Categories
WORLD PULSE

ร้านกาแฟ “ต่างประเทศ” เริ่ม No WiFi แล้วที่ ‘เชียงราย’ มีเริ่มหรือยัง

ร้านกาแฟอเมริกันทยอยเลิก WiFi หวังจำกัดลูกค้านั่งทำงานนาน กระตุ้นรายได้-ชุมชนสัมพันธ์

กระแสทำงานนอกบ้าน สร้างปัญหาร้านกาแฟ

สหรัฐอเมริกา, 12 พฤษภาคม 2568 – จากรายงานล่าสุดของ Axios สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า ปัจจุบันร้านกาแฟหลายแห่งในสหรัฐฯ เริ่มยกเลิกการให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย (WiFi) และจำกัดการใช้งานแล็ปท็อปภายในร้าน เพื่อแก้ปัญหาลูกค้าที่ใช้พื้นที่นั่งทำงานทางไกล (remote work) เป็นเวลานาน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อยอดขายและบรรยากาศภายในร้านกาแฟเป็นอย่างมาก

ในช่วงที่ผ่านมา ร้านกาแฟจำนวนมากได้กลายเป็นพื้นที่ที่ลูกค้านำแล็ปท็อปมานั่งทำงานหรือประชุมออนไลน์ผ่าน Zoom เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ซึ่งแม้จะเพิ่มจำนวนลูกค้าในร้านแต่กลับส่งผลกระทบทางลบต่อรายได้ของร้านกาแฟ เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มักซื้อกาแฟหรือสินค้าจำนวนน้อย และยังใช้พื้นที่เป็นเวลานาน ทำให้ร้านกาแฟเสียโอกาสในการต้อนรับลูกค้าใหม่และสูญเสียรายได้ที่ควรได้

Starbucks และร้านดังปรับนโยบายใหม่

ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้คือ ร้านกาแฟ Starbucks ที่ก่อนหน้านี้มีนโยบายเปิดให้ลูกค้าใช้บริการฟรี แต่ล่าสุด Starbucks ปรับนโยบายใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2568 ให้ลูกค้าต้องซื้อสินค้าก่อนจึงจะสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและห้องน้ำในร้านได้ เพื่อป้องกันลูกค้านั่งนานเกินควรและลดปัญหาความแออัด

ขณะที่ร้านกาแฟ Devoción ในมหานครนิวยอร์ก เริ่มใช้นโยบายใหม่ จำกัดการใช้งาน WiFi ของลูกค้าเหลือเพียง 2 ชั่วโมงต่อคน ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยลูกค้าต้องใช้แอปพลิเคชันในการขอรหัสเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต ส่วนในวันเสาร์-อาทิตย์ ทางร้านยกเลิกบริการอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง

นาย Lanny Grossman ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Devoción กล่าวกับ Axios ว่า “เราต้องการให้มีความเป็นธรรมต่อลูกค้าทุกคน การปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งนั่งเป็นเวลานานเหมือนเป็นสำนักงานส่วนตัวนั้น ไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจและชุมชนของเรา เราต้องการสร้างความเท่าเทียมในการใช้พื้นที่”

ร้าน Alba ในเมืองดีทรอยต์ยกเลิก WiFi ตั้งแต่ต้น

ร้านกาแฟ Alba ที่เปิดตัวในเมืองดีทรอยต์เมื่อปี 2566 ก็เป็นอีกร้านที่ใช้นโยบายเด็ดขาด ไม่ให้บริการ WiFi ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะต้องการส่งเสริมให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงมากกว่าอยู่หน้าจอ

David Valdez เจ้าของร้าน Alba ระบุว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าผ่านการสนทนา ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากทุกคนยังคงติดอยู่กับหน้าจอ แต่เราก็ยังพบลูกค้าบางส่วนที่นำแล็ปท็อปเข้ามาใช้งานอินเทอร์เน็ตจากร้านใกล้เคียงหรือใช้ hotspot ของตนเอง”

ปัญหาบีบร้านกาแฟต้องยอมตามลูกค้า

อย่างไรก็ตาม บางร้านถูกลูกค้าบังคับจนต้องกลับมาเปิด WiFi อีกครั้ง ตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ Elle ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่เริ่มต้นไม่มี WiFi แต่หลังจากเกิดกระแสทำงานทางไกลเพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้ามาร้องเรียนผ่านการรีวิวบน Google เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ร้านต้องกลับมาเปิด WiFi อีกครั้ง แต่จำกัดเวลาใช้งานเพียงวันจันทร์-พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00–15.00 น. และกำหนดเวลาใช้งานเพียง 1 ชั่วโมงครึ่งต่อคน

นาย Nick Pimentel เจ้าของร้าน Elle เปิดเผยว่า เหตุผลสำคัญคือร้านไม่สามารถรองรับลูกค้าที่นั่งทำงานนานหลายชั่วโมงได้ เพราะมีลูกค้ากลุ่มอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้บริการทานอาหารและเครื่องดื่ม แต่ไม่มีพื้นที่เพียงพอ ร้านจึงจำเป็นต้องหาวิธีการควบคุมเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวดมากขึ้น

สถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลต่อการใช้งานร้านกาแฟ

นอกจากนี้ สถานการณ์การเลิกจ้างพนักงานของรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มจำนวนลูกค้ากลุ่มผู้ที่กำลังหางานใหม่ เข้ามาใช้งานร้านกาแฟ Elle อย่างชัดเจน โดย Pimentel ระบุว่า ลูกค้ากว่า 80% ในบางวัน ใช้ร้านเป็นพื้นที่ทำงานและสัมภาษณ์งานผ่าน Zoom ซึ่งสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและการทำงานในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ดี เจ้าของร้านยังพบข้อดีที่น่าสนใจ คือ กลุ่มลูกค้าบางส่วนเริ่มหันกลับมาสนใจการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงผ่านการพูดคุยกันแบบตัวต่อตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้าน Elle ต้องการส่งเสริมมาโดยตลอด

บทวิเคราะห์ อนาคตร้านกาแฟในยุค Remote Work

การเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้สะท้อนถึงปัญหาที่ร้านกาแฟทั่วโลกกำลังเผชิญ และเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการรักษาบรรยากาศที่ดีภายในร้านในยุคที่การทำงานนอกสถานที่กลายเป็นเรื่องปกติ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากการสำรวจของ Pew Research Center ในปี 2567 พบว่า 35% ของชาวอเมริกันยังคงทำงานแบบ Remote Work อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน สูงกว่าอัตราก่อนช่วงโควิด-19 ที่มีเพียง 7% (ที่มา: Pew Research Center, 2024)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : axios

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

CP พุ่ง! รวยอันดับ 2 เอเชีย ตระกูลไทยติด 3 อันดับ

ตระกูลเจียรวนนท์ ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากอัมบานีแห่งอินเดีย

กรุงเทพฯ, 13 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว Bloomberg เผย ทำเนียบตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ประจำปี 2025” โดยตระกูล เจียรวนนท์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ขยับขึ้นมาครอง อันดับที่ 2 ของเอเชีย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท เป็นรองเพียงตระกูล อัมบานี แห่ง Reliance Industries ของอินเดีย ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี

การติดอันดับของตระกูลเศรษฐีไทยในปีนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มทุนไทยในเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ยังมี 2 ตระกูลมหาเศรษฐีไทย ที่ติดอันดับในรายงานของ Bloomberg ได้แก่:

  • ตระกูลอยู่วิทยา เจ้าของ TCP Group หรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่ม กระทิงแดง (Red Bull) ครอง อันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 860,000 ล้านบาท
  • ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของ เครือเซ็นทรัล ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทย ติด อันดับที่ 17 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 527,000 ล้านบาท

อิทธิพลของเศรษฐีเอเชียในเศรษฐกิจโลก

รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ในช่วงที่ Donald Trump เริ่มต้นวาระที่สองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มหาเศรษฐีเอเชียต้องเตรียมรับมือกับแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีนำเข้า การเปลี่ยนแปลงด้านการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในเอเชีย

นักวิเคราะห์จาก Singapore Management University มองว่า ทศวรรษใหม่ของเศรษฐกิจโลกอาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตลาดโลกโดยตรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และพลังงาน

ตระกูลเศรษฐีที่ติดอันดับสูงสุดในเอเชีย

  1. ตระกูลอัมบานี – เจ้าของ Reliance Industries (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 90.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  2. ตระกูลเจียรวนนท์ – เจ้าของ CP Group (ไทย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  3. ตระกูลฮาร์โตโน – เจ้าของ Djarum & Bank Central Asia (อินโดนีเซีย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  4. ตระกูลมิสรา – เจ้าของ Shapoorji Pallonji Group (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  5. ตระกูลกว็อก – เจ้าของ Sun Hung Kai Properties (ฮ่องกง) มูลค่าทรัพย์สิน 35.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กลยุทธ์ความมั่งคั่งของตระกูลเจียรวนนท์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดย เจีย เอ็กชอ ซึ่งเป็นผู้อพยพจากจีนมาค้าเมล็ดพันธุ์ผักในไทย ปัจจุบันกลุ่ม CP ขยายธุรกิจครอบคลุม อุตสาหกรรมอาหาร ปศุสัตว์ ค้าปลีก โทรคมนาคม และพลังงาน โดยมีเครือข่ายอยู่ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

การลงทุนที่สำคัญของ CP Group

  • ธุรกิจค้าปลีก: เครือ CP All ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย
  • ธุรกิจโทรคมนาคม: True Corporation หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ของไทย
  • ธุรกิจเกษตรและอาหาร: CPF (Charoen Pokphand Foods) ผู้ผลิตอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปรายใหญ่ที่สุดในโลก
  • การขยายตลาดระดับโลก: CP Group มีการลงทุนขยายธุรกิจไปยัง จีน เวียดนาม อินเดีย และยุโรป รวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน

ทิศทางอนาคตของมหาเศรษฐีเอเชีย

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชี้ว่า แม้ว่า CP Group และกลุ่มทุนไทยอื่น ๆ จะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายภาษีและการแข่งขันระดับโลก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปรับตัวและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จะช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างมั่นคง

การขึ้นอันดับของตระกูลเจียรวนนท์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนไทยในระดับโลก และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพสูงในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงราย ติด 1 ใน 5 ‘เมืองรอง’ ค้นหาใน อโกด้า ช่วงต้นฤดูฝนมากสุด

 

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 จากข้อมูลของ อโกด้า (Agoda) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ พบว่า จังหวัดเมืองรองที่นักเที่ยวชาวไทยค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จันทบุรี นครศรีธรรมราช นครนายก ราชบุรี และเชียงราย ตามลำดับ โดยจังหวัดเมืองรองเหล่านี้มีที่เที่ยวที่หลากหลาย เที่ยวได้ไม่จำเจ ตั้งแต่การออกเที่ยวเพื่อดื่มดำไปกับธรรมชาติ จนถึงการไปชิมอาหารรสชาติพื้นเมือง

 

สถิติการค้นหาเมืองรองมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นถึง 23% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน โดยจากทั้ง 5 เมืองรองที่ถูกค้นหามากที่สุด พบว่า นครนายก (อันดับ 3) เป็นจังหวัดที่มียอดการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งการค้นหาเมืองรองที่เพิ่มขึ้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงเทรนด์การท่องเที่ยวที่นักเดินทางต้องการค้นหาประสบการณ์ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อนจากเมืองรองมากขึ้น

 

Pierre Honne ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า กล่าวว่า ความนิยมเที่ยวเมืองรองที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวชาวไทยต้องการสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย และต่างไปจากเดิม ความร่วมมือระหว่างอโกด้าและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เห็นได้จากการค้นหาเมืองรองโดยรวมที่เพิ่มขึ้น อโกด้ายินดีและพร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรอง เพื่อเปิดโอกาสให้จังหวัดเมืองรองที่มีความโดดเด่นในแง่มุมต่างๆ เช่น วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
 
 

เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวชาวไทย สถิติจากอโกด้ายังชี้ให้เห็นถึงปริมาณการค้นหาที่พักในจังหวัดเมืองรองของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น  โดยเมืองรองที่นักเที่ยวต่างชาติค้นหามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เชียงราย อุดรธานี นครศรีธรรมราช จันทบุรี และตรัง ตามลำดับ โดยจังหวัดเหล่านี้มีความโดดเด่นทั้งด้านวัฒนธรรม   และภูมิทัศน์ที่สวยงามหลากหลาย จึงเป็นที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมเยียนเพื่อสัมผัสความเป็นไทย

 

ด้วยตัวเลือกที่พักที่มีความหลายหลายจากอโกด้า ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ทที่เงียบสงบ ไปจนถึงเกสต์เฮาส์ที่มีเสน่ห์ ช่วยให้การค้นหาที่พักสำหรับทุกการเดินทาง เช่น การเที่ยวเมืองรองในช่วงต้นฤดูฝนเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าที่เคย นอกจากนี้แพลตฟอร์มอโกด้ายังมีบริการต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ครอบคลุมในทุกความต้องการของนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวในหรือต่างประเทศ ทั่วโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อโกด้า

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News