดยได้รับการต้อนรับจากนายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย แพทย์หญิงอัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และทีมผู้บริหารโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ครอบคลุมหลายส่วนงานสำคัญ ได้แก่ ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ศูนย์นเรนทร ระบบ AOC (Ambulance Operation Center) อาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน หอผู้ป่วยรักษ์ใจ กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด และการให้บริการ Telemedicine ในห้องตรวจผิวหนัง อาคารผู้ป่วยนอก 50 ปีอนุสรณ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบสาธารณสุขในจังหวัดเชียงราย

สถิติและแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับโครงการราชทัณฑ์ปันสุข

ตามข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ประเทศไทยมีผู้ต้องขังรวมกว่า 250,000 คน ซึ่งในปี 2567 พบว่ามากกว่า 60% เป็นผู้ต้องขังในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้มีความจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือด้านการฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตภายในเรือนจำ โดยโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ ได้ช่วยให้ผู้ต้องขังมีโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาล การศึกษา และการพัฒนาทักษะอาชีพมากขึ้น

โครงการนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการแพทย์และฟื้นฟูจิตใจของผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ การดำเนินงานของโครงการราชทัณฑ์ปันสุขฯ จึงเป็นตัวอย่างของการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังให้กลับคืนสู่สังคมได้อย่างยั่งยื

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘สมศักดิ์’ โต้ 9 หมื่นล้าน ค่ารักษาต่างด้าว ตัวเลขคลาดเคลื่อน

สภาพัฒน์เผย ไทยจ่ายค่ารักษาพยาบาลคนต่างด้าว 9.2 หมื่นล้านบาท กระทบหนักพื้นที่ชายแดน

ค่าใช้จ่ายพุ่งสูง แพทย์ชายแดนรับภาระหนัก

ตาก, 26 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4 และภาพรวมปี 2567 พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เรียกเก็บไม่ได้จากคนต่างด้าวสูงถึง 9.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ถึง 8.2 เท่า โดยกว่าร้อยละ 81.1 มาจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะจังหวัดตาก

เหตุผลที่ไทยต้องแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาล

จากข้อมูลเชิงลึกของหน่วยบริการสาธารณสุขในจังหวัดตาก พบปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนต่างด้าวเข้ามารับการรักษาในไทย ได้แก่:

  1. ขาดแคลนสถานพยาบาลในเมียนมา ส่งผลให้ผู้ป่วยต้องข้ามแดนเข้ามารับการรักษา โดยส่วนใหญ่มักมีอาการป่วยหนักและไม่สามารถชำระค่ารักษาได้
  2. กลุ่มคนไร้สัญชาติที่เกิดในไทย แต่ไม่ได้รับสิทธิรักษาภายใต้กองทุน ท.99 ทำให้ต้องพึ่งพาสาธารณสุขของไทย
  3. โรงพยาบาลชายแดนต้องรับมือกับโรคติดต่อร้ายแรง แพทย์ชายแดนต้องให้บริการตรวจรักษาในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในไทย

ผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทย

  • บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน ทำให้การให้บริการล่าช้าและมีภาระงานหนักขึ้น
  • งบประมาณโรงพยาบาลตึงตัว ต้องรองรับภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่ได้รับการชดเชยเต็มจำนวน
  • การแพร่ระบาดของโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน สร้างความกังวลด้านสาธารณสุข

รัฐมนตรีสาธารณสุขแจงตัวเลข สศช. คลาดเคลื่อน

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลคนต่างด้าวที่ สศช. รายงานว่า 9.2 หมื่นล้านบาท เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยงบประมาณหลักประกันสุขภาพรวมต่อปีอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้นการที่ค่ารักษาคนต่างด้าวจะสูงถึง 9 หมื่นล้านบาทเป็นไปไม่ได้

“ตัวเลขที่แท้จริงอยู่ที่ประมาณ 2,050 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนประมาณ 500 ล้านบาท โดยตัวเลขดังกล่าวยังต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม” นายสมศักดิ์กล่าว

แนวทางแก้ไขปัญหาสาธารณสุขชายแดน

  1. การจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม เพื่อให้โรงพยาบาลชายแดนสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ยกระดับมาตรฐานการสาธารณสุขชายแดน โดยประสานงานกับหน่วยงานในประเทศและองค์กรต่างชาติ
  3. เร่งพิสูจน์สิทธิของบุคคลไร้สถานะ เพื่อลดภาระของโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดน

สถิติและข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนต่างด้าวที่เรียกเก็บไม่ได้ปี 2567 อยู่ที่ 2,050 ล้านบาท
  • งบประมาณที่ใช้รองรับคนต่างด้าวในโรงพยาบาลชายแดนลดลง 500 ล้านบาทจากปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการรักษาคนต่างด้าวต่อคนต่ำกว่า 2,000 บาท
  • 81.1% ของค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวเลข 9.2 หมื่นล้านบาทที่เผยแพร่โดย สศช. ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ และอาจเกิดจากข้อผิดพลาดด้านการบันทึกข้อมูล เช่น การบันทึกค่ารักษาซ้ำซ้อนหรือคำนวณผิดพลาด

กระทรวงสาธารณสุขเตรียมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง พร้อมเสนอแนวทางบริหารจัดการงบประมาณด้านสุขภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

สธ. แจงไวรัส HKU5 ในค้างคาว แค่งานวิจัย ย้ำไทยเฝ้าระวังเข้มแข็ง

กระทรวงสาธารณสุขไทยยัน HKU5-CoV-2 ยังไม่มีการระบาดในคน

ปลัด สธ. ย้ำไทยมีระบบเฝ้าระวังเข้มแข็ง ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ HKU5-CoV-2 ในคน แม้จะมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการของจีนเมื่อปี 2566 ว่าไวรัสนี้สามารถเกาะกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมได้ดีเช่นเดียวกับโควิด-19

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รายงานดังกล่าวเป็นเพียงผลการทดลองในห้องแล็บ ยังไม่มีหลักฐานทางระบาดวิทยาที่ชี้ว่าไวรัสนี้สามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง และไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อจากสายพันธุ์นี้แต่อย่างใด

“ข้อมูลที่มีในขณะนี้เป็นเพียงรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการศึกษาในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่กระจายสู่คนหรือเกิดการระบาดจริงในประชากรทั่วไป ดังนั้นประชาชนไม่ควรตื่นตระหนก” นพ.โอภาสกล่าว

HKU5-CoV-2 คืออะไร?

HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่ถูกค้นพบในค้างคาว และจัดอยู่ในตระกูล Merbecovirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของไวรัสโคโรนา นักวิจัยพบว่าไวรัสนี้มีความสามารถในการจับกับเอนไซม์ ACE2 ซึ่งเป็นตัวรับบนเยื่อหุ้มเซลล์ของมนุษย์ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันสามารถก่อโรคในมนุษย์ได้

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันไวรัสวิทยาหวู่ฮั่น ประเทศจีน ได้ทดสอบ HKU5-CoV-2 ในเซลล์ตัวอย่างของระบบทางเดินหายใจและลำไส้ของมนุษย์ และพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสสามารถจับกับเยื่อหุ้มเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ยังต่ำกว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไม่ควร “ตีความเกินจริง” เกี่ยวกับความเสี่ยงของ HKU5-CoV-2 ต่อมนุษย์ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้จริง

ไทยติดตามไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด

นพ.โอภาส ยืนยันว่า ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคระบาดที่เข้มแข็ง โดยกรมควบคุมโรคและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำงานร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อ ติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน สายพันธุ์ที่พบในไทยยังคงเป็น โอมิครอน JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ และไม่มีหลักฐานว่ามีไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้ามาในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยังคงมีมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดสำหรับนักเดินทางขาเข้า โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดของโรคทางเดินหายใจ

มาตรการป้องกันไวรัส: ใช้ได้กับทุกสายพันธุ์

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 สามารถระบาดในมนุษย์ได้ แต่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มาตรการป้องกันโรคทางเดินหายใจที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากไวรัสทุกชนิดได้ ได้แก่:

  • สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่แออัด
  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่าโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดหรือระบบระบายอากาศไม่ดี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางเดินหายใจ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด-19

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยาและวัคซีน

หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับ HKU5-CoV-2 หุ้นของบริษัทยาผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 เช่น Pfizer, Moderna และ Novavax ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ เช่น ดร.ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา กล่าวกับ Reuters ว่า ปฏิกิริยาของตลาดและสื่อบางส่วนอาจเกินจริง เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าไวรัสนี้มีความเสี่ยงต่อมนุษย์ในระดับที่ควรกังวล

แนวทางการรักษาหาก HKU5-CoV-2 แพร่สู่คน

หาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้จริง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าแนวทางการรักษาที่อาจใช้ได้ ได้แก่:

  • แอนติบอดีโมโนโคลนอล (Monoclonal Antibodies) – เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสู้กับไวรัส
  • ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs) – ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดความรุนแรงของอาการ เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของการรักษาจะขึ้นอยู่กับความสามารถของไวรัสในการแพร่เชื้อและอัตราการกลายพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมหาก HKU5-CoV-2 สามารถแพร่ระบาดในคนได้ในอนาคต

สรุป

  • HKU5-CoV-2 เป็นไวรัสที่พบในค้างคาว และเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไวรัสโคโรนา
  • ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่ามันสามารถแพร่ระบาดสู่คนได้จริง
  • ไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคที่เข้มแข็ง และติดตามการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่อง
  • มาตรการป้องกัน เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสทุกสายพันธุ์
  • ตลาดหุ้นบริษัทยาผลิตวัคซีนปรับตัวสูงขึ้น จากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานว่า HKU5-CoV-2 จะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ในขณะนี้ แต่การเฝ้าระวังและการศึกษาต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข / forbes

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดูแลสุขภาพประชาชน

เชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และจังหวัดเคลื่อนที่ บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

เชียงราย, 14 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 9 ประจำปี 2568 พร้อมโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” เพื่อให้บริการด้านสุขภาพและภาครัฐแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยกิจกรรมจัดขึ้นที่โรงเรียนริมวัง 1 บ้านงิ้วเฒ่า หมู่ 7 ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, นายแพทย์คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, นายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน และหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนจำนวนมากที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

การให้บริการในพื้นที่ห่างไกล

อำเภอพานประกอบด้วย 15 ตำบล 236 หมู่บ้าน โดยกิจกรรมในวันนี้เน้นการให้บริการประชาชนใน 3 หมู่บ้านของตำบลป่าหุ่ง ได้แก่:

  • บ้านปางเกาะทราย (หมู่ 6) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 15 กิโลเมตร มีประชากร 2,407 คน 452 ครัวเรือน
  • บ้านงิ้วเฒ่า (หมู่ 7) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 25 กิโลเมตร มีประชากร 470 คน 153 ครัวเรือน
  • บ้านผาวี (หมู่ 8) ห่างจากที่ว่าการอำเภอพาน 30 กิโลเมตร มีประชากร 389 คน 123 ครัวเรือน

ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับบริการตรวจสุขภาพจาก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. รวมถึงบริการจากหน่วยงานภาครัฐที่มาอำนวยความสะดวก เพื่อช่วยลดภาระและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถานที่ราชการในตัวเมือง

การมอบความช่วยเหลือแก่ประชาชน

หลังจากเปิดกิจกรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และคณะ ได้มอบความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ ดังนี้:

  • ถุงยังชีพ จากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ข้าวสาร จากวัดห้วยปลากั้ง
  • ผ้าห่มกันหนาว จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • เงินสงเคราะห์ จำนวน 20 ราย จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา

นอกจากการให้บริการทางสุขภาพและสวัสดิการแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและคณะ ยังได้ร่วมกัน ปลูกต้นกาสะลองคำ ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเชียงราย บริเวณโรงเรียนริมวัง 1 พร้อมเดินเยี่ยมชมการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และพบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่

ภายหลังจากการเยี่ยมชม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้ร่วมประชุมเสวนากับนายอำเภอพาน หัวหน้าส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ความสำคัญของโครงการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. โดยบุคลากรทางการแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันนี้ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และเป็นการสนองพระปณิธานของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงกลุ่มเปราะบางทางสังคม

นอกจากนี้ คณะผู้บริหารจังหวัดเชียงรายยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุในอำเภอพาน จำนวน 5 ราย เพื่อให้กำลังใจและประเมินความช่วยเหลือที่จำเป็นสำหรับการดูแลผู้ป่วยเหล่านี้

บทสรุป

กิจกรรม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และจังหวัดเคลื่อนที่ ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดเชียงราย ผ่านการให้บริการด้านสุขภาพและสวัสดิการโดยหน่วยงานภาครัฐที่ลงพื้นที่โดยตรง ซึ่งช่วยลดภาระของประชาชนในการเข้าถึงบริการที่จำเป็น และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายเร่งอบรมดูแลสุขภาพจิต ผู้ใช้ยา รับมือปัญหาชุมชน

เชียงรายเปิดอบรมดูแลสุขภาพจิตผู้ใช้สารเสพติดในชุมชน เสริมศักยภาพบุคลากรรับมือปัญหา

เชียงราย, 7 กุมภาพันธ์ 2568 –    โรงแรม เอ็ม บูทีค รีสอร์ท เชียงราย นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย รักษาราชการแทนปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมการดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ใช้สารเสพติดในชุมชนอย่างเหมาะสม ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อการปฏิบัติงานในศูนย์คัดกรองยาเสพติด โดยมีบุคลากรผู้รับผิดชอบงานยาเสพติดและสุขภาพจิตจากสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเข้าร่วม

ปัญหายาเสพติดในเชียงราย: ความท้าทายที่ต้องรับมือ

นายญาณาฤทธิ์กล่าวว่า สถานการณ์ปัญหายาเสพติดในจังหวัดเชียงรายยังคงเป็นเรื่องสำคัญ โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้ยาเสพติดมากกว่าผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเมื่อมีการเสพยาเสพติดในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวง และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำร้ายตัวเองและผู้อื่น

อบจ.เชียงราย มุ่งมั่นแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างบูรณาการ

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหายาเสพติด จึงมีนโยบายในการส่งเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง โดยได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานทางการแพทย์ สถานพยาบาล หน่วยงานทางปกครอง หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด เพื่อให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุม

อบจ.เชียงราย มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพผู้ป่วยแบบบูรณาการ โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุม เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ประชาชน การอบรมบุคลากรที่ดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ใช้สารเสพติดในชุมชนในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และให้การช่วยเหลือหลังการบำบัดรักษา โดยการประคับประคอง ให้คำแนะนำ คำปรึกษา เสริมสร้างกำลังใจและสร้างแรงจูงใจ ทั้งผู้ป่วยและครอบครัว ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ

การอบรม: เพิ่มศักยภาพบุคลากรดูแลผู้ใช้สารเสพติดในชุมชน

การอบรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการดูแลสุขภาพจิตสำหรับผู้ใช้สารเสพติดในชุมชนอย่างเหมาะสม โดยจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์จำแนกระดับความรุนแรงของผู้ป่วย การวางแผนการดูแล หรือการส่งต่อที่เหมาะสม รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงการเพิ่มศักยภาพสำหรับบุคลากรในการปฏิบัติงานในศูนย์คัดกรองยาเสพติด

การอบรมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้กับบุคลากร แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการกลับไปเสพยาเสพติดซ้ำ ก่อความรุนแรงซ้ำ รวมถึงปัญหาด้านสังคมที่เกี่ยวข้องกับการติดยาเสพติด และสร้างความสงบสุขให้แก่ชุมชน

อบจ.เชียงราย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การอบรมในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพจิตผู้ใช้สารเสพติดในชุมชน และเป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในจังหวัดเชียงรายอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

“มะเร็งรักษาทุกที่” กลับสู่แนวทางเดิม ผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว

กุมภาพันธ์ 2568 –  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่แล้ว และกลับไปใช้ประกาศฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับการรักษาได้ที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมีใบส่งตัว

การแก้ไขปัญหา “มะเร็งรักษาทุกที่”

จากกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้สั่งการให้ สปสช. ดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีการเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” นั้น ล่าสุด นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ได้รายงานว่าได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้เรียบร้อยแล้ว

ผู้ป่วยมะเร็งรับบริการได้ตามแนวทางเดิม

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รวมถึงวันที่ 1 เมษายน 2568 ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้ารับบริการตามนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” ได้ตามแนวทางบริการเดิมที่โรงพยาบาลที่มีศักยภาพดูแลผู้ป่วยมะเร็ง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบส่งตัวรับรองสิทธิในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยบริการประจำ

สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเช่นเดิม

สปสช. ยังคงรับผิดชอบดูแลการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายตามนโยบายเช่นเดิม หน่วยบริการสามารถเบิกได้ทั้งค่ารังสีรักษา ยาเคมีบำบัด การผ่าตัด โรคแทรกซ้อนของมะเร็ง และโรคอื่นที่คนไข้มะเร็งเป็นร่วม

ระบบส่งข้อมูลผู้ป่วย

สำหรับการส่งข้อมูลผู้ป่วยนั้น มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ TCB Plus ของสถาบันมะเร็ง กรมการแพทย์ และ Health Link ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อใช้ลงทะเบียน รับส่งต่อและดูข้อมูลผู้ป่วยอยู่แล้ว โดยทางโรงพยาบาลรับส่งต่อสามารถดูข้อมูลผู้ป่วยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวนี้ได้

ยกเลิกประกาศฉบับใหม่ กลับไปใช้ฉบับเดิม

เลขาธิการ สปสช. ได้ลงนามคำสั่งยกเลิกประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับใหม่ ที่จะบังคับใช้ 1 เมษายน 2568 แล้ว ซึ่งจะมีผลทำให้กลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ฯ ฉบับเดิม ปี 2566-2567 และได้ส่งหนังสือแจ้งเวียนหน่วยบริการทั่วประเทศรับทราบแล้ว

รัฐบาลใส่ใจสุขภาพประชาชน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อภาวะเจ็บป่วยของประชาชน โดยมะเร็งเป็นโรคที่มีภาวะร้ายแรงต่อสุขภาพ การเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเพิ่มโอกาสการรักษาและลดความรุนแรงของโรค รวมถึงลดการเสียชีวิตลงได้ จึงนำมาสู่นโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ โดยมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งยืนยันว่า ณ วันนี้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ซึ่งรวมถึง สปสช. ยังคงยืนยันหลักการนี้เช่นเดิม

สรุป

การกลับไปใช้ประกาศหลักเกณฑ์ “มะเร็งรักษาทุกที่” ฉบับเดิม ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น และได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องจากโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สสจ.เชียงราย จัดตั้งศูนย์ฉุกเฉิน ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

การประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสสจ.เชียงรายหลังพายุไต้ฝุ่น

สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลาย

สสจ.เชียงรายได้จัดการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข หลังจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นระลอกแรก ยางิ และซูลิก คลี่คลายลงแล้ว โดยการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ผ่านระบบการประชุมออนไลน์

ผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น

พายุไต้ฝุ่นที่ผ่านมาทำให้ประชาชนในพื้นที่เชียงรายได้รับผลกระทบมากถึงกว่า 63,491 ครัวเรือน เสียชีวิตทั้งหมด 19 ราย และบาดเจ็บกว่า 2,091 ราย นอกจากนี้ยังมีการเสียหายทางโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก

การจัดตั้งทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน

ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินฯ ได้จัดตั้งทีมต่าง ๆ ได้แก่ ทีมแพทย์ฉุกเฉิน (MERT/miniMERT), ทีมปฐมพยาบาล, ทีมเยียวยาจิตใจ (MCATT), ทีมเฝ้าระวังและสอบสวนโรค (SRRT/CDCU), ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม (SEhRT) และทีมกู้ชีพ เพื่อให้การดูแลประชาชนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทีมงานได้ให้บริการกว่า 38,180 ครั้ง และแจกจ่ายยาและเวชภัณฑ์จำเป็นกว่า 72,426 รายการ

การฟื้นฟูและการดูแลสุขภาพจิต

หลังจากสถานการณ์ฉุกเฉินคลี่คลายลง ศูนย์ฯ ได้เปลี่ยนภารกิจสู่การฟื้นฟูอย่างยั่งยืน โดยยังคงเฝ้าระวังโรคที่อาจเกิดขึ้นหลังน้ำลด เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคฉี่หนู และโรคระบบทางเดินอาหาร รวมถึงการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

การสนับสนุนจากศูนย์ปฏิบัติการ

นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าศูนย์ปฏิบัติการได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ตั้งแต่การเฝ้าระวังก่อนเกิดเหตุ จนถึงการดูแลและฟื้นฟูประชาชนที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือจากประชาชนในการทำความสะอาดที่พักอาศัย กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และรักษาสุขอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในระยะยาว

สรุปสถานการณ์และการดำเนินงาน

ในการประชุมศูนย์ฯ ได้สรุปสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มในจังหวัดเชียงราย โดยพบว่าพายุไต้ฝุ่นระลอกแรกได้เสียชีวิต 5 ราย พายุยางิ 13 ราย และพายุซูลิก 1 ราย รวมทั้งหมด 19 ราย นอกจากนี้ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากพายุไต้ฝุ่นระลอกแรก 7 ราย ยางิ 2,067 ราย และซูลิก 17 ราย

การดูแลและฟื้นฟูชุมชน

ศูนย์ฯ ได้เน้นการฟื้นฟูชุมชนให้ประชาชนกลับมามีสุขภาพแข็งแรงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยสนับสนุนการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมและการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง ความห่วงใยจากทีมสาธารณสุขจะยังคงอยู่เคียงข้างประชาชนในทุกย่างก้าว

บทสรุป

การประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในสสจ.เชียงรายเป็นการยืนยันถึงความพร้อมและความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางธรรมชาติ การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของทีมงานและหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยยังคงเฝ้าระวัง การระบาด โรคปอดอักเสบในเด็กที่จีน

 

25 พฤศจิกายน 2566 จากการระบาดของโรคปอดอักเสบในเด็กที่ประเทศจีน ทำให้มีข้อกังวลเรื่องการแพร่ระบาดมายังประเทศไทย ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุข ระดมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ได้แก่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ, ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ และ รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ และหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรครองรับ

           โดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ยืนยันชัดเจนว่า โรคปอดอักเสบในเด็กที่ประเทศจีน เกิดจากเชื้อก่อโรคตัวเดิมที่ว่างเว้นการระบาดช่วง 3 ปีในช่วงของการเข้มงวดมาตรการโควิด แต่เพื่อความไม่ประมาท ได้สั่งการให้กรมควบคุมโรคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ล่าสุดได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อมาหารือ เพื่อเตรียมมาตรการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคแล้ว

          รมว.สาธารณสุข ระบุว่า หากสถานการณ์มีความจำเป็น จะเพิ่มความเข้มข้นใน 4 มาตรการ คือ 1.มาตรการเฝ้าระวังโรค ให้ทุกจังหวัดโดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว ติดตามสถานการณ์โรคปอดอักเสบในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด กรณีพบผู้ป่วยปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุ ให้เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งทางเดินหายใจส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเชื้อก่อโรค หากพบผู้ป่วยปอดอักเสบจำนวนมากผิดปกติ หรือบุคลากรทางการแพทย์เป็นปอดอักเสบ หรือพบผู้ป่วยปอดอักเสบรุนแรงเฉียบพลันหรือเสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุให้รีบสอบสวนและเก็บตัวอย่างส่งตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและควบคุมโรคต่อไป

          2.มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล ให้สื่อสารความเสี่ยงกับประชาชน ทั้งเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยการล้างมือบ่อยๆ สำหรับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจและผู้ที่ใกล้ชิดผู้ป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุ 3.มาตรการด้านการรักษา ให้โรงพยาบาลเตรียมชุดอุปกรณ์ป้องกันตนเอง ยา เวชภัณฑ์และเตียง เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินตามแผนการตอบโต้สถานการณ์ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง เมืองท่องเที่ยว และ 4.กรณีพบการระบาดของโรคปอดอักเสบรุนแรงไม่ทราบสาเหตุเป็นวงกว้างในต่างประเทศ จะยกระดับการเฝ้าระวัง ตรวจคัดกรองผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดของโรค โดยด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศที่สนามบินนานาชาติคัดกรองผู้มีอาการทางเดินหายใจและเก็บตัวอย่างตรวจหาเชื้อก่อโรค รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้ทันที

          ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนตระหนักเพื่อระมัดระวังป้องกันแต่ไม่ต้องวิตกกังวล ติดตามข้อมูลสถานการณ์ และคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นระยะต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

กรมควบคุมโรคแนะแม่ตั้งครรภ์ ระวังชื้อไวรัสซิกา ทารกเสี่ยงพัฒนาการช้า

 
วันที่ 19 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยข้อมูลกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กรณีสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในประเทศไทย ในสัปดาห์ที่ 31 คือ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 9 สิงหาคม 2566 พบผู้ป่วยสะสมจำนวน 172 ราย อัตราป่วย 0.26 ต่อประชากรแสนคน ไม่พบผู้เสียชีวิต พบผู้ป่วยครบทุกภาค กระจายใน 21 จังหวัด โดยพบอัตราป่วยสูงสุดในภาคกลาง รองลงมา คือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกรมควบคุมโรค ได้ออกคำเตือนในช่วงนี้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อนำโดยยุงลาย เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน ทำให้มีน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ก่อให้เกิดการระบาดของโรคไข้เลือดออก โรคไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งโรคติดเชื้อไวรัสซิกานี้ สามารถติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ เป็นโรคที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องเฝ้าระวังและป้องกันตนเองอย่าให้ถูกยุงกัด เพราะหากแม่ติดเชื้อไวรัสซิกาแล้ว อาจส่งผลให้เด็กที่คลอดออกมามีความผิดปกติ 

นางสาวรัชดา กล่าวถึงข้อมูลกรมควบคุมโรคระบุว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกา มียุงลายเป็นพาหะนำโรค เช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออก และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ทำให้ผู้ป่วยมีผื่นแดงตามลำตัวและแขนขา มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ตาแดง และสามารถติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง คือ ทารกเกิดความพิการทางสมองและระบบประสาท ส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีความผิดปกติ เช่น ศีรษะเล็ก การได้ยินผิดปกติ และพัฒนาการช้า เป็นต้น โดยกรมควบคุมโรคแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ควรป้องกันตนเองอย่าให้ถูกยุงกัด ไปฝากครรภ์ตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์จนกว่าจะคลอด หากตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสซิกาต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยสูตินรีแพทย์ 

“นอกจากนี้ กรมควบคุมโรคย้ำขอให้ประชาชนทั่วไปช่วยกันกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบริเวณบ้านและในชุมชน โดยใช้มาตรการ 3 เก็บป้องกัน 3 โรค คือ 1) เก็บบ้าน ให้สะอาดไม่ให้ยุงลายเข้ามาเกาะพัก 2) เก็บขยะ ภายในบริเวณบ้านและชุมชน ให้เรียบร้อยไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย 3) เก็บน้ำ เก็บภาชนะกักเก็บน้ำให้มิดชิดเพื่อป้องกันยุงลายลงไปวางไข่ รวมถึงการป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัดด้วยการทายากันยุง และนอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวดกันยุง เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ไข้เลือดออก และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย และขอให้ประชาชนสังเกตอาการป่วยของคนในครอบครัว ไม่ควรซื้อยาลดไข้ในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ได้แก่ แอสไพริน และไอบูโพรเฟนมารับประทาน และให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องรวดเร็ว จะช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตได้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News