Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.ทุ่ม 5.7 พันล้านบาท ดันเชียงรายสู่ “มหานครการบิน” เพิ่มขีดรองรับ 6 ล้านคน

เชียงรายเร่งเครื่องสู่ “มหานครการบิน” ทอท.เดินหน้าแม่ฟ้าหลวงเฟส 1 เพิ่มขีดรองรับเป็น 6 ล้านคนภายใน 7 ปี

เชียงราย, 15 กันยายน 2568 — แผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจภาคเหนือตอนบน ทั้งในมิติการคมนาคม การท่องเที่ยว การค้า และการจ้างงาน ด้วยงบลงทุนประมาณ 5,700 ล้านบาท เพื่อยกระดับขีดความสามารถจาก 3 ล้านคน/ปี เป็น 6 ล้านคน/ปี ภายใน 7 ปี พร้อม “พิมพ์เขียว” โครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ครอบคลุมงานเขตการบิน อาคารผู้โดยสาร และระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน โดยยังยึดหลักการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) และสื่อสารอัตลักษณ์เชียงรายผ่านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย

บริบทและสัญญาณการเติบโต จาก “เกตเวย์” สู่ “กลไกหลัก”

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ทำหน้าที่ “ประตูสู่ภาคเหนือ” และเชื่อมภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง—จีนตอนใต้มายาวนาน กระนั้น เพดานความจุ 3 ล้านคน/ปี เริ่มตึงตัวตามการฟื้นตัวของการบินหลังโควิดและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวของรัฐ ปีที่ผ่านมา สนามบินรองรับผู้โดยสารประมาณ 1.9 ล้านคน แม้ยังไม่ชนขีดจำกัด แต่แนวโน้ม “กลับมาและเติบโตต่อ” ชี้ชัดว่า หากไม่ขยายขีดความสามารถ โอกาสทางเศรษฐกิจจะ “ติดคอขวด” ในระยะสั้นถึงกลาง

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระบุว่า สนามบินมีศักยภาพพร้อมต่อยอด ทั้งจากรางวัลด้านบริการ ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และสุขาภิบาลระดับประเทศหลายปีซ้อน แต่สิ่งสำคัญคือการ “อัปเกรดให้สอดรับบทบาทใหม่” ในฐานะ กลไกหลัก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดและภูมิภาค ไม่ใช่เป็นเพียงจุดผ่าน (gateway) อีกต่อไป

ความจุ 6 ล้านคน/ปี และเสถียรภาพระบบสนามบิน

หัวใจของโครงการคือการยกระดับความจุเป็น 6 ล้านคน/ปี แบ่งเป็น ผู้โดยสารภายในประเทศ 5 ล้านคน และ ระหว่างประเทศ 1 ล้านคน พร้อมเพิ่มความเสถียรของระบบสนามบิน ตั้งแต่ทางขับ ลานจอด ระบบเชื้อเพลิง ไปจนถึงการไหลเวียนคน รถ และสัมภาระอย่างเป็นระบบ ทั้งหมดตั้งอยู่บนที่ดินสนามบิน กว่า 3,000 ไร่ ซึ่งเปิดช่องให้จัดสรรพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมการบินในอนาคต

เป้าหมาย 7 ปี จึงไม่ใช่เพียง “สร้างเทอร์มินัลใหม่” หากแต่เป็นการ “บูรณาการเมืองทั้งเมือง” ให้พร้อมรองรับอุปสงค์การเดินทาง การลงทุน และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวตามความจุสนามบิน

พิมพ์เขียว 3 กลุ่มงาน โครงสร้างพื้นฐานที่คิดแบบองค์รวม

1.งานเขตการบิน (Airside)

  • สำรวจและออกแบบ ทางขับขนานด้านทิศใต้
  • ปรับปรุง–ขยาย ลานจอดอากาศยานด้านทิศใต้
  • ติดตั้ง ระบบเติมน้ำมันทางท่อ เพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียนเครื่อง
  • ออกแบบ ลานจอดอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้น (GSE) รองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น

2.งานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน (Landside & Terminal)

  • ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ และ ปรับปรุงอาคารเดิม ให้ไหลลื่นเป็นหนึ่งเดียว
  • เพิ่ม หลุมจอดแบบประชิดอาคาร 9 หลุม ลดเวลารอคอยต่ออากาศยาน
  • ปรับปรุง อาคารจอดรถ ลานจอด และศูนย์ขนส่ง รองรับการเข้าถึงที่สะดวกขึ้น

3.งานระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน (Airport Support Systems)

  • ปรับปรุง ถนนภายใน ระบบระบายน้ำ–บำบัดน้ำเสีย ระบบประปา และระบบไฟฟ้า
  • สำรวจ–ออกแบบ คลังสินค้าทดแทน และ อาคารซ่อมอุปกรณ์ภาคพื้น เพื่อความพร้อมเชิงปฏิบัติการ

สถาปัตยกรรม ผสานอัตลักษณ์เชียงรายผ่านแรงบันดาลใจ “ผ้าทอลายเชียงแสนหงส์ดำ—พระธาตุดอยตุง—เส้นโค้งไร่ชา” พร้อมแนวคิด Universal Design ตั้งแต่ลิฟต์ ทางลาด บันไดเลื่อน ห้องน้ำผู้สูงอายุ–ผู้พิการ เพื่อให้ “สนามบินสำหรับทุกคน” เกิดขึ้นจริง

ศูนย์ซ่อมอากาศยานแบบ Common Use ฟันเฟืองใหม่ของห่วงโซ่อุตสาหกรรม

ด้านเหนือของสนามบินคือพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ ศูนย์ซ่อมอากาศยานแบบ Common Use ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ผ่านการประเมิน EIA แล้ว และสามารถรองรับเครื่องบิน รหัส C ได้ 8 ลำ พร้อมกัน โครงการนี้คาดว่าจะ จ้างงานตั้งแต่ 400 คนขึ้นไป ในระยะเริ่มต้น และต่อยอดสู่ทักษะขั้นสูงด้านวิศวกรรมการบิน โลจิสติกส์ และซัพพลายเชน—องค์ประกอบที่ไทยยังต้องการเพิ่มกำลังคนและมาตรฐาน

น.ต.ดร.สมชนก เน้นย้ำว่า เม็ดเงินลงทุนสนามบิน “ไม่ใช่ต้นทุนจม” แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานที่กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ” ที่กระจายไปยังซับเซกเตอร์มากมาย ทั้งการท่องเที่ยว บริการขนส่ง โรงแรม–ที่พัก อาหาร–สินค้า OTOP ตลอดจนสถาบันการศึกษาที่จะพัฒนาหลักสูตรรองรับสายงานใหม่

มมอง “ROI เพื่อสังคม” กำไรที่เกินกว่าตัวเลขงบประมาณ

คำถามเรื่อง ROI ถูกหยิบยกในเวทีสาธารณะบ่อยครั้ง ผู้บริหารสนามบินตอบชัดว่า
“ROI เป็นเรื่องรอง เป้าหมายหลักคือการพัฒนาจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน”
การลงทุน 5,700 ล้านบาท จึงวัดผลได้มากกว่ารายได้สนามบิน ได้แก่

  • การเพิ่ม ผลิตภาพการเดินทาง และลดต้นทุนโลจิสติกส์ของพื้นที่
  • การขยาย โอกาสการค้า–การลงทุน และการเชื่อมต่อห่วงโซ่คุณค่าระดับภูมิภาค
  • การสร้าง โอกาสการจ้างงาน ทั้งระหว่างก่อสร้างและหลังเปิดใช้เต็มรูปแบบ
  • การยกระดับ คุณภาพชีวิต และ ความสามารถในการรองรับวิกฤต ของเมือง

เสียงจาก “เมือง” ถ้าคน 6 ล้านมา เมืองต้องพร้อมไปด้วย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ชี้เป้าท้าทายสำคัญว่า
ถ้าคน 6 ล้านมาแล้ว เมืองไม่พร้อม สนามบินอาจพร้อม แต่เมืองไม่พร้อม ก็ไม่มีประโยชน์”
ดังนั้น 7 ปีจากนี้คือหน้าต่างเวลาในการ บูรณาการ รัฐ–เอกชน–ชุมชน–การศึกษา ให้เดินหน้าไปพร้อมสนามบิน

ตัวอย่าง ดีมานด์มหภาค ที่รออยู่ ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพ Spartan World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี คาดผู้เข้าร่วมหลักหมื่น ต้องการห้องพัก 20,000–30,000 ห้อง และเม็ดเงินหมุนเวียน ระดับพันล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าตลาด “นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง” มีความเป็นไปได้สูง หากเมืองยกระดับความพร้อมทั้งที่พัก ระบบขนส่งในเมือง บริการท่องเที่ยว และมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

ผู้ว่าฯ ยังชี้ให้ “สร้างภาพจำใหม่” ให้เชียงรายด้วยข้อมูลจริง เช่น การลดจุดความร้อน 84% ในปีที่ผ่านมา เพื่อให้การสื่อสารเมืองสะท้อนความจริงเชิงบวก และหนุนการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว–นักลงทุน

จากสนามบินดีเด่น สู่ศูนย์กลางโอกาส

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ สนามบินจะ

  • รองรับผู้โดยสารรวม 6 ล้านคน/ปี (ในประเทศ 5 ล้าน ระหว่างประเทศ 1 ล้าน)
  • มี 9 หลุมจอดประชิดอาคาร และลานจอด–ทางขับที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
  • ยกระดับ มาตรฐานความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม ตามกรอบสากล
  • เสริมพลังการแข่งขันของเชียงรายและไทยใน การบิน–ท่องเที่ยว–การค้า–การลงทุน

เหนือสิ่งอื่นใด คือการก่อรูป “ศูนย์กลางโอกาส” ที่คนท้องถิ่นเข้าถึงได้จริง ผ่านอาชีพและธุรกิจใหม่ ตั้งแต่ซัพพลายเชนการบิน โลจิสติกส์เย็น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ธรรมชาติ ไปจนถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมอัตลักษณ์ล้านนากับตลาดโลก

โครงสร้างการมีส่วนร่วมการออกแบบที่เริ่มต้นจากประชาชน

ทอท. เปิดเวที สัมมนาประชาสัมพันธ์ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท วันที่ 15 กันยายน 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน จากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ อปท. ภาคธุรกิจ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายให้ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ซี.อาร์.เอ. ทำหน้าที่สำรวจ–ออกแบบ และรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อปรับแบบให้ “เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด” กับประชาชนและประเทศ

กลไกนี้สำคัญ เพราะทำให้โครงการสนามบิน “ไม่ใช่ของสนามบินฝ่ายเดียว” แต่เป็น ของจังหวัด ที่ทุกฝ่ายร่วมรับรู้–ร่วมกำหนด–ร่วมขับเคลื่อน

เวลา–ความพร้อมเมือง–ประสิทธิภาพการบูรณาการ

แม้มีแนวโน้มบวกชัดเจน แต่ความท้าทายเชิงนโยบายยังมี 3 มิติหลัก

  1. เวลาโครงการ 7 ปี
    ต้องมีวินัยด้านงบประมาณ–การจัดซื้อจัดจ้าง–การควบคุมงาน เพื่อปิดความเสี่ยง “ดีเลย์” ที่อาจกระทบความเชื่อมั่นและต้นทุนแฝงของเอกชน
  2. ความพร้อมของเมืองและห่วงโซ่บริการ
    ที่พัก ระบบขนส่งสาธารณะ–เชื่อมต่อสนามบิน ความเป็นระเบียบของโครงข่ายถนน–จุดรับส่ง รวมถึงมาตรฐานบริการภาคท่องเที่ยว ต้องยกระดับให้สอดรับดีมานด์ใหม่
  3. ประสิทธิภาพการบูรณาการข้อมูล–การสื่อสารสาธารณะ
    เมืองต้อง “เล่าเรื่องด้วยข้อมูลจริง” ต่อเนื่อง เช่น สถิติคุณภาพอากาศ ความคืบหน้าสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยการเดินทาง เพื่อเปลี่ยนภาพจำเดิมเป็นความเชื่อมั่นใหม่

การจัดการ 3 ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ จะทำให้ “สนามบินที่พร้อม” แปรเป็น “เมืองที่พร้อม” และทำให้เม็ดเงิน 5,700 ล้านบาท ส่งผลทวีคูณในเศรษฐกิจฐานราก

เมือง–สนามบิน ต้องโตไปด้วยกัน

น.ต.ดร.สมชนก สรุปทิศทางว่า “เราไม่ได้มอง ROI เป็นตัวตั้ง แต่ตั้งเข็มทิศที่คุณภาพชีวิตคนเชียงรายและภาคเหนือตอนบน” ขณะที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำว่า “ถ้าคน 6 ล้านมา เมืองต้องพร้อม” นี่คือสารเดียวกันในสองมุม—ฝั่งสนามบินและฝั่งเมือง—ที่ชี้ว่าความสำเร็จของโครงการนี้วัดจาก การเติบโตเชิงคุณภาพของจังหวัด มากกว่าตัวเลขก่อสร้าง

ในภาพกว้าง โครงการแม่ฟ้าหลวงเฟส 1 จึงเป็น จิ๊กซอว์โครงสร้างพื้นฐาน ที่เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ให้เชียงราย ตั้งแต่การเป็นฐานกิจกรรมกีฬานานาชาติ การยกระดับท่องเที่ยวคุณภาพ การก่อรูปคลัสเตอร์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ไปจนถึงการปั้นคนรุ่นใหม่ในสายอาชีพการบิน–บริการ—ทั้งหมดนี้คือ “กำไรส่วนรวม” ที่จะกลับมาหาประชาชน

บทสรุปเชิงนโยบาย

  • สนามบิน คือกลไกหลัก มิใช่เพียงเกตเวย์
  • โครงสร้างพื้นฐาน ต้องเดินคู่กับ ความพร้อมของเมือง
  • การมีส่วนร่วมสาธารณะ เป็นตัวประกันคุณภาพแบบและความยั่งยืน
  • การสื่อสารด้วยข้อมูลจริง จะสร้างภาพจำใหม่และแรงส่งการลงทุน
  • หาก “สนามบินที่พร้อม” พบกับ “เมืองที่พร้อม” เป้าหมาย 6 ล้านคน/ปี จะไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็น มหานครแห่งโอกาส ที่คนเชียงรายสัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.เดินหน้าลงทุน MRO และ FBO ดันเชียงรายสู่ “ศูนย์การบินแห่งภาคเหนือ”

เชียงรายเตรียมยกระดับสู่ “ศูนย์การบินแห่งเหนือ” ทอท.เดินหน้า MRO–อาคารผู้โดยสารใหม่ พร้อมเปิดพื้นที่ทิศเหนือเชิญเอกชนลงทุน FBO ดึงเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–ธุรกิจการบินโตยกเขต

เชียงราย, 14 กันยายน 2568 — ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) กำลังเปลี่ยนผ่านสู่บทใหม่ของอุตสาหกรรมการบินภาคเหนือ เมื่อ ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) เดินหน้าแผนลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งการสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และการตั้ง “ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)” บนพื้นที่เฉพาะ ขณะเดียวกัน สนามบินเริ่มเปิดพื้นที่ฝั่งทิศเหนือเพื่อดึงเอกชนลงทุน “FBO”—ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว—เพื่อรองรับดีมานด์ระดับพรีเมียมที่เติบโต

“FBO (Fixed-Base Operator) เป็นผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว ตอนนี้สนามบินกำลังประชาสัมพันธ์หาผู้ลงทุน โดยพื้นที่ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือของสนามบิน” นาวาอากาศตรีสมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย กล่าวยืนยันกับผู้สื่อข่าวนครเชียงรายนิวส์ สะท้อนทิศทางที่ CEI กำลังเปิด “ประตูที่สอง” ให้กับผู้โดยสารกลุ่มเฉพาะ (niche premium) ควบคู่ไปกับผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ปกติ

จากสนามบินประตูท่องเที่ยว สู่ “ฐานอุตสาหกรรมการบิน”

ในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แผนของ ทอท. ที่เชียงรายแบ่งเป็น 2 แกนสำคัญ

  1. อาคารผู้โดยสารใหม่ – มุ่งเพิ่มขีดความสามารถรองรับจากระดับราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ในช่วงสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อรับมือพฤติกรรมท่องเที่ยวภาคเหนือและการเชื่อมต่อจีนตอนใต้–ลุ่มโขงที่ขยายตัวต่อเนื่อง (มีรายงานต่างประเทศระบุเป้าหมาย 7 ล้านคน/ปี)
  2. ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) บนพื้นที่ราว 50 ไร่ – ปัจจุบัน รายงาน EIA ของโครงการ MRO ที่เชียงรายอยู่บนระบบ Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งสะท้อนการเดินหน้าในเชิงขั้นตอนตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทย

ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ CEI ไม่ได้เป็นเพียง “สนามบินปลายทางท่องเที่ยว” อีกต่อไป แต่ยกระดับไปเป็น “ศูนย์บริการด้านการบิน” ครบวงจร ซึ่งการมี MRO จะสร้างฐานการจ้างงานทักษะสูง กระตุ้นเศรษฐกิจห่วงโซ่อุตสาหกรรมอากาศยาน และเพิ่มเสถียรภาพรายได้ให้สนามบินในระยะยาว—ต่างจากรายได้ที่ผันผวนตามฤดูกาลท่องเที่ยว

FBO vs MRO คนละบท คนละคุณค่า แต่เสริมกัน

คำว่า FBO และ MRO มักถูกเอ่ยคู่กัน แต่มี “หน้าที่” คนละแบบ

  • FBO คือบริการภาคพื้นและอำนวยความสะดวกสำหรับการบินธุรกิจ/เครื่องบินส่วนตัว เช่น เติมเชื้อเพลิง การจอด–ลากจูง การผ่านพิธีการ CIQ แบบเป็นส่วนตัว ห้องรับรอง VIP การขนส่งภาคพื้น และบริการลูกเรือ ฯลฯ มูลค่าเพิ่มของ FBO จึงอยู่ที่ “ความเร็ว–ความเป็นส่วนตัว–ความต่อเนื่อง” ของการเดินทางสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/บุคคลสำคัญ
  • MRO คือการซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค ตั้งแต่ตรวจระยะ/ซ่อมโครงสร้าง/เครื่องยนต์ จนถึงการยกเครื่องใหญ่ (overhaul) ซึ่งต้องใช้มาตรฐานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยเข้มงวดและบุคลากรทักษะสูง—สร้าง ฐานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ดังนั้น “เชียงราย” ที่ เปิดหาเอกชนลงทุน FBO และในเวลาเดียวกัน เดินหน้า MRO จึงเป็นยุทธศาสตร์สองขาที่ “ตอบสองตลาด” ทั้ง ตลาดพรีเมียมรายคน (FBO) และ ตลาดสายการบินรายฝูงบิน (MRO)

MJets Private Jet Terminal Bangkok Thailand

ภูมิทัศน์การแข่งขัน ไทยมี “ฐาน FBO แข็งแรง” อยู่แล้ว

ประเทศไทยมี FBO/ผู้ให้บริการภาคพื้นที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับระดับภูมิภาค หนึ่งในนั้นคือ MJets ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่ง รายงาน AIN FBO Survey 2025 จัดให้ MJets อยู่ใน Top 20% ของเอเชีย–แปซิฟิก ด้วยคะแนน 4.46 ยืนยันทักษะและมาตรฐานการบริการของผู้เล่นไทยในเวทีนานาชาติ

ด้านผู้ให้บริการเครือข่ายระดับโลกอย่าง Universal Aviation มีจุดให้บริการ/ซัปพอร์ตการปฏิบัติการในไทยหลายสนามบิน (เครือข่ายประเทศไทย) ซึ่งสะท้อนว่าตลาดบริการภาคพื้นสำหรับลูกค้าธุรกิจและเครื่องบินส่วนตัวในไทยมีฐานโครงสร้างรองรับรองรับอยู่แล้ว หากเชียงรายเปิด FBO เพิ่ม จะยิ่งเสริมเครือข่ายให้สมบูรณ์ในฝั่งเหนือของประเทศ

ขณะเดียวกัน สนามบินเชียงรายยังมีบริษัทภาคพื้นเชิงพาณิชย์ให้บริการอยู่ก่อน เช่น Thai Ground Solutions (TGGS) ซึ่งตอกย้ำว่าพื้นฐานการให้บริการภาคพื้นของ CEI มีอยู่จริง และพร้อมต่อยอดไปสู่บริการพรีเมียมเฉพาะทางของ FBO ได้ในขั้นถัดไป

ดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร “Solo Travel” มาแรง – สายการบินจับตาเชียงราย

ด้านอุปสงค์ผู้โดยสาร รายงาน Scoot–YouGov (สิงคโปร์) เดือนสิงหาคม 2568 จากการสำรวจผู้เดินทาง 5,000 คนใน 6 ตลาดเอเชีย–แปซิฟิก (รวมไทย) ชี้ว่า การเดินทางคนเดียว (Solo Travel) กำลังมาแรง” ด้วยเหตุผลด้านอิสระ–ยืดหยุ่น–เวลาเพื่อดูแลตนเอง (time for me) และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สายการบินใช้วางแผนเส้นทางและผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่—สอดรับกับการโฟกัสจุดหมายปลายทางเมืองหลักของภูมิภาค

สำหรับ Scoot ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสต์ในเครือ Singapore Airlines Group มีการขยายเครือข่ายครอบคลุมจุดหมายปลายทางกว่า 70 เส้นทางใน 18 ประเทศ และเพิ่งได้รับรางวัล “Value Airline of the Year 2025” จาก Air Transport World (ATW) ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง สะท้อนกลยุทธ์ “ความคุ้มค่า” ที่ตอบโจทย์ผู้โดยสารหลังโควิด (สื่ออุตสาหกรรมยืนยันรางวัล) ขณะที่ฐานข้อมูลรางวัลอุตสาหกรรมการบินของ Skytrax ก็แสดงความเชื่อมโยงของ Scoot กับ Singapore Airlines อย่างเป็นทางการในฐานะแขนงโลว์คอสต์ของเครือ—ยืนยันบทบาทในกลุ่ม SIA ที่แข็งแกร่งในเอเชีย

เมื่อโยงบริบทนี้กับ เชียงราย—จุดหมายปลายทางที่มีทั้งธรรมชาติ–วัฒนธรรม–ธุรกิจเชื่อมจีนตอนใต้—จึงไม่น่าแปลกที่สายการบินภูมิภาคจับตาเปิด/ขยายเส้นทางมายัง CEI มากขึ้น ซึ่งหากขีดความสามารถผู้โดยสารและบริการภาคพื้นระดับพรีเมียม (FBO) ขยายตัวพร้อมกัน จะทำให้ “ระบบนิเวศการบิน” ของเชียงรายครบวงจรขึ้นทันที

กรอบเวลา–ศักยภาพ–ผลกระทบทางเศรษฐกิจ

  • เป้าหมายความจุผู้โดยสาร จาก ราว 1.9 ล้านคน/ปี ไปสู่ 6–7 ล้านคน/ปี ตามขนาดอาคารผู้โดยสารใหม่ เพื่อให้สอดรับกับตลาดท่องเที่ยวภาคเหนือและเชื่อมต่อระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจีนตอนใต้/อาเซียนตอนบน
  • MRO 50 ไร่ + EIA เดินหน้า สถานะอยู่ในระบบ Smart EIA ของ สผ. และมีรายงานสื่อเศรษฐกิจไทยติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง—เป็นสัญญาณว่ากระบวนการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเดินตามขั้นตอนก่อนการลงทุนจริง
  • FBO ฝั่งทิศเหนือของสนามบิน ฝั่งบริหารสนามบินยืนยันกำลัง เชิญเอกชนร่วมลงทุน” เพื่อดึงบริการภาคพื้น/เลานจ์/CIQ ส่วนตัวเข้ามาเสริมพอร์ตบริการ CEI ตอบโจทย์ลูกค้าอากาศยานธุรกิจ–พิเศษ (แหล่งข่าว ผอ.สนามบิน ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวท้องถิ่น)

เมื่อรวมกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจคาดหมายคือ การจ้างงานทักษะสูง (ช่างอากาศยาน–วิศวกร–โลจิสติกส์), รายได้มั่นคงจากธุรกิจ MRO, การใช้จ่ายท่องเที่ยว–บริการต่อเชื่อม (retail/อาหาร/ที่พัก/รถเช่า), และ ภาพลักษณ์จังหวัด ที่ขยับจาก “ปลายทางท่องเที่ยว” ไปสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ”

เสียงจากสนาม ทำไม “เชียงราย” จึงน่าลงทุน FBO ตอนนี้

  1. ตำแหน่งยุทธศาสตร์ เชียงรายเป็นประตูสู่ จีนตอนใต้–ล้านช้าง–ลุ่มโขง การมี FBO ช่วยย่นเวลาและลดความยุ่งยากให้กับผู้บริหาร/นักลงทุนข้ามแดนที่ใช้เครื่องบินธุรกิจ
  2. ซัพพลายโครงสร้างพร้อมต่อยอด CEI มีผู้ให้บริการภาคพื้นเชิงพาณิชย์เดิมอยู่แล้ว (เช่น TGGS) การต่อยอดบริการสู่ระดับ FBO จึงไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
  3. สัญญาณดีมานด์จากฝั่งผู้โดยสาร/สายการบิน กระแส Solo Travel และการกระจายเส้นทางของสายการบินโลว์คอสต์–ฟูลเซอร์วิสกำลังดัน “เมืองรองที่มีศักยภาพ” ให้เป็น node ใหม่ในการบินภูมิภาค
  4. อุตสาหกรรมสนับสนุนขยายตัวพร้อมกัน เมื่อ MRO เกิด จะดึงซัพพลายเชนชิ้นส่วน–ซ่อม–เทคนิค–ฝึกอบรมเข้าพื้นที่ ทำให้บริการ FBO ได้อานิสงส์จาก “ระบบนิเวศการบิน” ที่หนาแน่นขึ้น
Jetex with Royce Royce Ghost Limo Service

ความท้าทาย ทุน–เวลา–มาตรฐาน–พันธมิตร

  • ทุนและกรอบเวลา โครงการขนาดใหญ่ต้องการงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการหลายปี—ตั้งแต่ออกแบบ/จัดซื้อ/ก่อสร้าง/ทดสอบระบบ ไปจนถึงการออกใบรับรองต่าง ๆ
  • มาตรฐานกำกับดูแล ฝั่ง MRO ต้องผ่านมาตรฐานการบินพลเรือนระดับสากล (airworthiness/maintenance) ส่วน FBO ต้องรักษามาตรฐานความปลอดภัย–พิธีการ CIQ–การจัดการข้อมูลผู้โดยสารพิเศษ
  • การแข่งขันระดับภูมิภาค สิงคโปร์และประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาอุตสาหกรรม MRO มายาวนาน ไทยจึงต้องสร้างจุดแข็งด้านต้นทุน–โลจิสติกส์–ความเร็ว–คุณภาพบริการ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่างชาติ
  • บุคลากร ต้องผลิต/ดึงดูดแรงงานทักษะสูงในสาขาอากาศยาน–โลจิสติกส์–บริการพรีเมียม—ซึ่งเป็น “คอขวด” ของอุตสาหกรรมทั่วโลก

ภาพรวมเชิงนโยบาย “Next Wing” ในความหมายของการยกระดับทั้งองค์กร

แม้คำว่า “AOT Next Wing” จะถูกใช้เป็นชื่อโครงการฝึกอบรม/พัฒนาศักยภาพบุคลากรรุ่นใหม่ของ ทอท. ในช่วงปี 2568 มากกว่าจะเป็นชื่อโครงการก่อสร้างสนามบินโดยตรง แต่สาระสำคัญคือ การเติม “ปีกใหม่” ให้บุคลากร–กระบวนการ–มาตรฐาน เพื่อรองรับแผนขยายตัวขององค์กรในระยะยาว—รวมถึงงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร/ระบบภาคพื้น/บริการใหม่ที่สนามบินต่าง ๆ ของ ทอท. ทั่วประเทศ (มีหลักฐานการใช้งานคำดังกล่าวในสื่อองค์กร/พันธมิตรประกันภัย)

บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์

ฝั่งอุปทาน ทอท. กำลัง ปักเสาเข็มใหม่” ให้สนามบินเชียงรายด้วย อาคารผู้โดยสารใหม่ + MRO ซึ่งจะพลิก CEI ให้เป็น “ฐานเศรษฐกิจการบิน” ที่มีรายได้และงานคุณภาพสูง ขณะที่ฝั่งอุปสงค์ สนามบินเปิดหาเอกชนลงทุน FBO เพื่อรองรับการเดินทางพรีเมียม/เครื่องบินธุรกิจ—เชื่อมเศรษฐกิจชายแดนกับทุนข้ามพรมแดนอย่างคล่องตัว

ในภาพใหญ่ เชียงราย จึงไม่ได้รอเพียงฤดูกาลท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่ “มหานครการบินของภาคเหนือ” ที่มีทั้ง ผู้โดยสารเชิงพาณิชย์–ลูกค้า FBO–สายการบิน–ฐาน MRO อยู่ร่วม ecosystem เดียวกัน หากการลงทุนสำเร็จตามโรดแมป และดึงพันธมิตรนานาชาติเข้าร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ—สนามบินแห่งนี้จะเป็น “ทางออก” ของคำถามใหญ่เรื่องการกระจายศูนย์กลางเศรษฐกิจการบินในไทย และเป็น “จุดหมาย” ของธุรกิจที่ต้องการความเร็ว ความเป็นส่วนตัว และคุณภาพมาตรฐานโลกในภาคเหนืออย่างแท้จริง

FBO คืออะไร

  • FBO = ผู้ให้บริการภาคพื้นสำหรับอากาศยานธุรกิจ/ส่วนตัว ให้บริการเติมเชื้อเพลิง–จอด–ลากจูง–CIQ ส่วนตัว–เลานจ์ VIP–รถรับส่ง–จัดการลูกเรือ ฯลฯ
  •  คุณค่า เร็ว เป็นส่วนตัว และไร้รอยต่อ เหมาะผู้บริหาร/นักลงทุน/วีไอพี
  •  แตกต่างจาก MRO FBO เน้น “บริการและอำนวยความสะดวก” ส่วน MRO เน้น “ซ่อมบำรุงเชิงเทคนิค/มาตรฐานความปลอดภัย”
  •  ตลาดไทย มีผู้เล่นแข็งแรง (เช่น MJets ได้คะแนนเด่นใน AIN 2025) และเครือข่ายผู้ให้บริการต่างชาติ (Universal Aviation) สนับสนุนการปฏิบัติการในสนามบินหลัก/เมืองท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงาน Smart EIA ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่ระบุโครงการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) เชียงราย อยู่ในระบบติดตาม EIA ของรัฐไทย
  • AIN FBO Survey 2025
  • Universal Aviation – Thailand
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News