Categories
NEWS UPDATE

วิกฤตนโยบาย ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยเพิ่ม 11 เท่า! รัฐถูกกดดันให้ “ควบคุม” แทน “แบนอย่างเดียว”

แบนไม่ช่วยลด? ปะทะคารม “บุหรี่ไฟฟ้า” กลางนโยบายสาธารณะไทย ผู้ใช้พุ่ง 11 เท่า–ตลาดมืดเฟื่อง รัฐถูกจี้ทบทวนทางเลือกควบคุมรูปแบบใหม่

เชียงราย, 5 พฤศจิกายน 2568—ท่ามกลางการยืนยันของรัฐไทยต่อหลักการ “ห้ามนำเข้า–ห้ามขาย–ห้ามครอบครอง” บุหรี่ไฟฟ้ามากว่าทศวรรษ เสียงวิจารณ์จากเครือข่ายผู้ใช้และผู้สนับสนุนแนวทาง “ลดอันตรายจากยาสูบ” (tobacco harm reduction) ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อข้อมูลด้านสถิติชี้ว่าจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไม่ได้ลดลงตามเจตนารมณ์การแบน ตรงกันข้าม กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด พร้อมผลข้างเคียงอย่าง “ตลาดมืด” การทุจริต และการเข้าถึงของเยาวชนผ่านออนไลน์ โดยแกนนำกลุ่ม “ลาขาดควันยาสูบ” (ECST) เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดพื้นที่นโยบายใหม่ที่ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” แทนการแบนแบบเบ็ดเสร็จ

 “นโยบายถูก–ผลลัพธ์ผิด?”

ค่ำคืนหนึ่งในชุมชนเมืองภาคเหนือ ผู้ปกครองจับได้ว่าเด็กมัธยมซ่อน พอตใช้แล้วทิ้ง ไว้ในกระเป๋าเสื้อนักเรียน ทั้งที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว “ผิดกฎหมาย” ตามระเบียบไทยมาเป็นเวลากว่าสิบปี เหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และสะท้อนความจริงเชิงนโยบายว่า การแบน เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการหยุดยั้งการใช้ได้ในโลกที่การซื้อขายเคลื่อนไปบนแพลตฟอร์มข้ามพรมแดน

ในทางข้อเท็จจริง รัฐไทยยังยืนบนฐานกฎหมายเดิม—การนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ขณะที่หน่วยงานรัฐทบทวน–ย้ำเตือนต่อเนื่อง เช่น กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต รวมถึงฝ่ายความมั่นคงและท้องถิ่นที่บังคับใช้ร่วมกัน เพื่อ “ปกป้องสุขภาพสาธารณะและเยาวชน” อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงเชิงสังคมชี้ให้เห็นช่องโหว่สำคัญของ อีโคซิสเต็มตลาดมืด ที่เติบโตเร็วกว่าเครื่องมือกำกับดูแลของรัฐหลายก้าว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มโลกว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “มีจำนวนมากและกระจุกตัวในบางภูมิภาค/ช่วงวัย” ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ประเมินผู้ใช้ทั่วโลกระดับ กว่า 100 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศรายได้สูง และมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มทดลองใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินชนิดใหม่นี้ด้วยเหตุผลด้านรสชาติ การตลาด และการรับรู้ว่า “อันตรายน้อยกว่า” บุหรี่เผาไหม้ดั้งเดิม (cigarette) ซึ่ง WHO ย้ำว่าความเสี่ยงด้านสุขภาพของเยาวชนยังเป็นปัญหาหลักที่ทุกประเทศต้องกังวลและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง

ภาพรวมสถานการณ์ไทย “ผู้ใช้เพิ่ม 11.44 เท่า”—สัญญาณเตือนจากตัวเลข

ข้อมูลเชิงสถิติที่ถูกอ้างถึงอย่างกว้างขวางในปี 2567 ระบุว่า จำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 11 เท่า ภายในไม่กี่ปี จากราว 78,742 คน (ปี 2564) เป็น ประมาณ 900,459 คน (ปี 2567) ตัวเลขดังกล่าวถูกนำมาขยายผลในพื้นที่สาธารณะโดยเครือข่ายผู้ใช้และสื่อหลายสำนัก เพื่อชี้ถึง “ความล้มเหลว” ของแนวทาง “แบนอย่างเดียว” ในมิติผลลัพธ์เชิงพฤติกรรม (พฤติกรรมการใช้จริงไม่ได้ลดลง) และเชิงตลาด (สินค้าไหลเข้าสู่ ตลาดมืด)

ในเชิงกฎหมาย ไทยยังคงห้ามนำเข้า–จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายใต้ระเบียบและมาตรการที่หน่วยงานรัฐ เช่น กรมประชาสัมพันธ์ ได้สื่อสารย้ำต่อสาธารณะ โดยระบุชัดว่าการขายบุหรี่ไฟฟ้าในไทยนั้นผิดกฎหมาย และผู้ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง (เช่น กฎหมายศุลกากร/สรรพสามิต/ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ) ซึ่งเป็นฐานอำนาจหลักในการบังคับใช้ร่วมกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ภาพรวมดังกล่าวสร้างคำถาม 3 ประการต่อสังคมและผู้กำหนดนโยบายไทย

  1. เมื่อ “แบน” แล้วเหตุใดผู้ใช้ยังเพิ่ม?
  2. จะลดการเข้าถึงของเยาวชนอย่างไรในโลกดิจิทัลที่ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง?
  3. ประเทศไทยควรเดินหน้าด้วย “แบนต่อ” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” แบบมีเครื่องมือกำกับ (อายุ–ฉลาก–ภาษี–มาตรฐาน–การตลาด) เหมือนหลายประเทศ?

เสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนผู้ใช้ “แบน = ทางตัน” ผลักคนเข้าสู่ตลาดมืด

นายอาสา ศาลิคุปต แกนนำกลุ่ม ลาขาดควันยาสูบ (ECST) ระบุว่า “แม้ไทยจะแบนบุหรี่ไฟฟ้ามากว่า 10 ปี แต่จำนวนผู้ใช้กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด” พร้อมชี้ว่า การแบนทำให้เกิดตลาดมืด การคอร์รัปชัน และการเข้าถึงของเยาวชนที่รัฐควบคุมคุณภาพไม่ได้ ตลอดจนการผสมสารเสพติดแอบแฝงในบางกรณี ย้ำข้อเสนอให้ ทบทวนแนวทางนโยบาย จาก “แบน” ไปสู่ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” โดยอ้างอิงว่าทั่วโลกมี หลายสิบประเทศ ที่ออกกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์นิโคตินชนิดใหม่เหล่านี้แล้ว และใช้มาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันเยาวชนและลดความเสี่ยงสาธารณสุข

ข้อเสนอของ ECST ตั้งอยู่บนตรรกะ “ทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่า” สำหรับผู้สูบที่ “ยังเลิกไม่ได้/ไม่อยากเลิก” ซึ่งควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและช่องทางเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย (เช่น มาตรฐานสารเคมี/ปริมาณนิโคติน/การติดฉลากคำเตือน/ระบบติดตามย้อนกลับสินค้า) ภายใต้กรอบควบคุมของรัฐอย่างเข้มงวด เทียบเคียงกับกฎเกณฑ์ด้านการตลาด การโฆษณา และการจัดเก็บภาษีแบบบุหรี่เผาไหม้

มุมมองสาธารณสุขและกรอบ WHO FCTC “เยาวชนมาก่อน” และหลักระวังไว้ก่อน

ในอีกด้านหนึ่ง ชุมชนนักวิชาการการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึงผู้กำหนดนโยบายไทยจำนวนมากยังยึดแนวคิด “ระวังไว้ก่อน” (precautionary principle) บนฐานวิชาการที่ระบุถึง อันตรายของนิโคตินต่อสมองวัยรุ่น และความเสี่ยงต่อปอด–หัวใจจากไอระเหยเคมีของบุหรี่ไฟฟ้าบางชนิด โดยเฉพาะความหลากหลายของผลิตภัณฑ์/สารแต่งกลิ่น/ความเข้มข้นนิโคติน และพฤติกรรมการใช้ที่แตกต่างกัน ซึ่ง WHO ก็เตือนอย่างต่อเนื่องให้ “ควบคุมอย่างเข้มงวด” และ “กำจัดการเข้าถึงของเยาวชน” เป็นอันดับแรก

สาระสำคัญของ WHO FCTC ที่ประเทศไทยเป็นภาคี (กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ) คือการลดความชุกของการใช้ยาสูบทุกรูปแบบและป้องกันเยาวชนเริ่มใช้ โดยทิศทางการประชุมระดับโลกในช่วงหลังตอกย้ำมาตรการควบคุมการตลาด กลิ่น–รส–บรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดเยาวชน รวมทั้งการกำกับการขายออนไลน์ข้ามแดน ซึ่งประเทศต่างๆ นำไปปรับใช้แตกต่างกัน—บางประเทศ อนุญาตแบบควบคุมเข้ม (อายุขั้นต่ำ ภาษีสูง มาตรฐานผลิตภัณฑ์ โควตา/ใบอนุญาต) ขณะที่บางประเทศ แบน ทั้งระบบ

โลกภายนอก ผู้ใช้กว่า “100 ล้านคน”—โจทย์นโยบายที่ไม่มีสูตรสำเร็จเดียว

ภาพใหญ่ระดับโลกที่ WHO และสื่อเศรษฐกิจนานาชาติสรุปไว้ คือจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า มากกว่า 100 ล้านคน และกระจุกตัวสูงในประเทศรายได้สูง (ผู้ใหญ่กว่า 86 ล้านคน) ขณะเดียวกันกลุ่มเยาวชนวัย 13–15 ปีก็ยังอยู่ในเรดาร์ความเสี่ยง ทั้งการเริ่มทดลองใช้และการใช้ประจำในบางประเทศ—บริบทนี้ทำให้แต่ละรัฐต้อง “ออกแบบนโยบายตามโจทย์จริงของตัวเอง” โดยชั่งน้ำหนักระหว่าง การคุ้มครองเยาวชน และ เครื่องมือกำกับพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ยอมเลิกง่าย ๆ

ไทยในทางแพ่งและอาญา กฎหมายยัง “ห้าม” แต่การบังคับใช้ต้องปรับให้ทันยุค

แม้กฎหมายไทยยังคง “แบน” แต่ ความท้าทายของการบังคับใช้ คือธรรมชาติสินค้าที่เล็ก พกพาง่าย ซ่อนง่าย ซื้อผ่านออนไลน์–ข้ามแดนได้ และมีช่องทางลำเลียงที่สลับซับซ้อน ทำให้ “อุปสงค์” ที่ยังมีอยู่ผลักดันให้ อุปทาน จากต่างประเทศเล็ดลอดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนจากการจับกุม–ยึดของกลางเป็นระยะ และการรณรงค์เตือนภัยจากหน่วยงานรัฐซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในเชิงออกแบบนโยบาย หลายฝ่ายชี้ว่าหากไทยยังคงแนวทาง “แบน” จำเป็นต้องเร่งสร้าง กลไกปิดประตูตลาดมืด ให้แน่นหนากว่าเดิม ได้แก่

  • ความร่วมมือ ปิดช่องทางออนไลน์ กับแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ/โซเชียล,
  • การติดตาม เส้นทางการเงิน และผู้ค้ารายใหญ่,
  • การบังคับใช้กับ ตัวกลางโลจิสติกส์ และจุดผ่านแดน,
  • การเสริม ทักษะสืบสวนดิจิทัล ของตำรวจและพนักงานสอบสวน,
  • การสื่อสารสาธารณะกับผู้ปกครอง–สถานศึกษาในการสังเกตและป้องกันการใช้ในเยาวชน

 “แบนต่อ–คุมเข้ม” หรือ “ปลดล็อกบางส่วน–คุมเข้มกว่าเดิม”

ฉากทัศน์นโยบาย ที่เป็นไปได้สำหรับไทยมีอย่างน้อย 2 แนว

1) แบนต่อไป แต่ยกระดับการบังคับใช้แบบ “ทั้งระบบ”

  • พัฒนา ระบบสืบสวนการค้าออนไลน์ ร่วมกับแพลตฟอร์ม
  • ไล่ปิดเครือข่าย เส้นทางเงิน–โกดัง–ขนส่ง ด้วยกฎหมายฟอกเงิน/ศุลกากร
  • เพิ่ม โทษปรับสูง–ริบทรัพย์ สำหรับผู้ค้ารายใหญ่
  • ทำ แคมเปญเลิกบุหรี่เชิงพฤติกรรม เจาะกลุ่มเสี่ยงเฉพาะ
  • เฝ้าระวัง โรงเรียน/สถานบันเทิง/ชุมชนเมือง ด้วยทีมพหุหน่วยงาน

2) ปลดล็อกบางส่วนภายใต้ “ระเบียบเข้มกว่าบุหรี่ปกติ” (ตัวอย่างจากหลายประเทศ)

  • จำกัด อายุขั้นต่ำ และ KYC ทุกจุดขาย (ออฟไลน์–ออนไลน์)
  • บังคับมาตรฐาน ปริมาณนิโคติน–ส่วนผสม–ฉลากเตือน–บรรจุภัณฑ์เรียบ
  • เกณฑ์ ใบอนุญาตร้านค้า (โควตา) และ ระบบติดตามย้อนกลับสินค้า
  • เก็บ ภาษีสรรพสามิตแบบขั้นบันได และปิดช่องว่างราคากับบุหรี่เผาไหม้
  • ห้ามรส–กลิ่น ที่ดึงดูดเยาวชน/ห้ามโฆษณา/จำกัดการจัดวาง
  • สร้าง ฐานข้อมูลไม่ระบุตัวตน เพื่อติดตามพฤติกรรมและผลกระทบจริง

แนวทางที่สองเป็น “การยอมรับความจริงเชิงพฤติกรรม” ว่ามีผู้ใหญ่จำนวนมากที่ยังไม่เลิก และหากต้องอยู่กับปัญหาในโลกจริง การควบคุมคุณภาพ–เส้นทางจำหน่าย–การตลาด อาจช่วยลดอันตรายโดยรวมได้ ขณะเดียวกันต้อง “ปิดประตูเยาวชน” ให้แน่นกว่าเดิมอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นข้อเสนอใจกลางของกลุ่มผู้ใช้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายสาธารณสุขย้ำว่าความเสี่ยงระยะยาวของสารบางชนิดในบุหรี่ไฟฟ้ายังต้องการหลักฐานเพิ่ม การตัดสินใจจึงควรอยู่บนฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ดีและการติดตามผลหลังนโยบายอย่างใกล้ชิด

มิติ “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ทำไมต้องฟัง “ทุกฝ่าย”

การกำหนดนโยบายที่ แตะทั้งสุขภาพ–เศรษฐกิจ–สิทธิเสรีภาพ–กฎหมาย ต้องฟังและชั่งน้ำหนักหลายเสียง

  • ฝ่ายสาธารณสุข/การแพทย์ เน้น “เยาวชนมาก่อน” ลดการเริ่มใช้ใหม่ และ หลักระวังไว้ก่อน ต่อความเสี่ยงระยะยาว
  • ฝ่ายบังคับใช้กฎหมาย ต้องการเครื่องมือ ปิดตลาดมืด และปราบ “รายใหญ่–ข้ามชาติ”
  • ผู้ใช้/ผู้ไม่เลิก ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและ ทางเลือกที่เสี่ยงน้อยลง
  • สถานศึกษา/ผู้ปกครอง ห่วงการเข้าถึงของเยาวชน กลิ่น–รส–บรรจุภัณฑ์ที่ “เป็นมิตรกับเด็ก”
  • ผู้กำหนดนโยบายการคลัง พิจารณา ภาษี–รายได้รัฐ–ต้นทุนสาธารณสุข
  • ประชาชนทั่วไป ต้องการ ความชัดเจน ไม่สับสนระหว่าง “ผิดกฎหมาย” กับ “เห็นขายทั่วไป”

การเปิดเวที “พูดคุยบนฐานข้อมูล” ระหว่างทุกฝ่ายคือเงื่อนไขสำคัญ—ไม่ว่าทางเลือกสุดท้ายจะเป็น “แบนต่อ” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย”

ประเด็นย่อยที่สังคมควรถาม–รัฐควรตอบ

  1. เยาวชนอยู่ตรงไหนของสมการ?
    ต้องกำหนดเป้าหมาย–มาตรการ–ตัวชี้วัดเฉพาะเยาวชน (ห้ามรส–กลิ่น, geo-fencing การขายออนไลน์, ตรวจอายุ KYC 100%, ปรับหนักร้านที่ฝ่าฝืน)
  2. จะปิดตลาดมืดอย่างไร?
    แม้จะแบนหรือจะควบคุม ก็ต้องปิด ห่วงโซ่อุปทานผิดกฎหมาย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยเครื่องมือทางการเงิน–ศุลกากร–ดิจิทัลฟอเรนสิก
  3. ถ้าจะ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” ต้องเข้มกว่าบุหรี่ปกติ
    เพราะผลิตภัณฑ์นี้ “มาไว–ไปไว–แปลงรูปแบบได้เร็ว” จำเป็นต้องมี มาตรฐานผลิตภัณฑ์ และ ระบบติดตามย้อนกลับ ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้
  4. ระบบข้อมูลประเทศ (national registry) อยู่ที่ไหน?
    ไม่ว่าทางไหน ไทยต้องมี ฐานข้อมูลพฤติกรรมการใช้จริง ที่ไม่ระบุตัวตน เพื่อประเมินผลกระทบหลังนโยบายอย่างต่อเนื่อง ไม่ยึดติดเพียงภาพรวม/ข่าวเชิงกระแส

คำกล่าว–มุมเสียง

นายอาสา ศาลิคุปต (ECST) “แบนมากว่า 10 ปี แต่ผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แสดงว่านโยบายแบนไม่ได้ลดการใช้ กลับผลักให้เกิดตลาดมืด และทำให้เด็กเข้าถึงผ่านออนไลน์ง่ายขึ้น รัฐควรเปิดทางเลือกใหม่ที่ควบคุมได้จริง”

นักระบาดวิทยาโรคไม่ติดต่อ (มุมสาธารณสุข—สรุปสาระจาก WHO) “ประเด็นเยาวชนต้องมาก่อน นิโคตินกระทบการพัฒนาสมองวัยรุ่น แม้ผู้ใหญ่บางส่วนอาจมองว่าเสี่ยงน้อยกว่า แต่สำหรับเด็กและวัยรุ่น เราต้องปิดประตูให้แน่นที่สุด”

ทางแยกของนโยบายบุหรี่ไฟฟ้าไทย

ข้อถกเถียง “แบน” หรือ “ควบคุมภายใต้กฎหมาย” สะท้อน ความจริงเชิงพฤติกรรม และ แรงเสียดทานเชิงนโยบาย ที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวเลขผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปี (มากกว่า 11 เท่า) ชี้ว่าการแบนเพียงอย่างเดียวอาจไม่บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านสุขภาพเยาวชน และ ความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การ “ปลดล็อก” โดยไม่มีระบบคุมเข้มยิ่งเสี่ยง

ดังนั้น ทางที่ยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่ “เลือกขาวหรือดำ” หากแต่อยู่ที่ “ออกแบบระบบ” ให้ตอบโจทย์ การคุ้มครองเยาวชนเต็มรูปแบบ, การปิดตลาดมืดเชิงโครงสร้าง, และ การจัดการพฤติกรรมผู้ใหญ่ที่ยังไม่เลิก ด้วยเครื่องมือรัฐสมัยใหม่ ทั้งภาษี มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ การตลาด และการบังคับใช้ดิจิทัล—พร้อมฐานข้อมูลชาติที่ติดตามผลหลังนโยบายอย่างโปร่งใส

โจทย์ของไทยจึงไม่ใช่ “จะเอา/ไม่เอา บุหรี่ไฟฟ้า” แต่คือ “จะออกแบบนโยบายที่ปกป้องเด็ก–ลดอันตราย–และหยุดตลาดมืดได้จริง” ในโลกที่สินค้า–การตลาด–พฤติกรรม เคลื่อนที่เร็วกว่ากฎหมายเสมอ

สถิติสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  • ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทย: ประมาณ 900,459 คน (ปี 2567) เพิ่มขึ้น 11.44 เท่า จากปี 2564 (อ้างอิงสื่อเศรษฐกิจไทยที่อ้างข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ)
  • ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลก: มากกว่า 100 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ในประเทศรายได้สูง และมีเยาวชนจำนวนมากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงตามรายงาน–บทวิเคราะห์ของ WHO/สื่อเศรษฐกิจนานาชาติ
  • สถานะกฎหมายไทย: ห้ามนำเข้า–จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า มีโทษตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานรัฐย้ำเตือนต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Bangkok Biz News
  • สยามรัฐ (Siamrath)
  • Public Relations Department (กรมประชาสัมพันธ์)
  • Financial Times
  • Reuters
  • Matichon
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้ใหญ่สูบ เด็กป่วย! อันตรายควันมือ 2-3 บุหรี่ไฟฟ้า

บุหรี่ไฟฟ้าภัยร้าย! เด็กปอดพัง IQ ลด

กรุงเทพฯ, 18 มีนาคม 2568 – วงเสวนาเตือนภัยควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลร้ายแรงต่อเด็ก

พญ.พิมพ์ชนก จันทร์สวัสดิ์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) กล่าวในวงเสวนา ร่วมป้องกันเด็กเล็กจากควันบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งจัดโดย มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) และได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร กรุงเทพฯ โดยเน้นถึงอันตรายของ ควันบุหรี่มือสองและมือสาม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กเล็กและทารกในครรภ์

บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายกว่าที่คิด

พญ.พิมพ์ชนก อธิบายว่า บุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าล้วนมีสารนิโคติน ซึ่งทำให้เกิดการเสพติด โดยนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามักเป็น นิโคตินสังเคราะห์ ที่สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้มากกว่าบุหรี่มวน นอกจากนี้ บุหรี่ไฟฟ้ายังมีสารโลหะหนัก เช่น เหล็ก นิกเกิล และแคดเมียม ที่เกิดจากขดลวดภายในอุปกรณ์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจโดยตรง

การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเหมือนกับการสูดโลหะหนักเข้าไปเต็ม ๆ ไม่ต่างจากการเดินผ่านร้านอ็อกเหล็กแล้วหายใจเอาสารพิษเข้าไปในปอด” พญ.พิมพ์ชนกกล่าว

บุหรี่ไฟฟ้าซอมบี้ และอันตรายจากสารเสพติดแฝง

อีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือ น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบันสามารถผสมสารเสพติด เช่น เอโทมีเดท (Etomidate) และเคตามีน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ใช้ในทางการแพทย์ ทำให้เกิดอาการมึนเมาหรือถึงขั้นหมดสติ ทั้งนี้ บุหรี่ไฟฟ้าหลายรูปแบบยังถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายของเล่น (Toypod) เพื่อจูงใจให้เด็กและเยาวชนทดลองใช้

ผลกระทบของควันบุหรี่ต่อเด็กและทารก

เด็กมี อัตราการหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทำให้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายมากกว่า นอกจากนี้ ปอดของเด็กมีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่ถึง 100 เท่า ทำให้ได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า กรณีของเด็ก 12 ปี ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพียงไม่กี่เดือนจนปอดพังและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเป็นตัวอย่างของอันตรายที่เกิดขึ้นจริง

หากเด็กจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะปอดล้มเหลว แต่ยังไม่มีการรักษาที่เหมาะสม เช่น การปลูกถ่ายปอด ประเทศอาจเผชิญปัญหาสุขภาพในระดับวิกฤติ” พญ.พิมพ์ชนกกล่าว

ควันบุหรี่มือสองและมือสาม ภัยเงียบที่เลี่ยงไม่ได้

ควันบุหรี่มือสอง คือควันที่ผู้ไม่สูบต้องสูดดมจากผู้ที่สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง เช่นเดียวกับ ควันบุหรี่มือสาม ซึ่งหมายถึงสารพิษที่ตกค้างตามเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ และในอากาศภายในบ้านหรือรถยนต์

กรณีตัวอย่าง คุณตาผู้สูบบุหรี่ ซึ่งพาหลานเข้ารักษาในห้อง ICU เนื่องจากอาการหอบหืดกำเริบอย่างรุนแรง เมื่อแพทย์ขอให้เลิกบุหรี่ ผู้ตาตอบว่า ‘เดี๋ยวก็แก่ตายแล้ว’ แต่เมื่อแพทย์อธิบายว่า หลานอาจเสียชีวิตก่อนเพราะผลกระทบจากควันบุหรี่ สุดท้ายจึงยอมเลิกสูบ และสุขภาพของเด็กดีขึ้น

เราไม่มีทางสูบบุหรี่โดยไม่ทำร้ายผู้อื่นได้ เพราะสารพิษจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงตกค้างและกระจายอยู่ในอากาศที่ทุกคนต้องสูดดม” พญ.พิมพ์ชนกกล่าวทิ้งท้าย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเด็ก

ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข ปี 2567 ระบุว่า:

  • เด็กไทยกว่า 30% อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีผู้สูบบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้า
  • จำนวนเด็กที่เข้ารับการรักษาด้วยโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจากควันบุหรี่เพิ่มขึ้น 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ควันบุหรี่มือสองเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกว่า 65,000 รายต่อปีในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีทั่วโลก

สรุป

การสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงเป็นอันตรายต่อตัวผู้สูบเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะควันบุหรี่มือสองและมือสามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้และการออกมาตรการป้องกันที่เข้มงวด จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยขึ้นสำหรับเด็กไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข, 2567 / คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

จับบุหรี่ไฟฟ้า 260,000 ชิ้น นายกฯ สั่งขยายผล

ปฏิบัติการทลายเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า Operation Smoke Out

นนทบุรี, 18 มีนาคม 2568 – นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พร้อมด้วย นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และคณะ ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ Operation Smoke Out ที่สามารถบุกยึดโกดังเก็บบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี พบของกลางมากกว่า 260,000 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 130 ล้านบาท

รัฐบาลย้ำความจริงจังในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ทำงานร่วมกันปราบปรามเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน พร้อมกำชับให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เดินหน้าสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยเน้นการปราบปรามทั้งระดับผู้ค้าปลีกและเครือข่ายนำเข้า

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หากพบเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่มีข้อยกเว้น

กระบวนการสืบสวนและผลการจับกุม

ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นผลจากการสืบสวนที่ใช้เวลานานถึง 8 เดือน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลร่วมกับตำรวจภูธรภาค 1 และฝ่ายปกครองจังหวัดนนทบุรีได้เข้าตรวจค้น 10 จุด ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ยึดของกลางได้ดังนี้:

  • พอตบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมใช้ หัวพอต และน้ำยาสำหรับเติมแต่งกลิ่นต่าง ๆ กว่า 260,000 ชิ้น
  • คลังเก็บสินค้าเครือข่ายบุหรี่ไฟฟ้า 6 จุด
  • บ้านพักที่ใช้เป็นจุดกระจายสินค้า 4 จุด

จากการจับกุมพบ ผู้เกี่ยวข้อง 5 ราย ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ดูแลสินค้าและจัดจำหน่าย ส่วนเจ้าของเครือข่ายหลัก เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามตัว

เส้นทางการนำเข้าและกระบวนการจำหน่าย

เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า เครือข่ายนี้ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าผ่านทางท่าเรือแหลมฉบังจากประเทศจีน และกระจายสินค้าไปทั่วประเทศผ่านระบบออนไลน์ การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการตัดวงจรธุรกิจมูลค่าสูงของเครือข่ายดังกล่าว

บทลงโทษทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ดังนี้:

  • พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 ฐานขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างผิดกฎหมาย
  • พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 246 วรรค 1 ฐานช่วยซ่อนเร้นและช่วยจำหน่ายสินค้าหนีภาษี
  • ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2557 ฐานนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าซึ่งเป็นสินค้าต้องห้าม
  • พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 242 ฐานนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้ผ่านพิธีการทางศุลกากร

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO) ปี 2567 ระบุว่า:

  • อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนไทยเพิ่มขึ้น 30% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • กลุ่มอายุ 15-24 ปี เป็นกลุ่มที่มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด
  • ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายในไทยมีมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี

สรุป

ปฏิบัติการ Operation Smoke Out ครั้งนี้เป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายในประเทศไทย รัฐบาลยืนยันจะดำเนินการปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้อย่างเข้มงวด พร้อมยกระดับมาตรการป้องกันเพื่อให้เยาวชนไทยปลอดภัยจากภัยคุกคามของบุหรี่ไฟฟ้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO), 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายกวาดล้างร้านลักลอบขายน้ำกระท่อมให้เยาวชน

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งเบาะแสจากครูและผู้ปกครอง ว่ามีร้านจำหน่ายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในช่วงเวลาเรียนและหลังเลิกเรียน มักมีนักเรียนและนักศึกษามารวมตัวกันที่ร้านดังกล่าวเพื่อดื่มน้ำกระท่อมและสูบบุหรี่ไฟฟ้า

การลงพื้นที่และการตรวจสอบ

การดำเนินการครั้งนี้อยู่ภายใต้การอำนวยการของนายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกับนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจ โดยนำทีมโดยนายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมงานจากกองอาสารักษาดินแดนและตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย

เวลา 15.30 น. เจ้าหน้าที่ได้วางแผนเข้าตรวจสอบร้านต้องสงสัย ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงราย บริเวณบ้านเลขที่ 14 หมู่ 8 ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จากการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่าร้านดังกล่าวมีการจำหน่ายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้าจริง และพบว่ามีเด็กนักเรียนในชุดนักเรียนและชุดพละเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก โดยสั่งน้ำกระท่อมมาดื่มในร้าน

การตรวจค้นและจับกุม

ต่อมาเวลา 16.20 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบ พบว่าร้านดังกล่าวเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ซึ่งชั้นล่างของหลังแรกเปิดเป็นร้านกาแฟที่มีการแอบขายน้ำกระท่อม ส่วนอีกหลังเป็นจุดลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยภายในร้านมีผู้ใช้บริการกว่า 30 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีนักเรียนอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 9 คน กำลังดื่มน้ำกระท่อมอยู่

จากการสอบถามพนักงานของร้าน พบว่ามีการต้มน้ำกระท่อมในร้านแล้วบรรจุใส่แกลลอนขนาด 6 ลิตร จากนั้นนำมาผสมกับน้ำอัดลมและยาอเลอร์ยิ่น ซึ่งเป็นยาบรรเทาอาการแพ้และคัดจมูก เพื่อเพิ่มความเข้มข้นและรสชาติ ก่อนที่จะเสิร์ฟให้ลูกค้าในราคาแก้วละ 50 บาท และหากต้องการเพิ่มรสชาติด้วยน้ำหวานจะคิดเพิ่มเป็นแก้วละ 60 บาท

ของกลางที่ตรวจพบ

จากการตรวจค้นพบของกลาง ได้แก่:

  • น้ำกระท่อมในแกลลอน 6 ลิตร จำนวน 4 แกลลอน
  • ยาอเลอร์ยิ่น จำนวน 54 ขวด
  • บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 40 ชิ้น
  • น้ำกระท่อมบรรจุขวดและหม้อสำหรับต้มน้ำกระท่อม

ดำเนินคดีตามกฎหมาย

หลังจากการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ได้สอบถามใบอนุญาตในการจำหน่ายน้ำกระท่อมและบุหรี่ไฟฟ้า แต่เจ้าของร้านไม่สามารถแสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ จึงถูกนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดของกลางทั้งหมดและส่งมอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

การดำเนินการครั้งนี้เป็นการร่วมมือของหน่วยงานหลายฝ่ายในจังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบและปราบปรามการจำหน่ายสารเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและปราศจากสิ่งมอมเมาให้แก่ชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพยุว อสม.ต้านภัยบุหรี่ไฟฟ้า

 

เมื่อวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2567 เวลา 10.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย พบปะเด็กและเยาวชนผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพยุว อสม.ต้านภัยบุหรี่ไฟฟ้า (ANTI-ELECTRIC CIGARETTED) และโครงการส่งเสริมความรู้และพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย กิจกรรม “Safe Sex Safe Me” ณ โรงแรมลักษวรรณ รีสอร์ท อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทยและองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในโทษและพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นในปัจจุบันและเพื่อลดสถิติการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงรายที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต จากสถานการณ์การสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 สำรวจคนไทยอายุ 15 ปี ขึ้นไป จำนวน 57 ล้านคน พบว่ามีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 80,000 คน ในจำนวนนี้ มีมากกว่าครึ่งเป็นเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15-24 ปี สอดคล้องกับข้อมูลผลการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนในไทย ปี 2564 
 
โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ใช้บุหรี่ไฟฟ้า แล้ว 13.6% ซึ่งการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในหลายด้าน เช่น ระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือดและสมอง ศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายภายใต้ อบจ.เชียงราย ได้เล็งเห็นปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงรายที่มีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ใกล้เคียงสถานศึกษา ศูนย์เยาวชนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จึงได้จัดโครงการพัฒนาศักยภาพยุว อสม.ต้านภัยบุหรี่ไฟฟ้า (ANTI-ELECTRIC CIGARETTED) ขึ้น
 
และโครงการส่งเสริมความรู้และพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย กิจกรรม “Safe Sex Safe Me” จากข้อมูลผลสำรวจจากกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ในการเฝ้าระวัง พฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัยของเด็กและเยาวชน ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 1– 31 ม.ค. 2567 จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 15,425 คน เป็น ชาย 6,685 คน หญิง 7,926 คน และผู้มีความหลากหลายทางเพศ 814 คน พบว่าเด็กและเยาวชนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเฉลี่ย 16.5 ปี และอายุต่ำสุดที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อายุ 12 ปี พบกลุ่มตัวอย่างกว่าครึ่ง เคยมีเพศสัมพันธ์ 7,847 คน ในจำนวนนี้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ร้อยละ 43 ใช้บางครั้งและเกือบทุกครั้ง ร้อยละ 33 และไม่ใช้เลย ร้อยละ 24 จังหวัดเชียงรายตั้งเป้าหมายเป็นจังหวัดยุติเอดส์ในปี 2573 จังหวัดเชียงรายได้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปัญหาเอดส์จังหวัดเชียงราย ดังนี้ 
 
1.ลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ รณรงค์ สร้างความเข้าใจให้ประชาชนทั่วไปในเรื่องเอชไอวี พร้อมจัดบริการที่เป็นมิตร ให้การปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี ส่งเสริมสถานศึกษาให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา ทักษะชีวิตอนามัยการเจริญพันธุ์ 
 
2.ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวี รักษาผู้ติดเชื้อทุกคนด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี โดยเริ่มยาให้เร็วและตรวจวินิจฉัยติดตามทารกที่คลอดจากแม่ติดเชื้อ สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อกินยาสม่ำเสมอตลอดชีวิต ลดการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศสภาวะ 
 
โดยไม่มีการบังคับตรวจหาเชื้อเอชไอวี และต้องไม่เอามาเป็นเงื่อนไขในการรับสมัครหรือให้ออก เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานหรือเข้าเรียน หรือประกอบการเลื่อนตำแหน่ง เพื่อให้บุคคลเข้ารับการอุปสมบทได้ โดยไม่ต้องใช้ผลตรวจเอชไอวี และส่งเสริมให้ลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีในชุมชน 
 
จึงได้จัดโครงการสร้างแกนนำเยาวชนนักรณรงค์บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา ขึ้น เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงการให้บริการถุงยางอนามัยของเด็กและเยาวชน สร้างความตระหนักรู้ความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัย ผลักดันให้เกิดนโยบายและแผนการดำเนินงานส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยในระดับจังหวัด ซึ่งนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เด็กและเยาวชนสามารถพก ใช้ และซื้อถุงยางอนามัยได้อย่างไร้ความกังวล
 
เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงการให้บริการถุงยางอนามัยของเด็กและเยาวชน สร้างความตระหนักรู้ความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัย ผลักดันให้เกิดนโยบายและแผนการดำเนินงานส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยในระดับจังหวัดทำให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการให้บริการถุงยางอนามัยมากขึ้นเด็กและเยาวชนตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการใช้ถุงยางอนามัย เกิดนโยบายและแผนการดำเนินงานส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งเปิดปฏิบัติการจับซ้ำ บุหรี่ไฟฟ้าร้านเดิม ลักลอบขายอีกครั้ง

 

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สั่งเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” จัดระเบียบสังคมฯ ป้องกันเด็ก เยาวชน นักเรียน และนักศึกษา ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ตามนโยบาย มท.1 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้ทำการจับกุมร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ชื่อร้าน P-VAPE ตั้งอยู่ที่ 197/8 หมู่ที่ 15 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งขณะนั้นจำกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 4 คน แสดงตัวเป็นผู้ดูแลร้าน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ได้ทำการสืบทราบมาว่า ร้านดังกล่าวกลับมาเปิดลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอีกครั้ง แต่เปลี่ยนสถานที่ และรูปแบบในการจำหน่าย โดยมีการตั้งกลุ่มไลน์ในการซื้อขาย นัดรับ และส่งของ โดยในไลน์กลุ่มจะพบว่าร้านดังกล่าวมีสาขาอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย อีกสองสาขา ได้แก่ สาขาตะวันแดง และสาขาบ้านดู่เมืองใหม่ โดยจะใช้วิธีการโอนเงินแต่เพียงอย่างเดียว โดยชื่อบัญชีผู้รับโอนจะเป็นคนเดียวกันซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนครปฐม แล้วผู้ใช้บริการถึงเลือกว่าจะให้ทางร้านส่งของให้ผ่านทางไรเดอร์ หรือนัดรับตามจุดที่ทางร้านแจ้ง ซ้ำร้านดังกล่าวยังมีการจัดโปรโมชั่นลดราคาต้อนรับเปิดเทอม ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันทุกสาขา อันเป็นการมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มเด็ก เยาวชน นักเรียน และนักศึกษา และเป็นการมอมเมา เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเป็นอย่างมาก

 

     ภายใต้การอำนวยการของ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย  พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย และ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ได้สั่งการให้ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจ นำโดยนายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 พร้อมเจ้าหน้าที่บูรณาการร่วมออกปราบปรามร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ให้แก่เด็ก เยาวชน นักเรียน และนักศึกษา วันที่ 3 กรกฎาคม 2567 เวลา 14.20 น. เจ้าหน้าที่จึงได้วางแผนเข้าตรวจสอบร้านดังกล่าว โดยวิธีล่อซื้อ และปลอมตัวเป็นไรเดอร์เพื่อเข้าทำการจับกุม และอีกชุดซุ่มดูพฤติกรรมอยู่บริเวณบ้านเช่าที่คาดว่าเป็นที่เก็บบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งระหว่างที่ทำการซุ่มดูอยู่ประมาณ 15 นาที ทางร้านมีการออกไปส่งของกว่า 5 ครั้ง และมีไรเดอร์เข้ามารับของอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำการตกลงซื้อขายและนัดรับของ โดยทางร้านแจ้งให้มารับของที่บริเวณ ข้างวิทยาลัยเทคนิค เชียงราย โดยผู้ส่งของได้ออกจากบ้านเช่าเลขที่ 194/39 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยใช้มอเตอร์ไซต์ ออกมาส่งของ เมื่อมาถึงจุดรับรับเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัว พร้อมพามาตรวจค้นในบริเวณบ้านเช่า ซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว จากการตรวจสอบพบผู้ดูแล จำนวน 2 คน เป็นหญิงและหนึ่งในนั้น เคยถูกจับมาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 จากการตรวจสอบพบบุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวนกว่า 300 ชิ้น มูลค่ากว่า แสนบาท ยังพบบัญชีซึ่งมีรายได้ต่อเดือนกว่า 500,000 บาท และเจ้าหน้าที่ยังพบคำสั่งปิดร้าน ร้าน P-VAPE ตั้งอยู่ที่ 197/8 หมู่ที่ 15 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย อยู่ในบ้านเช่าหลังดังกล่าวด้วย เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ดูแลทั้ง 2 ราย โดยแจ้งข้อหา 

 

           1) ได้มีการซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

          2) ขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

           เจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกล่าวโทษเจ้าของบัญชี ต่อไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้ปราบปรามร้านทั้งเปิดหน้าร้านและขายออนไลน์ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

‘หมอเอก’ ย้ำ ไม่สนับสนุนให้ใครสูบบุหรี่ แต่แก้ปัญหาทับซ้อน ทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆ

 
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ หรือ หมอเอก อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุขเรื่องปัญหาการควบคุมยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “หมอเอก Ekkapob Pianpises” เกี่ยวกับข้อเสนอในเรื่องมาตรการการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าจากที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า
 
 
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” จากข้อสรุปของที่ประชุม คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งได้มีข้อเสนอเรื่องมาตรการควบคุม บุหรี่ไฟฟ้า สรุปได้ 5 ข้อ 
1.พัฒนาการจัดการความรู้ 
2.สร้างการรับรู้ 
3.เฝ้าระวังการบังคับใช้กฏหมาย 
4.พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย 
5.ยืนยันมาตราการป้องกัน-ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า 
 
 
ทั้ง 5 ข้อนั่นก็คือการ doing the same thing over and over (ทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ) แล้วเราจะหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างได้หรือ? เมื่อแปลความหมายจากข้อเสนอ โดยเฉพาะข้อ 1-4 มีความหมายอะไรแอบแฝงหรือไม่ 
 
 
ข้อ 1-2-4 มีงบประมาณหลักจาก สสส. ปีละกว่า 300 ล้านบาทในการแจกให้ “เครือข่าย” ซึ่งอยากให้สังคมช่วยกันดูว่าเครือข่ายที่ว่าคือใคร คือกลุ่มไหน คือองค์กรไหน แล้วได้เงินไปปีละเท่าไหร่ 
 
ข้อ 3 เป็นหน้าที่หลักของกรมควบคุมโรค และ อนุกรรมการด้านกฏหมายของคณะกรรมการควบคุมยาสูบแห่งชาติ โดยงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานควบคุมยาสูบส่วนหนึ่งได้รับจาก สสส. ทั้งงบประมาณทำกิจกรรมต่างๆ และแม้กระทั่งงบประมาณจ้างบุคลากร 
 
นำมาสู่ข้อ 5 คือการเสนอให้ใช้วิธีการเดิมๆ ให้คนกลุ่มเดิมๆ ที่ทำแล้ว “ล้มเหลว” แบบเดิมๆ ?!!! สิ่งต้องทำคือ “การควบคุมยาสูบ” นั่นหมายถึงการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า-ยาเส้น ในภาพรวม โดยต้องมีเป้าหมาย “สังคมไร้ควัน” หมายถึงมีอัตราคนสูบยาสูบน้อยกว่า 5% จากที่ตอนนี้อัตราผู้สูบยาสูบมีประมาณ 17-18% ดังนั้น หากเห็นแก่ประโยชน์ด้านสุขภาพของประชาชน การทำข้อเสนอนโยบายยาสูบจึงควรทำเพื่อประชาชน ไม่ใช่พอเห็นข้อเสนอแล้วเหมือนเรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณให้กลุ่มเครือข่ายหน้าเดิมๆ มาทำกิจกรรมเดิมๆ แต่หวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง แบบนี้เรียกว่า Insane แต่ประชาชนและผู้ติดตามประเด็นสาธารณสุขไม่ได้ Insane และไม่ได้ Innocent ที่จะตามไม่ทันว่าข้อเสนอนี้ใครได้ประโยชน์ !!!
 
 
ซึ่งเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม หมอเอก อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการการสาธารณสุขเรื่องปัญหาการควบคุมยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า 31 พฤษภาคม ของทุกปีถือเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก กับประเทศไทยที่โหมทำกิจกรรมเกี่ยวกับ บุหรี่ไฟฟ้า เหมือนกับจะเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจที่ ความล้มเหลวในการควบคุมยาสูบ ?!!!
 
 
ตั้งแต่ปี 2545 ที่มีองค์กรอย่าง สสส.
ตั้งแต่ปี 2557 มีประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้า
ตั้งแต่ปี 2560 มี พรบ.ควบคุมการบริโภคยาสูบ
 
 
มีงบประมาณประจำ มีงบประมาณรณรงค์จาก สสส. ปีละกว่า 300 ล้านบาท มีเครือข่ายที่เก่งๆ ระดับได้รางวัลจากองค์การอนามัยโลกด้านควบคุมยาสูบเดินทั่วบ้านทั่วเมือง มีทุนวิจัยเรื่องการจัดการยาสูบโดยเฉพาะ ดูเหมือนจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่ทำไมตลอด 20-30 ปี ไม่สามารถลดอัตราผู้สูบบุหรี่ได้ ทำไมปล่อยให้บุหรี่ไฟฟ้าระบาดเข้ามาจนมีมูลค่าตลาดมหาศาล ทำไมขึ้นภาษีบุหรี่จนการยาสูบไทยแทบเจ๊ง ส่งผลต่อไปถึงชาวไร่ยาสูบ แล้วปล่อยให้บุหรี่เถื่อนมีสัดส่วนการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
 
 
แสดงว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ แต่เราจะเดินย่ำวิธีการเดิมๆ กลุ่มเครือข่ายเดิมๆ อีกหรือ??? ทำงานพลาดเป้ามาร่วม 30 ปี ทั้งที่มีคน เงิน กฏหมาย จะยังให้ทำแบบเดินกันต่ออีกหรือ??? คนที่เป็นองค์กรเอกชนทำงานเกี่ยวกับยาสูบ รวมกลุ่มกันกับอีกหลายองค์กรมาร่วมกันผลักดันและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ สสส. แล้วหลังจากนั้นก็มาเป็นคนทำกฏหมายควบคุมยาสูบเอง พอมีกฏหมายก็มามีตำแหน่งในคณะกรรมการควบคุมยาสูบเอง มีการรับเงิน สสส. เข้าองค์กรของตน มีการแจกเงิน สสส. ให้กับเครือข่าย มีการใช้เงิน สสส. 
 
 
ไปสนับสนุนงานของราชการบางหน่วย มีการจ้างคนไปทำงานในหน่วยงาน จนหน่วยงานราชการนั้นไม่จำเป็นต้องฟังอธิบดี ไม่ต้องสนใจปลัดกระทรวงก็ได้ เคยมีการสอบหาข้อเท็จจริงโดยกรรมาธิการสาธารณสุขของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้วพบว่ามีมูลในประเด็น ผลประโยชน์ทับซ้อน จึงส่งเรื่องต่อให้กรรมาธิการ ปปช. แต่ยังสอบหาข้อเท็จจริงไม่เสร็จก็ต้องหยุดดำเนินการเนื่องจากยุบสภาเสียก่อน ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ และในฐานะของผู้ที่ติดตามปัญหาด้านสาธารณสุข ผมย้ำมาโดยตลอดว่า ไม่สนับสนุนให้ใครสูบบุหรี่
 
 
ใครสูบอยู่ก็ควรที่จะเลิก โดยต้องดำเนินการด้วยชุดข้อมูลวิชาการที่ไม่บิดเบือน คำนึงถึงสิทธิของประชาชน และการมองปัญหารวมทั้งรับฟังจากทุกภาคส่วน ในเมื่อชุดความคิดเดิมๆ ในเมื่อคนกลุ่มเดิมๆ ทำงานไม่ได้ตามเป้ามาร่วม 30 ปี เราจะให้โอกาสคนที่ทำพลาดซ้ำๆ ทำงานต่ออีกหรือ? หากอยากเห็นวันงดสูบบุหรี่โลกในอีก 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยเหลือคนสูบบุหรี่น้อยกว่า 5% กลายเป็น ประเทศไร้ควันบุหรี่ ก็ต้องเปลี่ยนชุดความคิดและเปลี่ยนคนที่เป็นเครือข่ายเดิมออกไป แค่วิ่งไล่จับบุหรี่ไฟฟ้ารายย่อย อาจทำให้มีข่าว มีคอนเท้นต์ให้ดูเหมือนได้ทำอะไร แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็แค่ปิดบังความล้มเหลวของการทำงานที่ผ่านมาเท่านั้น
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เคาะ 5 มาตรการต้าน ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เน้นย้ำให้คงนโยบาย ‘ห้ามขาย – นำเข้า

 

เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ที่ประชุม คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2567 ซึ่งมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบ มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น การปกป้องเด็กและเยาวชนจาก ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ประกอบด้วย 5 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

  1. พัฒนาและจัดการองค์ความรู้
  2. สร้างการรับรู้ภยันตราย และการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็ก เยาวชน และสาธารณชน
  3. เฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
  4. พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายเพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกัน ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
  5. ยืนยันนโยบาย และมาตรการป้องกัน และปราบปรามการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้า

ทั้งนี้ ที่ประชุม คสช. ยังได้เห็นชอบให้คงไว้ซึ่งนโยบาย ‘ห้ามนำเข้า และห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า’ ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดจริงจัง และได้มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) นำมติสมัชชา ดังกล่าว เสนอเข้าสู่วาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อประกาศใช้เป็นกรอบนโยบายหลักของประเทศในการปกป้องเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามภาระหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน คสช. เปิดเผยว่า ปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญโดยที่ผ่านมาได้มีการกำชับสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

 

ร่วมกันป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด จริงจัง เนื่องจากมีความเป็นห่วงเด็กและเยาวชนที่จะตกเป็นเหยื่อการตลาดของบริษัทบุหรี่ไฟฟ้าและกลายเป็นนักสูบหน้าใหม่ที่จะได้รับอันตรายต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

 

นายสุริยะ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้เดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้นจนนำไปสู่การจับกุมและตรวจยึดของกลางได้ในหลายกรณีซึ่งมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ ที่ คสช.ได้เห็นชอบในวันนี้จะเป็นกรอบนโยบายสำคัญให้หน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

 

ทั้งกระทรวง กรม กอง สำนักงาน คณะกรรมการชุดต่างๆ นำไปขับเคลื่อนซึ่งส่วนตัวต้องการเห็นรูปธรรม จึงได้สั่งการให้ สช.เกาะติดการขับเคลื่อนอย่างใกล้ชิด และรายงานผลการดำเนินการต่อ คสช. ให้รับทราบความก้าวหน้าไปจนกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงตามข้อมติ

 

“ต้องขอชมเชยคณะกรรมการพัฒนานโยบายฯ ที่ทำข้อเสนอลงรายละเอียดให้เราได้เห็นถึงเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างชัดเจน อย่างหนึ่งที่ผมเห็นว่า มีความสำคัญ คือ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อช่วยกระจายความรู้และความน่ากลัวจากผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าไปถึงเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น

 

นอกจากนี้ในเรื่องของตัวเลขสถิติที่เรามีการสำรวจกัน 5 ปีครั้ง ซึ่งมตินี้เสนอให้สำรวจบ่อยขึ้นเป็นทุก 2 ปี ผมมองว่า การสำรวจไม่ได้ใช้เวลาเยอะ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่จำนวนผู้สูบเพิ่มมากขึ้น ขณะที่เรากำลังมีมาตรการต่างๆ ออกมา จึงมองว่าควรจะมีการสำรวจสัก 6 เดือนครั้ง เพื่อประเมินได้ว่าหากมาตรการได้ผลจริงจำนวนตัวเลขเหล่านี้ก็จะต้องลดลง” นายสุริยะ กล่าว

 

สำหรับมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น “การปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า” ผ่านความเห็นชอบจากผู้เข้าร่วม 264 หน่วยงาน/คน โดยทั้งหมดได้ให้ความเห็นชอบต่อกรอบทิศทางนโยบาย (Policy Statement) อย่างเป็นฉันทมติ พร้อมกันนี้ยังได้วางบทบาทหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้มีนโยบายรณรงค์ เฝ้าระวัง และให้ความรู้ถึงภยันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ให้กำหนดมาตรการมิให้นำเสนอประเด็นบุหรี่ไฟฟ้าที่บิดเบือนผ่านสื่อ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมศุลกากร ให้บังคับใช้กฎหมายที่มีในปัจจุบันอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด เป็นต้น

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน) สั่งบุกจับกุม ร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า

 
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยถึงการดำเนินการ ของชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายหลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนว่ามีร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ตนจึงได้มอบหมายให้ นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย และ นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย สั่งการ นายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย บูรณาการกำลังกับสมาชิกกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ร่วมปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” โดยได้ลงพื้นที่เข้าจับกุมร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่จำนวน 2 ร้าน พร้อมยึดของกลางเป็นเครื่องบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้ารวมกันราว 1,000 ชิ้น ทั้งนี้ ทางชุดปฏิบัติการพิเศษฯ ได้ทำบันทึกการจับกุมพร้อมแจ้งข้อกล่าวหา และนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
 

การปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องมากจากได้รับร้องเรียนมาจากผู้ปกครอง บุคลาการทางการศึกษาและประชาชนเป็นจำนวนมาก ว่ามีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งตนได้สั่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวทันที และพบว่ามีร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าจริงจำนวน 2 ร้าน ซึ่งได้มีการติดฟิล์มสีขาวขุ่นอำพรางไม่ให้มีการมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นในบริเวณด้านใน และ 1 ใน 2 ร้าน มีการวางน้ำหอม ตั้งโชว์บริเวณหน้าตู้กระจก แต่จะเก็บบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในลิ้นชักเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และมีกล้องวงจรปิดรอบทิศทางเพื่อดูสถานการณ์จากภายนอก แต่ผู้ซื้อจะรู้กันภายในกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค หรือสื่อสังคมต่างๆ 

 

ทั้งยังพบในร้านมีการแจกคูปองเพื่อไว้ให้ลูกค้าลุ้นรางวัลด้วย โดยทั้ง 2 ร้าน ดังกล่าวประกอบด้วย ร้าน VMC HUB Chiangrai ตั้งอยู่ที่ 34/5 หมู่ 11 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 2 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล และ ร้านบ้านควันหอม ตั้งอยู่ที่ 66/23 หมู่ 11 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 1 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล พร้อมกับยึดของกลางได้เป็นจำนวนมากคือ 1.เครื่องบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเปลี่ยนหัวน้ำยา จำนวน 15 เครื่อง 2.หัวพอตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 522 ชิ้น 3.บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง จำนวน 382 ชิ้น 4.น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 25 ชิ้น และ 5.คอยล์บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 71 ชิ้น ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายแสนบาท” นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าว

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ได้เข้าตรวจสอบและยึดของกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษได้ทำการตรวจสอบรับจ่ายเงินหรือเงินหมุนเวียนภายในร้านเพิ่มเติม และพบว่า แต่ละร้านมีรายได้ต่อวัน ตั้งแต่วันละ 10,000 – 40,000 บาทต่อวัน หรือตกเดือนละประมาณ 300,000 – 500,000 บาท ซึ่งจากการสอบถามผู้ดูแลพบว่า เจ้าของที่แท้จริงจะติดต่อผ่านไลน์และส่งของมาให้ขายจึงไม่ทราบราคาต้นทุนต่อชิ้น และจะขายบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ตั้งแต่ราคาหลักสิบ ถึง หลักพันบาท อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิให้กับผู้กระทำผิดทั้ง 3 คนทราบแล้ว และได้แจ้งข้อกล่าวหาดังนี้ 

1) ได้มีการซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และ 

2) ขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

“บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายผู้สูบเป็นอย่างมาก อาทิ การก่อให้เกิดมะเร็งปอด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้สูบ ครอบครัว และชุมชนในระยะยาวอย่างแน่นอน จึงต้องดำเนินการจับกุมอย่างจริงจังและเด็ดขาด ทั้งนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนในความร่วมมือร่วมใจ และขอเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานด้วยความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ในฐานะผู้ทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” และรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อให้ทุกคนในสังคมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านช่วยเป็นหูเป็นตา ระแวดระวังบ้านเมืองของเรา หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดทุกรูปแบบ สามารถแจ้งข้อมูล และร้องเรียนร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ สายด่วน 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง” นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งเร่งกวาดล้างร้านค้า ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า

 

เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 เวลา 12.00 น.ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ภายใต้การอำนวยการของ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย และ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงรายได้สั่งการให้ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจ นำโดยนายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 ปลัดอำเภอเมืองเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอเมืองเชียงรายที่ 3 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ออกปราบปรามร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ให้แก่เด็กและเยาวชน

 

ทั้งนี้ เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนมาเป็นจำนวนมาก ว่ามีร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็กและเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไปโดยมีการบริการขายทั้งหน้าร้านและออนไลน์โดยมีการส่งของผ่านไรเดอร์ ซึ่งมีการเปิดขายเป็นจำนวนมาก

 

ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการสืบทราบว่ามีร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 2 ร้าน ซึ่งทั้ง 2 ร้านมีการติดฟิล์มสีขาวขุ่นอำพรางไม่ให้มีการมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นในบริเวณด้านใน และ 1 ใน 2 ร้าน มีการวางน้ำหอม ตั้งโชว์บริเวณหน้าตู้กระจก แต่จะเก็บบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในลิ้นชักเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และมีกล้องวงจรปิดรอบทิศทางเพื่อดูสถานการณ์จากภายนอก แต่ผู้ซื้อจะรู้กันภายในกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค หรือสื่อสังคมต่างๆ ทั้งยังพบในร้านมีการแจกคูปองเพื่อไว้ให้ลูกค้าลุ้นรางวัลด้วย

 

โดย เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบทราบแล้วว่าทั้ง 2 ร้านมีการขายบุหรี่ไฟฟ้าจริง จึงวางแผนเข้าทำการจำกุมทั้ง 2 ร้านพร้อมกัน  ในพื้นที่ ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 2 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล 2.ร้าน บ้านควันหอม ตั้งอยู่ที่ 66/23 หมู่ 11 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 1 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล

 

จากการตรวจสอบภายในร้านทั้ง 2 ร้านพบบุหรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์ น้ำยา และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสินค้าที่ตรวจยึดได้ของทั้ง 2 ร้าน มูลค่ารวมกันหลายแสนบาท โดยจำแนกเป็น 1. เครื่องบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเปลี่ยนหัวน้ำยา จำนวน 15 เครื่อง 2. หัวพอตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 522 ชิ้น 3. บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง จำนวน 382 ชิ้น 4. น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 25 ชิ้น 5. คอร์ยบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 71 ชิ้น และจากการตรวจสอบการรับจ่ายเงินหรือเงินหมุนเวียนภายในร้าน พบแต่ละร้านมีรายได้ต่อวันตั้งแต่วันละ 10,000 – 40,000 บาทต่อวัน หรือตกเดือนละประมาณ 300,000 – 500,000 บาท ซึ่งจากการสอบถามผู้ดูแลพบ เจ้าของที่แท้จริงจะติดต่อผ่านไลน์และส่งของมาให้ขายจึงไม่ทราบราคาต้นทุนต่อชิ้น และจะขายบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ตั้งแต่ราคาหลักสิบ ถึง หลักพันบาท และระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบจะมีลูกค้ามาใช้บริการตลอดเวลา
 

พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ดูแลทั้ง 3 ราย โดยแจ้งข้อหา 1.ได้มีการซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือ ทั้งจำทั้งปรับ 2. ขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

อีกทั้งทางเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News