Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

นักท่องเที่ยวหาย! เจาะ 3 ตลาดโอกาสใหม่ ดันเชียงรายชิงส่วนแบ่งจากอัตราเข้าพักที่ยังว่าง

อัตราเข้าพัก 55.5%” กับโจทย์ใหญ่ของโรงแรมเชียงราย ทำอย่างไรให้รายได้อันดับ 2 ของภาคเหนือ แปลงร่างเป็น “กำไรยั่งยืน” ท่ามกลางอุปทานใหม่ที่ชะลอตัวและนักท่องเที่ยวจีนหายไป

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — ครึ่งทางของปีท่องเที่ยว 2568 ผ่านไปพร้อมตัวเลขที่ตีความได้สองหน้า ด้านหนึ่ง “เชียงราย” ยังรักษาตำแหน่งจังหวัดรายได้ท่องเที่ยวอันดับ 2 ของภาคเหนือด้วยยอดสะสม 35,926 ล้านบาท (ม.ค.–ก.ย. 2568) รองเพียงเชียงใหม่ สะท้อนศักยภาพของปลายทางเมืองรองที่กำลังเติบโต แต่อีกด้านหนึ่ง อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมในภาคเหนือ (ซึ่งรวมจังหวัดเชียงราย) ในช่วง ครึ่งแรกของปี 2568 กลับอยู่เพียง 55.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ 60.8% ตัวเลขชุดนี้เปิดภาพ “โอกาส–ช่องว่าง–และภารกิจ” พร้อมกันในคราวเดียว ตลาดยังไม่ตึงตัวเท่ากรุงเทพฯ การแข่งขันยังเปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นใหม่ที่มีคุณภาพ แต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับแผนรับมือกับ “ดีมานด์ที่เปลี่ยนทิศ” และ “ซัพพลายที่ชะลอเปิดใหม่” เพื่อเปลี่ยนโอกาสเชิงปริมาณให้กลายเป็นผลลัพธ์เชิงคุณภาพอย่างจริงจัง

บทความข่าวชิ้นนี้ชวนผู้อ่านถอดรหัสสถานการณ์โรงแรมเชียงราย–และภาคเหนือ—ด้วยวิธีการเล่าแบบ “ค่อย ๆ เปิดชั้นข้อมูล” ตั้งแต่ภาพมหภาคของประเทศ สู่บริบทภาคเหนือและพฤติกรรมตลาดเฉพาะพื้นที่ ก่อนปิดท้ายด้วย “รายการปฏิบัติการ” ที่ผู้ประกอบการทำได้ทันที พร้อมอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ตรวจสอบได้จากหน่วยงานรัฐและสถาบันที่เชื่อถือได้

ตัวเลขที่ขัดแย้ง—อุปสงค์ชะลอ แต่อัตราเข้าพักประเทศดีขึ้น

รายงาน “สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ครึ่งแรกปี 2568” ของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สรุปแรงกดดันด้านอุปสงค์ชัดเจน—นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง –4.7% YoY โดยเฉพาะตลาดจีนที่หดตัวถึง -34.1% และมาเลเซีย -5.6% ซึ่งเป็นสองสัญชาติหลักที่เคยพยุงยอดผู้มาเยือนในภาคเหนือและภาคอื่น ๆ ของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี ในระดับประเทศ อัตราการเข้าพักเฉลี่ย กลับ “ขยับขึ้น” เป็น 60.8% (จาก 59.1% เดิม) สะท้อนว่าแม้อุปสงค์รวมสะดุด แต่โรงแรมจำนวนมากยังคงสามารถรักษาอัตราการใช้ห้องพักได้ผ่านการบริหารราคาและช่องทางขายที่คล่องตัว ประกอบกับการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังพยุงตลาดเอาไว้ได้พอสมควร

ทำไมภาพรวมประเทศดีขึ้น แต่ ภาคเหนือ (รวมเชียงราย) จึงเฉลี่ยเพียง 55.5%? คำตอบหนึ่งอยู่ที่ “การกระจุกตัวของการลงทุน” และ “โครงสร้างดีมานด์” ที่เปลี่ยนแปลง—ขณะที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑลเดินหน้าโครงการใหม่ เพิ่ม stock อย่างหนัก ภาคเหนือกลับขยับช้ากว่า และต้องแบกรับ shock จากตลาดจีนที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่

