Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รถไฟเด่นชัย-เชียงของ เคลียร์ปัญหา เวนคืนที่ดิน

เชียงรายประชุมความคืบหน้ารถไฟเด่นชัย-เชียงของ พร้อมถกปัญหาค่าเวนคืนที่ดิน

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย, สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย, สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงราย และหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย

ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในจังหวัดเชียงราย ครอบคลุม อำเภอป่าแดด, อำเภอเทิง, อำเภอเมืองเชียงราย, อำเภอเวียงชัย, อำเภอเวียงเชียงรุ้ง, อำเภอดอยหลวง และอำเภอเชียงของ เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาคเหนือ โดย มีระยะทาง 323.1 กิโลเมตร ครอบคลุม 59 ตำบล 17 อำเภอ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่, ลำปาง, พะเยา และเชียงราย มี 26 สถานี แบ่งเป็น 4 สถานีขนาดใหญ่, 9 สถานีขนาดเล็ก และ 13 ป้ายหยุดรถ ใช้งบประมาณ 85,345 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จภายใน 7 ปี โครงการนี้ยังรวมถึง ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าชายแดนเชียงของ บนพื้นที่ 150 ไร่ ใกล้พรมแดน สปป.ลาว เพื่อรองรับการเชื่อมต่อสู่จีน

ข้อกังวลเรื่องการเวนคืนที่ดิน

ขณะนี้มีความคืบหน้าในการเวนคืนที่ดินไปแล้ว 87% (550 แปลง จากทั้งหมด 634 แปลง) แต่ยังเหลืออีก 84 แปลง ที่อยู่ระหว่างการเจรจา โดยมีกรณีปัญหาการคัดค้านจากเจ้าของที่ดินบางส่วน โดยเฉพาะ พื้นที่ ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย ซึ่งมีประชาชนร้องเรียนว่าค่าเวนคืนต่ำและไม่เพียงพอสำหรับซื้อที่ดินใหม่

เสียงสะท้อนจากประชาชน

  • นายศรัณย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี และ น.ส.ณัฐภา (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี เจ้าของร้านค้าของเก่าใน อ.เวียงชัย กล่าวว่า ตนได้รับค่าเวนคืน ตารางวาละ 19,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 7.5 ล้านบาท แต่ราคาตลาดที่ดินในพื้นที่สูงกว่า ไร่ละ 8-9 ล้านบาท ทำให้เงินเวนคืนไม่พอซื้อที่ดินใหม่
  • นางพิศมัย ชัยสิทธิ์ ชาวบ้าน อ.เชียงของ ระบุว่า ตนได้รับแจ้งว่าที่ดินของตนจะได้เวนคืนเพียง ไร่ละ 400,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าการประเมินในพื้นที่ที่อยู่ที่ 2.5-3.5 ล้านบาทต่อไร่
  • กลุ่มตัวแทนชาวบ้านร้องขอให้ รฟท. ปรับเพิ่มค่าเวนคืน หรือ จัดสรรที่ดินทดแทนในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากพื้นที่เดิม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก

จุดยืนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

นายจักรี วิสุทธิพนัง พนักงานเทคนิค 8 ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง รฟท. ระบุว่า ราคาค่าเวนคืนที่ดินคำนวณตามเกณฑ์ของกรมธนารักษ์ และเป็นไปตาม พ.ร.บ.เวนคืนที่ดินและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 เจ้าของที่ดินที่ไม่พอใจราคาสามารถ ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 ปี

นอกจากนี้ รฟท. ยังเสนอซื้อที่ดินส่วนที่เหลือเพิ่มเติม อีก 1 งาน เป็นเงิน 11 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเจ้าของร้านค้าของเก่า แต่เจ้าของเรียกร้อง 79 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมิน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้

มาตรการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ

ที่ประชุมมีมติให้ สำนักงานจังหวัดเชียงราย, กรมที่ดิน และธนารักษ์พื้นที่เชียงราย ร่วมกันตรวจสอบราคาเวนคืนที่ดินใหม่ เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน ให้ รฟท. เร่งรัดการจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

สำหรับ ผู้ที่ต้องการอุทธรณ์การประเมินราคาเวนคืน สามารถยื่นเรื่องต่อ สำนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ศาลปกครอง เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ความคืบหน้าการเวนคืนที่ดิน: เวนคืนแล้ว 87% (ข้อมูลจาก รฟท. ปี 2568)
  • งบประมาณโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย – เชียงของ: 85,345 ล้านบาท (ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ปี 2568)
  • จำนวนสถานีและระยะทาง: 323.1 กิโลเมตร, 26 สถานี (ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางราง ปี 2568)
  • ราคาค่าเวนคืนที่ดินในพื้นที่: ตารางวาละ 19,000 บาท (ข้อมูลจากกรมธนารักษ์ ปี 2568)

สรุป

การประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงของ สะท้อนถึงความก้าวหน้าของโครงการและอุปสรรคที่ต้องแก้ไข โดยฝ่ายรัฐยืนยันว่าค่าเวนคืนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ กรมธนารักษ์และกฎหมายเวนคืนที่ดิน ในขณะที่ประชาชนบางส่วนยังคงเห็นว่าราคาที่ได้รับต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้ทบทวน

แนวทางแก้ไขในขณะนี้คือ การตรวจสอบราคาประเมินใหม่ และเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่พอใจยื่นอุทธรณ์ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะที่โครงการเดินหน้าต่อไป เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของภาคเหนือเกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมธนารักษ์ / กรมการขนส่งทางราง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘แม่จัน’ ลุยไถกลบ ลดเผาแก้ฝุ่น PM 2.5 วิกฤต

เชียงรายเปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” ลดปัญหาหมอกควันและ PM2.5

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายร่วมกับอำเภอแม่จัน เปิดโครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เพื่อรณรงค์ลดการเผาในพื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของจังหวัด ณ แปลงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ บ้านผาเรือ หมู่ที่ 11 ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ พร้อมด้วย นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอแม่จัน หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกร และภาคเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

การจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ลดมลพิษทางอากาศ

นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอแม่จัน เปิดเผยว่า อำเภอแม่จันมีพื้นที่การเกษตรรวม 146,524 ไร่ และมีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรประมาณ 44,000 ตัน ซึ่งหากบริหารจัดการอย่างถูกวิธีจะช่วยลดปัญหาการเผา ลดมลพิษทางอากาศ และเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้แทนการปล่อยให้เป็นควันพิษ โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย:

  • นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับ การทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • การสาธิต วิธีการจัดการวัสดุเหลือใช้โดยไม่ต้องเผา
  • การให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 และแนวทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะช่วงเดือน พฤศจิกายนถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมากที่สุด โครงการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางเชิงรุกที่ภาครัฐให้ความสำคัญ ภายใต้นโยบายส่งเสริมการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้เกษตรกรใช้แนวทางอื่นแทนการเผา เช่น:

  • การไถกลบตอซังข้าวโพด
  • การปลูกพืชปุ๋ยสด เช่น ปอเทือง
  • การใช้เศษพืชทำปุ๋ยหมักและเชื้อเพลิงชีวมวล

ภายในงานยังมีกิจกรรม สาธิตการไถกลบตอซังข้าวโพด โดย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายอำเภอแม่จัน ได้ขับรถไถสาธิตด้วยตนเอง จากนั้นได้ร่วมกัน หว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทือง เพื่อสร้างปุ๋ยพืชสด โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเครือข่ายเกษตรกรปลอดการเผาในพื้นที่อำเภอแม่จัน

เสียงสะท้อนจากประชาชนและเกษตรกร

ฝ่ายที่สนับสนุนโครงการ

  • เกษตรกรบางส่วนเห็นว่า การไถกลบตอซังแทนการเผาสามารถเพิ่มอินทรียวัตถุให้ดิน และช่วยลดต้นทุนปุ๋ยเคมี
  • นักอนามัยสิ่งแวดล้อมสนับสนุนว่า การลดการเผาจะช่วยลดฝุ่น PM2.5 และปัญหาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • เกษตรกรบางรายมองว่า การไถกลบอาจต้องใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เช่น ค่าแรงและค่าการใช้เครื่องจักร
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจบางส่วนระบุว่า หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร อาจทำให้เกษตรกรรายย่อยมีภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • พื้นที่การเกษตรในอำเภอแม่จัน: 146,524 ไร่ (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย)
  • วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรในอำเภอแม่จัน: ประมาณ 44,000 ตันต่อปี (ข้อมูลจากกรมวิชาการเกษตร)
  • ค่าฝุ่น PM2.5 ในเชียงราย: มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน (ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ)
  • แนวโน้มการลดลงของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่นำร่องที่ใช้การไถกลบแทนการเผา: ลดลงเฉลี่ย 20-30% (ข้อมูลจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแม่โจ้)

สรุป

โครงการ “Kick Off ชิงไถ ลดการเผา” เป็นมาตรการสำคัญที่จังหวัดเชียงรายดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยมุ่งส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และลดการเผาในที่โล่งเพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของเกษตรกร ภาครัฐ และภาคเอกชน หากสามารถหามาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ควบคู่กับการรณรงค์ให้ความรู้ เชื่อว่าแนวทางนี้จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรอเยียวยาผู้นำฝ่ายค้าน ทวงเงินรัฐ

เชียงรายเร่งรับมือน้ำท่วมปี 2568 ฝ่ายค้านลงพื้นที่ติดตามแผนฟื้นฟู-ทวงเงินเยียวยาประชาชน

ติดตามแผนรับมืออุทกภัยและฟื้นฟูพื้นที่ชายแดน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – คณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมด้วย นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์, นางสาวจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม, นายฐากูร ยะแสง, นางสาวสิริลภัส กองตระการ, นายเจษฎา ดนตรีเสนาะ, นายปารมี ไวจงเจริญ, และนายกรุณพล เทียนสุวรรณ ลงพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามแผนรับมือน้ำท่วมปี 2568 และแนวทางการฟื้นฟูพื้นที่หลังเหตุการณ์อุทกภัยใหญ่ในปี 2567

แผนป้องกันน้ำท่วมแม่สายและแนวทางขุดลอกลุ่มน้ำ

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย รายงานต่อคณะผู้แทนเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ โดยระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซากมาจาก ลำน้ำตื้นเขิน, สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำชายแดน และปริมาณฝนที่ตกหนักเกินค่าเฉลี่ย ทำให้ต้องมีการขุดลอกลำน้ำสายและลำน้ำรวกอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือไทย-เมียนมาในการขุดลอกลำน้ำสาย

ปัจจุบัน ฝ่ายเมียนมา ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแผ่นดินไปแล้ว 20 จุด ส่วนไทยรื้อถอนไปแล้ว 7 จุด และอยู่ระหว่างรอการอนุมัติงบประมาณขุดลอกแม่น้ำสายจากรัฐบาลเมียนมา คาดว่าจะได้รับอนุมัติในเดือนเมษายน 2568 ขณะที่ ฝ่ายไทย ได้จัดสรรงบประมาณ 70 ล้านบาท สำหรับขุดลอกลำน้ำรวก ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการขออนุมัติจากสำนักงบประมาณ

ปัญหาเหมืองแร่และผลกระทบต่ออุทกภัย

นายชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย ชี้ว่า การทำเหมืองแร่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลำน้ำตื้นเขิน เนื่องจากการขุดเหมืองส่งผลให้ตะกอนดินไหลลงสู่ลำน้ำ และทำให้ต้องมีการขุดลอกแม่น้ำทุกปีเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม หากไม่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ปัญหาน้ำท่วมก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาการเยียวยาผู้ประสบภัย: เงินยังไม่ถึงมือประชาชน

นางสาวจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม สส. เชียงราย พรรคประชาชน ตั้งคำถามเกี่ยวกับ เงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งยังคงล่าช้าอยู่ในกระบวนการของรัฐบาล โดยงบประมาณการฟื้นฟูที่ เทศบาลและอำเภอเชียงรายเสนอจำนวน 134 ล้านบาท ต้องรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งทำให้การจ่ายเงินช่วยเหลือล่าช้าและประชาชนเดือดร้อน

ขณะเดียวกัน เกษตรกรในพื้นที่ยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 197 ล้านบาท สำหรับการฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูกที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

ขาดระบบเตือนภัยลำน้ำกกและแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่าระบบเตือนภัยในพื้นที่ ยังไม่ครอบคลุม โดยแม่น้ำกกมีต้นน้ำมาจากเมียนมาและไหลผ่านเมืองเชียงราย ซึ่งปัจจุบันใช้ สถานีวัดระดับน้ำโทรมาตรเพียง 2 แห่ง ได้แก่ที่ อำเภอเมืองเชียงราย และบ้านท่าตอน ซึ่งยังไม่เพียงพอในการคาดการณ์และแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม

ทาง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ได้วางแผน ติดตั้งสถานีวัดระดับน้ำเพิ่มเติม 4 จุด และอยู่ระหว่างขออนุมัติงบประมาณเพื่อเสริมสร้างระบบเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แผนขุดลอกลำน้ำและพัฒนาโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม

กรมชลประทานเชียงราย รายงานว่า ได้มีการศึกษาแนวทางระบายน้ำ 2 แนวทาง เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ ได้แก่:

  1. แนวทางที่ 1 ขุดลอกแม่น้ำกกและทำทางระบายน้ำอ้อมสนามบิน ลงสู่แม่น้ำกกตอนปลาย
  2. แนวทางที่ 2 ขุดลอกแม่น้ำกกให้ไหลผ่านฝั่งขวาของเมืองเชียงรายไปยังถนนบายพาส เพื่อลดความเสี่ยงของการท่วมตัวเมือง

นอกจากนี้ อำเภอแม่สาย มีแผนขุดลอกลำน้ำความยาว 2,800 เมตร ร่วมกับกรมการทหารช่างและรัฐบาลเมียนมา เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนเข้าฤดูฝน

ความท้าทายในการแก้ปัญหา: มีแผนแต่ขาดงบประมาณ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า จังหวัดมีแผนรับมืออุทกภัยอย่างชัดเจนในทุกพื้นที่ แต่ปัญหาหลักคือ ขาดงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล ทำให้โครงการสำคัญหลายโครงการไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทางด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่าปัญหาสำคัญคือระบบการจัดสรรงบประมาณที่ รวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลกลาง ซึ่งทำให้กระบวนการอนุมัติล่าช้า พรรคประชาชนจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจการบริหารงบประมาณไปยังจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและทันท่วงที

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในเชียงรายปี 2567: มากกว่า 35,000 ครัวเรือน
  • งบประมาณที่ต้องการใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย: 134 ล้านบาท
  • จำนวนครัวเรือนที่รอรับเงินเยียวยา 9,000 บาทต่อครัวเรือน: 35,000 ครัวเรือน
  • แผนขุดลอกแม่น้ำกกและลำน้ำสายที่ต้องใช้ภายในปี 2568: กว่า 3,500 เมตร

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย / กรมชลประทาน / สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พอ.สว.เชียงราย แพทย์เคลื่อนที่ เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง

เชียงรายออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ดูแลประชาชนพื้นที่ห่างไกล พร้อมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียง

ให้บริการทางการแพทย์ทั่วถึงแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายดำเนินโครงการ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 11 ประจำปี 2568 เพื่อนำบริการทางการแพทย์ไปสู่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงและครอบครัวที่มีฐานะยากจน ณ โรงเรียนบ้านห้วยน้ำเย็น หมู่ที่ 11 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม โดยมี นางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายณรงค์ ลือชา รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และ นายปฤษฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลด้านสุขภาพอย่างใกล้ชิด

มอบถุงยังชีพและสนับสนุนสวัสดิการแก่ครอบครัวรายได้น้อย

ภายในงานมีการมอบ ถุงยังชีพจากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และ แม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยประกอบด้วย ข้าวสารจากวัดห้วยปลากั้ง ผ้าห่มกันหนาวจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย และพันธุ์ปลาจากสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ ยังมีการมอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมคณะ ยังได้ร่วมประชุมเสวนากับ นายอำเภอแม่สรวย หัวหน้าส่วนราชการ และผู้นำท้องที่ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน โดยมีการวางแผนสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล

ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ

ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีเปิดกิจกรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายและคณะทำงาน ได้เดินทางไป เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุจำนวน 5 ราย ในพื้นที่บ้านห้วยน้ำเย็น ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย เพื่อรับฟังปัญหาและให้การสนับสนุนสวัสดิการที่จำเป็น เช่น การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ การดูแลด้านโภชนาการ และการส่งเสริมสุขภาพ

บ้านห้วยน้ำเย็น หมู่ที่ 11 ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 75 กิโลเมตร และห่างจากที่ว่าการอำเภอเวียงป่าเป้าประมาณ 30 กิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทั่วไป ซึ่งทำให้การเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาชนในพื้นที่

ส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและป้องกันโรค

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการ ส่งเสริมการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ทุรกันดาร และเป็นการปฏิบัติตามพระปณิธานของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ต้องการให้ประชาชนทุกคนสามารถได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ทางจังหวัดเชียงรายยังได้เน้นย้ำถึง มาตรการควบคุมการเผาในที่โล่ง ซึ่งมีผลบังคับใช้ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 รวม 92 วัน เพื่อควบคุมระดับฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนประชาชนที่ได้รับบริการจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 11: มากกว่า 500 คน
  • จำนวนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่ได้รับการเยี่ยมบ้าน: 5 ราย
  • ระยะทางจากตัวเมืองเชียงรายถึงบ้านห้วยน้ำเย็น: 75 กิโลเมตร
  • อัตราผู้สูงอายุในตำบลวาวีที่ต้องการการดูแลสุขภาพระยะยาว: ประมาณ 20% ของประชากรในพื้นที่
  • ระยะเวลาห้ามเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายเพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศ: 92 วัน (1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย / สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย / องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายไหว้ดอยตุง ตามรอยครูบาฯ สรงน้ำพระธาตุ

ดอยตุง 2007 ปี! ศรัทธาครูบาฯ เดินจาริกแสวงบุญ

เชียงราย, 13 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีเดินจาริกแสวงบุญ ตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง”

พิธีบวงสรวงและการเตรียมความพร้อม

เช้าวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่วัดศาลาเชิงดอย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ในงานสืบสานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุง ประจำปี 2568 ภายใต้ชื่อว่า “2007 ปีสืบมา หกเป็งล่องฟ้า ไหว้สาพระธาตุดอยตุง” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีพระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ตลอดจนพระเถรานุเถระ นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย นายอำเภอแม่สาย หัวหน้าส่วนราชการ พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงราย และจังหวัดใกล้เคียงเข้าร่วมพิธีจำนวนมาก

ในพิธีดังกล่าว พระพุทธิวงศ์วิวัฒน์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 6 ได้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนที่เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา วางพานพุ่มดอกไม้สดสักการะครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ด้านหน้าวัดศาลาเชิงดอย เพื่อความเป็นสิริมงคลในการประกอบพิธีเดินจาริกแสวงบุญ จากนั้นได้มีการปล่อยขบวนเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา เป็นระยะทาง 9 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปไหว้สาพระธาตุดอยตุง

ความสำคัญของพระธาตุดอยตุง

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า พระธาตุดอยตุง ตั้งอยู่ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นโบราณสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งตามตำนานเล่าว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระมหากัสสปเถระได้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ที่นี่เมื่อปี พ.ศ. 561 ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีกุนหรือปีช้างตามความเชื่อของชาวล้านนา เชื่อว่าการเดินทางขึ้นมากราบไหว้พระธาตุเจดีย์ที่ดอยตุงจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

สำหรับปีนี้ ประเพณีดังกล่าวตรงกับวันที่ 13 มีนาคม 2568 จังหวัดเชียงรายจึงได้ร่วมกับคณะสงฆ์และภาครัฐจัดให้มีกิจกรรมเดินจาริกแสวงบุญตามรอยครูบาเจ้าศรีวิชัย ขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยตุง เพื่อรำลึกถึงครั้งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้เดินทางแสวงบุญและทำการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุดอยตุง เมื่อปีพุทธศักราช 2470

พิธีตักน้ำทิพย์และสรงน้ำพระธาตุดอยตุง

วันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่บ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีตักน้ำทิพย์เพื่อใช้ในการสรงน้ำพระธาตุดอยตุง โดยมีขบวนน้ำสรงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เข้าประดิษฐานในวิหารวัดน้อยดอยตุง

สำหรับบ่อน้ำทิพย์ของวัดพระธาตุดอยตุง ถือเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกเพียง 2 เมตรจากพื้นดิน แต่มีน้ำใสสะอาดตลอดทั้งปี ซึ่งตามตำนานเชื่อว่าเป็นน้ำที่ใช้สรงน้ำพระธาตุดอยตุงมาตั้งแต่โบราณกาล

ขบวนแห่ศรัทธาและพิธีบวงสรวง

เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 12 มีนาคม 2568 ที่พระธาตุดอยตุง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดพิธีวางเครื่องสักการะและกล่าวขอสูมา ตามประเพณีล้านนา โดยมีการแสดง แสง สี เสียง ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งศรัทธา

ขบวนแห่ศรัทธาเริ่มต้นจากลานจอดรถหน้าทางเข้าพระธาตุดอยตุง มุ่งสู่ลานพระธาตุ ประกอบไปด้วยขบวนเสลี่ยงพุทธศาสนิกชนจากหลายพื้นที่ ขบวนน้ำทิพย์ ขบวนตุงพันวา และขบวนสักการะของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าวและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 มีประชาชนเข้าร่วมงานประเพณีนมัสการและสรงน้ำพระธาตุดอยตุงมากกว่า 50,000 คน และคาดว่าปี 2568 จะมีผู้เข้าร่วมมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอย่างต่อเนื่อง

พระธาตุดอยตุงเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมวดศาสนสถานของจังหวัดเชียงราย ตามสถิติจาก Google Maps พบว่ามีการรีวิวมากกว่า 20,000 รีวิว โดยผู้เข้าชมส่วนใหญ่ชื่นชมในบรรยากาศที่สงบ วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้พระธาตุดอยตุงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย / ข้อมูลจาก Google Maps (ณ มีนาคม 2568) / กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ ยันค่าล้างโคลนเอกสารครบ รอเงินเยียวยาจากส่วนกลาง

เชียงรายจัดสัมมนาสื่อมวลชน เสริมเครือข่ายประชาสัมพันธ์ พร้อมติดตามความคืบหน้างบเยียวยาน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายชี้แจงสถานการณ์งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังล่าช้า

เชียงราย, 12 มีนาคม 2568 – ที่บริเวณ บ่อน้ำพุร้อนป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในกิจกรรม สัมมนาสื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติราชการจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้าง รักษา และพัฒนาเครือข่ายด้านการประชาสัมพันธ์ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการสื่อสารข้อมูลของจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในงานนี้ นอกจากการหารือเกี่ยวกับแนวทางการประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีการกล่าวถึง สถานการณ์น้ำท่วมและปัญหางบประมาณเยียวยาผู้ประสบภัยที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรจากส่วนกลาง โดยมีการตั้งคำถามจากประชาชนว่า “งบประมาณไม่มีแล้วจริงหรือ?” เนื่องจากผ่านมาครึ่งปีแล้ว แต่เงินค่าล้างโคลนยังไม่ถูกโอนมายังพื้นที่

สถานการณ์งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้ส่งเอกสารหลักฐานความเสียหายของผู้ประสบภัยให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับงบประมาณสำหรับการช่วยเหลือค่าล้างโคลนจากส่วนกลาง

รายงานข่าวระบุว่า จ.เชียงรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหนักในช่วง เดือนกันยายน 2567 โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ได้แก่ อำเภอแม่สาย เขตเทศบาลนครเชียงราย และอำเภอเทิง หน่วยงานต่างๆ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว แต่ปัจจุบันยังคงมีปัญหาเรื่องเงินค่าล้างโคลนที่ผู้ประสบภัยจำนวนมากยังไม่ได้รับ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและโฆษกศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปช.) เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเพิ่มเงินเยียวยาสำหรับค่าล้างโคลนครัวเรือนละ 10,000 บาท เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในเชียงรายครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาดินโคลนสะสมจำนวนมาก และต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากในการฟื้นฟู

เหตุใดงบประมาณยังไม่ถูกจัดสรร?

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้เสนอค่าล้างโคลนและดินสำหรับผู้ประสบอุทกภัยหลังคาเรือนละ 10,000 บาท ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ และไม่จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติใหม่ เนื่องจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รับความเห็นชอบจากกรมบัญชีกลางแล้ว อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันงบประมาณดังกล่าวยังไม่ได้ถูกโอนมายังพื้นที่ ทำให้ประชาชนยังคงต้องรอความช่วยเหลือ

นายอนุทินยืนยันว่า กระบวนการจ่ายเงินเยียวยาจะดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยหากมีผู้ตกหล่น สามารถมาทวงสิทธิ์ได้ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าเหตุใดงบประมาณจึงยังไม่ถูกจัดสรรสู่พื้นที่

เชียงรายยังมีงบเหลือหรือไม่

เชียงรายได้จัดตั้ง กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน องค์กรเอกชน และประชาชนทั่วไปสามารถร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยคณะทำงานได้กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนภายใต้ความเห็นชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่ากองทุนดังกล่าวมีงบเพียงพอที่จะช่วยเหลือในกรณีค่าล้างโคลนหรือไม่

ความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

มุมมองของประชาชน

  1. หลายครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบยังต้องใช้เงินส่วนตัวในการล้างคราบโคลน ซึ่งเป็นภาระทางการเงินเพิ่มเติม
  2. ประชาชนบางส่วนกังวลว่า หากไม่มีงบประมาณช่วยเหลือทันก่อนฤดูฝนปี 2568 ปัญหาดินโคลนที่ยังคงตกค้างอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก
  3. มีข้อสงสัยว่าขั้นตอนการเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐล่าช้าเพราะเหตุใด และจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้หรือไม่

มุมมองของภาครัฐ

  1. ผู้ว่าฯ เชียงรายยืนยันว่าทางจังหวัดได้ส่งเอกสารและหลักฐานทั้งหมดไปยังส่วนกลางเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอการโอนงบประมาณจากรัฐบาล
  2. กระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าเงินเยียวยาค่าล้างโคลนได้รับการเห็นชอบแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
  3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งตรวจสอบว่าเหตุใดการโอนงบประมาณยังไม่เกิดขึ้น และจะมีแนวทางเร่งรัดการเบิกจ่ายอย่างไร

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่าในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 15,000 ครัวเรือน
  • ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ คาดการณ์ว่า ฤดูฝนปี 2568 จะมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้น 5-10% จากปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่เสี่ยง
  • ข้อมูลจากเทศบาลนครเชียงราย ระบุว่าความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท

สรุป

ปัญหาความล่าช้าในการจ่ายเงินเยียวยาค่าล้างโคลนให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ยังคงเป็นที่กังวลของประชาชน แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าเงินดังกล่าวได้รับการเห็นชอบแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการโอนงบประมาณมายังพื้นที่

หากงบประมาณไม่ได้รับการจัดสรรทันก่อนฤดูฝนปี 2568 อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำได้

การเร่งรัดกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ประชาชนสามารถฟื้นฟูบ้านเรือน และลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วมซ้ำซาก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) / ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ / เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เที่ยวเชียงรายสัมผัสธรรมชาติ 6 เส้นทางวิถีชุมชน คนกับป่า

พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สร้างรายได้สู่ชุมชน

เชียงราย, 10 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการ 6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว “วิถีชุมชนคนกับป่า” ณ โรงเรียนปางมะกาดวิทยาคม ตำบลแม่เจดีย์ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยมีนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า, นางสาวทัศนาภรณ์ จันทร์ดง พัฒนาการอำเภอเวียงป่าเป้า พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม

พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เชื่อมโยงคนกับธรรมชาติ

อำเภอเวียงป่าเป้าถือเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยมีหลายหมู่บ้านที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ บ้านขุนลาว บ้านห้วยคุณพระ บ้านปางมะกาด บ้านห้วยน้ำกืน บ้านห้วยมะเกลี้ยง และบ้านแม่หาง เส้นทางเหล่านี้มีจุดเด่นด้านการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวิถีชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสธรรมชาติ เที่ยวป่าต้นน้ำ ชมน้ำตก ชิมชา กาแฟอินทรีย์ และเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น

การเปิดเส้นทาง “วิถีชุมชนคนกับป่า” เป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และสร้างรายได้ให้แก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเป็นการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน

6 เส้นทางหมู่บ้านท่องเที่ยว เชื่อมโยงธรรมชาติและวัฒนธรรม

1. หมู่บ้านปางมะกาด (หมู่ 8 ต.แม่เจดีย์)

  • สักการะพระธาตุปางมะกาด

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เที่ยวน้ำตกเลาลี

  • ชมสวนดอกซิมมีเดียมและดอกนางลาว

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

2. บ้านห้วยน้ำกืน (หมู่ 13 ต.แม่เจดีย์)

  • ไหว้พระเจ้าพ่อคูณสาม

  • ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ดอยป่า ดอยมด

  • ชมดอกซากุระและดอกกุหลาบพันปี

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

3. บ้านขุนลาว (หมู่ 7 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • เที่ยวน้ำตกขุนลาว

  • ชมสวนชาและกาแฟพันธุ์พิเศษ

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ สบู่กาแฟ น้ำพริกตาแดง

4. บ้านห้วยคุณพระ (หมู่ 12 ต.แม่เจดีย์ใหม่)

  • นมัสการพระที่อาราม

  • เดินชมวิถีชีวิตชุมชน

  • เยี่ยมชมสวนชาและกาแฟ

  • เช็คอินที่ “แผ่นดินหวิด”

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

5. บ้านแม่หาง (หมู่ 7 ต.ป่างิ้ว)

  • เยี่ยมชมไร่ชาในชุมชน

  • เที่ยวน้ำตกห้วยต้นซ้อ

  • ไหว้พระขอพรที่วัดแม่หาง

  • ท่องเที่ยวดอยแปคมดาบ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

6. บ้านห้วยมะเกลี้ยง (หมู่ 8 ต.ป่างิ้ว)

  • ชมวิถีชีวิตชุมชนปกาเกอะญอ

  • นมัสการพระธาตุดุสิตาผาโง้ม

  • ไหว้พระเจ้าทันใจ

  • ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ

  • ช้อปผลิตภัณฑ์ชุมชน: ชา กาแฟ น้ำผึ้งป่า

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

โครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเชียงราย เพิ่มรายได้ให้ชุมชนกว่า 30% ภายในปีแรก และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) ระบุว่า เชียงรายมีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละกว่า 2 ล้านคน และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายแสดงความกังวลว่าการพัฒนาการท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาขยะและการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น นักอนุรักษ์เสนอให้มีมาตรการควบคุมและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ธรรมชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / รายงานการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2567 / ข้อมูลจากสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE