Categories
SOCIETY & POLITICS

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา-คุมส่งออก DUI

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา–คุมส่งออก DUI นิวเคลียร์

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — เพื่อแก้ปัญหามลพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมบังคับใช้ 2 มาตรการสำคัญตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ได้แก่

  1. มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา: ผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานว่าแหล่งผลิต “ไม่เผา” โดยระยะเปลี่ยนผ่านก่อนที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกจะมีผลบังคับใช้ ให้ใช้ การรับรองตนเอง (self-declaration) หรือ เอกสารรับรองจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออก/องค์กรสากลที่น่าเชื่อถือ พร้อม ข้อมูลการเพาะปลูกและพิกัดแปลง เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability)
  • บทลงโทษ: หากพบมีการนำเข้าจากแหล่งที่มีการเผา ครั้งที่ 1–2 ตักเตือน; ครั้งที่ 3 พักการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้า ไม่สามารถนำเข้าได้อีก
  • หลัง พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีผล: เข้มงวดขึ้น ต้องใช้ ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออก และ แผนที่แปลงเพาะปลูก แนบประกอบ
  1. มาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI): ไทยมี DUI 10 หมวด รวมกว่า 1,775 รายการ จะเริ่มคุม หมวด 0 (นิวเคลียร์) 204 รายการก่อน ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 โดยปี 2567 ไทยส่งออกหมวดนี้ มูลค่าประมาณ 437,000 ล้านบาท จากนั้น ไตรมาส 2/2569 ขยายคุมหมวด 7–9 (อิเล็กทรอนิกส์การบิน/ระบบนำร่อง, ยานพาหนะ–อุปกรณ์ทางทะเล, การบิน–อวกาศ–ขับดัน เช่น โดรนและชิ้นส่วนเครื่องบิน) ทั้งนี้ ไทยส่งออก DUI ทั้ง 10 หมวด รวม ราว 3.15 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 30% ของมูลค่าการส่งออกไทย ในปี 2567

ขั้นตอน: ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบด้วยระบบ e-Classification หากเป็น DUI ให้ยื่นขอใบอนุญาตผ่าน e-DUI Licensing พร้อม End-Use/End-User Statement และเอกสารซื้อขาย โดยผู้ประกอบการจะเริ่มยื่นขอได้ตั้งแต่ ธันวาคม 2568

สินค้าเฝ้าระวังพิเศษ 50 รายการ: ไทยยังขอความร่วมมือผู้ส่งออกเฝ้าระวังสินค้าที่ “นอก/ทับซ้อน” รายการ DUI 10 หมวด แต่อาจถูก นำไปผลิตอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ชิ้นส่วนเฮลิคอปเตอร์ ใบพัด เครื่องบิน และโดรน ซึ่งพบการใช้มากขึ้นในสนามรบยุคใหม่ (เช่น ยูเครน) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงและชื่อเสียงประเทศ

เหตุผลเชิงนโยบาย ชัดเจนจากคำอธิบายของ นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ: ไทยต้อง “ปกป้องสุขภาพคนไทย–ลด PM2.5 ข้ามแดน” และ “ยืนยันจุดยืนไม่สนับสนุนสงครามหรือ WMD” ควบคู่การสร้างความเชื่อมั่นให้ สินค้าไทย–นักลงทุนต่างชาติ

ทำไม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” จึงเป็นหัวใจของฤดูฝุ่นควัน

ข้อมูลเชิงโครงสร้างสะท้อนแรงกดดันในห่วงโซ่: ไทย ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ 4–5 ล้านตัน/ปี แต่ ต้องใช้ราว 9 ล้านตัน/ปี ส่วนขาดต้อง นำเข้า ~2 ล้านตัน โดย >90% มาจากเมียนมา ที่เหลือจากลาว–กัมพูชา ภาคเกษตรฝั่งต้นทางจำนวนมากยังพึ่งพา การเผาตอซัง–เตรียมพื้นที่ เพื่อเก็บเกี่ยวทันรอบ ราคาดี และลดต้นทุนแรงงาน สิ่งที่ตามมาในฤดูแล้งคือ Hotspots หนาแน่น พัด “ฝุ่นละเอียด–สารพิษ” ข้ามแดนสู่ภาคเหนือของไทย

มาตรการ “ข้าวโพดปลอดการเผา” จึงเป็น แรงกดดันทางเศรษฐกิจเชิงบวก ต่อพฤติกรรมต้นทาง—หากทำจริงจัง ตลาดนำเข้าไทย จะให้ ราคารับซื้อ–สัญญาซื้อขาย ที่ยึดโยงกับ การผลิตที่ไม่เผา และ ข้อมูลแปลงเพาะปลูกที่ตรวจสอบได้ เป็นการ “ใช้กลไกตลาด สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อม” ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อมีกฎหมายรองรับถาวร

อย่างไรก็ดี “กุญแจ” อยู่ที่ ระบบพิสูจน์และติดตามย้อนกลับ (MRV & Traceability) ที่ต้องทันสมัยและตรวจสอบได้จริง: ตั้งแต่ ทะเบียนเกษตรกร–แปลงปลูก–พิกัด–ร่องรอยโลจิสติกส์–ใบรับรองจากหน่วยงานรัฐ/องค์กรสากล รวมถึง การสุ่มตรวจภาคสนาม–เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อให้การตักเตือน/พักใบอนุญาต มีน้ำหนักพอ และป้องกัน การสวมสิทธิ์ หรือ เอกสารเท็จ

เชียงราย ด่านหน้าของนโยบาย—และของหมอกควัน

ในห้วงเวลาเดียวกันกับการประกาศมาตรการระดับชาติ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และภาคีในพื้นที่ได้จัดประชุม “กรอบความร่วมมือ 4 อำเภอ กลไกชายแดนการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน (ครั้งที่ 1)” วันที่ 22 กันยายน 2568 ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธาน และหน่วยงานป่าไม้–อุทยานฯ–ท้องที่–ท้องถิ่น 4 อำเภอ (เชียงของ เวียงแก่น เทิง ขุนตาล) ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล จุดเสี่ยง–จุดความร้อน–แนวลาดตระเวน พร้อมวางโรดแม็ปประชุมสัญจร 4 ครั้ง 4 อำเภอ (ก.ย.–ธ.ค. 2568) เพื่อยกระดับความร่วมมือ เมืองคู่ขนานชายแดน และ แนวเขตต่อเนื่อง กับฝั่งเพื่อนบ้าน

นี่คือ “มือทำงาน” ในพื้นที่ ที่ต้องจับคู่กับ “นโยบายการค้า” ให้ติด—หากเอกสารแปลงเพาะปลูกจากต้นทางเมียนมาระบุพิกัดที่ชนแนวชายแดนเชียงราย–พะเยา–น่าน ฝ่ายไทยในพื้นที่ต้อง ตรวจทาน–ซ้อนข้อมูล Hotspots–เดินสายตรวจ ได้ทันท่วงที

DUI นิวเคลียร์ทำไมไทยต้องเริ่มจากหมวด 0

โลกการค้าปี 2568 ไม่เหมือนเดิม “ของสองทาง” ไม่ได้มีแค่อุปกรณ์ชิ้นใหญ่ในโรงงานนิวเคลียร์ แต่ องค์ประกอบ–วัสดุ–ซอฟต์แวร์–ระบบควบคุม จำนวนมากสามารถ ปรับใช้ สู่การผลิตอาวุธหรือระบบนำร่องได้ (แม้จะเป็น ชิ้นส่วนพลเรือน ก็ตาม) ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ จำนวนมากและมีมูลค่าสูง ปลายทางหลักเช่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยต้องยกระดับมาตรฐานคุมส่งออกให้ เท่าทันพันธมิตรการค้า และมาตรฐานนานาชาติ

หมวด 0 (Nuclear) ถูกเลือกเป็นหมวดนำร่อง เพราะเป็นหมวดที่ อ่อนไหวสูงสุด ต่อระบบคว่ำบาตร–ข้อจำกัด WMD ทั่วโลก เมื่อระบบ e-Classification / e-DUI Licensing ใช้งานได้จริง ไตรมาส 2/2569 จะต่อยอดไปยัง หมวด 7–9 ที่กระทบผู้ส่งออก ชิ้นส่วนอากาศยาน–อิเล็กทรอนิกส์การบิน–ระบบขับดัน–โดรน และ ทางทะเล ซึ่งเป็น “หัวใจของเศรษฐกิจฐานอุตสาหกรรมใหม่” ของไทย

การคุม DUI ไม่ใช่ การ “สกัดกั้นการค้า” ตรงกันข้าม หากผู้ประกอบการ ทำการบ้านครบ (รู้ว่าเป็น DUI หรือไม่, จัดเตรียมเอกสาร end-use/end-user, ตรวจสินค้าปลายทางต้องห้าม) จะทำให้ พัสดุผ่านด่านได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงถูก “หยุดตรวจ” หรือ “ถูกปฏิเสธ” จากประเทศคู่ค้า และ ลดความเสี่ยงทางชื่อเสียง ของทั้งบริษัทและประเทศ

ผลกระทบ–ความเสี่ยง–โอกาส ใครควรทำอะไร

1) ผู้ประกอบการอาหารสัตว์–ฟีดมิลล์–เกษตรชายแดน

  • กระทบ: ความเข้มงวดเอกสารนำเข้า–ต้นทุนการทำเอกสาร–ความเสี่ยงความล่าช้าในช่วงเริ่มบังคับใช้
  • ทางรอด: เร่งทำ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ กับคู่ค้าในเมียนมา–ลาว ตั้ง เงื่อนไขสัญญา “ปลอดการเผา” ชัดเจน พร้อมแผน ตรวจสุ่มภาคสนาม และเกณฑ์ ยกเลิก/ลงโทษ เมื่อพบผิดเงื่อนไข เพื่อไม่ให้โดน “พักทะเบียนนำเข้า” ในไทย

2) ผู้นำเข้า–ส่งออกทั่วไป (โดยเฉพาะชิ้นส่วนเทคโนโลยี)

  • กระทบ: ต้องทำ e-Classification ให้เร็วเพื่อรู้สถานะสินค้า หากเข้าเกณฑ์ DUI ต้องทำ e-DUI Licensing และจัดทำ End-Use/End-User Statement
  • ทางรอด: สร้าง มาตรฐานเอกสาร กลางของบริษัท, จัดอบรมทีม Trade Compliance, ทำ Whitelist ลูกค้า/ปลายทาง, และติดตาม รายการ 50 สินค้าเฝ้าระวัง อย่างใกล้ชิด

3) เกษตรกรต้นทาง–ชุมชนชายแดน

  • กระทบ: ตลาดไทยจะ “แยก” ผู้ผลิตที่เผา–ไม่เผา ชัดขึ้น
  • ทางรอด: ผลักดัน กลไกรับรองชุมชน (community certification) เชื่อมกับ สหกรณ์–ผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อสร้าง ราคารับซื้อส่วนเพิ่ม (premium) สำหรับผลผลิต ปลอดการเผา

4) ภาครัฐ–ท้องถิ่น–ชายแดน

  • ภารกิจ: ทำ ศูนย์ข้อมูล traceability เชื่อม ด่าน–กรมศุลกากร–กรมการค้าต่างประเทศ–กรมควบคุมมลพิษ–อุทยาน/ป่าไม้–เทศบาล–อบจ. และ TEI เพื่อซ้อนข้อมูล ใบรับรอง—พิกัดแปลง—Hotspots แบบรายสัปดาห์ ให้การ ตักเตือน–พักทะเบียน อิงข้อมูลเชิงประจักษ์

 “การค้า” และ “อากาศสะอาด” ต้องเดินคู่

ผู้ปฏิบัติการในพื้นที่เชียงรายสะท้อน เสียงเดียวกัน ว่า มาตรการของกระทรวงพาณิชย์ถือเป็น จิ๊กซอว์สำคัญ ที่ขาดไม่ได้ เพราะ “แรงจูงใจราคา” มักเปลี่ยนพฤติกรรมได้เร็วกว่า “คำขอความร่วมมือ” เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน โครงการของ TEI ที่เปิดวงคุย นายอำเภอ–ท้องที่–ป่าไม้–อุทยาน–ท้องถิ่น ใน 4 อำเภอชายแดน ก็ทำให้ แผนลาดตระเวน–ดับไฟ–สื่อสารชุมชน มีเจ้าภาพชัดเจนขึ้น

แต่ทุกฝ่ายย้ำ เงื่อนไขความสำเร็จ ตรงกัน:

  1. ข้อมูล (แปลง–พิกัด–ใบรับรอง–ภาพถ่ายดาวเทียม) ต้อง เปิด–เชื่อม–ใช้ร่วม;
  2. บังคับใช้ ต้อง ต่อเนื่อง–เป็นธรรม–คาดการณ์ได้;
  3. เครื่องมือชดเชย (เช่น premium ไม่เผา, งบสร้างเครื่องจักรเก็บเกี่ยว, สนับสนุนเชื้อเพลิงชีวมวล) ต้อง ลงถูกจุด ไม่เช่นนั้น ฤดูกาลเผา ก็จะวนกลับมาในรูปแบบใหม่

คำถามที่สังคมต้องจับตา

  • Self-declaration ช่วงเปลี่ยนผ่านจะ “เอาอยู่” แค่ไหน ก่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด บังคับใช้เต็มรูปแบบ? ไทยพร้อม หน่วยตรวจ–สุ่ม–ยืนยัน มากพอหรือยัง
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing จะรองรับ ดีมานด์ยื่นขอ ของผู้ส่งออกได้ รวดเร็ว–โปร่งใส–ตรวจสอบได้ แค่ไหน โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังไม่คุ้นกับเอกสาร end-use/end-user
  • 50 รายการเฝ้าระวัง นอก/ทับซ้อน DUI 10 หมวด จะสื่อสารกับภาคธุรกิจอย่างไรให้ เข้าใจ–ทำตามได้ โดยไม่สร้าง ต้นทุนเชิงเอกสาร ที่เกินจำเป็น

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะกำหนดว่า นโยบายใหม่นี้จะเป็นแค่ “ประกาศสวยบนกระดาษ” หรือเป็น “กติกาใหม่” ที่พลิกฤดูกาลฝุ่นควันภาคเหนือ และยกระดับความน่าเชื่อถือการค้าของไทยในยุคภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน

เคสศึกษาจำลอง หาก “ใบรับรองปลอดการเผา” ขัดกับ “ภาพดาวเทียม”

สมมติ ผู้นำเข้ารายหนึ่งแสดงใบรับรองจากหน่วยงานรัฐประเทศผู้ส่งออกว่า “ปลอดการเผา” แต่ข้อมูล Hotspots บนภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงเวลาเดียวกันชี้ว่ามี จุดความร้อนหนาแน่น ในพิกัดที่ตรงกับแปลงเพาะปลูกที่ยื่นมา สิ่งที่ควรเกิดขึ้น คือ:

  1. ระบบ เตือนอัตโนมัติ (red flag) ภายใน e-Import;
  2. คณะทำงาน สหหน่วย (ด่าน–การค้าต่างประเทศ–ศุลกากร–ป่าไม้–อุทยาน–TEI) ลงพื้นที่ สอบสวน–ตรวจพยานแวดล้อม–สัมภาษณ์ชุมชน;
  3. หากพบหลักฐานเชื่อมโยง แจ้งตักเตือน ครั้งที่ 1/2 และ เงื่อนไขแก้ไข;
  4. หากทำซ้ำ พักทะเบียน ครั้งที่ 3 และ ขึ้นบัญชีดำ แปลง/ผู้ค้า;
  5. เผยแพร่ผล (เวอร์ชันไม่เปิดเผยชื่อ) เพื่อสร้าง บรรทัดฐาน ให้ตลาดเรียนรู้

นี่คือภาพของ “กติกาที่บังคับใช้ได้จริง”—เพราะทุกอย่างลิงก์กันด้วย ข้อมูล–พื้นที่–บทลงโทษ ที่สอดคล้อง

การค้าไทยยุคใหม่—ขายได้ ต้อง “รับผิดชอบได้”

มาตรการ ข้าวโพดปลอดการเผา และ ควบคุมส่งออก DUI คือ สัญลักษณ์ ของการเลื่อนเกียร์นโยบายการค้าไทยจากยุค “เปิดทาง–เร็ว–ถูก” ไปสู่ยุค “ยั่งยืน–ปลอดภัย–น่าเชื่อถือ” โดยมี สุขภาพประชาชน และ ความมั่นคงเชิงเทคโนโลยี เป็นหลักยึด

สำหรับ เชียงราย เมืองด่านหน้าของทั้งฝุ่นควันและการค้า—สิ่งที่จะตัดสินความสำเร็จไม่ใช่แค่ “ประกาศจากส่วนกลาง” แต่คือ ความร่วมมือชายแดน ที่เริ่มลงมือแล้วโดย TEI และภาคี 4 อำเภอ, คือ การเชื่อมข้อมูล ที่ “เห็นภาพเดียวกัน” ระหว่างใบรับรอง–พิกัด–จุดความร้อน, และคือ การบังคับใช้ที่คาดการณ์ได้ เพื่อให้ตลาด “เรียนรู้” ว่าการไม่เผา คุ้มกว่า–ปลอดภัยกว่า–ขายได้ดีกว่า

ในโลกที่ห่วงโซ่อุปทานสะเทือนจากสงคราม–คว่ำบาตร–มาตรฐานสีเขียว—ประเทศที่ “ขายได้” ต่อไป คือประเทศที่ พิสูจน์ได้ ว่า “รับผิดชอบได้” ด้วยเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ – กรมการค้าต่างประเทศ
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing
  • กรอบกฎหมายอากาศสะอาด
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมศุลกากร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

เสียดายโอกาสประเทศไทย! ACT จี้รัฐบาลแพรทองธาร ไร้ทิศทางปราบโกงจริงจัง

ACT ชำแหละ “หนึ่งปีรัฐบาลแพรทองธาร” สังคมเสียดายโอกาสชี้ไร้ทิศทางปราบโกง เสนอ “รัฐโปร่งใส” เป็นวาระแห่งชาติฟื้นศรัทธา

ประเทศไทย, 13 สิงหาคม 2568 — ในบ่ายวันที่อากาศอบอ้าว กระแส “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT แผ่กว้างบนหน้าฟีดและโต๊ะเสวนาทั่วเมือง ข้อเขียนชิ้นนี้โดย มานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ตั้งคำถามตรง ๆ ต่อรัฐบาลที่เพิ่งครบรอบหนึ่งปีภายใต้การนำของ “แพรทองธาร” ว่า เอาจริงกับการปราบโกงหรือไม่” พร้อมเรียงเหตุผลเจ็ดข้อที่สะท้อนภาพ “ไร้ทิศทางไร้กลไกไม่ตั้งใจปราบโกง” และลงท้ายด้วยข้อเสนอเชิงระบบเพื่อฟื้นศรัทธาผ่านการสร้าง “รัฐโปร่งใส” แบบเปิดเผยข้อมูลและเอื้อต่อการตรวจสอบของสาธารณะ

ท่ามกลางเสียงถกเถียงทางการเมือง ตัวเลขสากลอย่างดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ก็ทิ่มตาไทยได้ 34 คะแนน อยู่อันดับที่ 107 ของโลกในปี 2024 ซึ่งไม่เพียงต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยโลกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกเกินกว่าแค่มาตรการ “ตามเหตุการณ์” จะเยียวยาได้ทันใจ (อ้างอิงรายงานข่าวเศรษฐกิจและหน้าการเมืองไทยหลายสำนักที่ถ่ายทอดตัวเลขจาก Transparency International)

โครงเรื่องจากความหวังสู่ “เสียดายโอกาส”

หนึ่งปีก่อน สังคมตั้งคำถามต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเดินหน้า “ปฏิรูปเชิงระบบ” สลายป่ามรดกกฎระเบียบซับซ้อน และยกระดับธรรมาภิบาลรัฐ ทว่าตลอดปีที่ผ่านมา ข่าวเศรษฐกิจหลักชิ้นหนึ่งกลับเป็นการโยกวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ไปขับเคลื่อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานชุมชน ท่องเที่ยว ไปจนถึงดิจิทัลพร้อมกรอบการประเมินผลต่อจีดีพีและการจ้างงานอย่างเป็นทางการ แต่ในอีกมุม สังคมก็ย้อนถามว่า “เมื่อการใช้จ่ายของรัฐขยายตัว เราได้เห็นระบบป้องกันการรั่วไหลเข้มแข็งขึ้นแค่ไหน” คำถามนี้เองที่บ่มเพาะความกังขาในวงกว้าง

ACT จึงหยิบ “วิกฤตความไว้วางใจ” ขึ้นมาเล่าแบบตรงไปตรงมา: เมื่อประเทศเผชิญคอร์รัปชันเรื้อรัง แต่การเมืองยังไม่พิสูจน์ความตั้งใจปราบโกงให้สังคมเห็นความศรัทธาย่อมถดถอย ข้อเขียนของ ACT ไม่ใช่เพียงเสียงวิจารณ์ หากเป็น “ขอร้อง” ให้รัฐสานต่อมาตรการเชิงระบบ นำข้อเสนอที่ถูกศึกษาไว้นานแล้วมาลงมือจริง และเปิดข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบร่วมกันได้

7 เหตุผลที่ทำให้สังคมรู้สึก “รัฐไม่ตั้งใจปราบโกง”

ข้อหนึ่ง ไม่มี “แถลงนโยบายต้านโกงที่จับต้องได้” ต่อสายตาสาธารณะ แม้กรอบเป้าหมาย CPI ที่พูดถึงบนเวทีสภาจะดูท้าทาย แต่ตราบใดที่สังคมยังไม่เห็น “แผนตัวชี้วัดความคืบหน้าเป็นรอบปี” ความเชื่อมั่นก็ยากเกิดจริง

ข้อสอง กลไกเดิมอ่อนแรงกลไกใหม่ไม่ชัด ACT ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐเลิกใช้ “ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.)” ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือบูรณาการหน่วยงาน แม้ศูนย์ฯ ก่อตั้งมาจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2557 เพื่อเร่งคดีสำคัญและอุดช่องโหว่ระบบราชการ แต่ปัจจุบันไม่เห็นบทบาทที่ชัดเจนเท่าเดิม ขณะที่กลไกใหม่ก็ไม่ปรากฏภาพรวมการทำงานต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบ

ข้อสาม บริหารแบบ “แก้เฉพาะหน้า” กับเหตุสะเทือนสังคมจากอุบัติภัยสาธารณะ ไปจนถึงข้อกังขาเรื่องงานรัฐ รัฐมักสั่งสอบเยียวยา แต่สังคมยังไม่เห็นรายงานสรุปที่ชี้ “สาเหตุผู้รับผิดชอบมาตรการป้องกันซ้ำ” อย่างเป็นระบบ และสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากหลายกรณีที่ ACT ออกมาตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและหน่วยตรวจสอบอิสระเองด้วยซ้ำ

ข้อสี่ คำมั่น “ปฏิรูประบบราชการปฏิรูปกฎหมาย” ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร ทั้งที่แนวทางอย่าง Regulatory Guillotine การทบทวนยุบปรับเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อนเพื่อปิดช่องทุจริตถูกพูดถึงในยุทธศาสตร์ชาติมาหลายปี และถูกแนะนำโดยนักวิชาการ–หน่วยงานกำกับการเงินมาโดยตลอด หากไม่ขยับจริง ความซับซ้อนของใบอนุญาตและกฎเกณฑ์จะยังเป็น “ค่าผ่านด่าน” โดยพฤตินัยต่อไป

ข้อห้า ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ถูกวางไว้บนหิ้ง ACT ชี้ว่าปัญหา “แปะเจี๊ยะนมโรงเรียน ส่วยสินบนใบอนุญาต คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” ถูกศึกษาและเสนอทางแก้ต่อครม.ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สังคมยังไม่เห็น “แดชบอร์ดความคืบหน้า” ที่รายงานผลสัมฤทธิ์อย่างสม่ำเสมอ จึงยากจะวัดว่ารัฐบาล “ลงมือจริง” ในระดับนโยบายแค่ไหน

ข้อหก สับสนบทบาทหน่วยงานต้านโกงการให้ ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) เป็น “แม่งานหลัก” ผลัก CPI แทน ป.ป.ช. (ซึ่งมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญและทรัพยากรมากกว่า) อาจสะท้อนความเข้าใจต่อโครงสร้างที่ยัง “ไม่เข้าที่” ยิ่งกว่านั้น หากไม่มีกรอบบูรณาการกับสตง.–สำนักงานอัยการ–ตำรวจ คดีสำคัญก็เสี่ยง “ติดคอขวด” ตามมา

ข้อเจ็ด “เกียร์ว่าง” ระดับพื้นที่เมื่อผู้นำไม่ส่งสัญญาณชัด ข้าราชการต้นน้ำ–ปลายน้ำก็ทำงานแบบ “พิธีกรรม” มากกว่ากัดติดเป้าหมาย วงจรนี้ทำให้คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันระดับจังหวัดซึ่งควรถกเคสเร่งปิดช่องโหว่ กลายเป็นเพียงการประชุมเพื่อ “เช็กชื่อ” มากกว่า “เช็กความคืบ”

ประเด็นทั้งเจ็ดสรุปง่าย ๆ ว่า นโยบายต้านโกงยังไม่ถูกทำให้ ‘จับต้องได้’ ด้วยเป้าหมาย–แผน–ระบบรายงานผล” นี่คือหัวใจที่ ACT มองว่า “เสียโอกาส” ต่อการฟื้นศรัทธา

ตัวเลขไม่โกหก CPI 34 คะแนน กับความจำเป็นของ “รัฐเปิดเผย”

ปี 2024, Transparency International รายงานว่าไทยได้ 34 คะแนน (จาก 100) รั้งอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ เทียบย่านอาเซียน ภูมิภาคมีทั้งประเทศคะแนนสูงกว่าเราอย่างต่อเนื่อง และประเทศที่ไต่อันดับขึ้นด้วยแพ็กเกจ “รัฐเปิดเผยคุมข้อตกลงผลประโยชน์ทับซ้อนปกป้องผู้เป่านกหวีด” ตัวเลขนี้ถูกยกเป็น “ไฟแดง” ว่าถ้ารัฐจะตั้งเป้าผลักคะแนนขึ้น สังคมจำเป็นต้องเห็น แผน Open Government ที่ลงรายละเอียดว่าข้อมูลอะไรจะเปิด เมื่อไรในรูปแบบใดโดยใครรับผิดชอบ และวางระบบร้องเรียน–ติดตามผลที่ประชาชนใช้งานง่ายจริง ไม่ใช่เพียงสโลแกน

ประเทศไทยมีฐาน Open Government Data ผ่านพอร์ทัล data.go.th ที่ดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งประกาศชัดเจนว่ามุ่งยกระดับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐสู่นวัตกรรมและความโปร่งใส คำถามคือ “จะยกระดับจาก เปิดข้อมูล ไปสู่ เปิดสัญญา–เปิดงบ–เปิดผลลัพธ์ ได้เร็วแค่ไหน” โดยเฉพาะเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทที่กำลังไหลลงพื้นที่จำนวนมาก

โยกงบ 1.57 แสนล้าน” บททดสอบรัฐโปร่งใส

กระทรวงการคลัง–สำนักงบประมาณ และคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจระบุว่า งบ 1.57 แสนล้านจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นราว 0.4%, กระจายการลงทุนไปยังโครงสร้างพื้นฐานน้ำคมนาคมท่องเที่ยวดิจิทัลชุมชน พร้อมเป้าหมายการจ้างงาน และการยกเครื่องคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด รายละเอียดเชิงโครงการพื้นที่ผู้รับจ้างกรอบเวลาตรวจรับงาน ถูกประกาศบางส่วนแล้ว แต่การสะสม “ความเชื่อมั่น” อยู่ที่การเปิดสัญญาผลการเบิกจ่ายตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลต้องสื่อสารเชิงรุกเมื่อถูกตั้งคำถาม เช่น ประเด็น “โยกงบเพื่อวาระอื่น” เพื่อไม่ให้ข่าวลือบดบังข้อเท็จจริงทางการคลัง

บทเรียนจากกลไกเดิม ศอ.ตช. และบทบาทหน่วยบังคับใช้

ย้อนดู ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ซึ่งจัดตั้งด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี 226/2557 บทบาทของศูนย์ฯ คือรวบรวมเร่งรัดบูรณาการข้อมูลคดีทุจริตสำคัญกับตำรวจ–ป.ป.ช.–ป.ป.ท.–สตง.–อัยการ เพื่อให้ “ลงมือแก้ปัญหาแบบทีม” ช่วงที่ศูนย์ฯ ทำงานเข้ม สังคมเห็นความพยายามผลักเคสข้าม “คอขวด” แต่เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทนี้จางลงตามโครงสร้างการเมือง นี่ย้ำว่าหากรัฐบาลปัจจุบันอยาก “ส่งสัญญาณจริง” ก็สามารถ “รีบูตกลไกบูรณาการ” ด้วยกรอบอำนาจ–เส้นตาย–ระบบรายงานต่อสาธารณะที่ชัดเจนอีกครั้ง

ด้าน ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) มีภารกิจสอบสวนความผิดวินัยและอาญาเจ้าหน้าที่รัฐ ควบคู่กับการเสนอแนวทางป้องกันทุจริตเชิงระบบ หากรัฐบาลวางให้ ป.ป.ท. เป็นแกนกลางขับเคลื่อน ต้องจัด ทรัพยากรอำนาจแดชบอร์ดข้อมูล ให้เหมาะสม และเชื่อมโยงกับ ป.ป.ช. (องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ) และ สตง. อย่างไม่มีรอยต่อ ซึ่งสังคมคาดหวัง “รูปธรรมความร่วมมือ” มากกว่า “คำประกาศ”

จาก “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” สู่ “ปีแห่งรัฐเปิดเผย”

ในทุกวันที่ 6 กันยายน ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม จะร่วมกิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” ซึ่ง ACT ทำหน้าที่เสาค้ำเวทีมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ ACT ประกาศเชิญชวนประชาชน องค์กร สื่อมวลชน ร่วมออกแบบ “ระบบใหม่ที่เปิดทางให้คนดีเติบโต” ผ่านกิจกรรมออนไลน์ออฟไลน์ หัวใจคือ เปลี่ยนพลังรายวันของประชาชนให้เป็นแรงกดดันเชิงบวก ต่อรัฐและองค์กรทุกระดับ ให้ “เปิดอธิบายรับผิดชอบ” เป็นกิจวัตร ไม่ใช่เฉพาะเวลาเกิดเรื่อง

“เราต้องทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็น วาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนมีบทนักการเมืองต้องสร้างพรรคที่มีธรรมาภิบาล นักธุรกิจหยุดจ่ายใต้โต๊ะ ข้าราชการทำงานตามหลักคุณธรรม และประชาชนไม่ยอมรับการโกงทุกรูปแบบ” แนวทางแกนกลางที่ ACT เน้นย้ำตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (ถอดแก่นจากคำประกาศสาธารณะและภารกิจของ ACT)

ประชาชน “ได้อะไร” หากรัฐเดินหน้าตามโจทย์ ACT

  1. ความโปร่งใสเชิงรุก — หากรัฐเปิดข้อมูลโครงการสัญญาผู้รับจ้างผลเบิกจ่าย แบบติดตามได้ทุก 30 วัน ผู้เสียภาษีจะ “เห็น” การเคลื่อนเม็ดเงินและผลลัพธ์จริง ลดพื้นที่การคาดเดา–ข่าวลือ และทำให้สื่อกับสังคมเข้ามาช่วยสอดส่องเชิงข้อมูลได้ทันเวลา
  2. ต้นทุนธุรกิจลดลง — การทบทวนกฎ (Regulatory Guillotine) ตัดขั้นตอนใบอนุญาตซ้ำซ้อน จะลด “รอยรั่ว” และ “ค่าลูบคม” เปิดทางการแข่งขันที่เป็นธรรมเอื้อ SMEs และสตาร์ตอัปที่เดิมเสียเปรียบเพราะ “ต้นทุนมืด” สูงเกินมาตรฐาน
  3. บริการรัฐดีขึ้น — เมื่อหน่วยงานรู้ว่าข้อมูลผลการประเมินจะถูกเปิดเผยและเทียบเคียง ทุกคนจะจริงจังกับการวัดผล–ส่งมอบบริการ เกิดวัฒนธรรม “ทำจริงอธิบายได้” แทน “ทำตามพิธี”
  4. CPI มีโอกาสขยับด้วยพิมพ์เขียวง่าย ๆ — ประเทศที่คะแนนดีขึ้นในรอบ 5–10 ปีมักทำ 3 เรื่องพร้อมกัน: เปิดข้อมูลเชิงรุก, คุมผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองข้าราชการระดับสูง, และ คุ้มครองผู้เปิดโปงทุจริต หากไทยทำครบพร้อมระบบติดตามผลไม่ใช่แค่แถลงการณ์คะแนนความเชื่อมั่นจากภาคธุรกิจ–นักลงทุน–องค์กรสากลย่อมตอบสนองเป็นรูปธรรม

เสียง–สถิติ–คำถามชวนคิด

  • 34 คะแนน บอกอะไรเรา? วัด “การรับรู้” จากผู้เชี่ยวชาญและภาคธุรกิจต่อความเสี่ยงคอร์รัปชัน หากคะแนนต่ำต่อเนื่อง ต้นทุนกู้เงินการลงทุนการทำธุรกิจก็มักสูงกว่าประเทศคู่แข่ง
  • 1.57 แสนล้านบาท จะกลายเป็น เครื่องฟอกศรัทธา หรือ เชื้อเพลิงความกังขา? คำตอบอยู่ที่ “ระดับความเปิดเผย” ของสัญญาผลสัมฤทธิ์การตรวจรับงาน และการรับมือข้อร้องเรียนอย่างมืออาชีพ
  • เราจะออกจากวังวน “ตั้งคณะกรรมการแถลงข่าวเงียบหาย” ได้อย่างไร?  กลไกบูรณาการแบบ ศอ.ตช. ที่ปรับให้ทันสมัย อาจเป็นคำตอบ หากวางกรอบอำนาจเส้นตายดัชนีวัดผล และเผยแพร่ต่อสาธารณะทุกไตรมาส

ทางออกเชิงนโยบาย จากคำประกาศสู่ “ระบบ”

  1. ประกาศโรดแมปต้านโกง 12–24 เดือน กำหนด 5 เป้าเร่งด่วน เช่น เปิดสัญญารัฐทั้งหมดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท, ฐานข้อมูลทรัพย์สินนักการเมือง–บอร์ดรัฐวิสาหกิจรูปแบบ machine-readable, ดัชนีผลประโยชน์ทับซ้อนประจำกระทรวง, ระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส, และแดชบอร์ดความคืบหน้าคำแนะนำ ป.ป.ช.
  2. เปิดงบกระตุ้น–เปิดผล เผยแพร่รายงาน “เงินถึงใครจ้างงานไหนเสร็จเมื่อไรผลลัพธ์คืออะไร” สำหรับ 1.57 แสนล้านแบบรายจังหวัด/รายโครงการ พร้อมช่องทางร้องเรียนและ SLA ตอบกลับ 15 วัน
  3. รีบูตกลไกบูรณาการคดีทุจริต ยกระดับความร่วมมือ ป.ป.ช.–ป.ป.ท.–สตง.–ตำรวจ–อัยการ ใต้กรอบเส้นตาย–เจ้าภาพชัดเจน ให้ประชาชนติดตามสถานะคดีสำคัญได้เสมือน “ระบบติดตามพัสดุ”
  4. เร่ง Regulatory Guillotine ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐเอกชนวิชาการ คัด 100 กฎใบอนุญาตต้นน้ำที่ซ้ำซ้อนสูงสุด ล้มลดรวมย้ายขั้นตอน พร้อมรายงานประหยัดเวลาต้นทุนทุกไตรมาส
  5. ยกระดับ Open Government Data → Open Contracting ผ่านพอร์ทัลเดียว (เชื่อมกับ data.go.th) ครอบคลุม TOR, ราคากลาง, ผู้ยื่นผู้ชนะ, สัญญา, งวดงานงวดเงิน, และรายงานตรวจรับ แก้ไขได้ด้วยมาตรฐานสากล OCDS

“พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข

ข้อเขียน “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ของ ACT ไม่ได้เพียงวิจารณ์ หาก “ปักหมุดทางออก” ว่ารัฐบาลต้องเป็น ผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชัน อย่างแท้จริงด้วยการเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก, ทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนมีบทบาท, และทำงานบน “พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข CPI 34 คะแนนและอันดับ 107 ของไทยในปีล่าสุด เป็นสัญญาณเตือนว่า การสื่อสารการเปิดข้อมูลการลงมือ ต้องเกิด “พร้อมกัน” จึงจะดันความเชื่อมั่นขึ้นได้อย่างยั่งยืน

คำถามสำคัญถึงผู้อ่าน–ผู้เสียภาษี–ผู้ประกอบการ–ข้าราชการ คือ: เราพร้อมหรือยังที่จะไม่ยอมรับ “การโกงเล็ก ๆ” ในชีวิตประจำวัน, พร้อมติดตามข้อมูลโครงการรัฐด้วยสายตาของพลเมือง และพร้อมเป็นพลังใน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” 6 กันยายนนี้ เพื่อผลักดันปีต่อไปให้เป็น “ปีแห่งรัฐเปิดเผย” จริง ๆ?

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Transparency International – Corruption Perceptions Index 2024: สะท้อนคะแนนและอันดับของประเทศไทยปีล่าสุด (ไทย 34 คะแนน อันดับ 107) และบริบทเปรียบเทียบกับภูมิภาค/โลก. Transparency.orgnationthailand
  • Bangkok Biz News / Post Today / Thai PBS: ข่าวนโยบาย “โยกงบ/จัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท” ตัวเลขกรอบวงเงิน–จำนวนโครงการ–ผลต่อจีดีพี–การสื่อสารเชิงนโยบาย. bangkokbiznewsposttodayThai PBS
  • ACT – Anti-Corruption Organization of Thailand: ภารกิจและบทบาทการขับเคลื่อน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” และข้อเรียกร้องต่อรัฐเรื่องความโปร่งใส–ตรวจสอบได้. Facebook
  • Hfocus และ เพจ ACT: ตัวอย่างการออกมาเรียกร้องความโปร่งใสกรณีสาธารณะสำคัญและการตั้งคำถามต่อกระบวนการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ. oja.go.thYouTube
  • คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 226/2557 จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ฐานอำนาจ–โครงสร้างความร่วมมือ. YouTube
  • สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) – data.go.th: โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเปิดภาครัฐ และทิศทางการยกระดับสู่ธรรมาภิบาลข้อมูล. nacc.go.th
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (หอสมุดรัฐสภา): บทความอธิบายบทบาท ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) และกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง. dga.or.th
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย – Regulatory Guillotine: แนวคิด–ความจำเป็น–ผลต่อการแข่งขันและธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ หากนำมาปรับใช้จริงจังในไทย. pacc.go.th
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

รถไฟฟ้า 20 บาท ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบของผู้บริโภคต่างจังหวัด

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบผู้บริโภค

เชียงราย, 8 สิงหาคม 2568กรณีศึกษา EV Bus เชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการแม้ประชาชนต้องการ นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่รัฐบาลนำเสนอเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนระหว่างกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ อย่างชัดเจนขึ้น เมื่อกรณีของรถ EV Bus ในจังหวัดเชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการในปี 2567 แม้จะมีผู้โดยสารใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการตอบรับจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างดี

จุดเริ่มต้นของความหวัง EV Bus เชียงราย เปิดตัว

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้บริการรถประจำทางปรับอากาศ EV Bus เชียงรายเป็นครั้งแรก โดยให้บริการเส้นทางที่ครอบคลุมในสถานที่สำคัญของจังหวัด เริ่มต้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปตามถนนเวียงบูรพา ผ่านองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สนามกีฬากลางจังหวัด อนุสาวรีย์พญามังราย สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ไนท์บาซาร์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และสิ้นสุดที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงรายแห่งที่ 2

รถ EV Bus นี้ให้บริการวันละ 4 เที่ยว คิดค่าโดยสาร 28 บาทต่อคน และได้รับความนิยมจากผู้โดยสารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสนามบิน ด้วยความสะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความจริงเบื้องหลังการขาดทุน

แม้จะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 78 คนต่อวัน และรายได้ประมาณ 65,520 บาทต่อเดือน แต่ต้นทุนการดำเนินกิจการกลับสูงถึง 320,000 บาทต่อเดือน ทำให้เกิดการขาดทุนสุทธิ 254,480 บาทต่อเดือน รายละเอียดค่าใช้จ่ายประกอบไปด้วย เงินเดือนค่าจ้างพนักงาน 10 คน รวม 150,000 บาท ค่าชาร์จไฟฟ้า 90,000 บาท ค่าเช่าสถานที่ 30,000 บาท และค่าบริหารอื่น ๆ อีก 50,000 บาท

จากการวิเคราะห์พบว่า หากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ โครงการนี้จะขาดทุนสะสมกว่า 11 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเอกชนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

อุปสรรคที่เกินกว่าจะแก้ไขได้

ปัญหาหลักที่ทำให้โครงการ EV Bus เชียงรายล้มเหลว มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก

ด้านปัจจัยภายใน ได้แก่ ต้นทุนและข้อจำกัดด้านสัมปทาน เนื่องจากรูปแบบสัมปทานรถโดยสารจากกรมขนส่งฯ ให้ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนการจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหารถยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการ รวมถึงการที่ทางขนส่งไม่มีสถานีประจำ หรือที่พักรถให้ ส่งผลให้เกิดภาระหนักทั้งด้านการลงทุนและการซ่อมบำรุง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ แม้จะมีการเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แต่การเข้าถึงสถานีชาร์จที่เพียงพอและมีมาตรฐานสูงยังไม่ครอบคลุมระบบเดินรถ EV ในเมืองอย่างเหมาะสม

ส่วนปัจจัยภายนอก พบว่า ระบบภาครัฐของไทยมีการยื่นขอเอกสารกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องค่อนข้างล่าช้า และไม่ยืดหยุ่น ประกอบกับการต่อต้านจากระบบขนส่งเดิม ๆ ที่เห็นว่า EV Bus เป็นคู่แข่งที่มาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด จึงมีการยื่นเรื่องขัดขวางกับทางขนส่ง

เสียงจากผู้ประกอบการที่ทำเพื่อสังคมแม้ขาดทุน

ตัวแทนจากทีมงาน EV Bus เชียงรายเปิดเผยว่า “การประมาณงบคร่าว ๆ ทำให้รู้ว่าจะขาดทุน แต่เราก็ทำ เพราะอยากให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและคนจากสนามบินเข้าเมืองได้สะดวก แต่ปัจจัยภายนอกกระทบมาก และแบกรับต้นทุนไม่ไหว จึงต้องหยุด”

จากการสัมภาษณ์พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องการระบบขนส่งที่สะดวกและราคาไม่แพง หากมีการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจช่วยให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน

ความเหลื่อมล้ำในนโยบายขนส่งมวลชน

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่ถูกชูว่าเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน ในความเป็นจริงกลับถูกจำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ประชาชนและผู้บริโภคในต่างจังหวัดยังต้องเสียค่าเดินทางสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งค่ารถเหมา ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือค่ารถสองแถว ที่ยังไม่มีโครงข่ายขนส่งมวลชนทันสมัยมารองรับ

การที่นโยบายนี้ใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่ประโยชน์กลับตกแค่เฉพาะคนในพื้นที่บางพื้นที่เท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือนโยบาย “เพื่อคนไทยทุกคน” หรือ “เพื่อคนบางพื้นที่” กันแน่

แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้

จากการวิเคราะห์กรณี EV Bus เชียงราย พบว่า หากภาครัฐต้องการให้ระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมอย่างแท้จริง ควรมีการสนับสนุนในหลายรูปแบบ อย่างเช่น

  • การอุดหนุนการลงทุนเริ่มต้น โดยสนับสนุน 30-50% ของราคารถยนต์ไฟฟ้า หรือให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำผ่านกองทุนรัฐ เพื่อลดภาระต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า
  • การอุดหนุนค่าพลังงานไฟฟ้า โดยรัฐช่วยอุดหนุนค่าชาร์จไฟฟ้า เช่น 50% ของค่าไฟใน 3 ปีแรก และส่งเสริมสถานีชาร์จของรัฐร่วมกับเทศบาล
  • การอุดหนุนการเดินรถตามจำนวนเที่ยวหรือคนโดยสาร โดยจ่ายอุดหนุนแบบ “per passenger” เช่น รัฐช่วย 10 บาทต่อคนที่ขึ้นรถ หรือ “per trip” เช่น ช่วย 500-1,000 บาทต่อเที่ยววิ่งที่กำหนด
  • การให้ใช้ทรัพย์สินรัฐฟรี โดยใช้สถานที่ราชการที่ว่าง เช่น สถานีขนส่งเก่า โรงเรียนไม่ใช้ช่วงวันหยุด มาทำจุดจอดหรือสถานีชาร์จ รวมถึงยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ 3 ปีแรก
  • การประชาสัมพันธ์และสวัสดิการให้ประชาชนใช้งาน โดยให้เครดิตเดินทางฟรีแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำแคมเปญ “ขึ้นฟรี 1 เดือนแรก” หรือลดค่าโดยสารสำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุ

จากการประมาณการ หากมีการสนับสนุนตามแนวทางดังกล่าว รัฐจะต้องใช้งบประมาณประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ EV Bus ขนาด 3 คัน ซึ่งจะลดลงเมื่อจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้

บทเรียนสำคัญจากจังหวัดเชียงราย

ความล้มเหลวของ EV Bus เชียงรายพิสูจน์แล้วว่า แม้จะมีความตั้งใจดี หากไม่มีโครงสร้างสนับสนุนจากภาครัฐ ระบบก็ไม่สามารถไปต่อได้ แม้จะมีประชาชนพร้อมใช้บริการก็ตาม ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้ประกอบการหรือประชาชน แต่อาจจะเป็นความผิดพลาดในการออกแบบนโยบาย โดยที่ไม่ได้เล็งเห็นความจริง และความจำเป็นในพื้นที่

ผลกระทบต่อประชาชน

ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอย่างชัดเจน คือ ผู้โดยสารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ ส่วนผู้เสียประโยชน์ คือ คนในต่างจังหวัดที่ต้องจ่ายภาษีเท่ากัน แต่กลับไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาสได้ใช้บริการใด ๆ จากนโยบายนี้เลย

การขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดส่งผลให้ประชาชนต้องพึ่งพายานพาหนะส่วนตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการครองชีพ เพิ่มมลพิษทางอากาศ และสร้างปัญหาการจราจร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานศึกษาขนาดใหญ่

ข้อเสนอแนะจากประชาชน

ประชาชนในต่างจังหวัดต้องการเห็นนโยบายที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เฉพาะในเมืองใหญ่ รัฐบาลควรเปิดพื้นที่ให้เอกชนและท้องถิ่นได้พัฒนาโดยมีภาครัฐหนุนหลัง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเส้นทางจากสนามบิน โรงพยาบาล สถานศึกษา และแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัด

กรณีของจังหวัดเชียงรายอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หากภาครัฐปรับเปลี่ยนวิธีคิดจากการให้สิทธิพิเศษแก่คนในพื้นที่บางพื้นที่ มาเป็นการสร้างโอกาสให้ในทุก ๆ พื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองรองที่ภาครัฐต้องการจะสนับสนุนให้คนมาท่องเที่ยวเพื่อกระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้มีระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ผลกระทบระยะยาว

หากรัฐบาลยังคงดำเนินการในการจัดทำนโยบายแบบเดิม อาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางสังคมมากขึ้น เมื่อคนในกรุงเทพฯ มีสิทธิประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนในต่างจังหวัดไม่มี ทั้งที่ทุกคนเป็นผู้เสียภาษีเท่ากัน

ในระยะยาว การขาดระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัด อาจจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก อาจลดการเคลื่อนย้ายของแรงงานและนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การกระจายรายได้นั้นไม่ทั่วถึง

ขนส่งมวลชนคือความยุติธรรมเชิงพื้นที่

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เป็นเรื่องของความยุติธรรมทางพื้นที่ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหรืองบประมาณ หากรัฐบาลยังเลือกสนับสนุนเพียงพื้นที่ที่เสียงดัง และปล่อยให้ภูมิภาคหรือพื้นที่อื่นเงียบหาย เท่ากับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของระบบขนส่งสาธารณะของผู้บริโภคคนไทย

กรณีศึกษาของ EV Bus เชียงรายแสดงให้เห็นว่า ความตั้งใจดีและความต้องการของประชาชนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่มีนโยบายจากภาครัฐมาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดจะยังคงเป็นเพียงความฝัน

คนไทยทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงระบบขนส่งที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจัง หากต้องการให้นโยบายขนส่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์ทีมงาน EV Bus เชียงราย (2568)
  • กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสำนักงบประมาณ ปี 2568
  • บทวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย)
  • คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ประวัติศาสตร์ชาติไทย สัญชาติเพื่อผู้ไร้สถานะ เปิดทางสู่ความเท่าเทียม

ธีรรัตน์” ประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่ เร่งรัดสิทธิสัญชาติไทยลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงราย ย้ำโปร่งใส ตรวจสอบได้

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงถึงการประกาศใช้หลักเกณฑ์เร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลในกลุ่มชาติพันธุ์และบุตรของคนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยประกาศฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 มีผลบังคับใช้แล้วในราชกิจจานุเบกษา เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คนที่เกิดในประเทศไทยแต่ยังไม่มีสัญชาติไทย สามารถยื่นขอสัญชาติได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ประตูใหม่” ให้ลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์ได้สิทธิเท่าเทียม

สาระสำคัญของประกาศฯ คือ การเร่งรัดขั้นตอนยื่นขอสัญชาติสำหรับบุตรของคนต่างด้าวที่เกิดในไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยที่มีการจัดทำทะเบียนประวัติแล้วกว่า 140,000 ราย ให้สามารถขอสัญชาติไทยได้โดยทั่วไป ยึดแนวทางความมั่นคงของชาติและหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กระบวนการทั้งหมดเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ประเมินและกลั่นกรองอย่างละเอียด รอบคอบ โปร่งใส โดยเน้นย้ำถึงคุณสมบัติและเงื่อนไขที่ชัดเจน เช่น ต้องมีทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัวประชาชนที่เข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด มีการรับรองพฤติกรรมจากตำรวจในท้องที่ ฯลฯ

ระยะเวลา-วิธีการขอชัดเจน

ในประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้ยื่นคำขอภายใน 1 ปี นับแต่ประกาศมีผลบังคับใช้ หรือจนกว่าจะมีมติ ครม. ขยายเวลาออกไป การดำเนินการใช้รูปแบบ “One Stop Service” ยื่นขอในพื้นที่ได้ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด กำหนดให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้แทนเป็นผู้วินิจฉัย ตรวจสอบขั้นตอนทุกประการเพื่อความถูกต้อง แม้จะเป็นการอำนวยความสะดวกแต่ยังคงความเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงและพฤติกรรมผู้ขอ

ผลักดันด้วยยุทธศาสตร์ชาติ – “ไม่ใช่ต่างด้าวทั่วไป”

กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์/ชนกลุ่มน้อย ที่อยู่ในไทยมานาน มีทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก เริ่มต้นด้วยเลข 6 (หรือ 5/8) และเลขหลักที่หก-เจ็ดเป็น 50-72 หรือผู้ได้รับการสำรวจตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ (เช่น เลข 0…89 สำหรับบางกลุ่ม) กลุ่มนี้ “ไม่ใช่ต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย” หรือผู้หนีภัย/แรงงานข้ามชาติที่มีพาสปอร์ต และไม่เกี่ยวกับผู้มีวีซ่าชั่วคราว

ทิศทางนโยบาย – สร้างโอกาส สร้างคุณค่า ลดเหลื่อมล้ำ

น.ส.ธีรรัตน์ ย้ำว่า รัฐบาลจะเดินหน้าขับเคลื่อนตามนโยบายมติ ครม. ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเข้าถึงบริการสาธารณสุข การศึกษา สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทัดเทียมชาวไทย พร้อมย้ำการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทุกฝ่าย

การประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ยังได้รับคำชื่นชมจากองค์การระหว่างประเทศว่าเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน และเป็นแบบอย่างสำหรับภูมิภาค

วิเคราะห์สถานการณ์

การเดินหน้าประกาศและปฏิบัติหลักเกณฑ์ดังกล่าว สะท้อนความตั้งใจจริงของรัฐไทยในการแก้ปัญหาสถานะบุคคลอย่างยั่งยืน ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ลดช่องว่างด้านสิทธิขั้นพื้นฐาน และสร้างความเชื่อมั่นแก่กลุ่มชาติพันธุ์ว่าจะได้รับโอกาสและการปกป้องตามหลักกฎหมายไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กรมการปกครอง
  • สำนักทะเบียนกลาง
  • มติคณะรัฐมนตรี 29 ต.ค. 2567
  • ราชกิจจานุเบกษา
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนารักษ์เอื้อราษฎร์ รมช.คลัง มอบที่ดินทำกิน-ที่อยู่ ลดเหลื่อมล้ำแม่สาย

รมช.คลังมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” แก่ชาวแม่สาย หนุนความมั่นคงที่ดิน ลดเหลื่อมล้ำ สู่เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – นับเป็นอีกก้าวสำคัญของนโยบายด้านที่ดินเพื่อประชาชน เมื่อกระทรวงการคลัง โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชร.1154 ให้กับประชาชนตามโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน และขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนฐานราก

พิธีมอบสัญญาเช่า สู่ชีวิตใหม่ของ 200 ครอบครัวแม่สาย

บรรยากาศที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สายในวันนี้อบอวลด้วยรอยยิ้มและความปลื้มปีติของประชาชน 196 รายที่ได้รับสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุอย่างเป็นทางการ อีก 4 รายได้รับการอนุมัติเพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น 200 ราย รวมพื้นที่ประมาณ 31 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา การส่งมอบสัญญาเช่าในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างหลักประกันด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ชาวบ้านแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ของรัฐในการจัดการทรัพยากรเพื่อสาธารณะอย่างเป็นธรรม

โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นเกียรติ ร่วมแสดงความยินดีกับประชาชนผู้รับสัญญาเช่า

จากนโยบายสู่ความเปลี่ยนแปลงจริง

โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ตอบโจทย์ปัญหาการถือครองที่ดินราชพัสดุในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่มาก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 โดยการให้สิทธิ์เช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในอัตราที่เหมาะสม ลดความกังวลเรื่องที่ดินไร้สถานะและปัญหาข้อพิพาท ช่วยสร้างความมั่นคงและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ได้ขับเคลื่อนโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนฐานรากมีความมั่นใจในชีวิตและอนาคต สามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต

รมช.คลัง ชู “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สร้างสังคมแห่งความเสมอภาค

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เน้นย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลและกระทรวงการคลังในการสร้างความมั่นคงด้านที่ดิน พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ผลักดันและสนับสนุนโครงการจนเกิดผลสำเร็จ ยืนยันว่าจะบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านที่อยู่อาศัย โอกาสทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม

ตรวจติดตามแผนป้องกันอุทกภัย เสริมความปลอดภัยระยะยาว

ในโอกาสเดียวกัน คณะรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ยังได้ลงพื้นที่สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างคันกั้นน้ำในแผนป้องกันอุทกภัยของอำเภอแม่สาย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิตในพื้นที่ชายแดน

สู่สังคมที่มั่นคงและยั่งยืน

การมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุในวันนี้ จึงเป็นทั้งสัญลักษณ์และกลไกขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของประชาชนแม่สาย นำไปสู่ความมั่นคงด้านที่ดิน การอยู่อาศัยที่ปลอดภัย การทำกินที่ยั่งยืน และการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเสมอภาคในสังคมไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายร่วมมือ 12 หน่วยงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ผ่านบำบัดและส่งเสริมอาชีพ

เชียงรายเดินหน้าขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ผ่านกระบวนการบำบัดและส่งเสริมอาชีพ

เชียงราย, 4 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมลงนามกับเทศบาลนครเชียงรายและภาคีเครือข่าย 12 หน่วยงาน เดินหน้าขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ผ่านกระบวนการบำบัดและการส่งเสริมอาชีพ เพื่อคืนคนดีสู่สังคม ลดปัญหาการกระทำผิดซ้ำ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้มั่นคงยั่งยืน

การบูรณาการร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ร่วมประชุมกับภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในหลายมิติ

การประชุมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้อง อาทิ ศาลแขวงเชียงราย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พัฒนาการจังหวัด เกษตรจังหวัด แรงงานจังหวัด วิทยาเขตเชียงราย มหาวิทยาลัยพะเยา และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางการดำเนินงาน “เทศบาลนครเชียงราย โมเดล”

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ซึ่งเทศบาลนครเชียงรายจะเป็นหน่วยงานนำร่องในการขับเคลื่อนโมเดลการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยใช้แนวทาง บำบัด-ฟื้นฟู-ส่งเสริมอาชีพ” อย่างครบวงจร

  • บำบัดและฟื้นฟู: จัดให้มีศูนย์บำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ให้ได้รับการดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการให้คำปรึกษาเพื่อปรับทัศนคติและสร้างแรงจูงใจในการกลับคืนสู่สังคม
  • ส่งเสริมอาชีพ: ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันให้การสนับสนุนด้านอาชีพ โดยการฝึกอบรมทักษะ สร้างโอกาสการจ้างงาน และให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ผู้ที่ผ่านการบำบัด เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า “เทศบาลนครเชียงรายพร้อมเป็นศูนย์กลางในการดำเนินโครงการนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ถึงแม้จะเป็นโครงการใหม่ แต่เรามั่นใจว่าทุกภาคส่วนพร้อมให้ความร่วมมือ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองได้มีชีวิตใหม่ และสามารถดูแลครอบครัวได้อย่างมั่นคง”

การสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายเพื่อสร้างสังคมปลอดยาเสพติด

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการประสานงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม โดยแต่ละหน่วยงานมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงาน เช่น

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย: ดูแลด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์: ให้บริการทางการแพทย์และให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต
  • พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย: สนับสนุนด้านสวัสดิการและการฟื้นฟูผู้ผ่านการบำบัด
  • สำนักงานแรงงานจังหวัดเชียงราย: สนับสนุนการจ้างงานและพัฒนาอาชีพ
  • มหาวิทยาลัยพะเยา และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย: ให้ความรู้และฝึกอบรมอาชีพ

บทสรุป

การลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบบูรณาการ โดยเน้นการบำบัด ฟื้นฟู และส่งเสริมอาชีพ เพื่อลดอัตราการกลับไปเสพยาเสพติดซ้ำ และช่วยให้ผู้ผ่านการบำบัดสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เชื่อว่าโครงการนี้จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนได้อย่างยั่งยืน

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. โครงการ “เทศบาลนครเชียงราย โมเดล” มีเป้าหมายอะไร?
    • มีเป้าหมายเพื่อบำบัด ฟื้นฟู และส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ติดยาเสพติดที่ต้องการกลับตัวเป็นคนดีของสังคม
  2. ใครสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้บ้าง?
    • ผู้ที่ผ่านการบำบัดรักษายาเสพติดและต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่ รวมถึงประชาชนที่ต้องการสนับสนุนและร่วมมือกับภาครัฐ
  3. หน่วยงานใดมีบทบาทสำคัญในการดำเนินโครงการนี้?
    • หน่วยงานภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น เทศบาลนครเชียงราย สาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัยในพื้นที่
  4. โครงการนี้ช่วยลดปัญหายาเสพติดในเชียงรายได้อย่างไร?
    • โดยใช้แนวทางบำบัดที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้โอกาสทางอาชีพเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่ผ่านการบำบัดกลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก
  5. ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในโครงการนี้ได้หรือไม่?
    • ได้ โดยสามารถเข้าร่วมเป็นอาสาสมัคร สนับสนุนการฝึกอบรมอาชีพ หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมปลอดยาเสพติด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

‘อนุทิน’ สั่งผู้ว่าฯ ภาคเหนือ ถึงเวลาใช้กฎหมาย ‘ห้ามเผาเด็ดขาด’

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่แม่แจ่ม มอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

มอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าแม่แจ่ม

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 เวลา 08.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย เดินทางลงพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพบปะผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่

นายอนุทินพร้อมคณะได้ลงจอดเฮลิคอปเตอร์ที่โรงเรียนบ้านเนินวิทยา ก่อนเดินทางต่อไปยังสหกรณ์การเกษตรแม่แจ่ม จำกัด เพื่อพบปะและมอบแนวทางการแก้ไขปัญหา พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมในพื้นที่ เช่น การทำปุ๋ยจากเศษพืช การอัดก้อนเปลือกข้าวโพด และการทำอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

 

ความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อลดปัญหาหมอกควัน

นายอนุทินกล่าวถึงการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร ตำรวจ ไปจนถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อป้องกันการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหมอกควันและฝุ่น PM2.5

“หมอกควันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่มาจากการกระทำของมนุษย์ เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำเกษตร เช่น การไถกลบฟางข้าวโพดแทนการเผา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” นายอนุทินกล่าว

กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว

นอกจากการป้องกันไฟป่า นายอนุทินยังกล่าวถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของแม่แจ่มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว “เราต้องเปลี่ยนตอซังข้าวโพดเป็นโอกาส ให้ธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ของเราเป็นจุดขาย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน”

ทั้งนี้ นายอนุทินยังได้กล่าวถึงการสร้างความร่วมมือกับผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดมลภาวะ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการพัฒนาชุมชนในลักษณะยั่งยืน

คณะผู้บริหารร่วมสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหา

การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นต้น พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ

เน้นย้ำความสำคัญของกฎหมายและการบังคับใช้

นายอนุทินย้ำว่า การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดในระดับพื้นที่ พร้อมกระตุ้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันการเผาในที่โล่ง

“เราไม่สามารถปล่อยให้ประเทศไทยเจอปัญหาภัยพิบัติทุกปี ทั้งฝุ่นละออง น้ำท่วม และภัยแล้ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ เราต้องร่วมกันแก้ไขเพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลาน”

การสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการลงพื้นที่ครั้งนี้คือการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่เกษตรกรและประชาชน โดยมีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรที่ลดการเผาและส่งเสริมการใช้วัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล และคณะลงพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อมอบนโยบายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน พร้อมผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยมีการเน้นย้ำความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

แนวคิดลดค่าไฟ 3.70 บาท: ทำได้จริงหรือแค่ฝัน?

การลดค่าไฟ 3.70 บาท แนวคิดดี แต่ต้องใช้กลไกตลาดเพื่อความยั่งยืน

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้กล่าวถึงแนวคิดที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเสนอบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดเชียงราย ว่าด้วยการลดค่าไฟฟ้าจาก 4.15 บาท เหลือ 3.70 บาท ซึ่งเขามองว่าแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะค่าไฟฟ้าเป็นตัวกำหนดค่าครองชีพสำคัญของครัวเรือน แต่การดำเนินการจำเป็นต้องพิจารณาในเชิงลึกเพื่อให้เกิดความเป็นไปได้และยั่งยืน

การลดค่าไฟ: แนวคิดที่ดีแต่ต้องระวังผลกระทบ

นายนณริฏระบุว่า การตั้งเป้าหมายเพื่อลดค่าไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ดี แต่ประเทศไทยยังอยู่ในระบบตลาด การลดค่าไฟจึงต้องพิจารณาว่าจะสามารถลดต้นทุนพลังงานได้อย่างไรโดยไม่ส่งผลกระทบต่อภ

าคธุรกิจมากเกินไป หากรัฐบาลเลือกใช้มาตรการกดดันหรือบังคับภาคธุรกิจ อาจส่งผลให้เอกชนต้องประสบปัญหาขาดทุนและสร้างแรงกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น ควรมุ่งเน้นวิธีการที่สร้างสรรค์ เช่น การวิจัยและพัฒนา การใช้เทคโนโลยีลดต้นทุนพลังงาน หรือการหาแหล่งพลังงานราคาถูกเพิ่มเติม

กลไกตลาด: คีย์สำคัญสู่ความยั่งยืน

นักวิชาการทีดีอาร์ไอเสนอว่า รัฐบาลควรใช้กลไกตลาดในการดำเนินการเพื่อสร้างประสิทธิภาพ โดยมีบทบาทสนับสนุนเพื่อให้แนวคิดนี้สามารถเกิดขึ้นจริงโดยมีผลกระทบน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกหรือการร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดหาพลังงานต้นทุนต่ำ

เศรษฐกิจไทยปี 2568: การฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียม

ในอีกด้านหนึ่ง นายนณริฏยังกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่ามีการฟื้นตัวดีขึ้นในภาพรวม โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตที่ 2.6-2.8% อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียม กลุ่มรากหญ้าและผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังคงเผชิญความลำบาก รัฐบาลจึงควรมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง มากกว่าการแจกเงินในลักษณะที่สร้างผลกระทบเพียงชั่วคราว

นวทางแก้ปัญหา: การลดหนี้และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

การแก้ไขปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญคือการลดปัญหาหนี้ โดยเฉพาะหนี้ของผู้ประกอบการรายย่อยและกลุ่มคนตัวเล็ก รัฐบาลควรสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การเปิดตลาดใหม่ให้ผู้ประกอบการไทย การลดอุปสรรคทางการค้า และการสร้างโอกาสในเศรษฐกิจโลก

สรุป

แนวคิดลดค่าไฟเป็นเป้าหมายที่ดีและสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อค่าครองชีพประชาชน แต่ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยใช้กลไกตลาดและเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนพร้อมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจไทยในระยะยาว นอกจากนี้ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น การลดหนี้และเพิ่มโอกาสแข่งขัน ยังเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในปี 2568 เพื่อสร้างความสมดุลและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เหนือ-อีสานหนัก ร้านอาหาร ยอดขายหาย 50% เร่งรัฐบาลแก้

 

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้ออกมาเปิดเผยถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อของรัฐบาล โดยเรียกร้องให้มีการลงรายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีเพียงนโยบายที่กล่าวถึงในเชิงทั่วไป และยังขาดรายละเอียดเชิงลึกที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถเข้าใจและปรับตัวได้

นางฐนิวรรณแสดงความเห็นว่า ภาคธุรกิจเอสเอ็มอียังคงเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีธุรกิจจากต่างชาติเข้ามาแข่งกับคนไทย เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ภาคธุรกิจภายในประเทศได้รับผลกระทบอย่างมาก เธอเรียกร้องให้รัฐบาลควรมีการรับฟังเสียงของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย

3 ประเด็นเร่งด่วนที่ภาคธุรกิจร้านอาหารต้องการให้รัฐบาลดำเนินการ

  1. ทบทวนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ:
    นางฐนิวรรณระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยต้องดำเนินการตามกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี เนื่องจากการขึ้นค่าแรงทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้อาจส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็กต้องรับภาระหนักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา การขึ้นค่าแรงจึงควรพิจารณาตามบริบทเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละพื้นที่
  2. ลดหรือตรึงค่าพลังงาน:
    ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้า นางฐนิวรรณเสนอว่ารัฐบาลควรพิจารณามาตรการในการลดหรืออย่างน้อยควรตรึงราคาพลังงาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้กับผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้
  3. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567-2568:
    นางฐนิวรรณชี้ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณที่รวดเร็วจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจร้านอาหาร การที่รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น

สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารยังซบเซา

นางฐนิวรรณเปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจร้านอาหารยังคงประสบปัญหาด้านกำลังซื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรวมยอดขายของร้านอาหารไม่ถึง 50% ในบางจังหวัด เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานการณ์แย่ลงมากยิ่งขึ้น สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ต่ำลง ผู้ประกอบการหวังว่ารัฐบาลจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ที่คาดว่าจะเริ่มในเดือนกันยายนนี้

นางฐนิวรรณยังได้เสนอให้รัฐบาลกำหนดให้ผู้ได้รับเงินดิจิทัลสามารถใช้จ่ายเงินนี้ในร้านอาหารได้ เพื่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและเป็นการฟื้นฟูกำลังซื้อในภาคธุรกิจร้านอาหาร

ความคาดหวังต่อมาตรการรัฐบาล

นางฐนิวรรณกล่าวปิดท้ายว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการที่สามารถบรรเทาผลกระทบในด้านค่าแรงและต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ การสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นกลุ่มใหญ่ในภาคเศรษฐกิจจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

สรุปสถานการณ์:
นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในเดือนตุลาคมนี้อาจจะซ้ำเติมธุรกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่ละเอียดและชัดเจนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อให้สามารถฟื้นฟูและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

เพิ่มโทษ – คุมโฆษณา พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

 
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ครม. มีมติอนุมัติหลักการ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับใหม่ของกระทรวงสาธารณสุข สาระกฎหมายฉบับใหม่กำหนดการแก้ไขคำนิยาม ทั้ง“เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” และ “การสื่อสารการตลาด” และเพิ่มเติมคำนิยาม “ผู้มีปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” เพื่อให้มีความชัดเจน และครอบคลุมการบำบัดรักษาในกลุ่มบุคคลมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
 
 
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หมายความรวมถึง วัตถุทั้งหลายหรือของผสมที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถดื่มกินได้เช่นเดียวกับน้ำสุรา หรือซึ่งดื่มกันไม่ได้ แต่เมื่อได้ผสมกับน้ำหรือของเหลวอย่างอื่นแล้วสามารถดื่มกินได้เช่นเดียวกับน้ำสุรา แต่ไม่รวมถึงเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 0.5 ดีกรี ไม่รวมถึงยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
 
 
การสื่อสารการตลาด หมายความว่า การกระทำใด ๆ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อขายสินค้า บริการ หรือภาพลักษณ์ โดยการประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่ข่าวสาร การส่งเสริมการขาย การแสดงสินค้า การจัดหรือสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ และการตลาดแบบตรง
 
 
ผู้มีปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หมายความว่า บุคคลที่มีรูปแบบการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ทางร่างกาย จิตใจหรือสังคม หรือเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งควรได้รับการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพ
 
 
คุมการโฆษณา เพิ่มหมวดว่าด้วยการโฆษณา โดยมีบทบัญญัติเรื่องการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การประชาสัมพันธ์ใด ๆ โดยผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด ห้ามแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจ และห้ามโฆษณาผลิตภัณฑ์ หรือสิ่งอื่นใดที่อาจทำให้เข้าใจว่าหมายถึงการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งห้ามมิให้การอุปถัมภ์หรือให้การสนับสนุนบุคคล กลุ่มบุคคล หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ในลักษณะที่เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยไม่ใช้บังคับกับการบริจาคหรือการช่วยเหลือตามมนุษยธรรมในกรณีที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรง
 
 
เพิ่มอำนาจการกำกับ เพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของรัฐมนตรีในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับสถานที่ห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มเติมได้บทลงโทษตามกฎหมาย ตามกฎหมายฉบับใหม่ได้กำหนดบทกำหนดโทษ เช่น เพิ่มเติมโทษในกรณีที่ฝ่าฝืนบริโภคเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ไม่เกิน 10,000 บาท เพิ่มอัตราโทษปรับในกรณีผู้กระทำความผิดเป็นผู้ผลิตหรือนำเข้า จากเดิม
 
 
“ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็น “ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
 
ทั้งนี้ แม้ว่าจะผ่านการเห็นชอบในหลักการจาก ที่ประชุม ครม. แล้ว แต่นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติม ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และคณะทำงานไปตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม โดยอยากให้มองมิติด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากมิติด้านสุขภาพ
 
 
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว จึงเสนอเข้ามาให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาภายใน 1 สัปดาห์ และเมื่อ ครม. เห็นชอบรายละเอียดของกฎหมายทั้งหมดอีกครั้งแล้ว ก็ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อนำไปประมวลก่อนส่งไปรัฐสภาเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News