Categories
ENVIRONMENT

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดภาคเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ แก้ไขวิกฤต PM2.5

ศาลปกครองสูงสุดสั่ง 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ สู้วิกฤต PM2.5

เชียงราย, 1 สิงหาคม 2568 – ท้องฟ้าสีเทาหม่นที่ปกคลุมภาคเหนือของประเทศไทยทุกฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน ได้กลายเป็นฝันร้ายที่คุ้นชินของชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตและสุขภาพของผู้คนนับแสน ได้ผลักดันให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายครั้งประวัติศาสตร์ และในวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดดังกล่าวเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคมของทุกปี เพื่อยุติวิกฤตที่ยืดเยื้อมานานนับทศวรรษ

จุดเริ่มต้นของการต่อสู้เสียงจากประชาชน

เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ชาวบ้านจากอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากหมอกควันไฟป่าทุกปีจนทนไม่ไหว เขาตัดสินใจยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต่อศาลปกครองในปี 2566 โดยชี้ว่าหน่วยงานนี้ละเลยหน้าที่ในการจัดการปัญหา PM2.5 ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือ “ทุกเช้าที่ตื่นมา ลูกผมไอจนแทบหายใจไม่ออก ผมทนเห็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” นายภูมิเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นในวันแถลงข่าวหลังการพิจารณาคดี

คดีนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของนายภูมิเพียงคนเดียว แต่เป็นตัวแทนของชาวบ้านนับล้านที่ต้องสูดอากาศพิษเข้าไปในปอดทุกวัน ข้อมูลจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ในช่วงฤดูหมอกควันระหว่างปี 2561-2564 ผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังใน 4 จังหวัดนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ

การตัดสินใจที่สร้างประวัติศาสตร์

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการมลพิษในประเทศไทย โดยสั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ประกาศให้จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอนเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 มักพุ่งสูงเกินมาตรฐานจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ศาลให้เหตุผลว่า คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบถึงปัญหามลพิษ PM2.5 มานาน แต่การดำเนินการที่ผ่านมา เช่น แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ยังไม่เพียงพอที่จะลดระดับมลพิษให้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง ศาลชี้ว่า การที่หน่วยงานนี้ไม่ประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ที่มีปัญหาวิกฤต ถือเป็นการ “ละเลยต่อหน้าที่” ตามที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม ศาลยังคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการปกป้องสุขภาพประชาชนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการลงทุนในพื้นที่ จึงกำหนดให้การประกาศเขตควบคุมมลพิษมีผลเฉพาะในช่วงเวลาที่ปัญหาหมอกควันรุนแรงที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของจังหวัดเหล่านี้ในช่วงเวลาอื่นของปี

ผลกระทบของคำตัดสิน ก้าวแรกสู่ท้องฟ้าที่ใสสะอาด

การประกาศเขตควบคุมมลพิษจะนำมาซึ่งมาตรการที่เข้มข้นและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในการจัดการปัญหา PM2.5 โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจะต้องดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งรวมถึงการออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาและกำหนดมาตรการควบคุมมลพิษ เช่น การจำกัดการเผาในที่โล่ง การควบคุมมลพิษจากโรงงานและยานพาหนะ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิเคราะห์ว่า คำตัดสินนี้จะเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องทำงานอย่างบูรณาการมากขึ้น “การเป็นเขตควบคุมมลพิษจะให้อำนาจแก่หน่วยงานท้องถิ่นในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เช่น การปรับผู้ที่เผาในที่โล่งโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีตรวจวัดและควบคุมมลพิษ รวมถึงการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่”

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้คำพิพากษานี้จะเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประชาชน แต่การแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระยะยาวยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษที่หลากหลาย ตั้งแต่การเผาในภาคเกษตรกรรม ไฟป่า ไปจนถึงมลพิษข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ

ประการที่สองคือการสร้างความสมดุลระหว่างการบังคับใช้กฎหมายและการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น การเผาในที่โล่งมักเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดโดยไม่มีการให้ทางเลือกที่เหมาะสม เช่น การสนับสนุนเทคโนโลยีการจัดการเศษพืชผลเกษตร อาจสร้างความขัดแย้งและลดความร่วมมือจากชุมชน

สุดท้าย การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับประกันว่ามาตรการต่างๆ จะนำไปสู่การลดมลพิษอย่างยั่งยืน หากในอนาคต ระดับ PM2.5 ลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสามารถพิจารณาเพิกถอนการประกาศเขตควบคุมมลพิษได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณของความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานี้

จุดเปลี่ยนของการปกป้องสิ่งแวดล้อม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแก้ไขปัญหา PM2.5 ในภาคเหนือเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนถึงบทบาทของกระบวนการยุติธรรมในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดี นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงพลังของประชาชนในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงผ่านการใช้สิทธิทางกฎหมาย

ในมุมมองของผู้เขียน คำตัดสินนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่อาจนำไปสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนมากขึ้นทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของภาครัฐในการดำเนินการตามคำสั่งศาล ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนจากประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดมลพิษ

สู่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง ความหวังของคนเหนือ

สำหรับชาวบ้านอย่างนายภูมิและครอบครัว คำตัดสินในวันนี้คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “ผมหวังว่าลูกๆ จะได้หายใจอากาศที่สะอาด และไม่ต้องกลัวว่าวันหนึ่งจะป่วยเพราะฝุ่นควัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวัง

เมื่อมองไปข้างหน้า การต่อสู้กับวิกฤต PM2.5 ในภาคเหนืออาจเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยและทั่วโลก ว่าด้วยพลังของประชาชน ความยุติธรรม และความร่วมมือ เราสามารถเอาชนะภัยคุกคามที่มองไม่เห็นแต่ร้ายแรงนี้ได้ และคืนท้องฟ้าสีครามให้กับลูกหลานของเราในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศาลปกครองสูงสุด: คำพิพากษาคดีนายภูมิ วชร เจริญผลิตผล ฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (1 สิงหาคม 2568)
  • พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, และแม่ฮ่องสอน: รายงานสถิติผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 (2561-2564)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (2566-2568)
  • รายงานสถานการณ์ไฟป่าและมลพิษทางอากาศในภาคเหนือ พ.ศ. 2566-2568, กรมควบคุมมลพิษ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เหนือรับมือฝน! รองนายกฯ ประเสริฐ สั่งเข้มคุณภาพน้ำ-กันอุทกภัย

รองนายกรัฐมนตรี “ประเสริฐ” ลงพื้นที่ภาคเหนือ สั่งการเข้มทุกหน่วย แก้ปัญหาคุณภาพน้ำ-ป้องกันอุทกภัย ชูแผนบูรณาการข้ามจังหวัดและประชาสัมพันธ์โปร่งใส

เชียงใหม่, 16 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำและภัยพิบัติในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ภายใต้ความห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันมาตรการทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชนในหลายจังหวัดสำคัญ โดยเฉพาะเชียงราย เชียงใหม่ และลำพูน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำภาคเหนือ

การประชุมติดตามสถานการณ์ – ผนึกกำลังวางแผนรับมือแบบรอบด้าน

วันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง และมาตรการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งสาม ได้แก่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร (เชียงใหม่) นายชรินทร์ ทองสุข (เชียงราย) และนายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ (ลำพูน) ร่วมรายงานสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติ ผ่านการประชุม ณ สำนักงานชลประทานที่ 1 จ.เชียงใหม่

ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ ได้ร่วมกันนำเสนอผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม–กันยายน ขณะที่ จ.ลำพูน อาจเผชิญน้ำท่วมในเดือนตุลาคม

ข้อสั่งการของรัฐบาล – ย้ำ “โปร่งใส ตรวจสอบได้ ดูแลประชาชนถึงรากหญ้า”

นายประเสริฐฯ ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ระบุชัดว่ารัฐบาลตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหามลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสารหนูและโลหะหนักที่ตรวจพบในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้กรมควบคุมมลพิษร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในจุดเสี่ยง เผยแพร่ข้อมูลผลตรวจวัดคุณภาพน้ำและความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และต้องมีระบบเตือนภัยด้านคุณภาพน้ำที่รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์

นอกจากนี้ ให้กรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างครอบคลุม โดยเน้นการคัดกรองโรคจากสารหนูและโลหะหนัก พร้อมติดตามผลในระยะยาว ส่วนการประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมน้ำดื่มสะอาดสำรอง วางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบคุณภาพดี และพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยงอย่างยั่งยืน

กรมทรัพยากรน้ำได้รับมอบหมายให้เร่งสำรวจ ออกแบบจุดชะลอน้ำและฝายดักตะกอนตามแผนงานเดิม โดยให้รับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน และพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินแห่งใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการ ขณะเดียวกันกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ และหน่วยงานท้องถิ่นต้องเร่งประเมินและเยียวยาผลกระทบทั้งในภาคเกษตรและการท่องเที่ยว พร้อมแนะแนวทางปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ

รับมือฝนใหญ่–แผนป้องกันอุทกภัยเต็มพิกัด

สทนช. คาดการณ์ฤดูฝนปีนี้ พื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่และเชียงราย จะมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนกันยายน ขณะที่ลำพูนจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องถึงตุลาคม รองนายกรัฐมนตรีประเสริฐ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดโครงการขุดลอกแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำปิง และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราวให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมจัดเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักร และระบบสนับสนุนเผชิญเหตุให้ทันต่อสถานการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน

พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดบูรณาการข้อมูลและเร่งประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำแก่ประชาชนในพื้นที่แบบโปร่งใส ทั่วถึงและทันเหตุการณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

เร่งตรวจสอบและลงพื้นที่–ประชาชนต้องได้รับผลลัพธ์ชัดเจน

หลังเสร็จสิ้นการประชุม รองนายกฯ ได้นำคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการขุดลอกแม่น้ำปิง บริเวณอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อตรวจประเมินประสิทธิภาพของมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากชุมชนท้องถิ่นโดยตรง

วิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำและอุทกภัยในภาคเหนือแบบองค์รวม ด้วยการผนึกกำลังหลายหน่วยงาน ขับเคลื่อนการบูรณาการนโยบายและข้อมูลทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลาง การประชาสัมพันธ์ที่โปร่งใส และการรับฟังประชาชนในทุกมิติ จะเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความมั่นใจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตา ลำไยเหนือเจอพิษซัลเฟอร์ฯ ลิ้นจี่-ทุเรียน-มะม่วง วางแผนรับมือ

เชียงรายเข้าร่วมสัมมนาจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568 มุ่งพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการบริหารจัดการแบบยั่งยืน

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย มอบหมายผู้แทนเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568” ณ โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เดน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 (สศท.1) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลไม้ผลสำคัญของภาคเหนือ ได้แก่ ลิ้นจี่ ลำไย ทุเรียน และมะม่วงน้ำดอกไม้ ให้มีความแม่นยำ ครบถ้วน และสามารถสะท้อนสถานการณ์จริงในพื้นที่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของภาครัฐในการบริหารจัดการผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมายการสัมมนาสู่ระบบข้อมูลไม้ผลแบบบูรณาการ

การสัมมนาครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับของคณะทำงานย่อยพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ ภาคเหนือ โดยมีหน่วยงานร่วมดำเนินงานหลากหลาย อาทิ สศท.1, สศท.2, สศท.12, ศูนย์สารสนเทศการเกษตร, สำนักงานเกษตรจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ, สำนักงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขต 1 และ 2 รวมถึงสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่

การจัดทำข้อมูลเชิงระบบในครั้งนี้เน้นการพยากรณ์ผลผลิตและสถานการณ์การผลิต รวมถึงการเชื่อมโยงกับข้อมูลด้านตลาด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายคือการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความเป็นเอกภาพ ถูกต้อง และสะท้อนสภาพพื้นที่จริง

ลิ้นจี่ ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ตลาดยังคงมั่นคง

สำหรับสถานการณ์ลิ้นจี่ในภาคเหนือปี 2568 แหล่งผลิตสำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และน่าน ข้อมูลคาดการณ์ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลง 6.40% เหลือ 66,260 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลลดลง 6.39% เหลือ 66,173 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น 155.49% เป็น 465 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 139.13% เป็น 30,745 ตัน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นคือสภาพอากาศที่ไม่แห้งแล้งและไม่มีพายุลูกเห็บเหมือนปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเก็บเกี่ยวแล้วราว 10% (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ค. 2568) ผลผลิตส่วนใหญ่จำหน่ายให้พ่อค้าในพื้นที่โดยตรง ราคาขายเฉลี่ยของพันธุ์ฮงฮวยเกรด AA ห่อ อยู่ที่ 120 บาท/กิโลกรัม ขณะที่พันธุ์นครพนม 1 เกรด A จำหน่ายที่ 60 บาท/กิโลกรัม

ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เผชิญปัญหาส่งออกจีนจากสารตกค้าง

ลำไยยังคงเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ โดยมีแหล่งผลิตใหญ่ในเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา และน่าน โดยข้อมูลปี 2568 ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลงเล็กน้อย 0.62% อยู่ที่ 1,243,784 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 0.13% อยู่ที่ 1,237,830 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12.27% อยู่ที่ 860 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 12.36% เป็น 1,064,242 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในที่ประชุมมีข้อกังวลเกี่ยวกับการส่งออกไปยังประเทศจีน หลังตรวจพบสารซัลเฟอร์ตกค้างในลำไยอบแห้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาที่เกษตรกรจะได้รับ โดยที่ประชุมเสนอให้สำนักงานเกษตรในพื้นที่เร่งจัดทำข้อมูลผลผลิตลำไยที่คาดว่าจะเกินอีก 140,000 ตัน เพื่อเสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กำหนดมาตรการรองรับ

ทุเรียน ศักยภาพเพิ่มขึ้นชัดเจน จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ผลผลิตคุณภาพ

ทุเรียนในภาคเหนือ โดยเฉพาะจากจังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย แพร่ และพิษณุโลก กำลังเติบโตเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ มีข้อมูลดังนี้

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 9.51% เป็น 121,829 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 7.21% เป็น 81,857 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6.27% เป็น 729 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 13.88% เป็น 59,660 ตัน

ขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 9% โดยการบริหารจัดการในที่ประชุมได้เสนอแนวทางหลากหลาย เช่น การอบรมเกษตรกรเรื่องการดูแลสวน การสร้างนักคัดผลมืออาชีพ และการส่งเสริมการตลาดโดยใช้ Influencer รวมถึงการตั้งชื่อแบรนด์ให้กับทุเรียนแต่ละแหล่ง เช่น “ทุเรียนหลงลับแล” และ “หมอนพระร่วง”

มะม่วงน้ำดอกไม้ ผลผลิตสูงขึ้นแต่ราคาน่ากังวล

ข้อมูลมะม่วงน้ำดอกไม้ ปี 2568 แสดงให้เห็นว่า

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 0.46% เป็น 145,145 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 1.93% เป็น 134,686 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13.46% เป็น 809 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 15.71% เป็น 108,993 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราราคาจำหน่ายในช่วงต้นฤดูอยู่ในระดับต่ำเพียง 30 บาท/กิโลกรัม ทำให้เกิดความกังวลในกลุ่มเกษตรกร โดยที่ประชุมเสนอให้มีการแจ้งข้อมูลไปยัง คพจ. เพื่อหามาตรการรองรับอย่างเร่งด่วนในระดับจังหวัด

ข้อเสนอเชิงนโยบายและบทวิเคราะห์

  1. สร้างระบบฐานข้อมูลกลาง ที่บูรณาการระหว่าง สศท. สำนักงานเกษตรจังหวัด และหน่วยงานวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำแบบ Real-Time
  2. พัฒนาช่องทางการตลาดใหม่ เช่น ตลาดออนไลน์ การส่งออกโดยตรง และการจับคู่ธุรกิจ
  3. ปรับกลยุทธ์โลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มมูลค่าให้กับไม้ผล เช่น การทำโรงคัดบรรจุหรือระบบความเย็นในพื้นที่
  4. ขยายการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อพยากรณ์และติดตามสถานการณ์การผลิตแบบแม่นยำ
  5. เร่งสร้างแบรนด์และมูลค่าผลไม้เฉพาะถิ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 ปี 2568
  • สรุปสถานการณ์ผลผลิตไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ จากการสัมมนา 7-8 พฤษภาคม 2568
  • สถาบันคลังสมองของชาติ: รายงานแรงงานเกษตรภาคเหนือ ปี 2567
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: ระบบข้อมูลการผลิตไม้ผลเศรษฐกิจ (www.moac.go.th)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร: www.doae.go.th
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

ท่องเที่ยวเหนือแรง ‘เชียงราย’ ที่ 2 ไทยเที่ยวเยอะกว่า 5 ล้านคน

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เดินหน้าขับเคลื่อนปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568 “Amazing Thailand” ข้อมูลนักท่องเที่ยวเหนือ ชี้เชียงรายรั้งอันดับ 2 รองจากเชียงใหม่

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับหน่วยงานระดับกระทรวงและระดับชาติ จัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568 เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” โดยมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกีฬาเป็นพลังหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเผยสถิติสำคัญในปี 2567 ซึ่งสะท้อนภาพรวมการท่องเที่ยวของ 8 จังหวัดภาคเหนือ โดย จังหวัดเชียงราย ครอง อันดับที่ 2 รองจากเชียงใหม่ ทั้งด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและสัดส่วนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายติดโผอันดับสูงสุดของนักท่องเที่ยวภาคเหนือ ปี 2567

ตามรายงานของ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยอ้างอิงข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในปี 2567 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภาคเหนือรวมทั้งสิ้น 25,783,263 คน โดยแยกเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 20,941,918 คน (81.2%) และชาวต่างชาติ 4,841,345 คน (18.8%)

จังหวัดที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่

  1. เชียงใหม่ – 11,485,568 คน (44.5%)
  2. เชียงราย – 6,193,932 คน (24%)
  3. ลำปาง – 1,701,455 คน (6.6%)
  4. น่าน – 1,512,503 คน (5.9%)
  5. แพร่ – 1,306,430 คน (5.1%)
  6. ลำพูน – 1,301,307 คน (5%)
  7. แม่ฮ่องสอน – 1,265,680 คน (4.9%)
  8. พะเยา – 1,016,388 คน (3.9%)

สถิติดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งดึงดูดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง

ประชุมใหญ่ระดับชาติ ชูแนวคิด “Tourism and Sports Powerful Tools for National Development”

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ณ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานสำคัญจากทั้งภาครัฐและสถาบันการศึกษา อาทิ สำนักงานตำรวจท่องเที่ยว กรมพลศึกษา กรมการท่องเที่ยว และมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ

ในการประชุมดังกล่าว นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้นำเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2568 โดยมุ่งเป้าสู่การผลักดัน ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก” ผ่านแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025”

5 ยุทธศาสตร์หลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ปี 2568

  1. ค้นหาและส่งเสริมเสน่ห์ไทยในระดับพื้นที่ – เช่น วัฒนธรรมท้องถิ่น ชุมชนดั้งเดิม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
  2. ยกระดับความปลอดภัย – เพิ่มระบบเตือนภัย แอปตำรวจท่องเที่ยว ติดกล้องวงจรปิดในแหล่งท่องเที่ยวหลัก
  3. ส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มเฉพาะ – เช่น ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, LGBTQ+
  4. สร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาค – ส่งเสริมการเดินทางข้ามจังหวัด เช่น เชียงใหม่–เชียงราย–หลวงพระบาง
  5. พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต้นแบบชุมชน – ยกระดับมาตรฐานสินค้า, OTOP, การบริการของชุมชน

เชียงรายได้รับการระบุเป็นหนึ่งใน จังหวัดนำร่อง ในโครงการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่เครือข่าย เมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UNESCO Creative Cities Network) ในปี 2568–2569

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืนควบคู่กับความปลอดภัย

นอกจากแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเข้มข้นแล้ว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังเน้นย้ำการจัดการด้าน ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ที่ใกล้เข้ามา โดยมีการร่วมมือกับหลายหน่วยงาน ได้แก่

  • กระทรวงมหาดไทย – ด้านการดูแลความปลอดภัย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ – ด้านการจัดกำลังในพื้นที่
  • สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ – ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน
  • กรมเจ้าท่า – ด้านความปลอดภัยทางน้ำ
  • กรมขนส่งทางบก – ด้านการเดินทาง
  • กรมอุทยานฯ – ด้านแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ

ด้านกีฬา ผนวก Soft Power สู่เวทีโลก

อีกด้านที่กระทรวงฯ ให้ความสำคัญคือ การส่งเสริมกีฬาเพื่อมวลชนและกีฬาอาชีพ โดยแผนปี 2568 จะมีการจัดกิจกรรมและการแข่งขันที่สำคัญหลายรายการ เช่น

  • PT Grand Prix of Thailand 2025
  • การแข่งขันวิ่งเทรลนานาชาติ HOKA Chiang Mai Thailand by UTMB
  • มวยไทย “ศึก THE HERO FIGHT MUAYTHAI”
  • Amazing Thailand Marathon Bangkok 2024

เชียงรายเองก็เตรียมผลักดันกิจกรรม วิ่งมาราธอนประจำปี และ จักรยานเสือภูเขา บนเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อดึงนักกีฬาและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ

ข้อเสนอความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน

ในที่ประชุม ยังได้หารือถึงการบูรณาการงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ:

  • การบังคับใช้กฎหมายกับบริษัทนำเที่ยวเถื่อน
  • การควบคุม Bigbike และเรือท่องเที่ยว
  • การส่งเสริมวิชาพลศึกษาในโรงเรียน
  • การผลักดันกีฬาในแผนพัฒนาท้องถิ่นของ อบจ. และ อปท.
  • การสื่อสารภาพลักษณ์เชิงบวกผ่านกิจกรรมระดับนานาชาติ เช่น ซีเกมส์ และวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • จำนวนนักท่องเที่ยวใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 2567: 25,783,263 คน
    • ชาวไทย: 20,941,918 คน (81.2%)
    • ต่างชาติ: 4,841,345 คน (18.8%)
  • จังหวัดเชียงราย มีนักท่องเที่ยวรวม: 6,193,932 คน (24%)
    • คิดเป็นอันดับที่ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่
  • อัตราเติบโตของนักท่องเที่ยวในเชียงราย ปี 2566–2567: เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11.4% ต่อปี (ข้อมูลจาก สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย)
  • รายได้จากการท่องเที่ยวของเชียงราย ปี 2567: ประมาณ 19,700 ล้านบาท (ประมาณการจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจท่องเที่ยว ธปท. สาขาเชียงราย)
  • กิจกรรมกีฬาที่จัดในเชียงราย ปี 2567: กว่า 35 รายการ รวมผู้เข้าร่วมกว่า 120,000 คน
  • จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ (Cultural, Wellness, Eco) ในเชียงราย: คิดเป็น 37.6% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด (ข้อมูลจาก มช.)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว (CTRD) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาเชียงราย
  • สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • กรมพลศึกษา และกรมการท่องเที่ยว
  • รายงานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ครั้งที่ 3/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
FEATURED NEWS

เหนือวิกฤต ฝุ่น PM2.5 สูง ลำพูนนำ-แม่ฮ่องสอนท้าทาย

คนเหนือระทม! ฝุ่นพิษ-สังคมแก่-รายได้ฝืด

กรุงเทพฯ, 20 มีนาคม 2568 – สกสว. หนุน SDG Move จัดเวทีระดมสมองเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ให้การสนับสนุน ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการจัดเวที นำเสนอข้อมูลความท้าทายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับภูมิภาค และรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียระดับพื้นที่ (ภาคเหนือ)”สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมงานระดับภาคเหนือ

ภาควิชาการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในโอกาสนี้ ผศ. ดร.ไพรัช พิบูลย์รุ่งโรจน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เน้นบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการวิจัยและนวัตกรรมที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ด้าน ศ.สุริชัย หวันแก้ว ประธานเครือข่ายวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนประเทศไทย (SDSN Thailand) กล่าวถึงความสำคัญขององค์ความรู้และความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ในการเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนสังคมสู่ความยั่งยืน พร้อมผลักดันให้เกิด นโยบายแบบบูรณาการ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับนานาชาติ

SDG Index เผยลำพูนคะแนนสูงสุดในภาคเหนือ แต่แม่ฮ่องสอนยังเผชิญปัญหา

จากการนำเสนอข้อมูล SDG Index ระดับจังหวัดและภูมิภาค ของทีม SDG Move พบว่า ภาคเหนือเผชิญกับปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับ 8 เป้าหมายของ SDGs ได้แก่:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย
  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 9: โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และอุตสาหกรรม
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 12: การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • SDG 17: หุ้นส่วนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ค่าฝุ่น PM2.5 ที่สูงขึ้น ถูกจัดอยู่ใน SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน) ซึ่งสะท้อนถึง ปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงในหลายจังหวัดของภาคเหนือ

แม่ฮ่องสอนมีคะแนน SDG Index ต่ำสุด และเป็นจังหวัดที่เผชิญความท้าทายอย่างมากในเรื่อง:

  • SDG 1: การขจัดความยากจน
  • SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ
  • SDG 6: น้ำสะอาดและสุขาภิบาล
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน
  • SDG 13: การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • SDG 15: ระบบนิเวศบนบก

ขณะที่ ลำพูนมีคะแนน SDG Index สูงสุด ในภาคเหนือ แต่ยังต้องแก้ไขปัญหา สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน (SDG 11) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

3 ปัญหาเร่งด่วนที่ภาคเหนือเผชิญ

  1. มลพิษ PM 2.5 ที่รุนแรงขึ้นทุกปี
    • ภาคเหนือประสบปัญหาค่าฝุ่นสูงสุดในประเทศ
    • มีผลต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  2. สังคมสูงวัย และมาตรการรองรับที่ยังไม่เพียงพอ
    • ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุ
    • เพิ่มมาตรการสนับสนุนด้านสุขภาพและสวัสดิการ
  3. รายได้ต่ำและค่าครองชีพสูง
    • รายได้ของประชาชนไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
    • ปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยยังเป็นอุปสรรคสำคัญ

แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะ

  1. ศึกษาวิจัยผลกระทบและสาเหตุของ PM2.5
    • พัฒนานโยบายแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองอย่างมีประสิทธิภาพ
    • สนับสนุนเกษตรกรเปลี่ยนไปใช้วิธีการเผาที่ลดมลพิษ
  2. ปรับปรุงการจัดการศึกษาสู่ตลาดแรงงาน
    • เชื่อมโยงการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
    • ส่งเสริมอาชีพใหม่ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล
  3. เพิ่มการสนับสนุนด้านที่อยู่อาศัย
    • วิจัยแนวทางช่วยให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
    • ลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2567 ระบุว่า:

  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือสูงกว่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 4 เท่า ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
  • ประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในภาคเหนือคิดเป็น 22% ของประชากรทั้งหมด สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
  • รายได้เฉลี่ยของประชาชนในภาคเหนืออยู่ที่ 8,500 บาทต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 12,000 บาท

สรุป

การพัฒนาที่ยั่งยืนในภาคเหนือยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะ ปัญหาฝุ่น PM2.5 สังคมสูงวัย และค่าครองชีพสูง ขณะที่ ลำพูนมีความก้าวหน้า แต่แม่ฮ่องสอนยังคงเป็นจังหวัดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก เวทีระดมสมองครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการออกแบบแนวทางพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2567 / สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“คาราวานมาเหนือ” กระตุ้นท่องเที่ยว 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

“คาราวานมาเหนือ” เปิดตัวยิ่งใหญ่ กระตุ้นท่องเที่ยว 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 –  โรงแรมเดอะ ริเวอร์รี บาย กะตะธานี จังหวัดเชียงราย สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “คาราวานมาเหนือ” อย่างเป็นทางการ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนบูรณาการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการเดินทางเชื่อมโยงในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน

ความพร้อมของเชียงรายในการรองรับนักท่องเที่ยว

นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความพร้อมของจังหวัดเชียงรายในการรองรับนักท่องเที่ยวว่า เชียงรายเป็นจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย มีพรมแดนติดกับสองประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ภูมิประเทศของจังหวัดเต็มไปด้วยเทือกเขาสลับกับที่ราบลุ่มแม่น้ำ อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามและสมบูรณ์ พร้อมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่หลากหลาย อาทิ วัดร่องขุ่น วัดมิ่งเมือง วัดร่องเสือเต้น วัดห้วยปลากั้ง และจุดชมวิวสำคัญอย่างสามเหลี่ยมทองคำ ดอยตุง และภูชี้ฟ้า ที่นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศหนาวเย็นและวิวทิวทัศน์อันตระการตา นอกจากนี้ เชียงรายยังเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยมีชนเผ่ากว่า 30 กลุ่ม เช่น อาข่า ม้ง กะเหรี่ยง ไทลื้อ และไทใหญ่ ส่งผลให้มีเอกลักษณ์ทางศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และวิถีชีวิตที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก จังหวัดเชียงรายพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ด้วยระบบขนส่งที่สะดวกสบาย โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน การจัดคาราวานในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และส่งเสริมภาพลักษณ์ของเชียงรายให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักเดินทางทั่วโลก

รายละเอียดของกิจกรรม “คาราวานมาเหนือ”

นางวิภาวี ลีไพบูลย์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ ผู้แทนท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า โครงการ “คาราวานมาเหนือ” เป็นกิจกรรมสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่าง ๆ เข้าสู่พื้นที่ภาคเหนือตอนบน 2 ผ่านเส้นทางท่องเที่ยว โดยมีการออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละจังหวัด ทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ท้องถิ่น กิจกรรม “คาราวานมาเหนือ” จะจัดขึ้นตลอดเดือนมีนาคม 2568 ครอบคลุมทั้ง 4 จังหวัด โดยมีอินฟลูเอนเซอร์และนักเดินทางชื่อดังร่วมเดินทางในเส้นทางต่าง ๆ ได้แก่

  • น่าน – แพร่ (7-9 มีนาคม 2568): นำโดย คุณลีโอ พุฒิ, คุณต้า เผ่าพล และคุณเร แม็คโดแนลด์ (รายการเร่ร่อน)
  • เชียงราย – พะเยา (14-16 มีนาคม 2568): นำโดย คุณเร แม็คโดแนลด์
  • เชียงราย – พะเยา (21-23 มีนาคม 2568): นำโดย คุณภูริ หิรัญพฤกษ์ (วิวไฟน์เดอร์)
  • น่าน – แพร่ (28-30 มีนาคม 2568): นำโดย คุณเบนซ์ ถาวร ภัสสรสิริกุล (เบนซ์ไกจิน – แบกเป้เที่ยวคนเดียว)

ทั้งนี้ คาราวานจะเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้า และร้านอาหารสำคัญในพื้นที่ พร้อมเผยแพร่ข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และส่งเสริมการเดินทางของนักท่องเที่ยวในอนาคต

การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นายสุขสันต์ เพ็งดิษฐ์ ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย กล่าวว่า สำนักงานพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเชียงราย (อพท.) เดินหน้าส่งเสริมการท่องเที่ยวเชียงราย ผ่านกิจกรรมคาราวานเชื่อมโยงเส้นทางสร้างสรรค์ เชียงรายในฐานะเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบของยูเนสโก (UCCN) มีศักยภาพโดดเด่นด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต และสถาปัตยกรรมล้านนา ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ อพท. ที่มุ่งพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยใช้เกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (GSTC) เป็นแนวทางในการพัฒนา อีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการนี้ คือ การศึกษาเส้นทางสร้างสรรค์ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 15-18 มกราคม 2568 ซึ่งช่วยให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ได้เรียนรู้เพิ่มเติมถึงแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

สรุป

โครงการ “คาราวานมาเหนือ” เป็นความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ตั้งแต่คาราวานท่องเที่ยว เส้นทางสร้างสรรค์ จนถึงกิจกรรมส่งเสริมการตลาดแบบครบวงจร ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : คาราวานมาเหนือ หรือโทร 053 716 434

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย สร้างคุณภาพชีวิตยั่งยืนในโรงเรียนภาคเหนือ

โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” โรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือ สร้างคุณภาพชีวิตยั่งยืน

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” โรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2563 ภายใต้พระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการต่อยอดและขยายผลต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้กับโรงเรียนในพื้นที่สูงและชุมชนใกล้เคียง รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตนักเรียนให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนและมีสุขภาพแข็งแรง

จุดเริ่มต้นของโครงการ

ด้วยสภาพพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่สูง ยังคงประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งอาหารที่เพียงพอสำหรับนักเรียน กองทัพภาคที่ 3 จึงได้รับพระราชดำริให้ดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ พร้อมทั้งส่งเสริมการปลูกผักปลอดสารพิษ การเลี้ยงสัตว์ และการประยุกต์ใช้ทรัพยากรในพื้นที่อย่างยั่งยืน

ในปีงบประมาณ 2567 โครงการครอบคลุมโรงเรียนจำนวน 117 แห่ง และเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่งในปีงบประมาณ 2568 รวมเป็น 121 โรงเรียน ได้แก่

  1. โรงเรียนบ้านแม่แสะ ตำบลป่าแป๋ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
  2. โรงเรียนแม่จะเราวิทยาคม ตำบลแม่จะเรา อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก
  3. โรงเรียนโมโกรวิทยาคม ตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
  4. โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 22 ตำบลแม่นาเติง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

กระบวนการดำเนินโครงการ

โครงการแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:

  1. การวางแผนและสำรวจข้อมูล

    • สำรวจข้อมูลและวางแผนการดำเนินงานร่วมกับโรงเรียน
    • จัดทำแผนงานและงบประมาณที่สอดคล้องกับความต้องการของโรงเรียน
  2. การดำเนินการตามแผนงาน

    • ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์โดยใช้พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และพันธุ์ปลาจากโครงการทหารพันธุ์ดี และศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ
    • บันทึกสถิติและผลการดำเนินงาน
  3. การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

    • ประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
    • แก้ไขปัญหาและพัฒนาความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จและผลกระทบเชิงบวก

โครงการ “ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย” ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร โรงเรียน นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในหลายด้าน:

  • นักเรียนได้รับสารอาหารครบถ้วน ส่งผลต่อการพัฒนาสุขภาพร่างกายและจิตใจ
  • ชุมชนรอบโรงเรียนได้แหล่งเรียนรู้ด้านการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ปลอดภัย
  • เพิ่มความมั่นคงทางอาหารในระดับท้องถิ่น
  • สร้างความยั่งยืนในสังคมตามพระราชดำริ

เป้าหมายในอนาคต

โครงการมุ่งเน้นการขยายผลและสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ โดยตั้งเป้าหมายให้ชุมชนและโรงเรียนสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงส่งเสริมการเรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณและความใส่พระทัยในคุณภาพชีวิตของเด็กและชุมชนไทยบนพื้นที่สูง เพื่ออนาคตที่ดีและยั่งยืนของสังคมไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน ส่งเสริมความมั่นคงอาหารในภาคเหนือ

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง: เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ภาคเหนือ

ที่มาและวัตถุประสงค์ของศูนย์ฯ

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชแห่งนี้เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2560 ณ กองพันซ่อมบำรุงที่ 23 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตและแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทานให้แก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ และทหารกองประจำการที่ปลดประจำการ เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืน

ปัจจุบัน ศูนย์ฯ มีพื้นที่ดำเนินงานรวม 201.25 ไร่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์พืช, อาคารบรรจุเมล็ดพันธุ์พืช, และ โรงเรียนทหารพันธุ์ดี

ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2567

1. แปลงผลิตเมล็ดพันธุ์พืช

ในปีงบประมาณที่ผ่านมา แปลงผลิตฯ สามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ได้ถึง 149.9 กิโลกรัม จากพืช 15 ชนิด นอกจากนี้ยังได้ปลูกพริกชี้ฟ้าแดง, พริกชี้ฟ้าเขียว และผักชีลาว สำหรับทำผักแปรรูป (ผักดอง) เพื่อใช้ในงานกาชาดประจำปี 2567

2. อาคารบรรจุเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน

อาคารนี้จัดเก็บเมล็ดพันธุ์พืช 22 ชนิด น้ำหนักรวมกว่า 591.12 กิโลกรัม ซึ่งสามารถบรรจุซองเพื่อพระราชทานได้ถึง 302,756 ซอง เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ได้ถูกพระราชทานไปแล้วใน 3 โอกาสสำคัญ รวมกว่า 50.03 กิโลกรัม

3. โรงเรียนทหารพันธุ์ดี

โรงเรียนทหารพันธุ์ดีเป็นแหล่งเรียนรู้การปลูกผักแบบอินทรีย์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ฐาน ได้แก่ ฐานการเตรียมดิน, ฐานการเพาะชำกล้า, ฐานการบำรุงดูแลรักษาพืช และฐานการคัดแยกเมล็ดพันธุ์ มีผู้เข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานกว่า 2,867 คน

ความสำคัญของศูนย์ฯ ในชุมชน

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือและขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยมี มูลนิธิชัยพัฒนา และ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริเชียงราย ให้คำปรึกษาและสนับสนุน

งานสำคัญในอนาคต

ในปีนี้ ศูนย์ฯ ได้เตรียมผลผลิตเพื่อใช้ในงานกาชาดประจำปี 2567 ณ สวนลุมพินี และสนับสนุนงาน “ชัยพัฒนาแฟร์ สัญจร” เพื่อขยายผลโครงการและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเกษตรแบบยั่งยืน

พระมหากรุณาธิคุณ

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จทอดพระเนตรการดำเนินงานของศูนย์ฯ นับเป็นครั้งที่ 4 ที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมชมงานของศูนย์ฯ ซึ่งแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่

บทสรุป

ศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชพระราชทาน “เพื่อนช่วยเพื่อน” ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูง แต่ยังเป็นศูนย์กลางแห่งความร่วมมือในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศ ศูนย์ฯ แห่งนี้สะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มั่นคงและยั่งยืน.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ มอบนโยบายแก้ PM2.5 ยั่งยืน เน้นลดไฟป่าภาคเหนือ

นายกฯ ลงพื้นที่แม่ริมถกแผนป้องกันไฟป่า-ฝุ่น PM 2.5 เน้นมาตรการยั่งยืน

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปยังกองพลทหารราบที่ 7 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 สำหรับปี 2568 โดยมีนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ว่าราชการจาก 17 จังหวัดภาคเหนือเข้าร่วม

สรุปสถานการณ์ปี 2567

ในที่ประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่รายงานสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคมถึงพฤษภาคมของทุกปี โดยเฉพาะในปี 2567 พบว่ามีการลดลงของจุดความร้อน (Hotspots) พื้นที่เผาไหม้ และจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ที่เข้ารับการรักษา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 ความสำเร็จนี้เกิดจากการดำเนินงานเชิงรุกและการใช้หลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” โดยมีการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานในทุกระดับ

นายกฯ เน้นย้ำมาตรการแก้ไขปัญหา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ระบุว่าการแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย พร้อมมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พัฒนาแนวทางการแปรรูปวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดการเผาและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องจัดทำพื้นที่เฝ้าระวังให้ชัดเจน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงปัจจัยจากต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศติดตามสถานการณ์และประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพัฒนาระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกำชับให้ดูแลสุขภาพของประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน

ตรวจความพร้อมและมอบกำลังใจ

หลังการประชุม นายกรัฐมนตรีได้ตรวจแถวกำลังพลและความพร้อมของอุปกรณ์ป้องกันไฟป่า พร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือและกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ โดยเน้นย้ำให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง และประสานการทำงานระหว่างหน่วยงานอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการทำงานของทุกฝ่ายอย่างเต็มที่

นางสาวแพทองธารยังกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM 2.5 ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ต้องวางรากฐานเพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาจะเป็นต้นแบบในการสร้างมาตรการที่มีประสิทธิภาพต่อไป

มาตรการระยะยาวและเป้าหมายปี 2568

สำหรับปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าหมายลดจุดความร้อนและค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือให้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน และการสนับสนุนเทคโนโลยีที่ช่วยลดการเผา พร้อมจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจสำหรับรับมือสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

13 โรงพยาบาล รับผลกระทบน้ำท่วม สธ. เปิดศูนย์ฉุกเฉิน “เชียงราย-พะเยา”

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567  นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือของประเทศไทย ว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นใน 3 จังหวัด คือ เชียงราย น่าน และแพร่ แต่มีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินที่ต้องเฝ้าระวัง 2 จังหวัด คือ เชียงรายและพะเยา 

ทั้งนี้ มีสถานพยาบาลได้รับผลกระทบจำนวน 13 แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิม 7 แห่ง ได้แก่ รพ. 2 แห่ง สาธารณสุขอำเภอ 2 แห่ง และ รพ.สต. 9 แห่ง จำนวนนี้ยังเปิดให้บริการตามปกติ 5 แห่ง ปิดบริการ 8 แห่ง คือ แพร่ มี รพ.สต.บุญเกิด และ รพ.สต.สบบง , เชียงราย มี รพ.สต.ตับเต่า และ สสอ.เทิง , แแพร่ มี รพ.สต.น้ำโค้ง รพ.สต.วังธง ร.สต.สบสาย และ สสอ.เมือง

นพ.สุรโชคกล่าวว่า การดูแลสุขภาพประชาชนขณะนี้มีประมาณ 9 พันครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ได้มีการจัดหน่วยแพทย์เข้าไปดูแลตามปกติ ส่วนกลางได้สนับสนุนยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวน 1 พันชุด ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน ยารักษาน้ำกัดเท้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากรายงานจนถึงขณะนี้พบผู้เสียชีวิตสะสมจากเหตุน้ำท่วม 8 ราย บาดเจ็บ 10 ราย รายละเอียดยังต้องรอสรุปอีกครั้ง 

“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้เฝ้าระวังใกล้ชิดและคอยสนับสนุนยาไปให้แก่ผู้ประสบภัย ซึ่งเราก็ส่งไปแล้วประมาณ 1 พันชุด ส่วนใหญ่จะลงไปที่ รพ.สต.เป็นหลัก ส่วน รพ.ใหญ่ยังคงดูแลได้” นพ.สุรโชคกล่าวและว่า สำหรับการประเมินสถานการณ์ใน 6 จังหวัดที่ยังมีปัญหาน้ำท่วม คิดว่าปัญหาอยู่ในระดับเริ่มคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้น 

เมื่อถามถึงการประเมินความเสี่ยงในจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเส้นทางของมวลน้ำที่จะไหลผ่าน จะมีมาตรการรองรับอย่างไร  นพ.สุรโชค กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีการจัดทำแผนรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม ดินโคลนถล่มไว้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นจังหวัดเดิมๆ ที่เคยประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้ว ยกเว้นบางจังหวัดที่ไม่ค่อยได้ประสบปัญหา ส่วนจังหวัดที่อยู่ด้านล่างลงมาและเป็นเส้นทางน้ำผ่านก็มีแผนรับมือแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา แต่มาตรการที่วางไว้สามารถรองรับได้ เพราะก่อนหน้านี้มีการพยากรณ์เอาไว้ว่ามวลน้ำจะเยอะกว่าปีที่ผ่านมา เราจึงมีการทบทวนและซ้อมแผนในพื้นที่ต่างๆ อยู่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News