แว่นขยายซัพพลาย—เปิดใหม่ลดลง สะสมหดตัว แต่พื้นที่อนุญาตก่อสร้างโตแรงในศูนย์กลาง

REIC ฉายภาพ ซัพพลายโรงแรมทั่วประเทศ ในครึ่งแรกปี 2568 ว่า

  • โรงแรมขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ ลดลงทั้ง “จำนวนแห่ง” -34.6% และ “จำนวนห้อง” -32.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
  • จำนวนโรงแรมจดทะเบียนสะสม ลดลง -3.7% และ จำนวนห้องพักสะสม ลดลง -1.8% สะท้อนการ “คัดตัวเองออกจากตลาด” ของผู้เล่นบางกลุ่ม รวมถึงการปิดตัวชั่วคราวที่ยังไม่กลับมาเปิด
  • ตรงกันข้าม พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศ กลับเพิ่มขึ้น 29.6% โดย กรุงเทพฯ–ปริมณฑล พุ่งสูงถึง +230.7% ชี้ว่าการลงทุนใหม่กำลังกระจุกตัวในเมืองหลักและศูนย์กลางขนส่ง/ธุรกิจ—แนวโน้มที่อาจดูดดีมานด์ high-yield ไปจากเมืองรองบางช่วงเวลา

สำหรับ ภาคเหนือ (ที่นับรวมเชียงราย) ผลรวมคือ “ยังมี room ให้โต”—เพราะการแข่งขันไม่รุนแรงเท่ากรุงเทพฯ แต่ก็หมายความว่า “ต้องลงมือจัดพอร์ตสินค้าและมาตรฐานบริการให้ตรงดีมานด์ใหม่” เพื่อเก็บเกี่ยว share ที่ยังเหลืออยู่

 ดีมานด์เปลี่ยนหน้า—จีนสะดุด แต่มี “สามตลาดโอกาส” แทรกขึ้นมา

ตัวเลขของ REIC ยังสะท้อน “การสับเปลี่ยนโครงนักท่องเที่ยว” อย่างชัดเจน—แม้จีนและมาเลเซียถอย แต่ยังมีสามกลุ่มที่ขยายตัวเกิน 10% ได้แก่

  • อินเดีย (+13.8%)
  • รัสเซีย (+12.4%)
  • สหราชอาณาจักร (+17.9%)

สำหรับ เชียงราย ซึ่งมีทั้งธรรมชาติ–ศิลปะ–วิถีชนเผ่า–ชายแดน–กาแฟ–ชา—ฐานทรัพยากรวัฒนธรรมเมืองรองเหล่านี้สอดรับกับพฤติกรรมนักเดินทาง “คุณภาพ” ที่นิยมสเตย์นานขึ้น เดินทางนอกฤดูกว่าภูเก็ต/เชียงใหม่ และมักจองกิจกรรมเฉพาะทาง (artisan/ชา–กาแฟ/เดินป่าเบา ๆ/ชุมชน). นี่คือ “ฐานใหม่” ที่ผู้ประกอบการโรงแรมควรแปลงเป็นแพคเกจและช่องทางขายอย่างจริงจัง

ภาพเฉพาะเชียงราย—รายได้อันดับ 2 ของภาคเหนือ แต่ occupancy ยัง “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ”

ในเชิงรายได้ เชียงราย ทำได้โดดเด่น—รายได้ท่องเที่ยว 9 เดือน แรกแตะ 35,926 ล้านบาท เป็นรองเพียงเชียงใหม่ในภาคเหนือ แต่มิติ ประสิทธิภาพการใช้ห้อง (occupancy) ยังอยู่ในกรอบเฉลี่ยของภาคเหนือที่ 55.5% (H1/2568) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 60.8% ความหมายเชิงปฏิบัติคือ “รายได้รวมสูง แต่การใช้ห้องยังไม่เต็มศักยภาพ”—ถ้าเพิ่มอัตราเข้าพักขึ้นได้ทีละ 3–5 จุดเปอร์เซ็นต์ โดยไม่กดราคาแรงจน RevPAR ตก ภาพกำไรของผู้ประกอบการจะต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่กำลังฉุดตัวเลข

  1. ฤดูกาล/พีกชอร์ต (peak short) — เชียงรายยังขึ้นกับฤดูกาลหนาวและงานเทศกาลเป็นหลัก ช่วง non-peak จึงโล่งยาว
  2. โครงสร้างช่องทางขาย — โรงแรม/ที่พักจำนวนหนึ่งยังพึ่งพา OTA เป็นหลัก มี direct channel ไม่แข็งแรงพอ ทำให้ต้นทุนค่าคอมสูง และควบคุม yield/segment ยาก
  3. พอร์ตสินค้า — สัดส่วนที่พักระดับกลาง–บนที่มีจุดขาย “ประสบการณ์+ความยั่งยืน” ซึ่งนักเดินทางรุ่นใหม่ยอมจ่าย premium ยังไม่มากเท่าจังหวัดแม่เหล็กอื่น

จะ “ปิดช่องว่าง 55.5%” อย่างไรให้เห็นผลใน 2 ฤดูกาล

เพื่อไม่ให้ข้อเสนอเป็นแค่สูตรสำเร็จ เราผูก “การบ้าน 5 ข้อ” เข้ากับโครงสร้างดีมานด์–ซัพพลายและนโยบายภาครัฐที่เกิดขึ้นจริงในปี 2568

1) ปั้นไฮซีซันให้ “ยาวขึ้น” ด้วย Micro-Season และ Shoulder Events

  • สร้าง mini-festival/กิจกรรมเฉพาะทาง (กาแฟ–ชา–ดนตรีในสวน–คอมมูนิตี้รัน–ศิลปะร่วมสมัย) ในช่องว่างระหว่างเทศกาลหลัก เช่น หลังปีใหม่ถึงก่อนซากุระพญาเสือโคร่งบาน หรือปลายฝนก่อนลมหนาว เพื่อถ่างไหล่ไฮซีซัน
  • ทำ แพคเกจร่วม ระหว่างโรงแรม–ผู้จัดกิจกรรม–คาเฟ่–อาร์ตสเปซ เน้นระยะสั้น 2–3 คืน มุ่งกลุ่มกรุงเทพฯ/เชียงใหม่ที่ขับรถมาเองและตลาดลัดฟ้า CLMV

2) ใช้ “สามตลาดโอกาส” ให้คุ้ม อินเดีย–รัสเซีย–สหราชอาณาจักร

  • อินเดียชอบ leisure+family+ภาพถ่าย เพิ่ม service design สำหรับครอบครัว (connecting rooms, kids activity, อินเดียมังสวิรัติ) พร้อมแผนสื่อสารในภาษาอังกฤษที่เน้นภาพ “สวย ถ่ายรูปขึ้น”
  • รัสเซียต้องการธรรมชาติ–อากาศเย็น วางโปรยาว 5–7 คืน สำหรับ long-stay ใน low season ด้วยราคาเฉลี่ยต่อคืนที่จูงใจแต่คง margin ผ่านบริการเสริม (laundry/ซ่อมจักรยาน/คูปองร้านในเมือง)
  • สหราชอาณาจักรเน้นคุณค่าความยั่งยืนและวัฒนธรรม ใส่มาตรฐาน sustainable practice ที่ตรวจสอบได้ เช่น การลดพลาสติก, แหล่งซื้ออาหารท้องถิ่น, กิจกรรม community-based พร้อมหน้าเว็บแสดงนโยบาย ESG ชัดเจน

3) รีแพ็กเกจสินค้ากลุ่ม Bleisure และ Wellness-lite

เทรนด์ทำงานนอกสถานที่ยังไม่หาย—ออกแบบแพคเกจ “Work from Chiang Rai 5–7 คืน” รวม co-working day pass/นวดไทย/กิจกรรมเย็น, เน็ตแรงรับรอง, late check-out วันศุกร์ พร้อม “เงื่อนไขเลื่อนได้” เพื่อลดความเสี่ยงผู้จอง

4) Direct Booking-First ลดค่าคอมฯ OTA โดยไม่เสียยอด

  • ตั้ง “Best Value on Our Site” จริง—ไม่ใช่คำโฆษณา—ให้สิทธิพิเศษเฉพาะจองตรง เช่น early check-in (ถ้าห้องว่าง), welcome drink, เครดิตอาหาร 300 บาท/คืน
  • ลงทุน CRM + Email Automation เพื่อเรียกกลับลูกค้าเก่า ส่งข้อเสนอจับเวลา 72 ชั่วโมงหลังเช็กเอาต์ พร้อมดีลวันเกิด/ครบรอบ—ต้นทุนต่ำแต่ conversion สูง
  • วัดผลด้วย RevPAR/Net (หลังหักค่าคอม) ไม่ใช่แค่ ADR/Occ. เพื่อเห็นกำไรจริง

5) เตรียมตัวรับ Air Access และ “คานอำนาจราคา” ในไฮซีซัน

นโยบายเชิงรุกของรัฐในไตรมาสท้ายปี—ตั้งแต่การเจรจาเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศไปยังเมืองรอง ไปจนถึงมาตรการจูงใจสายการบิน—หากส่งผลถึงเชียงราย ผู้ประกอบการต้องพร้อมทั้ง Rate Strategy และ Allotment Management ไม่ขายห้องหมดเร็วเกินไปในราคาเปิด–แต่กัก allotment เพื่อจับดีมานด์ท้ายไฮซีซันที่ willingness-to-pay สูงกว่า

ด้านแรงงานและมาตรฐานบริการ คู่สมรสของ Occupancy

อัตราเข้าพักจะ “แปรเป็นกำไร” ก็ต่อเมื่อโรงแรมคุม ต้นทุนแรงงาน–พลังงาน–อาหาร ได้ในระดับคุณภาพบริการที่ไม่ตก—เรื่องนี้ยิ่งสำคัญในเชียงรายที่ตลาดแรงงานการบริการคุณภาพยังตึงมือเป็นระยะ ข้อเสนอทางปฏิบัติ ได้แก่

  • Upskill แบบ pinpoint เลือกทักษะที่สร้างความต่าง เช่น สื่อสารอังกฤษ/จีนขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงานต้อนรับ–เบลล์บอย, เทคนิค upsell อาหารเช้า–สปา–เลทเช็กเอาต์ สำหรับ front-line
  • Energy Management ลงระบบควบคุมไฟ–แอร์โซนสาธารณะ, เปลี่ยนหลอด/เครื่องทำน้ำร้อนประสิทธิภาพสูง, ติดตาม kWh ต่อห้อง/คืน แบบรายสัปดาห์—ต้นทุนกิโลวัตต์ลดลง = margin เพิ่มขึ้นโดยไม่แตะราคา
  • มาตรฐานความสะอาด–ความปลอดภัย ให้ “เห็นและจับต้องได้” ป้ายเช็กชื่อแม่บ้าน/เวลาทำความสะอาด, มุมแสดงนโยบายอาหารปลอดภัย, อธิบายการใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ—คือสัญญาณคุณภาพที่นักเดินทางยุคใหม่ให้คะแนน

สัญญาณเตือนและโอกาสระยะกลาง ซัพพลายใหม่กำลัง “เลือกเกิด” เมืองรองต้องชิงคุณภาพ

แม้จำนวนโรงแรมอนุญาตเปิดใหม่ทั่วประเทศลดลงแรง แต่ พื้นที่ก่อสร้างรวม กลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ–ปริมณฑล—แปลว่าเงินลงทุนกำลัง “เลือกเกิด” ในจุดที่คิดว่าหวังผลได้แน่ เมืองรองอย่างเชียงรายจึงควรเน้น “คุณภาพสินทรัพย์” ไม่ไล่ปริมาณ ตอบโจทย์กลุ่มพรีเมียม–ครอบครัว–นักเดินทางยาว เพื่อยืดระยะเวลาพักและดันค่าใช้จ่ายต่อทริป (Spend per Trip) มากกว่าการแข่งราคาเฉลี่ยต่อคืน

การที่ สินเชื่อคงค้างโรงแรม/รีสอร์ท ครึ่งแรกปี 2568 อยู่ที่ 418,557 ล้านบาท (ขยายตัวเล็กน้อย +0.2% YoY) บ่งชี้ว่าแบงก์ยัง “เปิดไฟเขียวแบบมีเงื่อนไข”—ทีมที่มีแผนธุรกิจชัด, Demand mapping ดี, โครงสร้างทุนเหมาะสม ยังเข้าถึงแหล่งเงินได้ เมืองรองจึงควรชูแผนเชื่อมชุมชน–สิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม เพื่อให้ดีลมี “เรื่องเล่าและผลกระทบเชิงบวก” มากกว่าตัวเลข occupancy เพียงอย่างเดียว

เชื่อมโยงกับโครงนโยบายท่องเที่ยว ทำงาน “ร่วมจังหวะรัฐ” ให้เป็น

ในระดับนโยบาย ภาครัฐผลักดัน Airline Focus เพิ่มเส้นทางบินสากลเข้าสู่ไทยและเมืองหลักหลายแห่ง รวมทั้งการรุกตลาดต่างชาติช่วงไฮซีซัน การส่งสัญญาณเช่นนี้สำคัญต่อเชียงรายใน 2 ประเด็น

  1. หากเที่ยวบินระหว่างประเทศ/เช่าเหมาลำเข้าถึงเมืองเหนือมากขึ้น เชียงรายต้องรีบจับมือผู้จัดทัวร์–ไกด์–ผู้ประกอบการกิจกรรม เพื่อทำ multi-night program ที่ดึงนักท่องเที่ยวไปไกลกว่า “แวะ 1 คืน”
  2. ควรใช้สถานะเมืองปลายทางปลอดภัย–เป็นมิตร–วัฒนธรรมเด่น มัดใจกลุ่มผู้หญิงเดินทางเดี่ยว/กลุ่มเล็ก/ดิจิทัลโนแมด ที่มีแนวโน้มพักยาวและใช้จ่ายเฉลี่ยสูง

จากตัวเลขสู่การบ้าน—ทำอย่างไรให้ “55.5%” ขยับใกล้ 60.8% และเกินกว่านั้น

ภารกิจเร่งด่วน 90–180 วัน สำหรับโรงแรมเชียงรายและภาคเหนือที่อยากเห็น occupancy ขยับขึ้นอย่างมีคุณภาพ โดยไม่บั่นทอนราคาเฉลี่ย มีได้อย่างน้อย 6 ข้อ

  1. สร้างแพคเกจ “อยู่ยาวขึ้น” (Stay Longer, Save Smarter) 4/6/8 คืน พร้อมสิทธิ late check-out + เครดิต F&B แทนการลดราคาโต้ง ๆ เพื่อรักษา ADR
  2. เน้นกลุ่มเดินทางต่างชาติที่เติบโต—อินเดีย/รัสเซีย/สหราชอาณาจักร—ทำคอนเทนต์ภาษาอังกฤษที่ตอบคำถาม “มาทำอะไรได้บ้างใน 72 ชั่วโมง” พร้อมจองกิจกรรมล่วงหน้าบนเว็บตรง
  3. ทำ Calendar Micro-Season ร่วมพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อถ่างช่วงพีก และเลี่ยง “หลุมร้าง” ระหว่างเทศกาลโดยใช้กิจกรรมเฉพาะทาง
  4. จัดโครงสร้างราคาแบบ smart-fence member-only rates บนเว็บตรง, add-on ซื้อเพิ่ม (อาหารเช้า/รถรับ–ส่ง/กิจกรรม), กำหนด blackout period ให้ OTA ในวันดีมานด์สูง
  5. ยกระดับงานบริการเชิงประสบการณ์ (experience cues) ที่ต้นทุนต่ำแต่รับรู้คุณค่าสูง เช่น ชา–กาแฟสายพิเศษ local maker, มินิวอร์กช็อป 30 นาที, มุมงานคราฟต์เด็ก–ครอบครัว
  6. วัดผลด้วยตัวชี้วัด “กำไรจริง”—RevPAR/Net, GOPPAR—แทนการดัน occupancy อย่างเดียว เพื่อเลี่ยงกับดัก “ห้องเต็มแต่กำไรบาง”

หากทำได้ตามนี้ แม้ “จำนวนนักท่องเที่ยวรวม” ยังแกว่งตามเศรษฐกิจโลก ผู้ประกอบการเชียงรายก็ยังมีโอกาสดันอัตราเข้าพักให้ “ไล่ทันหรือแซงค่าเฉลี่ยประเทศ” พร้อมรักษาราคาเฉลี่ยต่อคืนให้เหมาะกับคุณภาพประสบการณ์—นั่นคือการเปลี่ยนรายได้จังหวัดที่อันดับ 2 ของภาคเหนือ ให้ “ไหลลงงบกำไรขาดทุน” อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • athitahotel
  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (MOTS)
  • ข้อมูลข่าวและสรุปนโยบายภาครัฐด้านการท่องเที่ยวปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ท่องเที่ยวเวียดนามฟีเวอร์ ไทยเสียแชมป์ตลาดเอเชีย

เวียดนามฟีเวอร์! นักท่องเที่ยวทะลุ 7.6 ล้าน ไทยชะลอตัว-ตลาดจีนแห่เที่ยวเวียดนาม แซงไทยในตลาดหลักเอเชีย

ประทเศไทย, 1 มิถุนายน 2568 – การท่องเที่ยวเวียดนามกลายเป็นประเด็นร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนามเปิดเผยสถิติชี้ว่า เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 7.67 ล้านคน ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา นับเป็นการขยายตัวที่น่าจับตา สะท้อนภาพเวียดนามในฐานะ “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายใหม่จากทั่วโลก

เวียดนามแรงแซงไทย นักท่องเที่ยวจีน-เกาหลีหันเป้าหมายใหม่

ข้อมูลล่าสุด (อัปเดต 12 พฤษภาคม 2568) ระบุว่า ตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้าเยือนเวียดนามสูงสุดคือจีน 1.95 ล้านคน ตามด้วยเกาหลีใต้ 1.58 ล้านคน ขณะที่ไทย ซึ่งเคยเป็นจุดหมายหลักสำหรับตลาดทั้งสองกลุ่ม กลับถูกเวียดนามแซงหน้าอย่างชัดเจน โดยสถิติระบุว่า นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าไทยช่วงต้นปีมีเพียง 1.82 ล้านคน ส่วนกลุ่มเกาหลีใต้ ไทยมีนักท่องเที่ยวราว 600,000 คน ขณะที่เวียดนามดึงกลุ่มนี้ได้ถึง 1.58 ล้านคน หรือมากกว่าประมาณ 3 เท่า

ตลาดสำคัญอื่นๆ อาทิ ไต้หวัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และกัมพูชา ก็เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ (+98.3%) กัมพูชา (+79.6%) และลาว (+44.7%) ต่างมีอัตราเติบโตสูง ส่วนไทย (+3.1%) และมาเลเซีย (+0.3%) กลับขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย

แนวโน้มเปลี่ยนทิศทางการท่องเที่ยวในภูมิภาค

สถานการณ์ที่เวียดนามแซงหน้าไทยในกลุ่มตลาดหลักอย่างจีนและเกาหลีใต้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาค โดยในอดีต ไทยเคยเป็นจุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวจีนและเกาหลีมาโดยตลอด แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองชาติกลับเลือกเวียดนามเป็นปลายทางมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงรุก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่

ไทยยังคงตัวเลขรวมสูงแต่แนวโน้มชะลอตัว

แม้ไทยจะยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมสูงกว่า โดยข้อมูลสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวรวมกว่า 13 ล้านคน แต่สัปดาห์ล่าสุดกลับมีแนวโน้มชะลอตัวลง นักท่องเที่ยวลดลง 5.11% โดยเฉพาะกลุ่มจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ลดลง 8.26%, 1.72% และ 1.42% ตามลำดับ สะท้อนแรงกดดันด้านการแข่งขันจากเวียดนามและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ตลาดจีนซึ่งเคยเป็น “หมุดทองคำ” ของไทย เริ่มแปรเปลี่ยนฐานความนิยม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าเวียดนามสูงกว่าของไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็น “กำลังซื้อหลัก” ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ก็เลือกเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็ว

วิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนทิศการท่องเที่ยว

หนึ่งในปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์ชี้ชัด คือการที่เวียดนามใช้นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาเส้นทางบินตรง การเปิดเมืองใหม่ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ รวมถึงราคาค่าครองชีพที่เหมาะสม ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาค่าเงินบาทแข็ง อัตราค่าครองชีพสูง รวมถึงความกังวลในเรื่องความปลอดภัยที่ถูกหยิบยกในสื่อระหว่างประเทศ

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นว่า สาเหตุหลักของการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่น และต่างชาติส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องความปลอดภัยและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยสูงขึ้น ทำให้เวียดนามกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มนี้

ทิศทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน กลายเป็นความท้าทายของไทย

รายงานจาก Lao Tien Times ในงาน Thailand Tourism Forum 2025 เมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 ชี้ว่า ไทยกำลังตกเป็นรองในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีเพียง 109 โรงแรม หรือไม่ถึง 1% ของโรงแรมทั่วประเทศ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านความยั่งยืน ขณะที่แพลตฟอร์มการจองและเทคโนโลยี AI เริ่มให้ความสำคัญกับสถานประกอบการที่มีใบรับรองมาตรฐานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้โรงแรมไทยที่ไม่ผ่านมาตรฐานอาจถูกกันออกจากตลาดสำคัญ เช่น การเดินทางเพื่อธุรกิจและกลุ่ม MICE

อาลิสา ศิวายะธร CEO Sivatel Bangkok Hotel กล่าวในงานว่า กระแสความต้องการท่องเที่ยวเชิงรับผิดชอบกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น “มาตรฐานใหม่ของโลก” โดยเฉพาะนักเดินทางจากยุโรปที่มีการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมเข้มข้นมากขึ้น

แม้ผู้บริโภคไทยจะมีความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าในปี 2567-2568 มีโพสต์เกี่ยวกับการลดใช้พลาสติกและขยะกว่า 6,800 โพสต์บนโซเชียลมีเดีย และมีผู้มีส่วนร่วมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง ข้อมูลจากผลสำรวจระบุว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และ 62% ยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว แต่ราคายังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกวิธีที่ประหยัดมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ลาวโดดเด่นบนเวทีโลก ผลักดันเมืองหลวงพระบางสู่มาตรฐานโลก

ขณะที่ไทยกำลังดิ้นรนกับมาตรฐานความยั่งยืน ลาวกลับมีความคืบหน้าสำคัญ หลวงพระบางได้รับรางวัลอันดับ 3 ใน Green Destinations Top 100 Story Awards สาขาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว (Destination Management) ณ งาน ITB Berlin เมื่อเดือนมีนาคม 2568 นอกจากนี้ หลวงพระบางอยู่ระหว่างการเตรียมตัวขอรับรอง Green Destination Certification อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะยกระดับภาพลักษณ์เมืองมรดกโลกให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

สถิติล่าสุดระบุว่าในปีที่ผ่านมา หลวงพระบางมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวลาวและต่างชาติกว่า 2.3 ล้านคน สร้างรายได้มากกว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น น้ำตกกวงสี วัดเชียงทอง ภูสี และตลาดกลางคืน ยังคงเป็นแม่เหล็กสำคัญ

ทางออกและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ “สวัสดีหนีห่าว” ที่นำผู้ประกอบการและ KOL จากจีนเข้าร่วมงานโปรโมตประเทศไทย พร้อมขยายตลาด “Long haul” หรือกลุ่มเดินทางไกล ขณะที่ยังต้องรักษาตลาด “Short haul” หรือกลุ่มระยะใกล้ โดยมีมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกผ่านระบบ ตม.6

นางสาวฐาปนีย์ ยังยืนยันว่า ไทยมีศักยภาพขยายตลาดใหม่ พร้อมย้ำถึงมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้ตลาดจีนและกลุ่มเป้าหมายสำคัญกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง

วิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในปี 2568

สถานการณ์การแข่งขันของเวียดนามและไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของไทย ทั้งในแง่ของการขยายตลาดใหม่ การยกระดับมาตรฐานความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยและประสบการณ์ท่องเที่ยว ตลอดจนการเน้นกลยุทธ์การตลาดที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ ความคุ้มค่า และความรับผิดชอบต่อสังคม

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เวียดนามมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 7.67 ล้านคน ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (+23.8%) (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีนักท่องเที่ยวสะสมกว่า 13 ล้านคน (1 ม.ค.–25 พ.ค. 2568) (อ้างอิง: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวจีนเยือนเวียดนาม 1.95 ล้านคน ไทย 1.82 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
  • นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เยือนไทย 600,000 คน ขณะที่เวียดนาม 1.58 ล้านคน (อ้างอิง: สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม)
  • ไทยมีโรงแรมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนเพียง 109 แห่ง (<1%) (อ้างอิง: Siam Commercial Bank Economic Intelligence Center, Lao Tien Times)
  • หลวงพระบาง ลาว มีนักท่องเที่ยว 2.3 ล้านคน รายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิง: กรมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมลาว, ITB Berlin 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • Siam Commercial Bank
  • Economic Intelligence Center
  • Lao Tien Times
  • งาน ITB Berlin 2025
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE