
“มลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแรร์เอิร์ธ” เขย่าลุ่มน้ำกก–สาย–โขง เวทีจุฬาฯ ชำแหละช่องกฎหมาย ไทยถูกท้าทายทั้งในฐานะ “ผู้รับผลกระทบ” และ “ผู้ได้ประโยชน์” — จี้รัฐบาลใหม่ยุตินำเข้าแร่–ตั้งทีมรัฐ–ประชาชน–ดันเจรจาระดับภูมิภาค
กรุงเทพฯ/เชียงราย, 26 กันยายน 2568 — เช้าวันที่สังคมการเมืองไทยกำลังจับตานโยบายเศรษฐกิจความมั่นคง แต่อีกฟากหนึ่งของเมืองหลวง ณ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห้องประชุมชั้น 4 อาคารประชาธิปก–รำไพพรรณี กลับคลาคล่ำไปด้วยเครือข่ายประชาชนจากลุ่มน้ำกก–สาย–โขง นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กฎหมายระหว่างประเทศ และผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติไทย จุดร่วมของทุกคนชัดเจน—“มลพิษข้ามพรมแดน” จากเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา ไม่ใช่ข่าวไกลตัวอีกต่อไป แต่คือประเด็นเร่งด่วนที่กระทบ น้ำกิน–น้ำใช้–อาหาร–รายได้–และศรัทธาต่อรัฐ ของประชาชนสองฝั่งพรมแดน
เวทีสัมมนาเรื่อง “กรอบกฎหมายและกลไกระหว่างประเทศต่อมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ” จัดโดย คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ ศูนย์แม่โขงศึกษา จุฬาฯ และภาคีภาคประชาชนจากพื้นที่ชายแดน จุดประเด็นด้วยคำถามใหญ่ที่ทั้งคมและตรง: เมื่อสารปนเปื้อนจากกิจกรรมเหมือง “นอกเขตแดนไทย” ไหลบ่าเข้าสู่แม่น้ำสายสำคัญอย่าง กก–สาย–โขง และซึมลึกในห่วงโซ่อาหารไทย—เราจะปกป้องประชาชน–ระบบนิเวศ–เศรษฐกิจฐานราก อย่างไร ภายใต้กรอบกฎหมายปัจจุบัน
เสียงจากฝ่ายนิติบัญญัติ “อย่าปล่อยให้กฎหมายไทยอ่อนแรงต่อมลพิษข้ามแดน”
บนเวที นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม และ รองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน เปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เขาระบุว่า การขุดแรร์เอิร์ธในเมียนมาเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะหลังปี 2564 และประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “ใครเป็นเจ้าของเหมือง” เท่านั้น แต่อยู่ที่ “ผลกระทบข้ามพรมแดน” ที่ ไทยยังไม่มีกลไกกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ในการป้องกัน–รับมือ–เยียวยา
“นี่ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือปัญหาโครงสร้างกฎหมายและธรรมาภิบาลระดับภูมิภาค เราต้องส่งเสียงในระดับอาเซียนและประชาคมโลก และในประเทศต้องมีมาตรการชัดเจน—ตั้งแต่การตรวจสอบการปนเปื้อนอย่างโปร่งใส จนถึงการทบทวนนำเข้าแร่จากแหล่งที่ไม่รับผิดชอบ” นายกัณวีร์กล่าว
น้ำเสียง “เร่งด่วน” ของรองประธาน กมธ.กฎหมายฯ สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ที่ตัวแทนชุมชนจาก รัฐคะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย นำหลักฐานและประสบการณ์ตรงขึ้นเล่า—น้ำประปาที่บางช่วงถูกเตือนให้หลีกเลี่ยง, ปลาในแม่น้ำที่ขายยาก, พืชผลบางชนิดถูกปฏิเสธจากผู้ซื้อ ด้วยความกังวลสารโลหะหนัก ขณะที่คำอธิบายจากหน่วยงานรัฐหลายครั้ง “ไปคนละทิศ” กับความรู้สึก–ข้อเท็จจริงในพื้นที่
นักวิชาการเตือนไทยไม่ได้เป็น “ผู้เสียหาย” อย่างเดียว—เรายัง “ได้ประโยชน์” จากแร่ด้วย
ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) นำเสนอข้อมูลที่ทำให้ห้องประชุมเงียบลงชั่วขณะ เมื่อระบุว่าในปัจจุบัน เมียนมาถูกประเมินว่าเป็นผู้ผลิตแรร์เอิร์ธ “ลำดับ 3 ของโลก” ท่ามกลางความต้องการส่วนผสมสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี–พลังงานสะอาด–ยานยนต์ไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก “ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้รับผลกระทบ แต่ยังได้ประโยชน์จากการนำเข้าแร่” เธอย้ำว่า โครงสร้างนี้ทำให้การแก้ปัญหายากขึ้น เพราะเกิด ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และ “ไร้เจ้าภาพ” ในการรับผิดชอบ
“สารปนเปื้อนจากเหมืองไม่ได้หยุดที่แม่น้ำ แต่มันไหลเข้าไปในชีวิตประจำวัน—น้ำดิบ–น้ำประปา–ปลา–ข้าว–ผัก และสะสมในร่างกาย เราจึงต้องถามตรง ๆ ว่า วันนี้น้ำกิน–น้ำใช้–อาหารของเราปลอดภัยจริงหรือไม่ และใครกล้ารับผิดชอบในระยะยาว”
ดร.สืบสกุลยกตัวอย่าง “วาทกรรมภาครัฐ” ที่สร้างความสับสน: ระบุเตือนประชาชนให้งดใช้น้ำ แต่ พร้อมกันนั้นบอกว่า “ค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน” เธอชี้ว่าการสื่อสารลักษณะนี้ “ไม่พูดความจริงทั้งหมด” เพราะมาตรฐานเป็นเพียง “ค่าเฉลี่ย ณ จุด–เวลา–ตัวอย่าง” ขณะที่ “ผลสะสม” ของโลหะหนักในร่างกาย–ดิน–พืชผล “เป็นอีกเรื่อง” และกระทบ ห่วงโซ่อาหาร อย่างยากจะควบคุม
10 ข้อเรียกร้องจากเครือข่ายประชาชน แผนเร่งด่วนจาก “ปลายน้ำ” สู่ “ต้นน้ำ”
เวทีจบลงด้วย ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่ภาคประชาชนเสนอให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการทันที โดยมีทั้งมาตรการเชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง ได้แก่
- ตรวจหาสารปนเปื้อนในดิน พื้นที่เกษตร 12,000 ไร่ ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนฤดูกาลเพาะปลูก (ต.ค.)
- ตรวจข้าวนาปี ในจังหวัดเชียงราย ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านอาหาร
- จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ สำหรับผู้ใช้น้ำอย่างน้อย 55,000 ราย ในแม่น้ำกก–สาย–รวก โดยประเมินกรอบงบประมาณ 1,200 ล้านบาท
- ยกระดับการตรวจประปาหมู่บ้าน ให้สามารถตรวจโลหะหนักได้ต่อเนื่อง–เท่าทันสถานการณ์
- จัดหาแหล่งน้ำใหม่ ให้ชุมชนที่ต้องซื้อน้ำกิน เช่น ต.ท่าตอน ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
- ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก ระดับพื้นที่ ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลแบบ “เรียลไทม์”
- ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน เพื่อวางแผน ปิดเหมือง (ในมิติเชิงการทูต/กฎหมาย) และ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
- ยกเลิกการสร้างฝายดักตะกอน ที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรืออาจก่อผลข้างเคียงต่อระบบนิเวศ
- เปิดเจรจากับเมียนมาและจีนอย่างเร่งด่วน ภายใต้กรอบทวิภาคี–พหุภาคี
- ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่ ที่มีที่มาจากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ โดยเฉพาะจุดผ่านแดน แม่สาย–แม่สะเรียง–แม่ฮ่องสอน และ ตรวจสอบเส้นทางการค้า–ผู้ได้รับประโยชน์–การส่งออกต่อไปประเทศที่สาม (มีการระบุว่าเกี่ยวข้อง “ไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท” ที่ต้องตรวจสอบแหล่งที่มา)
ในภาพรวม ข้อเสนอทั้ง 10 ฝากให้รัฐ “ทำ 3 ชั้น” พร้อมกัน—คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน (สุขภาพ/น้ำ/อาหาร), รักษาศรัทธาตลาด (เชื่อมั่นสินค้าเกษตร), และ วางท่าทีระหว่างประเทศ (การเจรจา–มาตรการทางเศรษฐกิจ)
ทำไม “แรร์เอิร์ธ” จึงท้าทายระบบกฎหมาย–นโยบาย
แรร์เอิร์ธเป็นกลุ่มแร่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยุคพลังงานสะอาด: แม่เหล็กถาวรในมอเตอร์ EV, กังหันลม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์–กลาโหม ความต้องการที่พุ่งขึ้นทำให้แหล่งผลิตในภูมิภาค ลุ่มน้ำโขง–เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกจับตามอง ทว่า ห่วงโซ่อุปทานที่ยาว–กำกับดูแลยาก ทำให้ “ต้นทุนภายนอก” (น้ำเสีย, ดินปนเปื้อน, สุขภาพชุมชน) ถูกผลักออกไปนอกงบประมาณบริษัท–ข้ามพรมแดน–และกลับมาคิดบัญชีกับสังคมในรูป ค่าใช้จ่ายสาธารณะ (รักษาพยาบาล–น้ำประปา–เยียวยา–โครงสร้างพื้นฐานใหม่)
ในเชิงกฎหมาย–สถาบัน นี่คือโจทย์ “มลพิษไร้พรมแดน”: ประเทศผู้รับผลกระทบ ไม่มีเขตอำนาจโดยตรง ในการสั่งการเหมืองต่างแดน แต่ มีภารกิจ ต้องปกป้องประชาชนของตนเอง การอาศัยเพียง “มาตรฐานคุณภาพน้ำ–อาหาร” ในเขตแดนไทยจึงไม่พอ หาก ต้นน้ำ อยู่ต่างประเทศ และ ปลายน้ำ คือชีวิตคนไทย
ทางเลือกเชิงนโยบาย 3 ระยะเวลา–5 คานอำนาจ
เพื่อแปลงข้อเรียกร้องให้เกิดผลจริง นักวิชาการและภาคประชาชนบนเวทีเสนอ “กรอบเดินงาน” ที่สรุปใจความได้ดังนี้
ระยะสั้น (0–6 เดือน):
- สารสนเทศ–ความโปร่งใส: ปรับระบบสื่อสารความเสี่ยงให้ “พูดความจริงทั้งหมด” — รายวัน/รายสัปดาห์ของค่าตรวจโลหะหนักในน้ำ–ดิน–ปลา–ข้าว, แผนที่จุดเสี่ยง, ข้อมูลภาษาคู่ (ไทย–ชนเผ่า)
- สุขภาพ–น้ำ–อาหาร: ดำเนินการตามข้อ 1–6 ให้ครบ: ตรวจดิน 12,000 ไร่, ตรวจข้าวนาปีเชียงราย, ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนัก, หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ครัวเรือน พร้อมงบประมาณเบื้องต้น 1,200 ล้านบาท
- การค้า–ตลาด: จัดทำฉลาก/เอกสารรับรองผลตรวจเป็นรอบ ๆ ช่วยผู้ผลิตในพื้นที่ฟื้นความเชื่อมั่นตลาด
ระยะกลาง (6–24 เดือน):
- คณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน (ข้อ 7): มีอำนาจเสนอคำสั่ง/มาตรการเฉพาะพื้นที่–ข้ามหน่วยงาน, กำกับการเยียวยา
- กำกับห่วงโซ่แร่: ออก “บัญชีดำ” เหมือง/ผู้ค้า/ผู้นำเข้าที่ไม่ตรวจสอบได้, บังคับใช้กติกา Due Diligence ในการนำเข้าวัตถุดิบเหมือง
- การทูตเชิงรุก (ข้อ 9): ตั้งโต๊ะคุยเมียนมา–จีน–ลาว ภายใต้กรอบแม่น้ำโขง/อาเซียน–MRC, แลกข้อมูลตรวจวัด–กำกับเหมือง–แผนฟื้นฟู
ระยะยาว (2–5 ปี):
- กฎหมายแม่บทมลพิษข้ามแดน: เติม “เขี้ยวเล็บ” ให้รัฐไทยใช้มาตรการทางการค้า–สิ่งแวดล้อมกับสินค้าที่ก่อมลพิษต้นทางต่างแดน (จัดเก็บ/ห้าม/จำกัด) โดยไม่ขัดพันธกรณีระหว่างประเทศ
- เศรษฐกิจหมุนเวียนแร่: ลงทุน รีไซเคิลแรร์เอิร์ธ–นวัตกรรมนำกลับ ลดการพึ่งพาแร่ดิบต้นทางที่เป็นความเสี่ยงเชิงนิเวศ–ภูมิรัฐศาสตร์
คานอำนาจ 5 ตัว ที่ต้องใช้พร้อมกัน: (1) วิทยาศาสตร์ข้อมูล, (2) กฎหมาย–มาตรการการค้า, (3) การทูตพหุภาคี, (4) การมีส่วนร่วมของประชาชน, และ (5) งบประมาณฉุกเฉิน–เยียวยา
น้ำเสียงจากพื้นที่ เมื่อ “ความไม่แน่ใจ” แพงกว่าทุกอย่าง
เครือข่ายประชาชนจาก คะฉิ่น–เชียงราย–แม่อาย ถ่ายทอดสภาวะร่วม: ความไม่แน่ใจ ว่าน้ำที่ดื่ม–ข้าวที่กิน–ปลาที่จับ “ปลอดภัยจริงหรือไม่” ทำให้ค่าใช้จ่ายครัวเรือนพุ่งขึ้น (ซื้อน้ำ/เดินทางไปตรวจ) ขณะรายได้จากพืชผล–ประมงลดลงเพราะความเชื่อมั่นตลาดสั่นคลอน “ความไม่แน่ใจ” จึงกลายเป็นภาษีที่มองไม่เห็น สะสมดอกเบี้ยทางเศรษฐกิจ–สังคม–สุขภาพ
“เราไม่ได้ขออะไรเกินจริง แค่ขอให้รัฐพูดตามตรง และทำตามหน้าที่—ตรวจ–เปิดเผย–ปกป้อง–เยียวยา—ให้ไวและจริงจัง” ตัวแทนชุมชนกล่าวบนเวที
มุมกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยยืนตรงไหนบนสมการ “อธิปไตย–สิทธิมนุษยชน–สิ่งแวดล้อม”
ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายชี้ว่า แม้หลักอธิปไตยทำให้ไทยไม่อาจสั่งการกิจกรรมในเมียนมาโดยตรง แต่กรอบระหว่างประเทศเปิดช่อง มาตรการฝั่งผู้นำเข้า (import-side measures) ที่ ชอบด้วยกฎหมายการค้า หากพิสูจน์ได้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อ คุ้มครองชีวิต–สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม และใช้ อย่างไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมกันนั้น การเจรจาพหุภาคีกับ ลาว–จีน–เมียนมา ภายใต้กรอบลุ่มน้ำโขง/อาเซียนสามารถผลักดัน กลไกแจ้งเหตุ–สอบสวน–แผนฟื้นฟูร่วม ที่ติดตามได้
ประเด็นชวนคิด (สำหรับผู้กำหนดนโยบาย)
- ตัวเลข 55,000 ครัวเรือน–งบ 1,200 ล้านบาท: งบระดับนี้เทียบไม่ได้กับ “มูลค่าความเสียหายสะสม” หากปล่อยให้ความไม่แน่ใจดำเนินต่อไปอีกหลายฤดูกาลเพาะปลูก
- “ยุตินำเข้าแร่” เป็นคันโยก: การใช้ อำนาจทางเศรษฐกิจ น่าจะเป็นคันโยกที่รัฐบาลไทยมีมากสุดในการจูงใจให้เกิดการปรับพฤติกรรมต้นทาง แต่ต้องคู่กับ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ที่โปร่งใส เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมไทย “เปลี่ยนประตูนำเข้า” แล้วปัญหาเดิมยังอยู่
- สื่อสารความเสี่ยงแบบผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่: สังคมยอมรับความจริงที่ซับซ้อนได้ หากรัฐกล้าพูดตรง–เร็ว–มีแผนรับมือ และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนร่วมกำกับตรวจสอบ
จากเวทีสัมมนาสู่โต๊ะ ครม.—ถึงเวลาตอบว่า “เราปกป้องคนของเราอย่างไร”
งานวันนี้ไม่ได้จบที่เสียงปรบมือ แต่วางการบ้านขนาดใหญ่ไว้ที่รัฐบาลใหม่: จะยุติการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบหรือไม่—เมื่อใด—อย่างไร, จะยืนยันความปลอดภัยน้ำ–อาหารให้ประชาชนได้อย่างไร, จะเยียวยา–คุ้มครองเกษตรกรอย่างไร, และ จะวางท่าทีต่อเพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขงอย่างไร เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมโลกสีเขียว ไม่ทิ้งคนปลายน้ำ ไว้ข้างหลัง
ในห้องประชุมของจุฬาฯ วันนี้ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ นักวิชาการ และเครือข่ายชุมชนได้คลี่แผนที่และชี้พิกัดแล้วว่า “เส้นทางสั้น–กลาง–ยาว” คืออะไร เหลือเพียง “เจตจำนง” ของรัฐและ ความสม่ำเสมอของการลงมือทำ ที่จะพิสูจน์ว่า ประเทศไทยสามารถยืนหยัดปกป้อง สุขภาพ–สิ่งแวดล้อม–เศรษฐกิจฐานราก ของประชาชนตนเองได้จริงเพียงใด ท่ามกลางคลื่นอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธที่โหมกระหน่ำทั้งภูมิภาค
สาระย่อ “10 ข้อเรียกร้อง”
- ตรวจดิน 12,000 ไร่ (อ.แม่อาย) ก่อนเข้าฤดูปลูก
- ตรวจข้าวนาปี (เชียงราย) ก่อนเก็บเกี่ยว
- หาแหล่งน้ำดิบใหม่ให้ 55,000 ราย (กก–สาย–รวก) งบ 1,200 ล้านบาท
- ยกระดับประปาหมู่บ้านตรวจโลหะหนักได้
- หาแหล่งน้ำใหม่ให้ ต.ท่าตอน–ต.แม่นาวาง (แม่อาย)
- ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนักในพื้นที่
- ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐ–ประชาชน ปิดเหมือง–เยียวยา
- ยกเลิกฝายดักตะกอน
- เปิดเจรจาเมียนมา–จีน เร่งด่วน
- ยุติ/ทบทวนการนำเข้าแร่จากเหมืองที่ไม่รับผิดชอบ ตรวจเส้นทางการค้า–ผู้ได้ประโยชน์
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
- ศูนย์แม่โขงศึกษา และสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (เชียงราย) — ข้อสังเกตทางวิชาการและข้อเสนอเชิงนโยบายโดย ดร.สืบสกุล กิจนุกร