Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

งบฯ เกือบ 3 พันล้าน! เปิดแผน 8 ปี “รื้อ-สร้างใหม่ทั้งทางน้ำและเมืองชายแดน” แก้ปัญหาน้ำท่วมแม่สายถาวร

งบฯ เกือบ 3 พันล้าน เปิดแผน 8 ปี “รื้อ–สร้างใหม่ทั้งทางน้ำและเมืองชายแดน” แก้น้ำท่วมแม่สายถาวร รับบทประตูเศรษฐกิจ GMS

แม่สาย, จังหวัดเชียงราย – วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ห้องประชุมโรงแรมปิยะพร พาวิลเลี่ยนฮอลล์ อำเภอแม่สาย เต็มไปด้วยตัวแทนหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนริมฝั่งแม่น้ำสายที่เคยถูกน้ำหลากซัดบ้านเรือนจนเสียหาย เมื่อกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เปิดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 1 เพื่อศึกษา “แผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสาย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ จังหวัดเชียงราย” อย่างเป็นทางการ

ภายใต้แผนนี้ รัฐเตรียมใช้งบประมาณรวม 2,950 ล้านบาท ในช่วงเวลา 8 ปี ตั้งแต่ปลายปี 2568 จนถึงสิ้นปี 2575 เพื่อบูรณะทั้ง “ทางน้ำ–โครงสร้างป้องกัน–ระบบระบายน้ำ–พื้นที่ตั้งถิ่นฐานของประชาชน” โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “ยุติวงจรน้ำหลาก–น้ำท่วมซ้ำซาก” ในเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สายที่ถูกนิยามว่าเป็นประตูสำคัญเชื่อมไทย–เมียนมา และกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS)

การประชุมครั้งนี้มี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายอำเภอแม่สาย ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ขณะที่กรมโยธาธิการและผังเมืองได้มอบหมายให้บริษัท วอเตอร์ ดีเว็ลลัฟเม็นต์ คอนซัลแท็นส์ กรุ๊ป จำกัด ทำหน้าที่ที่ปรึกษาและนำเสนอรายละเอียดเชิงวิศวกรรมและผังเมืองต่อที่ประชุม

น้ำท่วมซ้ำซาก–ความเสียหายกว่า 6 พันล้าน ฉากหลังของ “แผนใหญ่น้ำสาย”

อำเภอแม่สายในวันนี้ ไม่ใช่เพียงอำเภอชายแดนที่มีสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาและตลาดค้าชายแดนคึกคัก หากแต่เป็น “พื้นที่เสี่ยงภัย” ที่ชื่อของมันถูกเชื่อมโยงกับข่าวน้ำหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนไหลบ่ามาอย่างต่อเนื่องหลายปี

รายงานของบริษัทที่ปรึกษาชี้ให้เห็นว่า ต้นตอสำคัญของปัญหาอยู่ที่ “การขยายตัวของชุมชนและเขตเมือง” ซึ่งรุกล้ำเข้าไปใน “เขตทางน้ำหลากของแม่น้ำสาย” ไปจนเกือบเต็มตลอดแนวบางช่วงของลำน้ำ เมื่อประกอบเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกหนักในระยะเวลาสั้น ๆ น้ำจึงไม่สามารถไหลผ่านตามธรรมชาติได้อย่างสะดวก เกิดเป็นน้ำหลากและน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี

เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนกันยายน 2567 ถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างชัดเจน หลังจากมีฝนสะสมกว่า 200 มิลลิเมตรในพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำหลาก–ดินโคลนไหลจากพื้นที่ต้นน้ำลงสู่เขตเศรษฐกิจชายแดน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ทั้งบ้านเรือน ร้านค้า โกดังสินค้า และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของรัฐ

ด้วยสถานะของแม่สายในฐานะ “ด่านการค้าชายแดนและเมืองหน้าด่านของไทยใน GMS” รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจขยับจากมาตรการเฉพาะหน้า ไปสู่ “แผนหลักถาวร” ที่มีทั้งการศึกษาเชิงระบบ ออกแบบรายละเอียด และกำหนดกรอบการลงทุนระยะยาว เพื่อไม่ให้เหตุการณ์น้ำหลากกลายเป็น “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ต่อเศรษฐกิจชายแดนในอนาคต

ในปีงบประมาณ 2568–2569 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเบื้องต้นจำนวน 23,578,000 บาทให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ใช้สำหรับการศึกษาแผนหลักและออกแบบรายละเอียดในพื้นที่เป้าหมาย ก่อนจะนำไปสู่การของบดำเนินการเต็มรูปแบบรวม 2,950 ล้านบาทในช่วงปีถัดไป

พื้นที่ศึกษา 10.75 ตร.กม. ในเมือง 3 เทศบาล ปรับทางน้ำ–จัดระเบียบเมือง

แผนการศึกษาครอบคลุมพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลเวียงพางคำ เทศบาลตำบลแม่สาย และเทศบาลตำบลแม่สายมิตรภาพ ซึ่งมีเนื้อที่รวม 56.13 ตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่จะถูกศึกษาความเหมาะสมเชิงลึกและออกแบบรายละเอียดอยู่ที่ 10.75 ตารางกิโลเมตร โดยเน้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบและมีความสำคัญต่อการระบายน้ำของแม่น้ำสายและพื้นที่ชุมชนโดยรอบ

แนวคิดหลักของโครงการ คือ “จัดระบบทางน้ำหลากใหม่” ให้สามารถรองรับน้ำหลากที่ไหลผ่านฝายเหมืองแดงบริเวณวัดถ้ำผาจมได้ไม่น้อยกว่า 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเป็นปริมาณน้ำหลากสูงสุดที่เกิดขึ้นจริงในปี 2567 ตัวเลขนี้ถูกใช้เป็น “ค่ามาตรฐานออกแบบ” (design discharge) เพื่อให้โครงสร้างต่าง ๆ มีความสามารถเพียงพอต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เคยเกิดขึ้นแล้ว

การออกแบบโครงสร้างป้องกันและระบบระบายน้ำ จะประกอบด้วย

  • การจัดให้มี “ทางน้ำหลาก” เพื่อเปิดพื้นที่ให้กระแสน้ำเคลื่อนตัวได้สะดวกมากขึ้นในช่วงฝนตกหนัก
  • การสร้าง “คันป้องกันน้ำหลากริมฝั่งแม่น้ำสาย” (พนังกั้นน้ำ) เพื่อป้องกันน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน
  • การปรับปรุง “ระบบระบายน้ำหลัก” ทั้งท่อระบายน้ำ คูระบายน้ำ และจุดเชื่อมต่อระหว่างทางน้ำสาธารณะกับแม่น้ำสาย เพื่อให้รองรับปริมาณน้ำฝนได้ดีขึ้น

คันกั้นน้ำ 3 ช่วง–ถนน 4 สาย–การรื้อถอนอาคารริมฝั่ง ผังเมืองใหม่บนฐานความเสี่ยงเดิม

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบนเวทีประชุม คือ “แผนก่อสร้างคันกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก รวมความยาวประมาณ 3,920 เมตร ได้แก่

  • ช่วงที่ 1 ความยาว 998 เมตร
  • ช่วงที่ 2 ความยาว 1,361 เมตร
  • ช่วงที่ 3 ความยาว 1,561 เมตร

คันกั้นน้ำดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับแนวถนนสายสำคัญ 4 สาย ที่ต้องมีการ “รื้อย้ายอาคารสิ่งปลูกสร้าง” ตามความจำเป็นในเขตขนานถนนเพื่อเปิดทางให้โครงสร้างใหม่ ได้แก่

  • ถนนสายลมจอย ความยาว 485 เมตร
  • ถนนตัดแนวใหม่ ความยาว 631 เมตร
  • ถนนเกาะทราย ความยาว 769 เมตร
  • ถนนกรมชลประทาน ความยาว 2,035 เมตร

แนวคันกั้นน้ำและถนนที่ปรับปรุงใหม่เหล่านี้ เปรียบเสมือน “โครงกระดูกหลัก” ของการจัดการน้ำหลากในอนาคต เพราะนอกจากจะทำหน้าที่ป้องกันน้ำเข้าท่วมชุมชนแล้ว ยังจะเป็นแนวเชื่อมต่อระหว่างระบบถนน–ระบบน้ำ–ระบบระบายน้ำในเมือง ให้ทำงานสอดประสานกันอย่างมีทิศทาง

แต่ในเชิงสังคมและชุมชน การรื้อย้ายอาคารริมฝั่งแม่น้ำและในแนวถนนที่กำหนด ย่อมมีผลต่อครัวเรือน ร้านค้า และกิจการจำนวนไม่น้อย รัฐจึงต้องวางแผนการจัดหาที่ดินใหม่และการชดเชยเยียวยาอย่างเป็นระบบควบคู่ไปด้วย

จัดหาที่ดิน 3 แปลงรองรับผู้ได้รับผลกระทบ ย้ายออกจากทางน้ำหลากสู่พื้นที่ปลอดภัยกว่า

เพื่อรองรับการโยกย้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการรื้อถอนอาคารในเขตทางน้ำหลากและแนวคันกั้นน้ำ โครงการได้กำหนด “พื้นที่รองรับการตั้งถิ่นฐานใหม่” ไว้เบื้องต้น 3 แปลง ได้แก่

  1. แปลงที่ 1 – ที่ดินสถานีใบยาสูบเวียงพาน เนื้อที่ 78 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวา ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 2.5 กิโลเมตร
  2. แปลงที่ 2 – ที่ดินของกระทรวงการคลัง เนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 7.5 กิโลเมตร
  3. แปลงที่ 3 – ที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ 35 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 1.5 กิโลเมตร

ที่ดินเหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาความเหมาะสมในมิติผังเมือง การคมนาคม การเข้าถึงบริการพื้นฐาน และศักยภาพการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ประกอบอาชีพในอนาคต ก่อนจะกำหนดรูปแบบการจัดแบ่งที่ดิน การชดเชย หรือการจัดสรรใหม่ในรายละเอียดต่อไป

เมื่อพิจารณาในภาพรวม การจัดหาที่ดินรองรับไม่เพียงเป็นมาตรการรองรับผลกระทบจากโครงการเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการ “จัดระเบียบการตั้งถิ่นฐานใหม่” ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติ โดยผลักชุมชนที่รุกล้ำทางน้ำหลากออกจากพื้นที่เสี่ยง และส่งเสริมให้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับมากขึ้น

ไทม์ไลน์ 8 ปี–งบประมาณ 2,950 ล้านบาท จากแบบบนกระดาษสู่โครงสร้างจริงริมแม่น้ำ

โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่สายครั้งนี้มีกรอบการดำเนินงานยาวนานราว 8 ปี และใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 2,950 ล้านบาท แบ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

  • ปลายปี 2568 – กลางปี 2569 (ประมาณ 6 เดือน)
    สำรวจพื้นที่ เก็บข้อมูล ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้น และจัดทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
  • ปี 2569 – 2570 (ระยะเวลา 15–18 เดือน, งบประมาณราว 600 ล้านบาท)
    จัดหาที่ดินโดย “วิธีเจรจาตกลงซื้อขาย” กับเจ้าของที่ดินในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่สำหรับคันกั้นน้ำ ทางน้ำหลาก ถนน และพื้นที่รองรับการตั้งถิ่นฐานใหม่
  • ต้นปี 2570 – ปลายปี 2571 (ระยะเวลา 12–18 เดือน, งบประมาณ 140 ล้านบาท)
    เริ่มก่อสร้าง “คันดินฐานป้องกันน้ำท่วม” และ “คันคอนกรีตเสริมเหล็กระยะแรก” เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำหลักในช่วงต้นของโครงการ
  • ปลายปี 2570 – กลางปี 2573 (ระยะเวลา 24–35 เดือน, งบประมาณ 160 ล้านบาท)
    ก่อสร้างคันคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนที่เหลือ พร้อมทั้งถนนใหม่ และการปรับปรุงถนนเดิมที่เชื่อมโยงแนวคันกั้นน้ำและชุมชนโดยรอบ
  • ต้นปี 2571 – สิ้นปี 2572 (ระยะเวลา 12–24 เดือน, งบประมาณ 400 ล้านบาท)
    จัดหาที่ดินด้วย “วิธีปรองดอง/ออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน” พร้อมมาตรการเยียวยาและจัดการสิทธิในที่ดินอย่างเป็นธรรม
  • กลางปี 2571 – สิ้นสุดโครงการปี 2575 (ระยะเวลา 42–48 เดือน, งบประมาณ 450 ล้านบาท)
    ปรับปรุง “ระบบระบายน้ำหลัก” ของเมือง ทั้งคูระบายน้ำ ท่อระบายน้ำ และจุดระบายน้ำสู่แม่น้ำสาย เพื่อรองรับฝนตกหนักในอนาคต
  • กลางปี 2572 – กลางปี 2575 (ระยะเวลา 30–36 เดือน, งบประมาณ 400 ล้านบาท)
    ก่อสร้าง “เขื่อนป้องกันตลิ่ง” และ “จัดภูมิทัศน์ทางน้ำหลาก” เพื่อป้องกันการพังทลายของตลิ่งและยกระดับคุณภาพสภาพแวดล้อมริมแม่น้ำ ทั้งด้านความปลอดภัยและทัศนียภาพ

เมื่อนำงบประมาณแต่ละส่วนมารวมกัน จะได้ตัวเลขรวม 2,950 ล้านบาท ซึ่งต้องอาศัยการจัดสรรและการผลักดันต่อเนื่องตลอดหลายรัฐบาล จึงจะทำให้แผนนี้เดินหน้าไปจนถึงเส้นชัยได้ตามเป้าหมายปี 2575

จากกำแพงดินชั่วคราวสู่ระบบป้องกันถาวร บทเรียนจากน้ำท่วมปลายปี 2567

หลังน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 ก่อนมีแผนหลักฉบับนี้ เจ้าหน้าที่ทหารกรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้ลงพื้นที่ร่วมกับฝ่ายปกครอง ใช้เครื่องจักร–อุปกรณ์–กำลังพลเข้ารื้ออาคารริมฝั่งแม่น้ำบางส่วน และก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม “ชั่วคราวและกึ่งถาวร” สูงประมาณ 3 เมตร ตลอดแนวแม่น้ำสายระยะทางราว 3 กิโลเมตร พร้อมทั้งร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 ขุดลอกแม่น้ำรวก ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร

มาตรการดังกล่าวช่วย “ซื้อเวลา” ให้แม่สายพ้นจากภาวะวิกฤติในระยะสั้น ลดความเสี่ยงในการเผชิญกับน้ำหลากทันทีในฤดูกาลถัดมา แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ

  • ยังมีอาคารริมฝั่งจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถรื้อถอนได้ในทันที
  • แนวป้องกันที่สร้างขึ้นถูกออกแบบในลักษณะเฉพาะหน้า
  • ระบบระบายน้ำภายในเมืองยังไม่ได้รับการปรับปรุงรองรับอย่างครบวงจร

จึงเป็นที่มาของการ “รอคอยการเข้ามาดำเนินการ” ของกรมโยธาธิการและผังเมืองในรูปแบบแผนระยะยาว เพื่อเปลี่ยนจากการแก้ไขปัญหาเชิงจุด ไปสู่โครงสร้างถาวรที่วางบนการศึกษาทั้งทางวิศวกรรม ผังเมือง และมิติทางสังคมร่วมกัน

โจทย์ที่มากกว่า “ตลิ่งและตัวเลขงบประมาณ” เมืองชายแดนที่ต้องอยู่กับน้ำอย่างเข้าใจ

แม้แผนหลักแก้น้ำท่วมแม่สายจะมีตัวเลขและไทม์ไลน์ที่ชัดเจน แต่การผลักดันให้แผนนี้ประสบความสำเร็จจริง ยังต้องเผชิญโจทย์สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่

  1. การมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระยะ
    การรื้อย้ายอาคาร การเปลี่ยนแปลงแนวถนน และการจัดหาที่ดินใหม่ ย่อมกระทบต่อชีวิตและการทำมาหากินของครัวเรือนจำนวนไม่น้อย การสร้างความเข้าใจ ความโปร่งใสในการชดเชย และการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมออกแบบอนาคตชุมชนของตนเอง จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญ ว่าแผนนี้จะได้รับการยอมรับหรือไม่
  2. ความต่อเนื่องของนโยบายในระยะยาว
    ด้วยกรอบเวลากว่า 8 ปี และงบประมาณเกือบ 3,000 ล้านบาท โครงการลักษณะนี้จำเป็นต้องอาศัย “ความต่อเนื่องเชิงนโยบาย” ข้ามรัฐบาลและข้ามปีงบประมาณ การกำกับติดตามอย่างใกล้ชิดจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จะช่วยให้แผนไม่หยุดชะงักกลางคัน และสามารถปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับสภาพจริงที่เปลี่ยนไปได้
  3. การประสานกับการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน
    แม่สายในฐานะเมืองเศรษฐกิจชายแดน ต้องรองรับทั้งการค้าข้ามแดน การท่องเที่ยว และการลงทุนในอนาคต การจัดระเบียบทางน้ำ ทางถนน และพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ จึงควรผูกโยงกับ “ภาพรวมการพัฒนาเมืองชายแดน” ไม่ให้มาตรการด้านน้ำกลายเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับช่วยสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนว่าพื้นที่นี้มีความปลอดภัยและมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างจริงจัง

แผนน้ำ 3 พันล้านกับอนาคตแม่สาย–จากเมืองเสี่ยงน้ำท่วมสู่เมืองหน้าด่านที่ยืนได้อย่างยั่งยืน

เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดทั้งหมด แผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในอำเภอแม่สาย ไม่ใช่เพียง “โครงการชลศาสตร์” แต่เป็น “แผนผังเมือง–ผังชีวิต–ผังเศรษฐกิจ” ฉบับใหญ่ของเมืองชายแดนแห่งนี้

ตัวเลขงบประมาณ 2,950 ล้านบาท และกรอบเวลา 8 ปี อาจดูใหญ่และยาวนาน แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำหลากครั้งล่าสุดเพียงครั้งเดียวที่สูงกว่า 6,000 ล้านบาท และความเสี่ยงที่จะเกิดซ้ำในอนาคต หากไม่มีการจัดระเบียบทางน้ำและที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง การลงทุนครั้งนี้จึงอาจเป็น “ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อความมั่นคงระยะยาว” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในมุมของคนแม่สายและจังหวัดเชียงราย โครงการนี้คือบททดสอบสำคัญว่า เมืองชายแดนที่ยืนอยู่บนจุดตัดของเศรษฐกิจ–การเมือง–การค้าระหว่างประเทศ จะสามารถ “อยู่กับน้ำ” ได้อย่างเข้าใจและเป็นระบบเพียงใด

หากแผนดำเนินไปได้ตามเป้าหมาย ทั้งทางน้ำหลาก คันกั้นน้ำ ระบบระบายน้ำ และการจัดสรรพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ถูกออกแบบอย่างรอบด้าน แม่สายอาจไม่เพียงหลุดพ้นจากภาพเมืองที่ถูกน้ำหลากซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ยังเสริมสถานะให้เป็น “เมืองหน้าด่านที่มั่นคง ปลอดภัย และพร้อมรองรับโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต” ของทั้งจังหวัดเชียงรายและประเทศไทยโดยรวม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย และที่ทำการอำเภอแม่สาย
  • บริษัท วอเตอร์ ดีเว็ลลัฟเม็นต์ คอนซัลแท็นส์ กรุ๊ป จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME