Categories
TOP STORIES

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม-คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน

ไทย-เมียนมาตั้งคณะทำงานร่วม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม–คุณภาพน้ำแม่น้ำชายแดน “กก–สาย” เดินหน้าเชื่อมฐานข้อมูล–ติดตามร่วม หวังคลี่คลายวิกฤตปนเปื้อนข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน

เนปยีดอ ประเทศเมียนมา, 21 สิงหาคม 2568 — ท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤตคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำชายแดนภาคเหนือ รัฐบาลไทยยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาด้วยการ “ตั้งคณะทำงานวิชาการร่วม” (Joint Technical Working Group) เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–แม่น้ำสายอย่างเป็นระบบ เป้าหมายคือเร่งเชื่อมโยงข้อมูล ตรวจติดตามร่วม และออกมาตรการจัดการที่ยึดหลักวิทยาศาสตร์และสิทธิประชาชนในพื้นที่ชายแดน

คณะไทยนำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อม นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ นายขิ่น ม่อง ยี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา ณ กรุงเนปยีดอ โดยเห็นพ้อง 3 แกนหลัก ได้แก่ (1) แสดงเจตนารมณ์ร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการคุณภาพน้ำ (2) ยกระดับการประสาน–แลกเปลี่ยนข้อมูลบ่อยครั้งยิ่งขึ้น และ (3) จัดตั้งคณะทำงานวิชาการร่วมเพื่อขับเคลื่อนมาตรการเชิงปฏิบัติที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและการจัดการกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำ

“รัฐบาลมุ่งมั่นจะแก้ปัญหานี้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ…การดำเนินการต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมและแก้ได้จริง” — นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือของคณะผู้แทนไทย)

เล่าความก่อนถึง “โต๊ะเจรจา” ตัวเลขที่กดดันให้ต้องเปลี่ยนเกมจาก “แก้เฉพาะหน้า” สู่ “ความร่วมมือถาวร”

สองปีที่ผ่านมา สัญญาณเตือนเรื่องสารปนเปื้อนในลุ่มน้ำกก–สายทวีความเข้มข้น ข้อมูลภาครัฐสะท้อนภาพเดียวกันว่า “สารหนู” ในบางช่วง–บางจุดของแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงตอนบน “เกินเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับน้ำดื่ม” (0.01 มิลลิกรัม/ลิตร) หลายครั้งติดต่อกัน โดยผลตรวจที่เผยแพร่เมื่อปลายพฤษภาคม 2568 ระบุค่าอยู่ช่วงประมาณ 0.011–0.037 มก./ล. ในจุดตรวจหลายตำบลของเชียงรายและชายแดนแม่สาย ทำให้หน่วยงานท้องถิ่นต้องยกระดับการสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนทันที

นอกจากนั้น แผนที่–สรุปสถานการณ์น้ำแม่น้ำกกของ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เองก็ชี้ว่าช่วงที่มีน้ำหลาก น้ำแรง อนุภาคตะกอนและโลหะหนักจะกระจายตัวสูงขึ้น ส่วนหน้าแล้งมีแนวโน้มตกตะกอนสะสมในชั้นดินตื้นของลำน้ำและตลิ่งทั้งหมดคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายว่าทำไม “บางวันค่าขึ้น–บางวันค่าลง” แต่ภาพรวมความเสี่ยงยังคงอยู่ โดย คพ.ชี้ชัดถึงเกณฑ์อ้างอิง 0.01 มก./ล. สำหรับน้ำดื่มที่สาธารณชนใช้เทียบเคียงในการตัดสินใจบริโภค

ในระดับภูมิภาค คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีความร่วมมือระหว่างลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก็มีกรอบหลักด้านการแบ่งปันข้อมูล (Procedures for Data and Information Exchange and Sharing: PDIES) ที่ออกแบบมาเพื่อให้ประเทศสมาชิกและคู่เจรจาใช้ข้อมูลชุดเดียวกันในการจัดการประเด็นน้ำข้ามพรมแดน ตั้งแต่คุณภาพน้ำจนถึงอุทกภัย–ภัยแล้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนมองเห็นปัญหาจากข้อมูลจริงร่วมกัน ขณะที่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy) ก็ย้ำเป้าประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการติดตามคุณภาพน้ำและการมีส่วนร่วมของชุมชนแนวทางเหล่านี้กำลังถูกนำมาผูกโยงกับบริบทลุ่มน้ำกกสายปัจจุบัน

แรงกดดันทางสังคม–การเมืองยิ่งเด่นชัดเมื่อระดับชาติเริ่มหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือหลายครั้งตลอดปีที่ผ่านมา สื่อสาธารณะรายงานความคืบหน้าจากฝ่ายไทย ทั้งการประชุมติดตามปัญหาและการเตรียมหารือกับฝ่ายเมียนมาในระดับนโยบาย สะท้อนว่าประเด็น “น้ำชายแดน” กำลังถูกยกระดับเป็นวาระทวิภาคีที่ต้องหาข้อยุติบนฐานข้อมูลเดียวกันและมาตรการร่วมที่ตรวจได้–วัดผลได้

3 รอยต่อที่ทำให้ “วิชาการ–นโยบาย–ชุมชน” ขยับไปด้วยกัน

1) คำมั่นร่วมด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพน้ำ
ทั้งสองฝ่ายยืนยันเจตนารมณ์ร่วมในการปกป้องลำน้ำชายแดนที่ประชาชนสองประเทศพึ่งพา โดยยึดหลักการไม่ทำให้เกิดความเสียหายข้ามพรมแดน (no significant harm) และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม–ยั่งยืน อาศัยกลไกระหว่างประเทศอย่าง MRC สนับสนุนกรอบการร่วมมือเชิงเทคนิค

2) สื่อสาร–แลกข้อมูลถี่ขึ้นจาก “รายไตรมาส” สู่ “รายเดือน/กรณีเร่งด่วน”
ภาพปัญหาช่วงที่ผ่านมาเกิดจาก “ข้อมูลไม่พร้อมใช้” หรือเข้าถึงช้า—ยิ่งในหน้าฝนที่ค่าความชื้นในดินสูง มวลน้ำหลากและมลพิษเคลื่อนตัวเร็ว การหรี่–เร่งมาตรการต้องพึ่งข้อมูลทันการณ์ การหารือจึงตกผลึกว่าจะผลักดัน “ช่องทางสื่อสารทางการ” ระหว่างห้องปฏิบัติการจังหวัด–ศูนย์วิจัยของรัฐ และหน่วยงานกลางให้เชื่อมกันแบบกำหนดเวลาได้ชัดเจนขึ้น (เช่น รายเดือน/กรณีเฝ้าระวังพิเศษรายสัปดาห์)

3) ตั้ง “คณะทำงานวิชาการร่วม” เป็นกลไกกลาง
นี่คือหัวใจที่คาดว่าจะเปลี่ยนเกมจาก “คำรับปาก” เป็น “ผลลัพธ์วัดได้” เพราะคณะทำงานจะมีอำนาจภารกิจในการ

  • ออกแบบแผนเฝ้าระวังคุณภาพน้ำร่วม (ตำแหน่ง–ความถี่–พารามิเตอร์ เช่น สารหนู ตะกั่ว แมงกานีส ตะกอนแขวนลอย)
  • ใช้มาตรฐานวิธีวิเคราะห์เดียวกันและตรวจสอบไขว้ (inter-lab comparison)
  • จัดทำ แดชบอร์ดสาธารณะ เปิดเผยผลตรวจเป็นระยะ ปรับระดับคำเตือนตาม “ประเภทการใช้น้ำ” เพื่อการตัดสินใจที่ปลอดภัยของประชาชนและผู้ประกอบการ
  • ประเมินกิจกรรมเสี่ยงต้นน้ำ (เช่น การทำเหมือง–การชะละลายแร่) แล้วเสนอทางเลือกเทคโนโลยี/มาตรการป้องกัน–ฟื้นฟูตามหลักวิทยาศาสตร์

“ประเด็นคุณภาพน้ำก่อความกังวลโดยตรงต่อวิถีชีวิตของประชาชน…ความร่วมมือไทย–เมียนมามีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่รอบด้าน” — นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย (ถ้อยคำตามเอกสารสรุปการหารือ)

จาก “รายงานปัญหา” สู่ “นโยบายเชิงรุกที่วัดผลได้”

  1. เชื่อมฐานข้อมูลกับกรอบ MRC/PDIES — เมื่อปัญหาเกิดในลำน้ำข้ามพรมแดน การยึด PDIES เป็น “ภาษากลางด้านข้อมูล” จะลดข้อถกเถียงเรื่องแหล่งที่มาและเพิ่มความน่าเชื่อถือของการสื่อสารสาธารณะ ทั้งยังวางรากฐานให้คู่เจรจาอื่นในลุ่มน้ำโขงรับรู้ร่วมกันตามกรอบยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำ (BDS 2021–2030) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพน้ำและสุขภาวะของประชาชน
  2. การสื่อสารความเสี่ยงแบบ “ตามประเภทการใช้น้ำ” — บทเรียนจากพื้นที่พบว่า สังคมมักเทียบค่ากับ “มาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ล.” โดยตรง ขณะที่น้ำนอกระบบประปาอาจมีเกณฑ์ชี้นำการใช้งานที่ต่างกัน (เช่น ไม่แนะนำเพื่อดื่ม แต่ใช้เพื่อการเกษตรบางชนิดได้ภายใต้เงื่อนไข) การแยกป้ายเตือน–คำแนะนำเป็น “น้ำเพื่อการดื่ม/บริโภค” กับ “น้ำเพื่อการเกษตร–เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” อย่างชัดเจน จะช่วยลดความสับสน และช่วยให้ครัวเรือน/ชุมชนตัดสินใจได้ปลอดภัยขึ้น โดยอ้างอิงค่าที่ คพ.ใช้สื่อสารต่อสาธารณะในห้วงวิกฤตที่ผ่านมา
  3. สร้าง “ระบบเตือนภัยเชิงปฏิบัติการ” ในฤดูฝน — พอเข้าปลายฝนต้นหนาว มวลน้ำหลาก–ตะกอนพุ่งสูง การวัดถี่–ประกาศเตือนเร็วช่วยประคับความเสี่ยงในช่วงวิกฤต การกำหนด “ธงสี” ระดับความเสี่ยงตามพารามิเตอร์สำคัญ (เช่น สารหนู–ตะกั่ว–แบคทีเรีย) บนแดชบอร์ดสาธารณะ ช่วยให้โรงเรียน–โรงพยาบาล–ระบบประปาหมู่บ้านปรับแผนใช้น้ำล่วงหน้าได้
  4. ผสานงาน “ชุมชน–หน่วยงานท้องถิ่น–แล็บกลาง” — ชุมชนอยู่กับน้ำทุกวัน หากมีกลไกสนับสนุนการเก็บตัวอย่างเบื้องต้นและรายงานเหตุผิดปกติ (ปลาเกย ตุ่มพุพอง ฯลฯ) เข้าระบบอย่างเป็นขั้นตอน จะทำให้การตอบสนองเร็วขึ้น สื่อสาธารณะไทยก็เคยรายงานการติดเชื้อ/ความผิดปกติของสัตว์น้ำควบคู่การรอผลตรวจโลหะหนัก ซึ่งชี้ว่าช่องทางสื่อสาร–รับแจ้งเหตุในชุมชนสำคัญไม่แพ้การวิเคราะห์แล็บ
  5. สื่อสาร “ที่มา–ข้อจำกัดของข้อมูล” อย่างซื่อสัตย์ — ผลตรวจคุณภาพน้ำเป็นภาพชั่วขณะ; ค่าอาจเปลี่ยนตามเวลา/สภาพอากาศ การระบุชัดว่า “จุด–วัน–เวลาตรวจ” และ “ช่วงความเชื่อมั่น” จะทำให้ประชาชนเข้าใจภาพรวม ไม่ตื่นตระหนกหรือชะล่าใจเกินไป

เศรษฐกิจท้องถิ่น–สุขภาวะ–ความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้าน

ปัญหาคุณภาพน้ำไม่ได้หยุดที่ก๊อกน้ำในบ้าน ประมงพื้นบ้าน–เกษตรน้ำจืด–การท่องเที่ยวทางน้ำในเชียงราย–เชียงใหม่–ชายแดนแม่สาย ต่างผูกพันกับภาพลักษณ์–ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การยกระดับความร่วมมือกับเมียนมาและกรอบ MRC จึงไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “นโยบายเศรษฐกิจฐานราก” และ “นโยบายต่างประเทศเชิงมนุษยธรรม” ที่ต้องเดินคู่กัน

ที่สำคัญ ผลตรวจของ คพ.ในห้วงปี 2567–2568 ไม่ได้ชี้เฉพาะค่าปนเปื้อนในน้ำเท่านั้น แต่ยังชี้ถึง “ตะกอนดินปนเปื้อน” หลายสาขาลุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บมลพิษที่อาจถูกพายุ–น้ำหลากพาออกมาได้ซ้ำ จึงจำเป็นต้องวางแผนฟื้นฟูตะกอนอย่างระมัดระวัง ไม่สร้าง “เขื่อนกักมลพิษ” ที่กลายเป็นระเบิดเวลาลงสู่ท้ายน้ำในฤดูฝนครั้งต่อไป

แผนจากวันนี้ถึง 12 เดือนหน้า: ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการที่ “ทำได้เลย”

  1. 90 วันแรก — คณะทำงานวิชาการร่วมจัดทำ protocol เก็บตัวอย่าง–วิเคราะห์–รายงานผลเดียวกัน กำหนดจุดตรวจ “หน้าด่านชายแดน” อย่างน้อย 6 จุด (กก–สาย–รวก) ความถี่รายเดือน/รายสัปดาห์ในฤดูฝน เปิด แดชบอร์ดสาธารณะสองภาษา (ไทย–พม่า) ระบุค่าปัจจุบัน+แนวโน้ม พร้อม ธงสีคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำ
  2. 180 วัน — เปิด “แผนที่เชิงปฏิบัติการ” พื้นที่เสี่ยงต้นน้ำ (เหมือง–บ่อกักเก็บ–แนวทางน้ำหลาก) พร้อม shortlist มาตรการลดผลกระทบทันที (เช่น คันกั้นชั่วคราว–ระบบบำบัดเฉพาะจุด–ปรับโหมดการทำเหมืองช่วงฝน)
  3. 12 เดือน — เผยแพร่ “รายงานสถานะน้ำชายแดนฉบับร่วม” ฉบับแรก ครอบคลุมข้อมูลคุณภาพน้ำ–ตะกอน–ชีวภาพ พร้อมกรณีศึกษา best practice หมู่บ้านเข้มแข็งด้านน้ำ 3–5 แห่งที่ปรับตัวสำเร็จ

น้ำเสียงจากพื้นที่ ความหวัง–ความคาดหวัง

ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–คณะกรรมการลุ่มน้ำ–เครือข่ายภาคประชาชนในเชียงราย–เชียงใหม่ ให้ข้อมูลตรงกันว่า สิ่งที่ชุมชนต้องการมากที่สุดคือ “ข้อมูลที่เชื่อถือได้และทันเวลา” เพราะทุกการตัดสินใจมีต้นทุน—ชาวประมงต้องรู้ว่าจะลงอวนวันไหน โรงเรียนต้องรู้ว่าจะปิด–เปิดกิจกรรมทางน้ำหรือไม่ ระบบประปาหมู่บ้านต้องรู้ว่าจะเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบชั่วคราวเมื่อไหร่ ยิ่งมีแดชบอร์ดข้อมูลและคำแนะนำตามประเภทการใช้น้ำที่เข้าใจง่าย ความตื่นตระหนกก็ยิ่งลดลง

ในมุมภาครัฐ ความร่วมมือแบบคณะทำงานวิชาการร่วมถือเป็น “โครงสร้าง” ที่จะพาเรื่องนี้พ้นวงจร “ตั้งโต๊ะแก้เฉพาะหน้า–รอผลตรวจ–เกิดเหตุซ้ำ” ไปสู่ ระบบจัดการความเสี่ยง ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงสภาพภูมิอากาศและกิจกรรมเศรษฐกิจต้นน้ำได้จริง

จากเนปยีดอถึงริมกก–สาย—ก้าวย่างแรกของความไว้เนื้อเชื่อใจบนฐานข้อมูลเดียวกัน

การพบกันของผู้นำฝ่ายบริหารและหน่วยงานเทคนิคของสองประเทศครั้งนี้ ไม่ได้ปิดปัญหาข้ามพรมแดนในชั่วข้ามคืน แต่คือก้าวแรกที่จำเป็นของ “ความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบัน” (institutional trust) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อทั้งสองฝ่าย “ดูข้อมูลชุดเดียวกัน” และ “ยอมรับผลทางวิทยาศาสตร์ชุดเดียวกัน” แล้วเปลี่ยนเป็นมาตรการที่ประชาชนสัมผัสได้—น้ำสะอาดขึ้น คำเตือนชัดขึ้น ความเสียหายลดลง

ในฤดูฝนที่น้ำหลากเร็วและสารปนเปื้อนเคลื่อนตัวไว “หนึ่งวัน” ที่ประสานงานช้าอาจหมายถึง “หนึ่งชุมชน” ที่ต้องหยุดใช้แหล่งน้ำโดยไม่จำเป็น ในทางกลับกัน “หนึ่งแดชบอร์ด–หนึ่งคณะทำงาน” ที่เดินเครื่องได้จริง อาจหมายถึง “หนึ่งลุ่มน้ำ” ที่กำลังได้โอกาสเริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง 

  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ผลตรวจคุณภาพน้ำ–ค่าโลหะหนักในลุ่มน้ำกก–สาย ช่วง พ.ค. 2568
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรอบการแบ่งปันข้อมูลน้ำของ MRC (PDIES)
  • ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 (Basin Development Strategy)
  • ความเคลื่อนไหวเชิงนโยบายของฝ่ายไทย: ไทยพีบีเอส
  • ประเด็นตะกอนปนเปื้อนในลุ่มน้ำภาคเหนือ GreenNews
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายมีทางออก! MRC จัดเวทีระดมสมองแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก-โขง

เปิดฉาก “โต๊ะกลม MRC–ภาคประชาสังคม” เชียงราย วางหมุดหมายแก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดนแม่น้ำกก–โขง ดัน “ชุมชนเป็นแกนกลาง” คุมคุณภาพน้ำและจัดการความเสี่ยงอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 –ร้าน “Melt In Your Mouth” ริมน้ำกกค่อยๆ แน่นขนัดไปด้วยผู้คนหน้าตาคุ้นในแวดวงน้ำของภาคเหนือ—เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการผืนดินล้านนา ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาสังคม ไปจนถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยว—ที่ต่างแบก “โจทย์เดียวกัน” มาพูดคุยบนโต๊ะเดียว: จะร่วมกันแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา และเชื่อมโยงออกสู่แม่น้ำโขงได้อย่างไรให้ยั่งยืน เป็นรูปธรรม และ “นำโดยชุมชน”

เวทีวันนี้จัดโดย สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) ในรูปแบบ MRC–CSO Roundtable Discussion โดยมี นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) MRCS และ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมดำเนินวงเสวนา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วย งานวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–โขงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อ “ต่อจิ๊กซอว์” ข้ามพรมแดนและระดับมาตรการ ตั้งแต่ข้อมูลคุณภาพน้ำเชิงประจักษ์ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติในชุมชน และการเชื่อมกับยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของ MRC ที่กำลังเตรียมฉบับถัดไปปี 2026–2030

“เวทีนี้มีคุณค่าเพราะเปิดกว้างให้เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ บนฐานของความเคารพและการเป็นหุ้นส่วน” ผู้บริหาร MRCS ย้ำบนเวทีถึงบทบาทของพื้นที่กลางเช่นนี้ที่ตั้งใจให้ชุมชน นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน “ได้ฟังกันจริงๆ” ก่อนขยับไปสู่แนวทางร่วมที่ทำได้ในชีวิตจริง

แม่น้ำกกในภาวะกดดันหลายมิติ

คำถามชวนคิด: เมื่อ น้ำที่ใช้ดื่ม ใช้ทำนา เลี้ยงปลา และพานักท่องเที่ยวล่องแพ เป็นแหล่งเดียวกัน เราจะตรวจวัด–แจ้งเตือน–และตัดสินใจใช้อย่างไรให้ “ปลอดภัยพอ” สำหรับแต่ละกิจกรรม?

ตลอดปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกและตอนล่างที่ไหลลงโขงถูกจับตาเข้มข้นจากสังคมไทยและนานาชาติจาก รายงานสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ในหลายจุดตรวจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผลตรวจที่เผยแพร่โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ผ่านสื่อ ระบุว่า พบค่า As เกินค่ามาตรฐานน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค (0.01 มก./ลิตร) ใน 11 จุดตรวจ บางช่วงมีค่าสูงถึง 0.187–0.200 มก./ลิตร ซึ่งเกินเกณฑ์น้ำดื่มอย่างมีนัยสำคัญ สร้างแรงกดดันให้หน่วยงานไทยเร่งตั้ง “ระบบตรวจติดตามร่วม–แจ้งเตือน–และฟื้นฟู” ทั้งในและข้ามพรมแดนอย่างเป็นระบบมากกว่าที่เคยทำมา

ปัจจัยกดดันของแม่น้ำกกไม่ได้มาจากมิติเดียว หากเป็น “ชั้นๆ” ของกิจกรรมมนุษย์ที่ซ้อนทับกัน—ตั้งแต่ขยะชุมชนที่ไหลลงลำน้ำ การชะล้างสารเคมีเกษตรจากพื้นที่ต้นน้ำ ไปจนถึงแรงเหวี่ยงจากการท่องเที่ยว และ มลพิษข้ามพรมแดนจากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งถูกจับตาว่าเกี่ยวเนื่องกับการพบโลหะหนักในช่วงก่อนหน้าและทำให้รัฐบาลไทยต้องเดินเกมทวิ–พหุภาคีคู่ขนานกับมาตรการภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิด

เห็นต่างให้เป็นพลัง” รูปแบบเสวนาที่พาชุมชนยืนกลางเวที

เวทีโต๊ะกลมครั้งนี้ออกแบบให้มี 2 ช่วงหลัก:

  • ช่วงปรึกษาหารือ (Consultation) เปิดพื้นที่ให้ผู้ที่อยู่ “หน้าด่าน” ของปัญหา—เกษตรกร ชาวประมง บุคลากรสาธารณสุข และหน่วยงานประปา—เล่า “ความจริงในพื้นที่” ทั้งสัญญาณเตือนและช่องว่างที่พบ
  • ช่วงร่วมกันแก้ (Joint Solutions) นำเสนอทางออกสั้นกระชับจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ ชุมชน องค์กรทั้งใน–ต่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ก่อนแตกกลุ่มย่อยแปลง “ความเห็นร่วม” เป็น ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (actionable) ที่จับต้องได้

ประเด็นใหญ่ ที่เด่นชัดคือ “การทำให้ข้อมูลไหลลื่น” ระหว่างพื้นที่–จังหวัด–ส่วนกลาง–ระดับลุ่มน้ำ และการสื่อสารความเสี่ยงที่เข้าใจง่ายสำหรับชุมชน โดยเฉพาะในเวลาวิกฤตที่ปริมาณฝนสูง น้ำหลากเร็ว และจำเป็นต้อง “ตัดสินใจในหลักชั่วโมง” เช่น การงดใช้น้ำดิบบางจุดชั่วคราว การตั้งจุดจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน หรือการเปลี่ยนแผนให้น้ำการเกษตรตามคุณภาพน้ำจริง

เชื่อมพื้นที่สู่ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำบทของ MRC และกลไกระดับชาติ

หลายความเห็นในเวทีชี้ว่า การจะ “ข้ามพรมแดน” ให้ได้จริงต้องมีกลไกกลางที่ทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงยอมรับร่วมกัน MRC ในฐานะองค์กรระหว่างรัฐบาลของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ถูกออกแบบมาเพื่อบทบาทนั้น—เป็น เวทีทางการทูตน้ำ (water diplomacy) และ คลังความรู้ ให้การบริหารลุ่มน้ำโขงอิงหลักฐานและความร่วมมือมากกว่าความรู้สึกหรือการเมืองระยะสั้น

กรอบวางแผนลุ่มน้ำของ MRC ปัจจุบันยึด Basin Development Strategy (BDS) 2021–2030 ซึ่งต่างจากฉบับก่อนหน้าเพราะวางระยะยาว 10 ปี มุ่ง “การลงมือ” เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม–สังคมจากการพัฒนาในลุ่มน้ำ พร้อมเร่งเครื่องระบบข้อมูลและการเตือนภัย โดยหลังปี 2025 จะก้าวสู่ แผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ 2026–2030 ที่อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นและเตรียมยกร่าง เวทีเชียงรายครั้งนี้จึงเป็น “ชิ้นส่วน” สำคัญในการนำเสียงชุมชนเข้ากรอบยุทธศาสตร์ภูมิภาคตั้งแต่ต้นน้ำของนโยบาย

ฝั่งไทย บทบาทของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee) คือการเชื่อมข้อเสนอ–ข้อมูลจากพื้นที่เข้าสู่โต๊ะเจรจาระดับประเทศและ MRC ควบคู่กับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการในประเทศให้สอดรับกัน เช่น ระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่และแผนฟื้นฟูคุณภาพน้ำเชิงรุกในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลากเร็ว

ตัวเลขที่ทำให้การตัดสินใจ “ไวขึ้น–แม่นขึ้น”

  • 11 จุดตรวจ ในแม่น้ำกกที่พบ สารหนูเกินมาตรฐานน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) โดยบางช่วงมีค่าสูงสุด ราว 0.187–0.200 มก./ลิตร — สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของ มาตรการเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แทนการสื่อสาร “ห้าม/ได้” แบบเหมารวม เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน (เช่น ประมง–ท่องเที่ยว) ในวงกว้าง
  • ท่าทีรัฐไทย: รัฐบาลสั่ง เร่งติดตามคุณภาพน้ำ–ฟื้นฟู–และหารือข้ามแดน อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายวิกฤตและคืนความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำหลักของชีวิตภาคเหนือและลุ่มโขงตอนล่าง
  • สถานะ MRC: เป็น แพลตฟอร์มการทูตน้ำและองค์ความรู้ ของ 4 ประเทศลุ่มโขง ตามความตกลงแม่น้ำโขง (1995 Mekong Agreement) ซึ่งสนับสนุนการวางแผน–พัฒนาลุ่มน้ำบนฐานหลักฐาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ

5 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติจากวงเสวนาทำวันนี้ พรุ่งนี้เห็นผล

  1. แปลงข้อมูลให้ใช้การได้ในพื้นที่ – จัดทำ แดชบอร์ดคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่ ที่ “อ่านง่าย ตัดสินใจไว” แยกตามประเภทการใช้ (อุปโภคบริโภค–เพาะปลูก–ประมง–นันทนาการ) พร้อมสีสัญญาณแบบเดียวกันทั้งจังหวัด และ ลิงก์ข้อมูลแบบเปิด ไปยังระดับลุ่มน้ำเพื่อเสริมการตัดสินใจเชิงนโยบาย
  2. เตือนภัยแบบรวมศูนย์–กระจายเสียงแบบกระจายศูนย์ – เมื่อผลตรวจพบ “สัญญาณเสี่ยง” ให้ ประกาศเตือนรายตำบล/รายจุด ผ่านช่องทางราชการและชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มอสม.–เทศบาล) อีกชั้น เพื่อให้การปรับพฤติกรรมเกิดขึ้นจริงในครัวเรือนและฟาร์ม
  3. ตั้ง “อาสาน้ำชุมชน” คู่กับหน่วยงาน – ชุมชนจัดทีม เก็บตัวอย่าง–อ่านค่าเบื้องต้น–รายงานผล ร่วมกับ อบต./เทศบาล–สาธารณสุข–ประปา เพื่ออุดช่องว่าง “เวลา-พื้นที่” ของการตรวจทางการ และสร้างความไว้วางใจในข้อมูล
  4. เชื่อมการทูตชุมชน–ชาติ–ภูมิภาค – เมื่อปัญหามีมิติข้ามพรมแดน ให้ สทนช. และ กต. ใช้เสียงจากเวทีชุมชนเป็น “ข้อมูลเชิงสังคม” ส่งเข้าสู่ โต๊ะ MRC ควบคู่กับข้อมูลเทคนิค เพื่อเร่งกลไกติดตาม–แจ้งเตือนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยยึดหลักความโปร่งใสและประโยชน์ร่วม
  5. เยียวยา–พยุงเศรษฐกิจฐานน้ำ – ระหว่างคลี่คลายคุณภาพน้ำ ต้องมีมาตรการชั่วคราวสำหรับครัวเรือน–ผู้ประกอบการที่พึ่งพาน้ำ เช่น จุดจ่ายน้ำสะอาด–กองทุนหมุนเวียนฟื้นฟูประมง–มาตรการตลาดช่วยเหลือ เพื่อกันความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็น “ปัญหาใหม่”

บทบาทคีย์แมนและ “จังหวะ” เชิงยุทธศาสตร์

การที่ MRCS หยิบเวทีเชียงรายขึ้นมาในจังหวะที่กำลังเตรียม ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำชุดใหม่ (2026–2030) ทำให้ข้อเสนอจากพื้นที่ “มีทางไป” สู่เอกสารนโยบายภูมิภาคตั้งแต่ต้นทาง—เป็นโอกาสแปลง เสียงของชุมชน เป็น มาตรการระดับลุ่มน้ำ ไม่ใช่เพียงเวที “รายงานปัญหาแล้วแยกย้าย” เหมือนที่หลายชุมชนคุ้นชินมานาน ขณะเดียวกัน การนำโดยผู้บริหาร MRCS คนไทยอย่าง คุณบุษฎี สันติพิทักษ์ (CEO) ซึ่งเข้ารับบทบาทเมื่อช่วงต้นปีนี้ ช่วย “เชื่อมภาษา” ระหว่างเวทีท้องถิ่น–ชาติ–ภูมิภาคได้ลื่นไหลขึ้น ทั้งในแง่การสื่อสารสาธารณะและการประสานงานหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำโขง

ด้าน สทนช. ในฐานะผู้ถือพวงมาลัยด้านนโยบายน้ำของประเทศและฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีภารกิจเร่งรัด ระบบเตือนภัย–การฟื้นฟู–และการเจรจาร่วม ให้ “ทันฤดูกาล” โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดู–น้ำหลากเร็วที่ความเสี่ยงเพิ่มทวี เพื่อปกป้องชีวิต–สุขภาพ–และฐานเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำกก–โขงไปพร้อมกัน

จาก “เวทีพูดคุย” สู่ “ข้อตกลงทำจริง”

ท้ายเวที ผู้จัดสรุป “การบ้าน” 3 แพ็กเกจที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมในหลักการ และเริ่ม ตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจ นำไปสู่การทดลองปฏิบัติ (pilot) ใน จุดเสี่ยงสำคัญของแม่น้ำกก ทันทีในฤดูฝนนี้ ได้แก่

  1. แพลตฟอร์มข้อมูล/สื่อสารความเสี่ยงแบบรวมศูนย์ของจังหวัด ที่ดึงข้อมูลจากทุกหน่วยเข้า “หน้าจอเดียวกัน” เปิดสาธารณะและส่งเข้าลุ่มน้ำ,
  2. อาสาน้ำชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเพิ่มความถี่การเฝ้าระวังและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในข้อมูล, และ
  3. โรดแมปประสานข้ามแดน เชื่อมไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางทวิภาคีและช่องทาง MRC อย่างต่อเนื่อง

คำถามปลายเปิดที่ยังทิ้งไว้ให้ทำร่วมกันคือ: เราจะทำให้ข้อมูลไหลไปเร็วเท่าน้ำหลากได้อย่างไร? และ จะทำให้การเตือนภัยกลายเป็นการ “เปลี่ยนพฤติกรรมจริง” ในครัวเรือน–ไร่นา–ท่าเรือท่องเที่ยว ได้อย่างไร—คำถามเหล่านี้อาจไม่ใช่ “โจทย์เทคนิค” ล้วนๆ แต่เป็นโจทย์ความไว้เนื้อเชื่อใจและการออกแบบการสื่อสารกับมนุษย์ ที่ต้องทำซ้ำๆ ให้ติดมือ ติดตา และ “ติดนิสัย” ของทั้งรัฐและชุมชน

อย่างไรก็ดี การมีทั้ง แพลตฟอร์มการทูตน้ำระดับภูมิภาค (MRC) และ กลไกชาติ–จังหวัด–ชุมชน ที่ยอมรับร่วมกัน กำลังทำให้ “ข้อเสนอจากเชียงราย” วันนี้มี ทางเดินชัดเจน สู่การเป็น มาตรการจริง ที่ช่วยให้คน–ปลา–และสายน้ำอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนขึ้น

เชิงอรรถนโยบายทำไม “กรอบ MRC” จึงสำคัญกับแม่น้ำกก

  • บทบาท MRC: ทำหน้าที่เวทีกลางการทูตน้ำและคลังความรู้ภายใต้ความตกลงปี 1995 ของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ช่วยลดความเสี่ยงจากโครงการพัฒนาและสร้างระบบเตือนภัย–ข้อมูลร่วมทั้งลุ่มน้ำ
  • BDS 2021–2030: ยุทธศาสตร์ 10 ปีฉบับแรกของลุ่มน้ำโขง วางทิศทาง “ลงมือจริง” ในประเด็นคุณภาพน้ำ ระบบข้อมูล และการมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกำลังป้อนเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ 2026–2030 ผ่านเวทีรับฟังหลายระดับรวมถึงเวทีเชียงรายครั้งนี้
  • โครงสร้างไทย: สทนช. เชื่อมเสียงพื้นที่เข้าสู่ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และโต๊ะ MRC ควบคู่ขับเคลื่อนแผนในประเทศ—ตั้งแต่เตือนภัยเฉพาะพื้นที่ถึงฟื้นฟูคุณภาพน้ำ—ให้สอดรับกับฤดูกาลและวิถีชุมชนลุ่มน้ำกก–โขง

สรุปสำหรับผู้อ่านเชิงลึก

  • ประเด็นหลัก: เวที MRC–CSO Roundtable เชียงราย สร้าง “ทางร่วม” ระหว่างชุมชน–รัฐ–นักวิชาการ–เอกชน สำหรับแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกที่โยงสู่โขง โดยเน้นข้อมูล–เตือนภัย–และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
  • ความเร่งด่วน: ข้อมูลสารหนูปนเปื้อน 11 จุด กับค่าสูงสุดราว 0.2 มก./ลิตร เทียบมาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ลิตร ทำให้การตัดสินใจเชิงพื้นที่–เชิงเวลา และการสื่อสารความเสี่ยงแบบเข้าใจง่าย “จำเป็นทันที”
  • โอกาสเชิงโครงสร้าง: การยกร่างยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำฉบับใหม่ของ MRC 2026–2030 เปิดหน้าต่างให้เสียงชุมชนจากเชียงราย ถูกฝัง ลงในนโยบายภูมิภาคที่มีผลจริง
  • ทางเดินต่อไป: ตั้งทีมทำงานทดลอง แดชบอร์ดข้อมูล–เตือนภัย–อาสาน้ำชุมชน และเชื่อมทวิ–พหุภาคีผ่าน สทนช.–MRC เพื่อคลี่คลายปัญหาเชิงระบบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ข้อมูลจากภาคประชาสังคมและหน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าร่วมการประชุม

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐาน 15 จุด แม่น้ำกก-สาย-โขง ชาวประมงหวั่นผลกระทบ

กรมควบคุมมลพิษเผยสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง 15 จุด เสี่ยงกระทบสุขภาพ-เศรษฐกิจ ชาวประมงเดือดร้อน จี้รัฐเร่งมาตรการจัดการ”

เชียงราย, 10 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งที่ 4 (26-30 พฤษภาคม 2568) พบสารหนู (Arsenic: As) เกินค่ามาตรฐาน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ในทุกจุดตรวจวัด 15 จุดทั่วทั้ง 3 ลำน้ำ รวมถึง 3 จุดในแม่น้ำสาย และ 2 จุดในแม่น้ำโขง โดยจุดที่มีค่าสูงสุด ได้แก่ บ้านป่าซางงาม อ.แม่สาย (0.038 มก./ล.) และบ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง (0.023 มก./ล.) ข้อมูลชี้ชัดต้นตอหลักมาจากกิจกรรมเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน เมียนมา ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า ส่งผลให้คุณภาพน้ำบริเวณชายแดนไทย-พม่ามีความขุ่นสูงผิดปกติและปริมาณสารหนูพุ่งสูงกว่ามาตรฐาน

ผลกระทบขยายวงกว้าง—เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจชุมชน

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ สมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform) ระบุว่า การปนเปื้อนสารหนูแพร่กระจายจากต้นน้ำสู่กลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีการเปิดฝายเชียงราย ทำให้ตะกอนที่มีสารหนูถูกปล่อยลงแม่น้ำมากขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร ผู้ใช้น้ำบาดาลใกล้แม่น้ำ และประชาชนที่ใช้น้ำเพื่อการบริโภค สมพรเสนอให้รัฐและประปาท้องถิ่นเร่งแจกชุดตรวจน้ำเบื้องต้น (test kit) ให้ชุมชน พร้อมทั้งคัดกรองจุดเสี่ยงและรายงานผลอย่างโปร่งใส

ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิเคราะห์ว่า การสะสมของสารหนูในแม่น้ำกก สาย และโขง มีความเสี่ยงสูงต่อการเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ผ่านการใช้น้ำและการบริโภคสัตว์น้ำ เช่น ปลา กุ้ง หอย ซึ่งอาจนำไปสู่การสะสมในห่วงโซ่อาหารและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ปลาป่วย-ชาวประมงเดือดร้อนหนัก—ขาดความเชื่อมั่น กระทบรายได้

สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต รายงานผ่านเฟซบุ๊กและสำรวจพื้นที่ พบจำนวนปลาที่ติดเชื้อและมีอาการผิดปกติในแม่น้ำกกและโขงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลากดและปลาแข้ที่มีตุ่มรุนแรง คาดว่าเป็นผลโดยตรงจากสารพิษที่ไหลมาจากเหมืองในเมียนมา แม้ผลตรวจสอบโลหะหนักในตัวปลาล่าสุดจากกรมประมง (เม.ย.-พ.ค. 2568) จะยังไม่เกินมาตรฐาน แต่ปัญหาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้ปลาจากแม่น้ำเหล่านี้ขายไม่ออก ชาวประมงประสบวิกฤติรายได้ลดลงอย่างรุนแรง

บุญสุข สุวรรณดี ชาวประมงบ้านสบคำ อ.เชียงแสน เปิดเผยว่า “ไม่มีใครซื้อปลาเลย แม่ค้าปิดโทรศัพท์หนี อยากให้รัฐช่วยเหลือ อาจนำปลามาปล่อยในแหล่งน้ำสำรองให้ชาวบ้านมีอาหาร” ขณะที่สมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างปลาเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์และใช้ผลผลักดันรัฐในการเจรจาปิดเหมืองต้นตอปัญหา

แรงกดดันจากภาคประชาชน—รัฐต้องตอบสนองอย่างโปร่งใสและยั่งยืน

ภาคประชาชนในเชียงรายและเชียงใหม่ออกมาเรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการเร่งด่วน 1) แจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยง 2) แจกชุดตรวจน้ำและสนับสนุนระบบบำบัดน้ำ 3) ตรวจสอบและเจรจาปิดเหมืองในเมียนมา 4) ฟื้นฟูแหล่งน้ำและดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
กรมควบคุมมลพิษแจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจน้ำครั้งที่ 5 (9-13 มิ.ย. 2568) โดยจะรายงานผลให้สาธารณชนรับทราบต่อไป พร้อมทั้งมีแผนติดตามคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ

การพบสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขงในระดับที่เกินมาตรฐานติดต่อกันหลายครั้งสะท้อนถึงความจำเป็นที่รัฐต้องเร่งปฏิบัติการทั้งในเชิงนโยบายและมาตรการระยะเร่งด่วน เช่น การประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนสาธารณชน การแจก test kit ระบบบำบัดน้ำเฉพาะพื้นที่ และการเจรจาระหว่างประเทศกับเมียนมาเพื่อตัดวงจรปัญหา
ขณะเดียวกัน การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำโดยชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับทุกฝ่าย

สรุป

ปัญหามลพิษสารหนูในลุ่มน้ำกก สาย และโขง ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อมเฉพาะจุดแต่เชื่อมโยงถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว รัฐและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
  • สำนักข่าวชายขอบ
  • สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน (CHIA Platform)
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่น้ำสายเปลี่ยนสี! ส้มคล้ายชาเย็น ผวาปนเปื้อนเหมืองแร่ ไร้ฝนตก

แม่น้ำสีชาเย็น” กลางชายแดนไทย-เมียนมา สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ หรือเงามืดจากเหมืองแร่?

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – ความเปลี่ยนแปลงทางสีของแม่น้ำสายที่ปรากฏขึ้นราวกับฉากหนึ่งในสารคดีสิ่งแวดล้อม กำลังกลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ทั้งไทยและเมียนมาต้องร่วมกันหาคำตอบให้ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความขุ่นมัวไม่ได้สะท้อนแค่สีของแม่น้ำเท่านั้น แต่ยังหมายถึงความคลุมเครือของแหล่งต้นตอและความโปร่งใสของนโยบายด้านเหมืองแร่ในพื้นที่เหนือแม่น้ำชายแดน

ภาพถ่ายที่ได้รับการแชร์อย่างกว้างขวางในวันที่ 6 มิถุนายน เผยให้เห็นแม่น้ำสายซึ่งไหลผ่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีลักษณะ “สีส้มเข้มคล้ายชาเย็น” แตกต่างจากสภาพน้ำขุ่นตามฤดูกาลที่ประชาชนคุ้นชิน ซึ่งเกิดขึ้นโดยไร้สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ เนื่องจากระบบโทรมาตรอัตโนมัติทั้งในฝั่งไทยและเมียนมาตรวจไม่พบฝนตกหรือปริมาณน้ำหลากในช่วงเวลาดังกล่าว

เมื่อฝนไม่ตก แต่น้ำกลับขุ่นจัด

สถานีตรวจวัดน้ำฝั่งเมียนมา 3 แห่งในจังหวัดท่าขี้เหล็ก และสถานีโทรมาตรของไทยบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 รายงานตรงกันว่า ไม่มีฝนตกในช่วงเวลาเกิดเหตุ โดยมีปริมาณเพียง 16.8 มิลลิเมตร ซึ่งไม่มากพอจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้

ความผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นในลำน้ำที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันกลับสะท้อนถึงผลกระทบจากกิจกรรมมนุษย์ที่อาจรุกล้ำเกินขอบเขต

ภูมิหลังที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนน้ำ

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดดเดี่ยว หากย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2567 แม่น้ำสายและแม่น้ำกกเคยเผชิญเหตุ “น้ำท่วมครั้งใหญ่” ส่งผลให้มีการตรวจพบสารหนูและตะกั่วเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเข้าสู่ปี 2568 การตรวจวัดซ้ำจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ ก็พบสารหนูในทุกแม่น้ำหลักของภาคเหนือในระดับ “เกินมาตรฐาน” ติดต่อกันถึง 4 ครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน

เครือข่ายภาคประชาชนจึงยื่นหนังสือผ่านรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อถึงนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐบาลจีน รัฐบาลเมียนมา และกลุ่มกองกำลังว้า เรียกร้องให้ “ยุติการทำเหมืองแร่เหนือแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย” โดยอ้างอิงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่ระบุว่ามีการเปิดหน้าดินทำเหมืองแร่กว่า 40 จุด ห่างจากลำน้ำบางแห่งเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งมีแนวโน้มเป็นแหล่งเหมืองแร่ทองคำ แมงกานีส และแรร์เอิร์ธ

ประชุมสองชาติ ถกด่วนขุดลอกแม่น้ำ ป้องกันวิกฤตล้ำลึก

วันที่ 5 มิถุนายน 2568 การประชุมหารือระหว่างคณะทำงานไทย-เมียนมา ณ โรงแรมวันจีวัน เมืองท่าขี้เหล็ก ได้รับมอบหมายจากนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายประสงค์ หล้าอ่อน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยร่วมเจรจา โดยมีผู้แทนฝ่ายเมียนมานำโดย นายตันส่วยวิน เลขาธิการสำนักงานใหญ่รัฐฉาน

การประชุมมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. แผนขุดลอกแม่น้ำสาย – เมียนมาจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 7 มิ.ย. ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 40 วัน
  2. รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน – ฝ่ายเมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จาก 33 จุด ฝ่ายไทยรื้อถอน 13 จาก 45 จุด ที่เหลือจะมีการตรวจสอบร่วมกันภาคสนาม
  3. การใช้น้ำร่วมกัน – มีการยืนยันไม่ให้มีการปิดกั้นแหล่งน้ำ และต้องไม่กระทบการอุปโภคบริโภคของทั้งสองฝั่ง
  4. การทิ้งขยะในแม่น้ำ – ฝ่ายเมียนมารับทราบข้อร้องเรียนและรับไปพิจารณา
  5. สารปนเปื้อนในแม่น้ำจากเหมืองแร่ – เป็นประเด็นใหม่ที่ฝ่ายไทยเสนอ ฝ่ายเมียนมายอมรับจะหารือกับผู้มีอำนาจต่อไป

สายน้ำไม่เคยโกหก แต่เราต่างหากที่ไม่ฟัง

แม่น้ำสายกลายเป็นเวทีแสดงภาพสะท้อนของความเปราะบางระหว่างสิ่งแวดล้อมกับผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสีแม่น้ำที่เกิดขึ้นแม้เพียงชั่วคราวอาจเป็น “เสียงเตือนสุดท้าย” จากธรรมชาติ ก่อนที่ปัญหามลพิษจะกลายเป็นวิกฤตถาวรในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

หากไม่มีการกำกับดูแลที่จริงจังในกิจกรรมเหมืองแร่ทั้งฝั่งเมียนมาและความร่วมมือจากภาครัฐไทยในการตรวจสอบ ติดตาม และแจ้งเตือนต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่แม่น้ำเปลี่ยนสี แต่คือ “ความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ” และ “สุขภาพของประชาชน” ที่อาจไม่อาจเรียกคืนได้อีก

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

  • เร่งขยายระบบตรวจวัดแบบเรียลไทม์ ให้ครอบคลุมทั้งแม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำรวก
  • จัดทำฐานข้อมูลดาวเทียมสาธารณะ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงได้
  • ดำเนินการด้านการทูตน้ำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างกลไกความร่วมมือระดับลุ่มน้ำกับประเทศเพื่อนบ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ)
  • รายงานการประชุมคณะทำงานไทย-เมียนมา วันที่ 5 มิถุนายน 2568
  • ระบบโทรมาตรอัตโนมัติ กรมทรัพยากรน้ำ
  • รายงานการติดตามคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐเร่งแก้สารปนเปื้อนแม่น้ำกก เน้นความปลอดภัยชาวเชียงราย

เชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำผิวดิน รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า-เตรียมหารือรัฐบาลเมียนมา หลังพบสารปนเปื้อนแม่น้ำกก

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญ เมื่อปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกที่ไหลผ่านจังหวัดเชียงรายมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จนรัฐบาลต้องตั้ง “ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า” เพื่อรับมือและปกป้องสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ครั้งที่ 1/2568 จัดขึ้นที่ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการฯ

ไต่ระดับปัญหา แม่น้ำกกกับสารปนเปื้อนปริศนา

จากรายงานของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบว่ามีค่าการปนเปื้อนของสารบางชนิดในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ที่ผิดปกติจากมาตรฐานในหลายจุด แม้ยังไม่สามารถชี้ชัดแหล่งที่มาโดยตรงได้ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเหมืองแร่ทองคำบริเวณฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ” และย้ำว่ารัฐบาลกำลังเดินหน้าในการประสานความร่วมมือระดับนโยบายกับรัฐบาลเมียนมา เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนในการจัดการต้นตอของมลพิษ

สั่งตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า รับมือภาวะฉุกเฉิน

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการสั่งการตั้ง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า” โดยมอบหมายให้นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ เป็นประธาน เพื่อประสานงานระหว่างจังหวัดกับส่วนกลางอย่างใกล้ชิด ข้อมูลจะถูกสื่อสารถึงประชาชนอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว รวมถึงดำเนินการติดตามสารปนเปื้อนในน้ำ พืชผัก สัตว์น้ำ ดิน และสุขภาพประชาชนอย่างเข้มข้น

กรมควบคุมมลพิษและกรมอนามัยได้ร่วมกันนำ ชุดตรวจ Rappit Test มาใช้ตรวจวัดสารปนเปื้อนเบื้องต้น รู้ผลภายใน 20 นาที ขณะที่ตัวอย่างน้ำจะถูกส่งต่อไปยังห้องแล็บในส่วนกลางเนื่องจากเชียงรายและเชียงใหม่ยังไม่มีห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สารเฉพาะทางในระดับลึก

ยืนยันน้ำประปาสะอาด ปลาป่วยเกิดจากแบคทีเรีย

อีกประเด็นที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจคือความปลอดภัยของน้ำประปาและปลาที่บริโภคได้หรือไม่ ในเรื่องนี้ นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค เปิดเผยขั้นตอนการผลิตน้ำประปาของสถานีวังคำ ซึ่งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบตลอดกระบวนการ รวมถึงใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโดยไม่กระทบสุขภาพ และส่งน้ำเข้าสู่หอถังสูงอย่างปลอดภัย

ส่วนปลาที่พบการเจ็บป่วยนั้น จากผลตรวจของกรมประมงและกรมอนามัย พบว่าเกิดจาก พยาธิใบไม้และแบคทีเรีย ไม่พบสารหนูในเนื้อปลาตามที่เป็นข่าวในช่วงก่อนหน้านี้ รัฐบาลจึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และติดตามข้อมูลจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด

ลงพื้นที่จริง สร้างความมั่นใจให้ประชาชน

หลังจบการประชุม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม สถานีผลิตน้ำวังคำ และห้องแลปการประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อตรวจสอบกระบวนการผลิตน้ำประปา และขั้นตอนการทดสอบคุณภาพน้ำด้วยตนเอง

คณะได้ร่วมกันดื่มน้ำประปาเพื่อแสดงความมั่นใจในคุณภาพน้ำที่จ่ายให้ประชาชน พร้อมลงพื้นที่ต่อที่ ฝายเชียงราย ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการดักตะกอนและกรองมลพิษจากต้นน้ำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์จากสถานการณ์ครั้งนี้

ผลกระทบเชิงบวก

  • รัฐบาลมีการตอบสนองที่รวดเร็ว สร้างความมั่นใจให้ประชาชน
  • เกิดความร่วมมือระหว่างกระทรวงและหน่วยงานท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อมูลถูกสื่อสารต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

ผลกระทบเชิงลบ

  • คุณภาพน้ำแม่น้ำกกที่เสื่อมโทรมอาจกระทบการเกษตรและประมงในระยะยาว
  • การไม่มีห้องแล็บวิเคราะห์สารในภาคเหนือ ทำให้ต้องรอผลจากส่วนกลาง ซึ่งอาจล่าช้า
  • ความไม่มั่นใจของประชาชนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมอาจกระทบการท่องเที่ยวในอนาคต

แผนระยะสั้น-ยาวในการฟื้นฟูและป้องกัน

รัฐบาลได้มีแนวทางดำเนินการใน 2 ระยะ คือ

  • ระยะสั้น: จัดตั้งหลุมดักตะกอนในแม่น้ำเพื่อดักจับสารปนเปื้อนเบื้องต้น พร้อมกำหนดจุดตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยง
  • ระยะยาว: ออกแบบและก่อสร้างฝายดักตะกอนแบบถาวร โดยมี “แก้มลิง” สำรองน้ำ พร้อมทั้งศึกษาการจัดหาน้ำดิบสำรองเพื่อความมั่นคงด้านน้ำในอนาคต

ขณะนี้ กรมทรัพยากรน้ำ ได้เริ่มดำเนินการออกแบบโครงสร้างฝายดักตะกอนและระบบแก้มลิงแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการออกแบบและเปิดประมูลก่อสร้าง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากการเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2568 รวม 6 ครั้ง พบว่า สารปนเปื้อนลดลงหลังผ่านฝายเชียงรายในอัตราเฉลี่ย 17.6%
  • จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ (พ.ค. 2568) สารที่พบในน้ำได้แก่ โลหะหนักบางชนิด เช่น สังกะสี (Zn), ทองแดง (Cu) แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเฉลี่ยไม่เกิน 0.5 มก./ลิตร
  • ประชาชนในเขตการใช้น้ำประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย มีมากกว่า 65,000 คน ซึ่งอาศัยน้ำจากแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลัก
  • การประปาส่วนภูมิภาคระบุว่า มีการเก็บตัวอย่างน้ำตรวจวิเคราะห์ ทุก 2 วัน และรายงานผลรายสัปดาห์เข้าส่วนกลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • กระทรวงมหาดไทย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ สั่งด่วน แก้ปัญหา สารพิษแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมา

นายกฯ สั่งด่วนแก้วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สางปัญหาสารปนเปื้อนข้ามแดน ร่วมมือทุกภาคส่วนปกป้องลุ่มน้ำ

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จากสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกกที่ทวีความรุนแรงจากการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และลดผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชน การสั่งการครั้งนี้เน้นย้ำถึงการจัดการต้นตอของปัญหา ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พร้อมผลักดันการเจรจาข้ามแดนเพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำกก การดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนอย่างยั่งยืน

แม่น้ำกกในภาวะวิกฤต

แม่น้ำกกเป็นมากกว่าแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มันคือสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยวของชุมชนในพื้นที่ ตั้งแต่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเชียงแสน แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่พึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิตมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเพาะปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปจนถึงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนค่ายช้างและสถานที่ท่องเที่ยวริมน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกเริ่มส่งสัญญาณแห่งความผิดปกติ ชาวบ้านในตำบลท่าตอนสังเกตว่าน้ำในแม่น้ำขุ่นข้นผิดปกติ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งพัดพาโคลนและตะกอนจำนวนมากลงสู่ท้ายน้ำ เด็กที่ลงเล่นน้ำเริ่มมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลเกษตรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำเริ่มมีสภาพผิดปกติ ความกังวลของชุมชนทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำในช่วงต้นปี 2568 ระบุว่ามีสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560–2568 เผยให้เห็นการขยายตัวของการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะในช่วงปี 2567–2568 พบการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความขุ่น (turbidity) ในแม่น้ำกก การค้นพบนี้ชี้ชัดว่าต้นตอของมลพิษมาจากการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ในเขตเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) และมีบริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อชุมชนในฝั่งไทย แต่ยังส่งผลถึงชุมชนในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะหมู่บ้านเปียงคำที่ชาวบ้านรายงานว่าปลาตายและน้ำไม่สามารถใช้ได้ ชาวบ้านบางส่วนที่สัมผัสน้ำปนเปื้อนมีอาการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำกกกลายเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

คำสั่งนายกฯ และการเคลื่อนไหวของภาครัฐ

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นสี่ด้านหลัก ได้แก่ การจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการบริหารจัดการเชิงนโยบาย

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการต่อไปยัง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เพื่อติดตามและจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมืองที่ปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

การดำเนินการของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำระหว่างประเทศ ลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน ในการประชุมครั้งนี้ GISTDA ได้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยืนยันการขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 กรมควบคุมมลพิษได้จัดการประชุมร่วมกับกรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการเจรจาข้ามแดน โดยกรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการประมวลผลข้อมูลในสามด้าน ได้แก่ การบ่งชี้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเมียนมาในการทำเหมืองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมเอเชียตะวันออกเพื่อใช้ในการเจรจากับเมียนมา

ในด้านการแก้ไขมลพิษในแหล่งน้ำ หน่วยทหารช่างมีแผนขุดลอกแม่น้ำกกเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บริเวณหมู่บ้านธนารักษ์-สะพานย่องลี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลดการสะสมของตะกอน กรมควบคุมมลพิษกำลังศึกษาวิธีการจัดการตะกอน เช่น การปรับสภาพน้ำ ระบบตักตะกอน และการเบี่ยงกระแสน้ำ ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาคได้จัดเตรียมแผนบริหารจัดการน้ำในกรณีที่แหล่งน้ำผิวดินปนเปื้อนในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค

ด้านการเฝ้าระวัง กรมควบคุมมลพิษจะเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขาเป็น 2 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2568 กรมประมงได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในสัตว์น้ำ 3 ครั้ง ในวันที่ 11 เมษายน 28 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 2568 โดยผลการตรวจไม่พบแคดเมียมและตะกั่วเกินมาตรฐาน ส่วนกรณีปลาที่มีตุ่มแดงเกิดจากปรสิต กรมอนามัยได้ตรวจคุณภาพน้ำประปาและปัสสาวะของประชาชนในเดือนเมษายน 2568 พบว่าน้ำประปาไม่มีสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน และผลตรวจปัสสาวะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ด้านการบริหารจัดการ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานและผลักดันนโยบายอย่างเป็นระบบ

แผนปฏิบัติการข้ามแดนและความหวังในการฟื้นฟู

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีได้จุดประกายความหวังในการแก้ไขวิกฤตแม่น้ำกก โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการเจรจากับเมียนมาในระดับทวิภาคี ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 17–20 มิถุนายน 2568 กรมกิจการชายแดนทหารจะหยิบยกประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นวาระสำคัญ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเอเชียตะวันออก ได้ส่งหนังสือผ่านสถานทูตไทยในเมียนมาและเชิญผู้แทนสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหา

การดำเนินการในระดับท้องถิ่นก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หน่วยงานในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และผลิตผลเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การขุดลอกแม่น้ำและการจัดหาน้ำสะอาดเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนในระยะสั้น ขณะที่การใช้ข้อมูลจากดาวเทียมของ GISTDA ช่วยให้หน่วยงานสามารถระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับเมียนมาและกองทัพสหรัฐว้า

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิจารณ์ว่าการสั่งการของนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานตามกลไกปกติของหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความซับซ้อนของปัญหา เขาเสนอให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ และเชิญผู้แทนจากเมียนมาและจีนที่ประจำอยู่ในประเทศไทยมาร่วมหารือ “วิกฤตนี้เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน การจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจและการเจรจาจะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร.สืบสกุลกล่าว

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยืนยันถึงความรุนแรงของปัญหา โดยพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน รัฐฉาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางปี 2566 มีลักษณะเป็นบ่อวงกลมคลุมด้วยผ้าใบสีดำ ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร การทำเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีที่เป็นพิษสูง ส่งผลให้ระบบนิเวศในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเสียหายอย่างหนัก สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยังรายงานการพบปลาติดเชื้อใน 6 จุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้สร้างแรงผลักดันสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่โดดเด่น ได้แก่

  1. การบูรณาการหน่วยงาน: การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะอนุกรรมการช่วยให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การประชุมเมื่อวันที่ 13 และ 15 พฤษภาคม 2568 แสดงถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนปฏิบัติการ
  2. การใช้เทคโนโลยี: การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ช่วยระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาข้ามแดน
  3. การเจรจาระดับนานาชาติ: การบรรจุประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกเป็นวาระในการประชุม RBC และการดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาข้ามแดน
  4. การบรรเทาผลกระทบในพื้นที่: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดหาน้ำสะอาด และการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองทัพสหรัฐว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในเมียนมาและอิทธิพลของบริษัทจีนในพื้นที่
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดการตะกอน และการตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. การมีส่วนร่วมของประชาชน: แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่การสื่อสารกับประชาชนยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่มั่นใจในบางชุมชน

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้

  • จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในและต่างประเทศ และเร่งรัดการเจรจากับเมียนมาและจีน
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ: ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน และลดความตื่นตระหนก
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: สนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และพัฒนานวัตกรรมในการจัดการตะกอน
  • ยกระดับสู่เวทีนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือ UNEP เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  2. การขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน:
    • การเปิดหน้าดินในรัฐฉานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2567–2568 โดยเฉพาะในเมืองยอนและเมืองสาด
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง 2560–2568.
  3. การผลิตแรร์เอิร์ธในเมียนมา:
    • ปี 2566: เมียนมาผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตัน มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การผลิตเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงปี 2564–2566
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.
  4. การพบปลาติดเชื้อ:
    • พบปลาติดเชื้อในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง 6 จุด ตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต. (2568). รายงานการพบปลาติดเชื้อในลุ่มน้ำกกและโขง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
  • กรมเอเชียตะวันออก
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
  • กรมประมง
  • กรมอนามัย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ปกป้องลุ่มน้ำ ชาวเหนือฮึดสู้เหมืองเถื่อนข้ามแดน

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: เชียงราย-เชียงใหม่รวมพลังปกป้องลุ่มน้ำ เรียกร้องปิดเหมืองเถื่อนข้ามแดน

เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งสำคัญในหัวข้อ “ปกป้องแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย/ปิดเหมืองต้นน้ำ-ฟื้นฟูลุ่มน้ำ” ได้จุดประกายความหวังและความตื่นตัวในหมู่ประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อต่อสู้กับวิกฤตมลพิษจากสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย อันเป็นผลจากการทำเหมืองแร่เถื่อนบริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70 คน จากหลากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงพระภิกษุ นักธุรกิจ ศิลปิน นักการเมืองท้องถิ่น และตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคม พร้อมตั้งเป้าจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยหวังระดมพลถึง 10,000 คน เพื่อส่งเสียงถึงรัฐบาลไทย เมียนมา และจีน ให้ยุติการทำเหมืองที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและชุมชน

แม่น้ำแห่งชีวิตที่กำลังป่วยหนัก

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มานานนับศตวรรษ แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ผ่านจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ส่วนแม่น้ำสายเป็นลำน้ำสำคัญที่ไหลจากชายแดนไทย-เมียนมา มารวมกับแม่น้ำรวกและลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำทั้งสองสายนี้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สาย เชียงแสน และเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภาคเหนือ

ทว่าในปี 2567 ภัยพิบัติจากอุทกภัยครั้งใหญ่ได้เผยให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ในลำน้ำเหล่านี้ การพังทลายของดินจากเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจากจีน ได้นำพาตะกอนโคลนและสารพิษ เช่น สารหนูและตะกั่ว ลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง ชาวบ้านในพื้นที่ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยพบว่าน้ำขุ่นข้นผิดปกติและมีกลิ่นแปลกๆ เด็กที่ลงเล่นน้ำมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลทางการเกษตรเริ่มได้รับผลกระทบจากการรดน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ

รายงานจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 ความละเอียดสูง (0.5 เมตร) ในการวิเคราะห์ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอยในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ระบุว่าแม่น้ำรวกมีความหนาแน่นของตะกอนอยู่ที่ 40–60 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งมีความหนาแน่นลดลงเหลือ 20–40 mg/L การวิเคราะห์นี้ใช้ดัชนี Normalized Difference Suspended Sediment Index (NDSSI) และสมการ Total Suspended Solids (TSS) เพื่อประเมินความรุนแรงของมลพิษ ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องลุ่มน้ำ

การรวมพลังของชุมชนเพื่อปกป้องแม่น้ำ

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงรายได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูลุ่มน้ำกกและสาย นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่ากังวล โดยระบุว่าการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจีน โดยไม่มีการควบคุมหรือคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำ ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นการขุดเหมืองขนาดใหญ่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดถึงขั้นทำเหมืองกลางแม่น้ำสาย

“นี่เป็นเพียงผลกระทบในช่วงปีแรกๆ หากเหมืองเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปอีกหลายปี ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในฤดูฝนที่น้ำจะพัดพาตะกอนและสารพิษลงสู่ท้ายน้ำมากขึ้น” นางสาวเพียรพรกล่าว พร้อมชี้ว่าการตรวจสอบน้ำในแม่น้ำกกพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ซึ่งเป็นผลจากการเดินขบวนเรียกร้องของชาวบ้านท่าตอนเมื่อวันที่ 14 มีนาคม

ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้มีการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เพื่อแสดงพลังของประชาชน โดยตั้งเป้าระดมผู้เข้าร่วม 10,000 คน ซึ่งเทียบเท่า 1% ของประชากรจังหวัดเชียงราย การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะรวมถึงการยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีน ซึ่งเป็นผู้รับซื้อแรร์เอิร์ธจากเหมืองเถื่อน รวมถึงการเชิญตัวแทนกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเข้าร่วมหารือ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้จัดพิธีสืบชะตาแม่น้ำกก เพื่อรณรงค์ในเชิงสัญลักษณ์ และผูกริบบิ้นติดรถยนต์เพื่อกระตุ้นให้ชาวเชียงรายแสดงออกถึงความห่วงใยต่อแม่น้ำ

พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปรียบแม่น้ำกกว่าประดุจมารดาที่กำลังป่วยหนักอยู่ในห้องไอซียู โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันรักษา “แม่น้ำกกคือความมั่นคงของชุมชนและชาติ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง และประชาชนต้องส่งเสียงให้ดังถึงระดับนานาชาติ” พระมหานิคมกล่าว พร้อมเสนอให้ออกแถลงการณ์ร่วมและยกระดับเรื่องนี้ไปสู่เวทีอาเซียนและสหประชาชาติ

นายซอแลต นักวิจัยชาวคะฉิ่น เปิดเผยถึงความรุนแรงของการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อแม่น้ำอิรวดีมาแล้ว โดยระบุว่าสารเคมีจากเหมืองทำให้ปลาและสัตว์ตาย ชาวบ้านไม่สามารถหาปลาหรือทำเกษตรได้ “ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ของไทย แต่กระทบถึงลาว เวียดนาม และกัมพูชา การแก้ไขต้องยกระดับเป็นประเด็นการเมืองระดับภูมิภาค” นายซอแลตกล่าว

แผนปฏิบัติการและความหวังในการฟื้นฟู

การประชุมครั้งนี้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 โดยจะมีการจัดงานทั้งในตัวเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน และอำเภอแม่สาย รวมถึงการใช้สวนตุงเป็นสถานที่หลักในตัวเมือง เพื่อดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าในวันที่ 24 มิถุนายน เพื่อกระจายข้อมูลและเชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วม

ดร.สืบสกุลเสนอให้สามมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเชียงราย ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพื่อให้มีห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำ ตะกอน ดิน และพืชผลเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง “การตรวจสอบในปัจจุบันล่าช้าเกินไป เกษตรกรและชาวประมงต้องรอผลจากหน่วยงานในเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ การมีศูนย์ในเชียงรายจะช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลที่ทันท่วงที” ดร.สืบสกุลกล่าว

รายงานจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่ ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินในวันที่ 1–2 พฤษภาคม 2568 พบว่า:

  • แม่น้ำกก บริเวณจุดก่อนไหลลงแม่น้ำโขง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน มีสารหนู 0.031 mg/L และบริเวณสบกก ตำบลบ้านแซว มีสารหนู 0.036 mg/L (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
  • แม่น้ำสาย บริเวณบ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย มีตะกั่ว 0.058 mg/L และสารหนู 0.44 mg/L บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 มีตะกั่ว 0.063 mg/L และสารหนู 0.45 mg/L และบริเวณบ้านป่าซางงาม มีตะกั่ว 0.066 mg/L และสารหนู 0.49 mg/L (ค่ามาตรฐานตะกั่วไม่เกิน 0.05 mg/L)

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉานและสำนักข่าวชายขอบ ระบุว่าการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธในรัฐฉานยังคงขยายตัว โดยมีโรงงานขุดทอง 3 จุด และเรือขุดทอง 2 ลำที่ใช้งานอยู่ในแม่น้ำกก ชาวบ้านในพื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน รายงานว่าน้ำขุ่นข้นและมีสารพิษ ทำให้เด็กมีอาการแพ้และปลาตายเป็นจำนวนมาก

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

การประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จในการสร้างความตื่นตัวและวางแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การรวมพลังของชุมชน: การมีส่วนร่วมของกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่พระภิกษุ ผู้นำท้องถิ่น ไปจนถึงนักวิชาการ แสดงถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายประชาชน การตั้งเป้าระดม 10,000 คนในวันที่ 5 มิถุนายน เป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่มีความเป็นไปได้ หากมีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง
  2. การใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์: การนำภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 และผลตรวจคุณภาพน้ำมาใช้ในการรณรงค์ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเน้นย้ำถึงความรุนแรงของปัญหา
  3. การยกระดับสู่ระดับนานาชาติ: ข้อเสนอให้ยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีนและหารือกับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมา แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาข้ามแดน

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:

  1. ความล่าช้าของภาครัฐ: แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา แต่กลไกที่ใช้ยังเป็นแบบราชการทั่วไป ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและความรวดเร็วในการดำเนินการ
  2. ข้อจำกัดด้านการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในเมียนมา และอิทธิพลของบริษัทจีนในภูมิภาค
  3. ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน: การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือภาคเอกชน
  4. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขปัญหาต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการดังต่อไปนี้:

  • เสริมสร้างการประชาสัมพันธ์: ใช้สื่อสังคมออนไลน์และสื่อท้องถิ่นเพื่อกระจายข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมวันที่ 5 มิถุนายน และผลกระทบของมลพิษ
  • สร้างพันธมิตรระดับนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP หรือ MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายเพื่อจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และสนับสนุนการวิจัยระยะยาว
  • เพิ่มการมีส่วนร่วมของเยาวชน: จัดกิจกรรมสำหรับนักเรียนและนักศึกษา เช่น การแข่งขันด้านสิ่งแวดล้อม หรือแคมเปญออนไลน์ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมเคลื่อนไหว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอย:
    • แม่น้ำรวก: 40–60 mg/L
    • แม่น้ำโขง (บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ): 20–40 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2.
  2. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำสาย (บ้านหัวฝาย อำเภอแม่สาย): ตะกั่ว 0.058 mg/L, สารหนู 0.44 mg/L
    • แม่น้ำสาย (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2): ตะกั่ว 0.063 mg/L, สารหนู 0.45 mg/L
    • แม่น้ำสาย (บ้านป่าซางงาม): ตะกั่ว 0.066 mg/L, สารหนู 0.49 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  3. การทำเหมืองในรัฐฉาน:
    • โรงงานขุดทอง: 3 จุด (เมืองกก, เมืองสาด, บ้านฮุ่ง)
    • เรือขุดทองในแม่น้ำกก: 2 ลำ (ใช้งานได้จากทั้งหมด 3 ลำ)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักข่าวชายขอบ. (14 พฤษภาคม 2568). รายงานสถานการณ์การทำเหมืองทองในรัฐฉาน.
  4. ผลกระทบต่อชุมชน:
    • เด็กที่มีอาการผื่นคันจากการสัมผัสน้ำในแม่น้ำกก: 3 ราย (พื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน)
    • การลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยวในอำเภอแม่ยาว: 80%
    • แหล่งอ้างอิง: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน. (2568). รายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านผวาปลาแม่น้ำโขง หลังพบโลหะหนัก กปภ. เร่งตรวจน้ำดิบ

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำโขง หลังพบสารหนูปนเปื้อน ชาวบ้านหวั่นผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวชายขอบรายงานว่า แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำนานาชาติและเส้นเลือดหลักของชุมชนในจังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับวิกฤตการปนเปื้อนสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่ตรวจพบในระดับเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย-เชียงแสน ประกาศแผนเร่งด่วนในการตรวจสอบน้ำดิบจากแม่น้ำโขงที่ใช้ผลิตน้ำประปาในอำเภอเชียงแสนและเชียงของ หลังทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงพบสารหนูในระดับสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แสดงความกังวลอย่างหนัก โดยหลายคนไม่กล้าบริโภคปลาและกังวลต่อผลกระทบต่อการเกษตรจากตะกอนดินโคลนที่อาจปนเปื้อน

สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความตื่นตระหนกในชุมชนท้องถิ่น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่อาจส่งผลกระทบต่อหลายประเทศในลุ่มน้ำโขง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติกำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบและวางมาตรการแก้ไข เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศในแม่น้ำโขง

ความผิดปกติของแหล่งน้ำในลุ่มน้ำโขง

แม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมสำหรับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในจังหวัดเชียงราย แม่น้ำโขงได้รับน้ำจากแม่น้ำสาขาหลายสาย เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก ซึ่งไหลมาจากรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พื้นที่เหล่านี้เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งทำเหมืองแร่ที่มีกิจกรรมต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ ซึ่งอาจเป็นต้นตอของการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแหล่งน้ำ

ตั้งแต่ต้นปี 2567 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง น้ำในแม่น้ำสายมีลักษณะขุ่นขาวและมันวาวเมื่อกระทบแสงแดด แม้ในช่วงหน้าแล้งที่น้ำควรใสกว่าปกติ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายรายงานว่าระบบผลิตน้ำประปาไม่สามารถกรองน้ำให้ใสได้ตามปกติ โดยน้ำดิบมีความขุ่นสูงถึง 3,000-4,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลากของปี 2567 และสูงถึง 7,000 NTU ในบางช่วงของปี 2568

เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 จากอิทธิพลของพายุยางิ ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ดินโคลนสีผิดปกติถล่มลงมาท่วมพื้นที่อำเภอแม่สายและท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา การตรวจสอบตะกอนดินโดยกรมทรัพยากรธรณีพบสารหนูในระดับที่น่ากังวล สร้างความตื่นตัวให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เพื่อหาคำตอบว่าสารปนเปื้อนเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปถึงแม่น้ำโขงหรือไม่

การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขงและผลกระทบ

เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ทีมวิจัยจากสถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำโดยอาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง รวม 9 จุด ตั้งแต่บริเวณหัวฝาย อำเภอแม่สาย ไปจนถึงเทศบาลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน ผลการตรวจเบื้องต้นโดยใช้ชุดตรวจ Intelligent Heavy Metal Quantification Kit (IQUAN) ซึ่งพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ในทุกจุด โดยจุดที่น่ากังวลที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ซึ่งพบสารหนูสูงถึง 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือเกินมาตรฐาน 19 เท่า

ผลการตรวจในจุดต่างๆ มีดังนี้:

  • จุดที่ 1: แม่น้ำสาย บ้านถ้ำผาจม-หัวฝาย อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 3: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 1 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 4: คลองชลประทาน บ้านเหมืองแดง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.18 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 5: แม่น้ำรวก บ้านเวียงหอม ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 6: แม่น้ำสาย สะพานมิตรภาพที่ 2 อ.แม่สาย พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 7: แม่น้ำรวก บ้านสบรวก อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.12 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 8: แม่น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • จุดที่ 9: แม่น้ำโขง เทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน พบสารหนู 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร

การค้นพบสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นครั้งแรกในพื้นที่เชียงราย ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ร้ายแรง เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้ในการประมง การเกษตร และการผลิตน้ำประปาในหลายจังหวัดของประเทศไทย รวมถึงในลาว กัมพูชา และเวียดนาม ชาวบ้านในพื้นที่ เช่น ที่บ้านแก่งทรายมูล อำเภอเชียงแสน รายงานว่าไม่กล้าบริโภคปลาจากแม่น้ำโขง หลังกรมประมงเก็บตัวอย่างปลาเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อนเมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ความกังวลนี้ยิ่งทวีคูณเมื่อชาวบ้านในพื้นที่ริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายพบว่าดินโคลนจากการน้ำท่วมเมื่อปี 2567 ทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่เจริญเติบโต

นายอภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการ กปภ. สาขาแม่สาย-เชียงแสน ระบุว่า ทาง กปภ. มีแผนเก็บตัวอย่างน้ำดิบจากแม่น้ำโขงในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะเน้นตรวจสอบสารโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งจะดำเนินการถี่ขึ้นในช่วงหน้าแล้ง และปรับตามสถานการณ์ในฤดูน้ำหลาก เขายืนยันว่าระบบผลิตน้ำประปามีกระบวนการทางเคมีและการกรองที่สามารถกำจัดสารโลหะหนักได้ แต่การตรวจสอบน้ำดิบเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย

อาจารย์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า “การพบสารหนูในแม่น้ำโขงไม่ใช่แค่ปัญหาของเชียงราย แต่เป็นปัญหาระดับภูมิภาค เพราะแม่น้ำโขงไหลผ่านหลายประเทศ สารหนูที่สะสมในปลาหรือพืชผลทางการเกษตรอาจส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว หากไม่มีการจัดการที่ต้นตอ”

มาตรการแก้ไขและแนวทางในอนาคต

เพื่อรับมือกับวิกฤตการปนเปื้อนในแม่น้ำโขง หน่วยงานต่างๆ ได้เริ่มดำเนินการในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1) เชียงใหม่ จะลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงภายในสัปดาห์นี้ ตามคำสั่งจากรองนายกรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ผลการตรวจจะใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
  2. การประสานงานข้ามพรมแดน: อำเภอแม่สายได้ประสานงานผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เพื่อแจ้งปัญหาการปนเปื้อนน้ำไปยังฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก การเจรจานี้มีเป้าหมายเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของสารหนู
  3. การส่งเสริมการเฝ้าระวังโดยชุมชน: มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาเชียงราย ได้ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังในชุมชนชาติพันธุ์ เช่น ลาหู่และไทใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินและติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย: อาจารย์ ดร.สืบสกุล เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำถาวรในจังหวัดเชียงราย เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ รวมถึงสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีชุดตรวจคุณภาพน้ำราคาประหยัด นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้หยุดกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ

ในระยะยาว การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่ และการจัดตั้งกลไกตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกันระหว่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อปกป้องระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีมิติหลากหลาย ดังนี้:

  • มิติด้านสิ่งแวดล้อม

การพบสารหนูในแม่น้ำโขงบ่งชี้ถึงความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต้นน้ำ สารหนูที่สะสมในดินและสัตว์น้ำอาจเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า การจัดการปัญหานี้ต้องเริ่มจากการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในรัฐฉาน

  • มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งและโรคผิวหนังหากสะสมในร่างกายในระยะยาว ชาวบ้านที่พึ่งพาแม่น้ำโขงในการประมงและการเกษตรมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ การตรวจสอบและแจ้งเตือนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ

  • มิติด้านการเมืองและความร่วมมือระหว่างประเทศ

เนื่องจากแม่น้ำโขงเป็นแหล่งน้ำนานาชาติ ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศไทยเพียงฝ่ายเดียว การเจรจากับเมียนมาและประเทศอื่นๆ ในลุ่มน้ำโขงเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความท้าทายอยู่ที่ความขัดแย้งทางการเมืองในเมียนมา ซึ่งอาจทำให้การควบคุมกิจกรรมเหมืองแร่เป็นไปได้ยาก

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพ และยกระดับปัญหานี้สู่เวทีระหว่างประเทศ การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายและการสนับสนุนชุดตรวจราคาประหยัดจะช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปกป้องแหล่งน้ำของตนเอง

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝ่าย

การตรวจสอบและปรับปรุงระบบน้ำประปาของ กปภ. เป็นมาตรการที่จำเป็น แต่การแก้ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำโขงต้องเน้นที่การจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษ การประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ ชุมชน และนักวิชาการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องแหล่งน้ำและสุขภาพประชาชน

  • หน่วยงานรัฐและการประปา

หน่วยงานรัฐและ กปภ. มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำและการปรับปรุงระบบผลิตน้ำประปาเป็นมาตรการที่เพียงพอในการรับมือกับปัญหาการปนเปื้อน พวกเขายืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตมีความปลอดภัย และการตรวจสอบน้ำดิบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันความเสี่ยง

  • ชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาการ

ชาวบ้านและนักวิชาการกังวลว่าการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำโขงอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อสุขภาพและการเกษตร พวกเขาต้องการให้มีการจัดการที่ต้นตอ โดยเฉพาะการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ และการตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้าถึงได้สำหรับชุมชน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำโขง: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำโขง บริเวณเทศบาลเวียงเชียงแสน อ.เชียงแสน ที่ระดับ 0.14 มิลลิกรัมต่อลิตร และสูงสุดที่สามเหลี่ยมทองคำที่ 0.19 มิลลิกรัมต่อลิตร (เกินมาตรฐาน 19 เท่า)
    ที่มา: สถาบันวิจัยและพยากรณ์ภัยพิบัติธรรมชาติ ภาคเหนือตอนบน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, รายงานการตรวจสอบน้ำ, 2568
  2. ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสาย: ในปี 2568 ความขุ่นของน้ำในแม่น้ำสายสูงถึง 7,000 NTU ในช่วงฤดูน้ำหลาก และ 1,000 NTU ในช่วงปกติ เทียบกับ 3,000-4,000 NTU ในปี 2567
    ที่มา: การประปาส่วนภูมิภาค สาขาแม่สาย-เชียงแสน, รายงานคุณภาพน้ำ, 2568
  3. ผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567: น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ส่งผลให้มีตะกอนดินโคลนปนเปื้อนสารหนูในระดับที่อาจกระทบสัตว์หน้าดินใน 4 จาก 5 จุดที่ตรวจสอบ
    ที่มา: กรมทรัพยากรธรณี, รายงานการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยดินโคลนถล่ม, 2567
  4. การประมงในแม่น้ำโขง: ชุมชนในจังหวัดเชียงรายที่พึ่งพาการประมงในแม่น้ำโขงมีรายได้เฉลี่ย 500 ล้านบาทต่อปี แต่ลดลง 20% ในปี 2568 เนื่องจากความกังวลเรื่องสารปนเปื้อน
    ที่มา: สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2568
  5. ประชากรที่ได้รับผลกระทบ: ประชากรในอำเภอแม่สายและเชียงแสนที่พึ่งพาแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในการดำรงชีวิตมีจำนวนประมาณ 150,000 คน
    ที่มา: สำนักงานสถิติจังหวัดเชียงราย, ข้อมูลประชากร, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ค่ามาตรฐานสารหนูในน้ำดื่ม: WHO < 0.01 mg/L

  • ค่าสารหนูสูงสุดที่พบ: 0.19 mg/L (สามเหลี่ยมทองคำ)

  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  • กรมทรัพยากรธรณี

  • กรมควบคุมมลพิษ

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (คพ.1)

  • ข้อมูลตรวจน้ำประปาแม่สาย: กปภ.แม่สาย, เมษายน 2568 พบค่าสารหนู 0.014 mg/L

  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายขยับ ตรวจน้ำสายด่วน และน้ำกกเพิ่ม 14 จุด

เชียงรายเร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย หลังพบสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า จังหวัดเชียงรายได้ยกระดับการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างเข้มข้น หลังพบสารหนู (Arsenic) ปนเปื้อนในระดับที่เกินค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่ การดำเนินการครั้งนี้เป็นผลจากการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการและตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน

การตรวจสอบคุณภาพน้ำครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เพื่อวิเคราะห์ระดับโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น อาการผื่นคัน ระคายเคืองผิวหนัง และความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหากมีการสะสมในร่างกาย การดำเนินการดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลายภาคส่วน รวมถึงสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปกครองอำเภอแม่สาย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ความท้าทายด้านคุณภาพน้ำในเชียงราย

จังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชุมชน ทั้งในด้านการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณภาพน้ำในแม่น้ำเหล่านี้เริ่มเผชิญกับความท้าทายจากมลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะจากกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มรายงานถึงความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย เช่น น้ำขุ่นผิดปกติและมีอาการระคายเคืองผิวหนังหลังสัมผัสน้ำ รายงานเหล่านี้จุดประกายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ และพบว่ามีสารหนูในระดับที่สูงเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามมาตรฐานของประเทศไทย

จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่าระดับสารหนูในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายสูงถึง 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานถึง 2.6 เท่า ขณะที่การตรวจสอบในแม่น้ำสายเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 โดยทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พบสารหนูในบางจุดสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐาน สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาแม่น้ำในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ

ปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการประมง ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำกก เช่น นายธวัช อายุ 56 ปี เจ้าของเรือหางยาวบริเวณท่าเรือเชียงราย รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมากตั้งแต่มีการรายงานข่าวการปนเปื้อนสารหนู ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก

การดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้น

เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว จังหวัดเชียงรายได้จัดการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการและตรวจสอบคุณภาพน้ำเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางการตรวจสอบและแก้ไขปัญหามลพิษอย่างเป็นระบบ ที่ประชุมมีมติให้เพิ่มจุดตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกจากเดิม 3 จุดเป็น 9 จุด และเพิ่มการตรวจในลำน้ำสาขาอีก 5 จุด รวมทั้งสิ้น 14 จุด พร้อมทั้งเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินเพื่อวิเคราะห์โลหะหนักอย่างละเอียด

นอกจากนี้ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปกครองอำเภอแม่สาย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สาขาวิชาสารสนเทศภูมิศาสตร์ ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจากแม่น้ำสายจำนวน 3 จุด ได้แก่:

  • จุดที่ 1 (Sa01): บ้านป่าซางงาม หมู่ 6 ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย
  • จุดที่ 2 (Sa02): สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย
  • จุดที่ 3 (Sa03): บ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย

ตัวอย่างน้ำที่เก็บได้จะถูกส่งไปยังศูนย์ปฏิบัติการวิเคราะห์มลพิษและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ เพื่อตรวจวิเคราะห์ระดับโลหะหนัก โดยคาดว่าจะทราบผลภายในสัปดาห์หน้า ผลการวิเคราะห์จะเป็นข้อมูลสำคัญในการแจ้งเตือนประชาชนและกำหนดมาตรการป้องกันต่อไป

ด้านสำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้วางแผนเก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกใน 3 ช่วง คือ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จุดละ 2 ตัวอย่าง เพื่อตรวจหาการสะสมของสารปนเปื้อนในสัตว์น้ำ ขณะที่สำนักงานเกษตรจังหวัดได้เก็บตัวอย่างพืช 5 ชนิด และดินจากพื้นที่เกษตร 8 แห่งที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก เพื่อตรวจหาการปนเปื้อนเช่นกัน ผลการตรวจทั้งหมดจะถูกรวบรวมและวิเคราะห์โดยสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อจัดทำรายงานกลางสำหรับเผยแพร่สู่สาธารณะ

นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำว่า “ผลการตรวจคุณภาพน้ำจะต้องยึดตามผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากกว่าการใช้ชุดตรวจแบบเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับ” นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเสนอให้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มเติม เพื่อยืนยันระดับการปนเปื้อนและสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่

มาตรการป้องกันและแนวทางแก้ไข

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าสาเหตุหลักของการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายน่าจะมาจากกิจกรรมเหมืองทองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการปล่อยน้ำเสียที่ปนเปื้อนสารหนูจากการสกัดแร่ลงสู่แม่น้ำ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อประสานงานกับหน่วยงานในระดับชาติและนานาชาติ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานคณะทำงานด้านคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน คณะทำงานนี้จะมีตัวแทนจากกองทัพที่ 37 หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ เพื่อรวบรวมข้อมูลและกำหนดแนวทางแก้ไข

ในระยะสั้น จังหวัดเชียงรายได้ออกคำเตือนให้ประชาชนงดใช้และสัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายโดยตรง รวมถึงหลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้จนกว่าผลการตรวจจะยืนยันความปลอดภัย หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ได้จัดตั้งจุดรับแจ้งอาการผิดปกติจากประชาชนที่อาจสัมผัสน้ำในแม่น้ำ เช่น ผื่นคันหรืออาการทางเดินอาหาร เพื่อให้การรักษาทันท่วงที

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายมีแผนขอรับงบประมาณเพื่อติดตั้งระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับประชาชนและลดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้กระทรวงการต่างประเทศไทยเจรจากับรัฐบาลเมียนมาและกองทัพว้า เพื่อควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองทองในรัฐฉาน ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา

ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของเชียงราย ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากข่าวการปนเปื้อนสารหนู ผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น นางสาวกัญญา หวังจงกลาง พ่อค้าที่ชายหาดโยนก ระบุว่า “ตั้งแต่มีข่าวสารหนู นักท่องเที่ยวหายไปเกือบหมด รายได้ลดลงจนแทบไม่พอจ่ายค่าเช่าที่” เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จังหวัดเชียงรายกำลังพิจารณาแนวทางการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว โดยอาจจัดกิจกรรมที่เน้นความปลอดภัยและความยั่งยืน เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ไม่พึ่งพาแหล่งน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

ความท้าทายและโอกาส

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นปัญหาที่ซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับมลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือในระดับนานาชาติ การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากเหมืองทองในเมียนมา เป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งการทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่จังหวัดเชียงรายสามารถระดมหน่วยงานในพื้นที่และจัดตั้งคณะทำงานอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการรับมือกับวิกฤต

มิติด้านสุขภาพ

สารหนูเป็นสารพิษที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การสัมผัสน้ำที่มีสารหนูปนเปื้อนอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง คลื่นไส้ และท้องเสีย ส่วนการสะสมในร่างกายในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและมะเร็งอวัยวะภายใน การตรวจสอบและแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีจึงเป็นมาตรการสำคัญในการลดความเสี่ยง

มิติด้านสิ่งแวดล้อม

สารหนูและโลหะหนักอื่นๆ ที่ปนเปื้อนในแม่น้ำอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะสัตว์น้ำและพืชที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหาร การพบสารหนูในตะกอนดินของแม่น้ำกกในระดับที่สูงถึง 20-22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (เกินมาตรฐานที่ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม) บ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อสัตว์หน้าดินและปลา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและการประมงในพื้นที่

มิติด้านเศรษฐกิจ

การปนเปื้อนสารหนูส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการประมง ซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย การลดลงของนักท่องเที่ยวและการจำกัดการจับสัตว์น้ำทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความสูญเสียทางรายได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์และการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจเป็นโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวในระยะยาว

โอกาสในการพัฒนา

วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสให้จังหวัดเชียงรายพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยีตรวจสอบคุณภาพน้ำและการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในพื้นที่และนานาชาติจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการรับมือกับมลพิษในอนาคต นอกจากนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและกิจกรรมที่ไม่พึ่งพาแหล่งน้ำในแม่น้ำอาจเป็นทางเลือกใหม่ในการกระจายรายได้ของชุมชน

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

หน่วยงานภาครัฐและนักวิชาการ
หน่วยงานภาครัฐและนักวิชาการ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มองว่าการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเข้มข้นและการประสานงานกับหน่วยงานนานาชาติเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหา การใช้ผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการที่มีมาตรฐานและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงทีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น
ชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ เช่น ผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าตามชายหาดโยนก แสดงความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจและความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ พวกเขาต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อควบคุมมลพิษจากเหมืองทองในเมียนมา และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

ทัศนคติเป็นกลาง การตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเป็นระบบและการแจ้งเตือนประชาชนเป็นมาตรการที่จำเป็นในการปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เช่น การควบคุมมลพิษจากเหมืองทองในเมียนมา ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องใช้เวลาและความร่วมมือในระดับนานาชาติ การสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจนและการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจะช่วยลดความตึงเครียดและสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการรักษาเศรษฐกิจท้องถิ่น

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. ระดับสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: การตรวจสอบเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำสายบางจุดสูงถึง 19 เท่าของค่ามาตรฐาน (0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) ขณะที่แม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายพบสารหนูที่ระดับ 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร
    ที่มา: สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์, รายงานจากการประชุมคณะทำงานฝ่ายปฏิบัติการ, 1 พฤษภาคม 2568
  2. ระดับสารหนูในตะกอนดิน: การตรวจสอบตะกอนดินในแม่น้ำกกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2568 พบสารหนูในระดับ 20-22 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เกินมาตรฐานที่ 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
    ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่), รายงานคุณภาพตะกอนดิน, 25 เมษายน 2568
  3. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว: จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายลดลง 30% ในช่วงเดือนเมษายน 2568 หลังมีการรายงานข่าวการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำเดือนเมษายน 2568
  4. การพึ่งพาแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: ชุมชนริมแม่น้ำกกและแม่น้ำสายกว่า 50,000 ครัวเรือนพึ่งพาแหล่งน้ำเหล่านี้ในการเกษตร การประมง และการผลิตน้ำประปา
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, รายงานการใช้น้ำดิบ, 2568
  5. ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากสารหนู: การสัมผัสสารหนูในระดับที่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตรเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและมะเร็งอวัยวะภายในได้ถึง 10%
    ที่มา: องค์การอนามัยโลก (WHO), รายงานความเสี่ยงจากสารหนู, 2567

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมเเละควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกสีเปลี่ยน สคพ.1 เร่งตรวจคุณภาพน้ำ ดิน เชียงราย

วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สารหนูเกินมาตรฐาน กระทบสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่น

สถานการณ์ที่นำไปสู่การตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เชียงใหม่ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกก จำนวน 9 สถานี ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังจากที่ประชาชนในพื้นที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีและความขุ่นของน้ำในแม่น้ำกก​

การตรวจสอบและผลการวิเคราะห์เบื้องต้น

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 สคพ.1 ได้ร่วมกับคณะทำงานระดับอำเภอ ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก ที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นจุดที่ชาวบ้านอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ ได้แก่ บริเวณบ้านแก่งตุ้ม ห่างจากเขตแดนไทย-เมียนมา 500 เมตร บริเวณสะพานบ้านท่าตอน ห่างจากจุดแรก 9 กิโลเมตร และบริเวณผาใต้ ห่างจากสะพานบ้านท่าตอน 10 กิโลเมตร​

ผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 พบว่าไม่พบไซยาไนด์ในตัวอย่างน้ำ ซึ่งอาจเป็นเพราะไซยาไนด์สลายตัวเร็วจากการถูกแสงแดดและความร้อนจากอากาศ อย่างไรก็ตาม พบสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุด โดยเฉพาะบริเวณแก่งตุ้ม พบสารหนูมีค่า 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่ค่ามาตรฐานควรไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร​

ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจในพื้นที่

การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ไข้ดำ” ซึ่งผู้ที่สัมผัสสารหนูจะมีจุดสีดำบนผิวหนัง ระคายเคือง อาหารเป็นพิษ และหากสัมผัสมากๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง​

นอกจากนี้ การปนเปื้อนดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาซึ่งบรรยากาศเงียบเหงา นักท่องเที่ยวลดลง ส่งผลต่อผู้ประกอบการในพื้นที่​

การตอบสนองของหน่วยงานภาครัฐ

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 นายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานการประชุมผ่านระบบออนไลน์เพื่อติดตามสถานการณ์ดังกล่าว ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของการปนเปื้อน และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) วางมาตรการการป้องกันและฟื้นฟูคุณภาพน้ำ หาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

ต่อมา เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 พญ.อัมพร เพญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยว่า กรมอนามัยได้เฝ้าระวังประเด็นปนเปื้อนสารหนู โดยตรวจปัสสาวะกลุ่มตัวอย่างเพื่อระวังผลกระทบ และสุ่มตรวจน้ำในครัวเรือน ซึ่งผลการตรวจสอบน้ำประปาไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อเสนอแนะและความเห็นจากภาคประชาชน

นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ ส.ส.เชียงราย จากพรรคประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นว่า รัฐบาลควรเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการทำเหมืองทองของคนจีนที่ต้นน้ำ เนื่องจากไม่ทราบว่ามีกระบวนการบำบัดน้ำเสียหรือไม่ และในปีนี้นักท่องเที่ยวลดลงมาก ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งสถาบันตรวจสอบคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำโขงเหนือ ประจำจังหวัดเชียงราย และจัดตั้งคณะทำงานระดับประเทศและระดับจังหวัดที่มีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาระยะยาว พร้อมทั้งสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูลกับประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จากผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำกกมีค่า 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า การสัมผัสสารหนูในระยะยาวสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำดื่มไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

สรุปและข้อเสนอแนะ

สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงที่แม่น้ำกกไหลผ่าน ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาสังคม ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับภูมิภาค

แนวทางการดำเนินการระยะสั้นและระยะยาว

ในระยะสั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการดำเนินมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน อาทิ การเร่งจัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคให้กับชุมชนริมแม่น้ำกก การส่งเสริมความรู้เรื่องการกรองน้ำเบื้องต้นในครัวเรือน การจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ รวมถึงการตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง

ในระยะยาว รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และประเทศจีน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมเหมืองแร่และการใช้ที่ดินในต้นน้ำ โดยจะต้องผลักดันการทำข้อตกลงความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะรัฐต่อรัฐ (G to G) รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดการลุ่มน้ำข้ามพรมแดนอย่างแท้จริง

การออกแบบนโยบายควรตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยจัดให้มีหน่วยงานอิสระด้านการติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่ขึ้นตรงต่อกระทรวงใด ๆ และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส ตลอดจนส่งเสริมบทบาทของภาควิชาการในการวิเคราะห์ผลกระทบและเสนอแนวทางแก้ไขอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

บทสรุป

เหตุการณ์ปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกที่เกิดขึ้นในปี 2568 ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤต “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่เกิดจากการขาดการจัดการร่วมกันของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การฟื้นฟูแม่น้ำกกและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตริมน้ำได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง จำเป็นต้องมีแผนยุทธศาสตร์ที่บูรณาการทุกมิติ โดยเฉพาะความร่วมมือข้ามแดนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตในภาคเหนือให้ยั่งยืนสืบไป

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ค่าเฉลี่ยสารหนูในน้ำแม่น้ำกก ณ จุดตรวจแก่งตุ้ม: 0.026 มิลลิกรัม/ลิตร (ค่ามาตรฐาน: ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร) – ที่มา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1, เมษายน 2568
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวหดตัว ช่วงสงกรานต์ ปี 2568: นักท่องเที่ยวลดลงมากกว่า 70% – ที่มา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • จำนวนจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ-ดินในลุ่มแม่น้ำกก: 9 จุด – ที่มา รายงาน สคพ.1 วันที่ 22 เม.ย. 2568
  • ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกลดต่ำกว่าค่ามาตรฐานเฉลี่ยในฤดูแล้งปีนี้กว่า 30% – ที่มา สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรณีปนเปื้อนโลหะหนักและสารหนูในลุ่มน้ำทั่วโลก: มีรายงานว่ากว่า 140 ล้านคนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนัก – ที่มา World Health Organization (WHO), 2024

หากรัฐบาลไทยสามารถเร่งดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวมาได้อย่างจริงจัง แม่น้ำกกอาจกลับมาเป็นเส้นชีวิตของชุมชนริมฝั่งได้อีกครั้ง และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการจัดการสิ่งแวดล้อมในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายร่วมกันข้ามพรมแดน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • World Health Organization (WHO), 2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE