
ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม–คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน “กก–สาย” เดินหน้าเชื่อมฐานข้อมูล–ติดตามร่วม หวังคลี่คลายวิกฤตปนเปื้อนข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน
เนปยีดอ ประเทศเมียนมา, 21 สิงหาคม 2568 — ท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำชายแดนภาคเหนือ รัฐบาลไทยยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาด้วยการ “ตั้งคณะทำงานวิชาการร่วม” (Joint Technical Working Group) เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–แม่น้ำสายอย่างเป็นระบบ เป้าหมายคือเร่งเชื่อมโยงข้อมูล ตรวจติดตามร่วม และออกมาตรการจัดการที่ยึดหลักวิทยาศาสตร์และสิทธิประชาชนในพื้นที่ชายแดน
คณะไทยนำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อม นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ นายขิ่น ม่อง ยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา ณ กรุงเนปยีดอ โดยเห็นพ้อง 3 แกนหลัก ได้แก่ (1) แสดงเจตนารมณ์ร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการคุณภาพน้ำ (2) ยกระดับการประสาน–แลกเปลี่ยนข้อมูลบ่อยครั้งยิ่งขึ้น และ (3) จัดตั้งคณะทำงานวิชาการร่วมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการเชิงปฏิบัติที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและการจัดการกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำ
“รัฐบาลมุ่งมั่นจะแก้ปัญหานี้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ…การดำเนินการต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมและแก้ได้จริง” — นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือของคณะผู้แทนไทย)
เล่าความก่อนถึง “โต๊ะเจรจา” ตัวเลขที่กดดันให้ต้องเปลี่ยนเกมจาก “แก้เฉพาะหน้า” สู่ “ความร่วมมือถาวร”
สองปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือนเรื่องสารปนเปื้อนในลุ่มน้ำกก–สายทวีความเข้มข้น ข้อมูลภาครัฐสะท้อนภาพเดียวกันว่า “สารหนู” ในบางช่วง–บางจุดของแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงตอนบน “เกินเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับน้ำดื่ม” (0.01 มิลลิกรัม/ลิตร) หลายครั้งติดต่อกัน โดยผลตรวจที่เผยแพร่เมื่อปลายพฤษภาคม 2568 ระบุค่าอยู่ช่วงประมาณ 0.011–0.037 มก./ล. ในจุดตรวจหลายตำบลของเชียงรายและชายแดนแม่สาย ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นต้องยกระดับการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนทันที
นอกจากนั้น แผนที่–สรุปสถานการณ์น้ำแม่น้ำกกของ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เองก็ชี้ว่าช่วงที่มีน้ำหลาก น้ำแรง อนุภาคตะกอนและโลหะหนักจะกระจายตัวสูงขึ้น ส่วนหน้าแล้งมีแนวโน้มตกตะกอนสะสมในชั้นดินตื้นของลำน้ำและตลิ่งทั้งหมดคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายว่าทำไม “บางวันค่าขึ้น–บางวันค่าลง” แต่ภาพรวมความเสี่ยงยังคงอยู่ โดย คพ.ชี้ชัดถึงเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มก./ล. สำหรับน้ำดื่มที่สาธารณชนใช้เทียบเคียงในการตัดสินใจบริโภค
ในระดับภูมิภาค คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีความร่วมมือระหว่างลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก็มีกรอบหลักด้านการแบ่งปันข้อมูล (Procedures for Data and Information Exchange and Sharing: PDIES) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ประเทศสมาชิกและคู่เจรจาใช้ข้อมูลชุดเดียวกันในการจัดการประเด็นน้ำข้ามพรมแดน ตั้งแต่คุณภาพน้ำจนถึงอุทกภัย–ภัยแล้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนมองเห็นปัญหาจากข้อมูลจริงร่วมกัน ขณะที่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy) ก็ย้ำเป้าประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการติดตามคุณภาพน้ำและการมีส่วนร่วมของชุมชนแนวทางเหล่านี้กำลังถูกนำมาผูกโยงกับบริบทลุ่มน้ำกกสายปัจจุบัน
แรงกดดันทางสังคม–การเมืองยิ่งเด่นชัดเมื่อระดับชาติเริ่มหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อสาธารณะรายงานความคืบหน้าจากฝ่ายไทย ทั้งการประชุมติดตามปัญหาและการเตรียมหารือกับฝ่ายเมียนมาในระดับนโยบาย สะท้อนว่าประเด็น “น้ำชายแดน” กำลังถูกยกระดับเป็นวาระทวิภาคีที่ต้องหาข้อยุติบนฐานข้อมูลเดียวกันและมาตรการร่วมที่ตรวจได้–วัดผลได้
3 รอยต่อที่ทำให้ “วิชาการ–นโยบาย–ชุมชน” ขยับไปด้วยกัน
1) คำมั่นร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำ
ทั้งสองฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ร่วมในการปกป้องลำน้ำชายแดนที่ประชาชนสองประเทศพึ่งพา โดยยึดหลักการไม่ทำให้เกิดความเสียหายข้ามพรมแดน (no significant harm) และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม–ยั่งยืน อาศัยกลไกระหว่างประเทศอย่าง MRC สนับสนุนกรอบการร่วมมือเชิงเทคนิค
2) สื่อสาร–แลกข้อมูลถี่ขึ้นจาก “รายไตรมาส” สู่ “รายเดือน/กรณีเร่งด่วน”
ภาพปัญหาช่วงที่ผ่านมาเกิดจาก “ข้อมูลไม่พร้อมใช้” หรือเข้าถึงช้า—ยิ่งในหน้าฝนที่ค่าความชื้นในดินสูง มวลน้ำหลากและมลพิษเคลื่อนตัวเร็ว การหรี่–เร่งมาตรการต้องพึ่งข้อมูลทันการณ์ การหารือจึงตกผลึกว่าจะผลักดัน “ช่องทางสื่อสารทางการ” ระหว่างห้องปฏิบัติการจังหวัด–ศูนย์วิจัยของรัฐ และหน่วยงานกลางให้เชื่อมกันแบบกำหนดเวลาได้ชัดเจนขึ้น (เช่น รายเดือน/กรณีเฝ้าระวังพิเศษรายสัปดาห์)
3) ตั้ง “คณะทำงานวิชาการร่วม” เป็นกลไกกลาง
นี่คือหัวใจที่คาดว่าจะเปลี่ยนเกมจาก “คำรับปาก” เป็น “ผลลัพธ์วัดได้” เพราะคณะทำงานจะมีอำนาจภารกิจในการ
- ออกแบบแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำร่วม (ตำแหน่ง–ความถี่–พารามิเตอร์ เช่น สารหนู ตะกั่ว แมงกานีส ตะกอนแขวนลอย)
- ใช้มาตรฐานวิธีวิเคราะห์เดียวกันและตรวจสอบไขว้ (inter-lab comparison)
- จัดทำ แดชบอร์ดสาธารณะ เปิดเผยผลตรวจเป็นระยะ ปรับระดับคำเตือนตาม “ประเภทการใช้น้ำ” เพื่อการตัดสินใจที่ปลอดภัยของประชาชนและผู้ประกอบการ
- ประเมินกิจกรรมเสี่ยงต้นน้ำ (เช่น การทำเหมือง–การชะละลายแร่) แล้วเสนอทางเลือกเทคโนโลยี/มาตรการป้องกัน–ฟื้นฟูตามหลักวิทยาศาสตร์
“ประเด็นคุณภาพน้ำก่อความกังวลโดยตรงต่อวิถีชีวิตของประชาชน…ความร่วมมือไทย–เมียนมามีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่รอบด้าน” — นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือ)
จาก “รายงานปัญหา” สู่ “นโยบายเชิงรุกที่วัดผลได้”
- เชื่อมฐานข้อมูลกับกรอบ MRC/PDIES — เมื่อปัญหาเกิดในลำน้ำข้ามพรมแดน การยึด PDIES เป็น “ภาษากลางด้านข้อมูล” จะลดข้อถกเถียงเรื่องแหล่งที่มาและเพิ่มความน่าเชื่อถือของการสื่อสารสาธารณะ ทั้งยังวางรากฐานให้คู่เจรจาอื่นในลุ่มน้ำโขงรับรู้ร่วมกันตามกรอบยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำ (BDS 2021–2030) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาวะของประชาชน
- การสื่อสารความเสี่ยงแบบ “ตามประเภทการใช้น้ำ” — บทเรียนจากพื้นที่พบว่า สังคมมักเทียบค่ากับ “มาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ล.” โดยตรง ขณะที่น้ำนอกระบบประปาอาจมีเกณฑ์ชี้นำการใช้งานที่ต่างกัน (เช่น ไม่แนะนำเพื่อดื่ม แต่ใช้เพื่อการเกษตรบางชนิดได้ภายใต้เงื่อนไข) การแยกป้ายเตือน–คำแนะนำเป็น “น้ำเพื่อการดื่ม/บริโภค” กับ “น้ำเพื่อการเกษตร–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” อย่างชัดเจน จะช่วยลดความสับสน และช่วยให้ครัวเรือน/ชุมชนตัดสินใจได้ปลอดภัยขึ้น โดยอ้างอิงค่าที่ คพ.ใช้สื่อสารต่อสาธารณะในห้วงวิกฤตที่ผ่านมา
- สร้าง “ระบบเตือนภัยเชิงปฏิบัติการ” ในฤดูฝน — พอเข้าปลายฝนต้นหนาว มวลน้ำหลาก–ตะกอนพุ่งสูง การวัดถี่–ประกาศเตือนเร็วช่วยประคับความเสี่ยงในช่วงวิกฤต การกำหนด “ธงสี” ระดับความเสี่ยงตามพารามิเตอร์สำคัญ (เช่น สารหนู–ตะกั่ว–แบคทีเรีย) บนแดชบอร์ดสาธารณะ ช่วยให้โรงเรียน–โรงพยาบาล–ระบบประปาหมู่บ้านปรับแผนใช้น้ำล่วงหน้าได้
- ผสานงาน “ชุมชน–หน่วยงานท้องถิ่น–แล็บกลาง” — ชุมชนอยู่กับน้ำทุกวัน หากมีกลไกสนับสนุนการเก็บตัวอย่างเบื้องต้นและรายงานเหตุผิดปกติ (ปลาเกย ตุ่มพุพอง ฯลฯ) เข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน จะทำให้การตอบสนองเร็วขึ้น สื่อสาธารณะไทยก็เคยรายงานการติดเชื้อ/ความผิดปกติของสัตว์น้ำควบคู่การรอผลตรวจโลหะหนัก ซึ่งชี้ว่าช่องทางสื่อสาร–รับแจ้งเหตุในชุมชนสำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์แล็บ
- สื่อสาร “ที่มา–ข้อจำกัดของข้อมูล” อย่างซื่อสัตย์ — ผลตรวจคุณภาพน้ำเป็นภาพชั่วขณะ; ค่าอาจเปลี่ยนตามเวลา/สภาพอากาศ การระบุชัดว่า “จุด–วัน–เวลาตรวจ” และ “ช่วงความเชื่อมั่น” จะทำให้ประชาชนเข้าใจภาพรวม ไม่ตื่นตระหนกหรือชะล่าใจเกินไป
เศรษฐกิจท้องถิ่น–สุขภาวะ–ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน
ปัญหาคุณภาพน้ำไม่ได้หยุดที่ก๊อกน้ำในบ้าน ประมงพื้นบ้าน–เกษตรน้ำจืด–การท่องเที่ยวทางน้ำในเชียงราย–เชียงใหม่–ชายแดนแม่สาย ต่างผูกพันกับภาพลักษณ์–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาและกรอบ MRC จึงไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “นโยบายเศรษฐกิจฐานราก” และ “นโยบายต่างประเทศเชิงมนุษยธรรม” ที่ต้องเดินคู่กัน
ที่สำคัญ ผลตรวจของ คพ.ในห้วงปี 2567–2568 ไม่ได้ชี้เฉพาะค่าปนเปื้อนในน้ำเท่านั้น แต่ยังชี้ถึง “ตะกอนดินปนเปื้อน” หลายสาขาลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บมลพิษที่อาจถูกพายุ–น้ำหลากพาออกมาได้ซ้ำ จึงจำเป็นต้องวางแผนฟื้นฟูตะกอนอย่างระมัดระวัง ไม่สร้าง “เขื่อนกักมลพิษ” ที่กลายเป็นระเบิดเวลาลงสู่ท้ายน้ำในฤดูฝนครั้งต่อไป
แผนจากวันนี้ถึง 12 เดือนหน้า: ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการที่ “ทำได้เลย”
- 90 วันแรก — คณะทำงานวิชาการร่วมจัดทำ protocol เก็บตัวอย่าง–วิเคราะห์–รายงานผลเดียวกัน กำหนดจุดตรวจ “หน้าด่านชายแดน” อย่างน้อย 6 จุด (กก–สาย–รวก) ความถี่รายเดือน/รายสัปดาห์ในฤดูฝน เปิด แดชบอร์ดสาธารณะสองภาษา (ไทย–พม่า) ระบุค่าปัจจุบัน+แนวโน้ม พร้อม ธงสีคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำ
- 180 วัน — เปิด “แผนที่เชิงปฏิบัติการ” พื้นที่เสี่ยงต้นน้ำ (เหมือง–บ่อกักเก็บ–แนวทางน้ำหลาก) พร้อม shortlist มาตรการลดผลกระทบทันที (เช่น คันกั้นชั่วคราว–ระบบบำบัดเฉพาะจุด–ปรับโหมดการทำเหมืองช่วงฝน)
- 12 เดือน — เผยแพร่ “รายงานสถานะน้ำชายแดนฉบับร่วม” ฉบับแรก ครอบคลุมข้อมูลคุณภาพน้ำ–ตะกอน–ชีวภาพ พร้อมกรณีศึกษา best practice หมู่บ้านเข้มแข็งด้านน้ำ 3–5 แห่งที่ปรับตัวสำเร็จ
น้ำเสียงจากพื้นที่ ความหวัง–ความคาดหวัง
ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–คณะกรรมการลุ่มน้ำ–เครือข่ายภาคประชาชนในเชียงราย–เชียงใหม่ ให้ข้อมูลตรงกันว่า สิ่งที่ชุมชนต้องการมากที่สุดคือ “ข้อมูลที่เชื่อถือได้และทันเวลา” เพราะทุกการตัดสินใจมีต้นทุน—ชาวประมงต้องรู้ว่าจะลงอวนวันไหน โรงเรียนต้องรู้ว่าจะปิด–เปิดกิจกรรมทางน้ำหรือไม่ ระบบประปาหมู่บ้านต้องรู้ว่าจะเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบชั่วคราวเมื่อไหร่ ยิ่งมีแดชบอร์ดข้อมูลและคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำที่เข้าใจง่าย ความตื่นตระหนกก็ยิ่งลดลง
ในมุมภาครัฐ ความร่วมมือแบบคณะทำงานวิชาการร่วมถือเป็น “โครงสร้าง” ที่จะพาเรื่องนี้พ้นวงจร “ตั้งโต๊ะแก้เฉพาะหน้า–รอผลตรวจ–เกิดเหตุซ้ำ” ไปสู่ ระบบจัดการความเสี่ยง ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมเศรษฐกิจต้นน้ำได้จริง
จากเนปยีดอถึงริมกก–สาย—ก้าวย่างแรกของความไว้เนื้อเชื่อใจบนฐานข้อมูลเดียวกัน
การพบกันของผู้นำฝ่ายบริหารและหน่วยงานเทคนิคของสองประเทศครั้งนี้ ไม่ได้ปิดปัญหาข้ามพรมแดนในชั่วข้ามคืน แต่คือก้าวแรกที่จำเป็นของ “ความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบัน” (institutional trust) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อทั้งสองฝ่าย “ดูข้อมูลชุดเดียวกัน” และ “ยอมรับผลทางวิทยาศาสตร์ชุดเดียวกัน” แล้วเปลี่ยนเป็นมาตรการที่ประชาชนสัมผัสได้—น้ำสะอาดขึ้น คำเตือนชัดขึ้น ความเสียหายลดลง
ในฤดูฝนที่น้ำหลากเร็วและสารปนเปื้อนเคลื่อนตัวไว “หนึ่งวัน” ที่ประสานงานช้าอาจหมายถึง “หนึ่งชุมชน” ที่ต้องหยุดใช้แหล่งน้ำโดยไม่จำเป็น ในทางกลับกัน “หนึ่งแดชบอร์ด–หนึ่งคณะทำงาน” ที่เดินเครื่องได้จริง อาจหมายถึง “หนึ่งลุ่มน้ำ” ที่กำลังได้โอกาสเริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน
แหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง
- ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
- กรมควบคุมมลพิษ
- กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
- ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
- ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
- ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
- กรมควบคุมมลพิษ
- กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
- ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
- ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
- ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews