
รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชน คุมเข้มสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา
ประกาศมาตรการเข้มงวด พร้อมลงโทษทันทีหากพบครูหรือบุคลากรเกี่ยวข้อง
ประเทศไทย, 15 มีนาคม 2568 – รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินหน้าจัดการปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนอย่างจริงจัง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เห็นผลภายใน 30 วัน พร้อมติดตาม แผนปฏิบัติการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว เพื่อควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 เพื่อยกระดับมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน โดยมาตรการที่กำหนดไว้มีดังนี้:
- สร้างความตระหนักรู้ ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้บริหารทุกระดับ ผ่านกิจกรรม สื่อประชาสัมพันธ์ และการบรรจุเนื้อหาในหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า
- กำหนดเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า ในสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน ให้มีเครื่องหมายชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
- เข้มงวดในการตรวจสอบ โดยผู้บริหารและผู้บังคับบัญชาต้องสอดส่องและป้องกันไม่ให้นักเรียน นักศึกษา หรือบุคลากรมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการสูบ การจำหน่าย หรือการมีไว้ในครอบครอง
- ดำเนินการทางวินัยทันที หากพบว่าครูหรือบุคลากรทางการศึกษามีส่วนเกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า
เสริมมาตรการเชิงรุก ขยายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ
มาตรการของกระทรวงศึกษาธิการยังสอดคล้องกับประกาศของ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งห้าม นำเข้าและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าในราชอาณาจักรไทย ตาม พระราชบัญญัติศุลกากร และ พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้ สถานที่สาธารณะและยานพาหนะ เป็นเขตปลอดบุหรี่โดยเด็ดขาด
ข้อมูลจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 12 มีนาคม 2568 สามารถจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าได้แล้ว 1,078 คดี ผู้ต้องหา 1,104 คน และยึดของกลางได้กว่า 900,444 ชิ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 118.95 ล้านบาท
มุมมองจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้า แต่ในทางปฏิบัติกลับยังพบว่ามีการใช้และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายอย่างมาก
“หากกฎหมายมีผลบังคับใช้จริง เราจะไม่เห็นบุหรี่ไฟฟ้าในท้องตลาด ไม่มีการขาย ไม่มีการนำเข้า ไม่มีการสูบในที่สาธารณะ แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม” นพ.เอกภพกล่าว
เขาตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดจาก การไม่บังคับใช้กฎหมาย แต่เป็นเพราะ กฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง ซึ่งเป็นประเด็นที่คณะกรรมาธิการศึกษามาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี และพบว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ นพ.เอกภพ ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวทางควบคุมยาสูบของประเทศไทยว่า การเน้นแค่การกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด โดยเสนอให้ภาครัฐพิจารณานโยบายที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น
- ลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศจากปัจจุบัน 9-10 ล้านคน
- ป้องกันเยาวชนจากการเริ่มต้นสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้า
- ดูแลชาวไร่ยาสูบและการส่งออกยาสูบไทย
- เพิ่มการกำกับดูแลตลาดบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าที่ลักลอบนำเข้า
ข้อท้าทายของการกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าใน 30 วัน
แม้รัฐบาลจะประกาศดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้น และมีการแถลงข่าวจับกุมเกือบทุกวัน แต่ยังมีคำถามว่า หากครบ 30 วันแล้ว บุหรี่ไฟฟ้าจะหมดไปจากประเทศไทยจริงหรือไม่?
นพ.เอกภพ ตั้งข้อสังเกตว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าถูกกฎหมายในหลายประเทศ และมีการส่งออกจากจีนมาไทยหลายพันล้านบาทต่อปี ดังนั้น การดำเนินนโยบายเพียงการกวาดล้างโดยไม่มีแผนรองรับระยะยาว อาจไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน
สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย
- จำนวนคดีเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าที่ดำเนินการจับกุม 1,078 คดี (26 ก.พ. – 12 มี.ค. 2568)
- จำนวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม 1,104 คน
- ของกลางที่ยึดได้ 900,444 ชิ้น
- มูลค่าของกลางที่ยึด 118.95 ล้านบาท
- จำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทย ประมาณ 9-10 ล้านคน
- มูลค่าการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าแบบลักลอบเข้าสู่ประเทศไทย หลายพันล้านบาทต่อปี
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี /กระทรวงศึกษาธิการ/ กระทรวงพาณิชย์ / กระทรวงสาธารณสุข / คณะกรรมาธิการศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย