Categories
WORLD PULSE

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์ ค้างจ่ายค่าเขื่อนน้ำอู “ไข่มุกแห่งเอเชีย” โครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง

จีนฟ้องลาว 555 ล้านดอลลาร์! ค้างจ่ายค่าเขื่อน “ไข่มุกแห่งเอเชีย”

สปป.ลาว , 9 มีนาคม 2568 – บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ (Nam Ou Power) ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือของบริษัทพาวเวอร์ไชน่า (PowerChina) ได้ยื่นฟ้องบริษัทการไฟฟ้าลาว (Electricite du Laos – EdL) ต่อศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศของสิงคโปร์ (SIAC) เพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระเป็นจำนวน 555 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจากค่าไฟฟ้าที่เกิดจากโครงการเขื่อนไฟฟ้าน้ำอูทั้ง 7 แห่ง (Nam Ou River Cascade Hydropower) มูลค่าการลงทุนกว่า 2.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อพิพาทด้านพลังงานและผลกระทบต่อเศรษฐกิจลาว

บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีน ได้ดำเนินการก่อสร้างและบริหารเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำอูซึ่งมีความยาว 350 กิโลเมตรในประเทศลาว โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานและการคมนาคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุว่าคดีนี้เป็นกรณีแรกของการฟ้องร้องระหว่างหน่วยงานที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจีนต่อรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลลาวผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญ

ที่มาของข้อพิพาทและรายละเอียดทางกฎหมาย

ข้อมูล 6 มีนาคม 2568 พบว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์ อ้างว่า EdL มีหนี้ค้างชำระเป็นจำนวน 486.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 65.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดจากใบแจ้งหนี้รายเดือนที่ออกระหว่างเดือนมกราคม 2020 ถึงธันวาคม 2024 การฟ้องร้องครั้งนี้มีมูลค่ารวมคิดเป็นประมาณ 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของลาวในปี 2020

เอกสารที่ยื่นต่อ SIAC ยังระบุว่า บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมอีก 3.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจาก EdL ชำระเงินส่วนใหญ่ด้วยสกุลเงินกีบของลาว ทั้งที่ตามข้อตกลงระบุว่าต้องชำระเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างน้อย 85%

ความเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานจีนในลาว

ลาวเป็นประเทศที่ลงทุนอย่างหนักในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Battery of Southeast Asia) ผ่านการส่งออกพลังงานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย เวียดนาม และจีน อย่างไรก็ตาม โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้สร้างภาระหนี้สินให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก

ในปี 2020 EdL ได้โอนอำนาจการควบคุมส่วนใหญ่ของหน่วยส่งไฟฟ้าไปยังบริษัทไชน่าเซาเทิร์นพาวเวอร์กริด (China Southern Power Grid) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน เนื่องจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลลาวต้องเผชิญกับความยากลำบากทางการเงิน และใกล้เข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ (Sovereign Default)

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานะของลาวในเวทีโลก

ลาวต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าของเงินกีบลาวลดลงเกือบ 60% ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าพุ่งสูงขึ้น และทำให้ประเทศต้องพึ่งพาเงินทุนจากจีนมากขึ้น

นักวิเคราะห์ชาวตะวันตกมองว่าการลงทุนของจีนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในลาวช่วยเพิ่มอิทธิพลของจีนในประเทศที่มีภาระหนี้สูง อย่างไรก็ตาม จีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าการลงทุนของตนเป็นไปเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

แนวโน้มของคดีและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ในขณะที่คดีดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการในสิงคโปร์ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า หาก EdL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจนำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของลาวไปยังบริษัทจีน ซึ่งอาจเพิ่มการพึ่งพาจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ หากมีการพิจารณาคดีให้บริษัทน้ำอูพาวเวอร์เป็นฝ่ายชนะ ลาวอาจต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม หรืออาจต้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หรือธนาคารโลก (World Bank) เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

ข้อสรุปและแนวทางข้างหน้า

กรณีพิพาทระหว่างบริษัทน้ำอูพาวเวอร์และการไฟฟ้าลาวเป็นตัวอย่างของความซับซ้อนของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนข้ามชาติ และยังสะท้อนถึงปัญหาทางการเงินที่ลาวกำลังเผชิญในปัจจุบัน

ในระยะสั้น ลาวอาจต้องหาทางออกผ่านการเจรจากับจีนเพื่อลดภาระหนี้ หรือหาทางปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนในระยะยาว อาจจำเป็นต้องมีการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงิน เพื่อให้ประเทศสามารถพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และลดการพึ่งพาเงินทุนจากต่างชาติ

ในขณะที่มุมมองจากฝั่งจีนคือการรักษาความมั่นคงของการลงทุนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แต่ในมุมของนักวิเคราะห์ตะวันตก อาจเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ของจีนที่ช่วยเสริมสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เซเว่นฯ เปิดแล้ว ‘หลวงพระบาง’ คนแห่ใช้บริการ คึกคักวันแรก

เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดสาขาแรกในแขวงหลวงพระบาง นักท่องเที่ยว-ประชาชนให้การต้อนรับคึกคัก

เมืองหลวงพระบาง, 6 มีนาคม 2568 – บริษัท ซีพี ออลล์ ลาว จำกัด ในเครือ ซีพี ออลล์ ได้เปิดตัว เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในแขวงหลวงพระบาง อย่างเป็นทางการ ณ บ้านสายลม เมืองหลวงพระบาง โดยมี ท่านเวียงทอง หัดสะจัน เจ้านครหลวงพระบาง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมแขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

บรรยากาศในวันเปิดทำการวันแรกเป็นไปอย่างคึกคัก มี ประชาชนชาวลาวและนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะเวียนมาใช้บริการ ภายในร้านมีสินค้าหลากหลายที่ตอบโจทย์ทั้งคนในพื้นที่และนักเดินทาง รวมถึงสินค้าท้องถิ่นที่นำมาจำหน่ายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

เซเว่น อีเลฟเว่น หลวงพระบาง: ส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

นายชัยโรจน์ ทิวัตถ์มั่นเจริญ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และ Managing Director International Business บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายธุรกิจมายังแขวงหลวงพระบางถือเป็น ก้าวสำคัญของเซเว่น อีเลฟเว่น ใน สปป.ลาว เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่

“หลวงพระบางเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูง เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะ เมืองหลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกตั้งแต่ปี 1995 ทำให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก”

จากข้อมูลของ รัฐบาลลาว ในปีที่ผ่านมา แขวงหลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวกว่า 2.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 125.96% จากปีก่อนหน้า โดยนักท่องเที่ยวหลักมาจาก จีน ไทย เกาหลีใต้ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 125 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อวัน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและการค้าปลีกในพื้นที่

จุดเด่นของเซเว่น อีเลฟเว่น หลวงพระบาง

เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาหลวงพระบางยังคงให้บริการแบบ 24 ชั่วโมง พร้อมจำหน่ายสินค้าคุณภาพที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป และสินค้าเฉพาะของท้องถิ่น

“เซเว่น อีเลฟเว่น ไม่เพียงแต่เป็นร้านสะดวกซื้อ แต่ยังเป็น กลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยการเปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการท้องถิ่นได้นำสินค้าของตนเองเข้ามาจำหน่าย อีกทั้งยังช่วยสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับคนในพื้นที่”

การเปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่นใน สปป.ลาว ยังสอดคล้องกับแนวทาง “Giving and Sharing” ที่มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยใช้หลัก 2 ลด 4 สร้าง 1 DNA เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับชุมชน

ขยายเครือข่ายทั่ว สปป.ลาว: ก้าวต่อไปของเซเว่น อีเลฟเว่น

ปัจจุบัน เซเว่น อีเลฟเว่น เปิดให้บริการแล้ว 12 สาขา ทั่ว สปป.ลาว ในเมืองหลัก เช่น

  • นครหลวงเวียงจันทน์
  • แขวงจำปาสัก
  • แขวงสะหวันนะเขต
  • แขวงเวียงจันทน์
  • แขวงหลวงพระบาง (ล่าสุด)

การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเติบโตในต่างประเทศของ ซีพี ออลล์ โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนสาขาให้ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้

บทสรุป

การเปิดตัว เซเว่น อีเลฟเว่น ในแขวงหลวงพระบาง ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคธุรกิจค้าปลีกใน สปป.ลาว และเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ก็มาพร้อมกับข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อผู้ประกอบการท้องถิ่นและวัฒนธรรมของเมืองมรดกโลก

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และทำให้เซเว่น อีเลฟเว่นสามารถเติบโตควบคู่ไปกับชุมชนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

การค้นพบวัตถุริมแม่น้ำโขง ของลาว อาจเป็นพื้นที่ของล้านนา-ล้านช้าง

 
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมาทางเพจภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้โพสต์ข้อความว่าจากการค้นพบโบราณวัตถุที่ริมแม่น้ำโขง ดอนเผิ่งคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ส.ป.ป.ลาวฝั่งตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 โดยเป็นพระพุทธรูปสำริดทั้งขนาดใหญ่และเล็กจำนวนมาก รวมทั้งยังพบซากอาคารที่เป็นเสาก่ออิฐจมดินอยู่ด้วย ประชาชนทั้งชาวลาวและชาวไทยให้ความสนใจกันอย่างมากในโลกโซเชียลต่อเนื่องกันมาหลายวัน
 
รองศาสตราจารย์ ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ความเห็นว่ารูปแบบศิลปกรรมที่พบประกอบด้วยพระพุทธรูปและชิ้นส่วนอาคารวิหาร โดยพระพุทธรูปอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
 
1.กลุ่มศิลปะล้านนาที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 21 มีรูปแบบพระพักตร์อวบอ้วน เม็ดพระศกใหญ่ ประทับนั่งบนฐานกลีบบัวปางมารวิชัย
2.คือกลุ่มพระพุทธรูปล้านนาสกุลช่างเชียงราย-เทิง มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 ดังเช่นพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ ซึ่งมีเทคนิคพิเศษในการหล่อโลหะต่างสีมาประกอบเข้าด้วยกัน และมีพุทธลักษณะบางประการร่วมกับพระพุทธรูปศิลปะลาวล้านช้างเช่นการทำส่วนฐานยกสูงฉลุลาย พระพักตร์เสี้ยม เม็ดพระศกเล็กมีไรพระศก
3.พระพุทธรูปศิลปะล้านช้างขนาดเล็กอายุราวพุทธศตวรรษที่ 22 รูปแบบเป็นพื้นถิ่นเช่นส่วนฐานเป็นบัวงอน รัศมีสูงเป็นแฉก
 
 
เสาอาคารเป็นเสากลมของวิหารประดับด้วยลวดลายปูนปั้นแบบล้านนาคือลายกรอบวงโค้งหยักและดอกโบตั๋นที่เป็นอิทธิพลจากศิลปะจีน กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 21 นอกจากนี้ข้อมูลในภาพยังมีพระพิมพ์อีกจำนวนหนึ่งซึ่งอาจเป็นศิลปะล้านนา
 
 
พื้นที่ที่พบมีความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนสองฝั่งแม่น้ำโขงในอดีตซึ่งยังมิได้แบ่งเป็นประเทศไทย-ลาว เหมือนปัจจุบัน แต่ขึ้นอยู่กับอำนาจจากสองอาณาจักรคือล้านนาที่เชียงใหม่กับล้านช้างที่หลวงพระบาง-เวียงจัน น่าสนใจที่มีการผสมผสานรูปแบบกันระหว่างสองศิลปะนั้นด้วยเพราะเป็นพื้นที่ชายขอบของล้านนา-ล้านช้าง
 
 
ส่วนตำแหน่งของพื้นที่ว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของเมืองโบราณเชียงแสนหรือไม่นั้น อาจต้องใช้การวิเคราะห์ทางด้านธรณีวิทยาความเปลี่ยนแปลงของลำน้ำโขงจากนักวิทยาศาสตร์มาประกอบด้วย
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI WORLD PULSE

สปป.ลาว พบ พระพุทธรูป 4 องค์ โผล่ลำน้ำโขง แขวงบ่อแก้ว ตรงข้าม อ.เชียงแสน

 

เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสื่อท้องถิ่นใน สปป.ลาว หลายราย เช่น ລວມຂ່າວລາວ-Lao News update,ແຂວງບໍ່ແກ້ວ Bokeo Province,ໜັງສືພິມລາວພັດທະນາ Laophattana News ได้รายงานข้อมูลและภาพจากพระอาจารย์ ຂັດຕິຍະບາຣະມີ ว่าได้มีการพบพระพุทธรูปและวัตถุโบราณหลายชิ้น ภายในหาดทรายกลางแม่น้ำโขงฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย คาดว่าเป็นบริเวณวัดเก่าแก่และเมืองเก่าสมัยอาณาจักรสุวรรณโคมคำในยุคนับพันปีก่อน โดยการค้นพบมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 มี.ค.หลังจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงได้ลดลงจนกลายเป็นหาดทรายกว้าง และชาวบ้านได้พบเห็นส่วนบนของพระพุทธรูปโผล่ขึ้นมาจึงพากันไปขุนค้นต่อ

ปรากฎว่าเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่องค์ใหญ่จำนวน 2 องค์ คาดว่ามีหน้าตักกว้างกว่า 29 นิ้ว โดยองค์แรกมีสภาพสมบูรณ์ไม่เสียหายมากนักแต่องค์ที่ 2 พระเศียรหักออกไปแต่ยังคงพบในบริเวณเดียวกัน นอกจากนี้ พบพระพุทธรูปขนาดเล็กอีก 2 องค์ คาดว่ามหน้าตักกว้างประมาณ 9 นิ้ว โดยมีสภาพเช่นเดียวกับองค์ใหญ่คือมีองค์สมบูรณ์ 1 องค์และพระเศียรหักออกไปอีก 1 องค์และพบส่วนที่ขาดไปด้วยคาดว่าทั้งหมดสร้างด้วยสัมฤทธิ์ที่มีความคงทน รวมทั้งยังพบวัตถุทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวลักษณะคล้ายอิฐทังขนาดเล็กและใหญ่อีกไม่ต่ำกว่า 10-15 อัน คาดว่าสร้างด้วยปูน

หลังการค้นพบทางเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว ทั้งระดับหมู่บ้าน เมืองและแขวง ได้มีการจัดสถานที่เก็บรักษาบริเวณที่ค้นพบแล้วโดยมีการวางกำลังดูแลรักษาตลอด 24 ชั่วโมงด้วย ขณะที่มีประชาชนชาวลาวรวมไปถึงพระภิกษุและสามเณรต่างพากันไปกราบนมัสการและชมพระพุทธเจ้าและวัตถุโบราณต่างๆ ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ລວມຂ່າວລາວ-Lao News update, ແຂວງບໍ່ແກ້ວ Bokeo Province, ໜັງສືພິມລາວພັດທະນາ Laophattana News

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News