
‘ธรรมนัส’ สั่งลุยปัญหาสารปนเปื้อนแม่น้ำกก ดันวาระเข้า ครม. พร้อมตั้งคณะกรรมการจังหวัด ขีดเส้น 3 เดือน “ราคาข้าว–โค–ผลผลิตเกษตร” ต้องขยับขึ้น
เชียงราย, 11 ตุลาคม 2568 — เสียงกระซิบจากริมฝั่งน้ำกกในยามเช้า ไม่ได้เล่าถึงเพียงน้ำขึ้นน้ำลงตามฤดูกาล หากแต่กำลังบอกเรื่อง “ความไม่แน่นอน” ของชีวิตผู้คนที่ผูกพันกับแม่น้ำมากว่าชั่วคน ตั้งแต่ความปลอดภัยของน้ำกินน้ำใช้ ไปจนถึงปากท้องเกษตรกรที่ต้องชำเลืองดู “ราคาตลาด” ทุกครั้งที่เก็บเกี่ยว ในห้วงเวลานี้ รัฐบาล ปักธงแนวคิด “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” สู่ภาคเหนือตอนบนด้วยปฏิบัติการเชิงรุก นำโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่พาคณะทำงานระดับนโยบาย–เทคนิค ลงพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เป็นแห่งแรกของภารกิจ
ปลายเข็มนาฬิกาชี้ไปที่ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จุดเริ่มต้นของการรับฟังและสื่อสารนโยบายแบบ “ถึงพื้นที่–ถึงปัญหา–ถึงมือประชาชน” โดยมี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ และ นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนผู้บริหารในสังกัดร่วมขบวน ภาพที่เห็นจึงไม่ใช่เพียง “การลงพื้นที่” แต่คือ “การตั้งโต๊ะทำงาน” กลางจังหวัด—ตั้งแต่การแก้สารปนเปื้อนน้ำ ไปจนถึงการปรับโครงสร้างต้นทุนการผลิตทางการเกษตร และการยกระดับคุณภาพครู–การศึกษา
“ปัญหาเก่าก็ยังไม่ถูกแก้ ปัญหาใหม่ก็เพิ่มมาอีก… จึงต้องตั้งกลไกในจังหวัดให้ทำงานจริงจังและเห็นผล”
— ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี/รมว.เกษตรและสหกรณ์
ตั้งคณะกรรมการจังหวัด เปลี่ยนความเดือดร้อนให้กลายเป็นแผนงาน
มาตรการแรกที่ถูกหยิบขึ้นมาคือ การตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาและขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดเชียงราย มี นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ ทำหน้าที่ประธาน เพื่อให้ศูนย์บัญชาการอยู่ “ในพื้นที่–ใกล้ประชาชน” และบูรณาการงานของ กรมปศุสัตว์–กรมส่งเสริมสหกรณ์–กรมวิชาการเกษตร ให้เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายชัดเจนคือ ลดต้นทุนการผลิต (ลดปุ๋ย–ยาฆ่าแมลง–ปัจจัยการผลิตสำคัญ) พร้อมขยาย ช่องทางตลาด โดยใช้ ระบบสหกรณ์ เป็นแกนกลาง เพื่อให้เกษตรกรรวมกลุ่มมีอำนาจต่อรองมากขึ้นและวิ่งเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น
ตัวชี้วัดระยะสั้น ถูกประกาศชัด—“ภายใน 3 เดือน ราคาข้าว–ราคาวัว–ราคาผลผลิตเกษตร ต้องปรับขึ้น”—ถ้อยคำนี้ย้ำแรงกดดันที่ฝ่ายปฏิบัติจะต้องเร่งเครื่อง ทำทั้งฝั่ง ลดต้นทุน และ เพิ่มรายได้ ไปพร้อมกัน
วาระด่วนเข้าคณะรัฐมนตรี ปัญหาสารปนเปื้อนน้ำ ต้องคุยข้ามพรมแดน
หัวใจของความกังวลในวันนี้คือ คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งประชาชนร้องเรียนมายาวนานว่ามี สารอันตรายปนเปื้อน จากกิจกรรมเหมืองแร่ ต้นน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน ก่อความเสี่ยงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของชุมชนชายฝั่ง การแก้ปัญหาจึงไม่อาจทำได้เพียง “กวาดหน้าบ้านตัวเอง” แต่ต้อง “เปิดประตูไปพูดคุยกับเพื่อนบ้าน” อย่างมีกลไก
“วันอังคารนี้ ผมจะนำเรื่องสารปนเปื้อนในแหล่งน้ำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ กระทรวงการต่างประเทศ หรือนักการทูต ไปเจรจากับ เจ้าของเหมืองต้นน้ำกก–น้ำสาย อย่างเป็นระบบ”
— ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
ขณะเดียวกัน มาตรการ เชิงวิศวกรรม–เชิงสิ่งแวดล้อม ภายในประเทศถูกสั่งเดินหน้าควบคู่ อาทิ ให้ กรมชลประทาน พิจารณา ประตูระบายน้ำ/ฝายดักตะกอน บริเวณต้นน้ำก่อนเข้าสู่ อำเภอแม่อาย เพื่อกรองสารปนเปื้อนและ ลดการไหลผ่านสู่จังหวัดเชียงราย พร้อมสั่งการ กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และกรมประมง ทำ เฝ้าระวัง–ตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสัตว์น้ำ อย่างเข้มข้น เพื่อยืนยันความปลอดภัยต่อการอุปโภคบริโภค ที่สำคัญคือให้ จัดหาแหล่งน้ำสำรอง สำหรับประชาชน แม้ค่าความปนเปื้อน “ยังไม่เกินมาตรฐาน” เพื่อให้ความมั่นใจนำหน้าความเสี่ยง
เชียงราย เมืองชายแดน–ลุ่มน้ำ–เกษตร–ท่องเที่ยว ที่ต้องการ “การบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ”
เชียงราย มีประชากรกว่า 1.2 ล้านคน บนพื้นที่ราว 7.2 ล้านไร่ ครอบคลุม 18 อำเภอ 124 ตำบล 1,725 หมู่บ้าน และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 144 แห่ง เป็นจังหวัดชายแดนที่เชื่อม เมียนมา–สปป.ลาว และมีระบบนิเวศทางน้ำสำคัญทั้ง กก–อิง–โขง รวมถึง หนองหลวง แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ราว 9,000 ไร่ โครงสร้างเศรษฐกิจเอนเอียงสู่ เกษตร–ป่าไม้–ประมง–ท่องเที่ยว พืชเศรษฐกิจหลากหลายตั้งแต่ ข้าวเจ้า–ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์–ชา–กาแฟ–สับปะรด–มันสำปะหลัง–ส้มโอ–ลำไย–ลิ้นจี่ แต่ขณะเดียวกันก็เผชิญ น้ำท่วม–น้ำป่า–ดินถล่ม–หมอกควัน รวมถึง มลพิษน้ำ ที่ยืดเยื้อ นี่เองที่ทำให้ “แผนฟื้นฟูแหล่งน้ำ–สร้างแหล่งน้ำสำรอง–กำจัดวัชพืช” มีความหมายเกินกว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา เพราะมันคือ หลักประกันความมั่นคงมนุษย์
ในเวทีเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. นำเสนอโครงการเร่งด่วนหลายรายการ อาทิ ขุดลอกหนองหลวง–ก่อสร้างฝายดักตะกอนดินซีเมนต์–ธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด–กำจัดผักตบชวา–พัฒนาโครงสร้างท่องเที่ยวบริเวณคันทางหนองหลวง เพื่อรองรับบทบาท Landmark สำหรับ มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ซึ่งสอดคล้องกับ นโยบาย 7 เรือธง ของ อบจ. เชื่อม “น้ำ–เกษตร–ท่องเที่ยว–เศรษฐกิจชุมชน” เข้าด้วยกัน

ลดต้นทุน–เพิ่มรายได้ ใช้ “สหกรณ์” เป็นตัวคูณ
แกนยุทธศาสตร์ฝั่งเกษตรถูกวางเป็น “สองมือ” มือซ้าย ลดต้นทุน (ลดการใช้ปุ๋ย–สารเคมี–ปรับปัจจัยการผลิตให้เหมาะสมกับดิน–น้ำ–พืช) โดยอาศัยองค์ความรู้จาก กรมวิชาการเกษตร–กรมพัฒนาที่ดิน–กรมปศุสัตว์ ส่วนมือขวา เพิ่มรายได้ ผ่านการรวมกลุ่ม สหกรณ์ ให้เข้มแข็ง ทั้งเพื่อ แสวงหาตลาด–เพิ่มช่องทางจำหน่าย–ยกระดับมาตรฐานสินค้า และ ต่อรองราคา ในห่วงโซ่อุปทาน นัยของถ้อยแถลงคือทำให้ “เงินลงทุน 1 บาท” เกิดผลคูณมากกว่า 1 เมื่อรวมกลุ่ม–จัดซื้อร่วม–ขายร่วม–ขนส่งร่วม
ด้านหนึ่ง คำมั่น 3 เดือน เป็นเสมือน ตัวตั้งเวลา สำหรับฝ่ายปฏิบัติให้ “สับเปลี่ยนเกียร์” ขณะที่อีกด้านเป็น แรงกดดันเชิงคาดหวัง ของตลาดในพื้นที่ การเดินเกมจึงต้อง สื่อสารตรง–โปร่งใส–รายงานผลต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเชื่อมั่น ทั้งต่อเกษตรกรและผู้ซื้อปลายน้ำ
มิติการศึกษา ครู–โรงเรียน–มหาวิทยาลัย คือกลไก “ยกระดับทุนมนุษย์”
ในห้องเดียวกัน การศึกษา ถูกยกขึ้นมาคู่ขนานกับการเกษตร เพราะท้ายที่สุด “คน” คือผู้ทำให้แผนกลายเป็นผลลัพธ์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รับลูกนโยบาย ยกระดับคุณภาพชีวิตครู ด้วยความเชื่อว่า “ครูคือพ่อแม่คนที่สอง” หากครูเข้มแข็ง เยาวชนก็มีแรงส่งสู่ตลาดแรงงานคุณภาพ พร้อมทั้ง บทบาท มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มร.ชร.) ในการสนับสนุน Thailand Zero Dropout (TZD) เป้าหมาย “เด็กและเยาวชนนอกระบบ = ศูนย์” ผ่านการพัฒนาทักษะ ภาษา เทคโนโลยี และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เสริมภาพรวมว่า เชียงรายเป็น “ประตูการค้า–การลงทุนลุ่มโขง” ที่พร้อมต่อยอด หากได้รับ แผนเร่งซ่อม–แผนลงทุนใหม่ ที่ยันบนทรัพยากรคน–น้ำ–ดิน–เกษตร–ท่องเที่ยวอย่างสมดุล
จากเวทีรับฟังสู่การมอบจริง สัญลักษณ์–สัญญาณ–ความหวัง
ภายหลังเวทีรับฟังปัญหา รองนายกฯ/รมว.เกษตรฯ มอบ โฉนดเพื่อการเกษตร เมล็ดพันธุ์–พันธุ์สัตว์น้ำ–หญ้าอาหารสัตว์พระราชทาน–น้ำหมักชีวภาพ–ต้นกาแฟ อาราบิก้า–โรบัสตา ให้ผู้แทนเกษตรกร และปล่อย คาราวานกล้ากาแฟ 64,150 กล้า ภาพเชิงสัญลักษณ์เหล่านี้ แม้ไม่ใช่มาตรการมหภาคในตัวเลขใหญ่ แต่สะท้อน ความต่อเนื่องจาก “พูด–ฟัง–ทำ” และความมุ่งหวังให้ “ต้นทุนชีวิต” ของเกษตรกรลดลงตั้งแต่ฤดูเพาะปลูก
มาตรการฟื้นฟูน้ำ วิศวกรรม–ข้อมูล–การมีส่วนร่วม
แกนเทคนิคของปัญหาน้ำปนเปื้อนมีสามเสาหลัก
- วิศวกรรม — ประตูระบายน้ำ/ฝายดักตะกอนบริเวณต้นน้ำก่อนแม่อาย ช่วย ชะลอ–กัก–กรอง เพื่อลดการแพร่ปนเปื้อนสู่ตอนล่าง และช่วยบริหารน้ำหลาก–แล้ง
- ฐานข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อม — เฝ้าระวัง น้ำ–ดิน–สัตว์น้ำ อย่างเป็นระบบ โดย กรมพัฒนาที่ดิน–กรมชลประทาน–กรมประมง เพื่อให้ ข้อมูลนำการตัดสินใจ และเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างโปร่งใส
- การมีส่วนร่วมของพื้นที่ — คณะกรรมการจังหวัด–ผู้นำท้องถิ่น–ชุมชนริมลำน้ำ ร่วมออกแบบจุดติดตาม–มาตรการเร่งด่วน–แผนสื่อสารความเสี่ยง เพื่อให้ ความรู้–ความเชื่อมั่น เดินคู่กัน
ทั้งหมดนี้ผนวกกับการผลักดันในระดับ คณะรัฐมนตรี เพื่อเปิดช่องให้ กระทรวงการต่างประเทศ เจรจากับคู่ภาคีต้นน้ำ ตั้ง มาตรฐานร่วม–กลไกแจ้งเตือน–กรอบตรวจสอบ ที่จับต้องได้
โครงการของพื้นที่ หนองหลวง–ฝาย–ธนาคารน้ำ–ท่องเที่ยว
รายการที่ อบจ.เชียงราย เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรี สะท้อนวิธีคิด “น้ำหนึ่งหยด ใช้หลายรอบ” ตั้งแต่ กำจัดผักตบชวา–วัชพืชกีดขวางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหล, ธนาคารน้ำใต้ดินระบบเปิด 11 จุด เพื่อเติมน้ำลงชั้นใต้ดิน, ขุดลอก 4 จุด เพื่อเพิ่มความจุรับฤดูฝน–กักฤดูแล้ง, ฝายดักตะกอนดินซีเมนต์ เพื่อลดการไหลของสารแขวนลอย, และ พัฒนาโครงสร้างท่องเที่ยวรอบหนองหลวง เพื่อสร้าง ประโยชน์ทวีคูณ ให้กับชุมชน—ตั้งแต่การเกษตรถึงเศรษฐกิจท่องเที่ยว
โครงการเหล่านี้ผูกเข้ากับ ปฏิทินกิจกรรม ขนาดใหญ่อย่าง มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ที่จะใช้พื้นที่หนองหลวงเป็น Landmark หนึ่งใน “7 เรือธง” ของจังหวัด เป้าหมายคือให้ น้ำ–ดิน–ภูมิทัศน์ กลายเป็น สินทรัพย์สาธารณะ ได้จริง
คำถามนโยบาย 3 เดือน ราคาเกษตรจะขึ้นอย่างไรให้ยั่งยืน?
คำประกาศ “3 เดือน ราคาเกษตรต้องขึ้น” คือ สัญญา ต่อชาวบ้าน และเป็น โจทย์นโยบาย ต่อข้าราชการและตลาด ทางปฏิบัติจำเป็นต้องเดินสามทางคู่กัน
- ต้นทุน ต้องเห็นโครงการลดต้นทุนที่ จับต้องได้เร็ว เช่น การจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพกว่า, การใช้ปุ๋ย–สารเคมีอย่างเหมาะสมกับดิน (ลดปริมาณแต่ไม่ลดผลผลิต), การส่งเสริม ชีวภัณฑ์ ที่ต้นทุนต่ำกว่าในบางกรณี
- ตลาด เร่งรวมกลุ่มผ่าน สหกรณ์ ทำ ดีลตลาด กับผู้ซื้อปลายน้ำ/ห้าง/แพลตฟอร์ม, วางเวลาเก็บเกี่ยว–ขนส่ง เพื่อ ลดการอิ่มตัวช่วงพีก, ส่งเสริม แปรรูปขั้นต้น เพื่อเพิ่มอายุเก็บรักษาและลดการขายตัดราคา
- ข้อมูล–สื่อสาร ประกาศ ราคาอ้างอิง–สถิติปริมาณ–ความต้องการตลาด แบบรายสัปดาห์ ช่วยเกษตรกรตัดสินใจ, เปิดช่องทางร้องเรียน หักค่าชั่ง/หักคุณภาพไม่เป็นธรรม และวางกลไกไกล่เกลี่ยรวดเร็วในจังหวัด
หากทำสามทางนี้คู่กับ มาตรการน้ำ (ซึ่งกระทบต้นทุนจริง เช่น น้ำพอเพียง = ปุ๋ยน้อยลง–ผลผลิตคงที่) โอกาสบรรลุผลภายในกรอบเวลาที่ตั้งไว้จะสูงขึ้น
ความเสี่ยง–เงื่อนไขสำเร็จ ทางเทคนิค–ทางการเมือง–ทางเวลา
- ทางเทคนิค การสร้างฝาย/ประตูน้ำต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม–ตะกอน–การไหล–การอพยพของสัตว์น้ำ เพื่อไม่สร้างปัญหาใหม่ หาก ดีไซน์ถูก–บำรุงรักษาได้ จะเป็นเกราะป้องกันระยะยาว
- ทางการเมือง/การทูต การเจรจากับต่างประเทศเรื่องเหมืองต้นน้ำต้องการ ข้อมูลวิทยาศาสตร์–กรอบกฎหมาย–คณะทำงานร่วม และ แรงหนุนทางการเมือง ในระดับ ครม.
- ทางเวลา “3 เดือน” สั้นมากในวัฏจักรเกษตร จำเป็นต้อง เลือกผลิตภัณฑ์/พื้นที่เป้าหมาย ที่มีความพร้อมสูง เพื่อสร้าง “ชัยชนะระยะสั้น” (quick wins) ขณะวางฐานยั่งยืนระยะกลาง–ยาว
บทบาทมหาวิทยาลัย–โรงเรียน จากองค์ความรู้สู่บริการประชาชน
มฟล. และ มร.ชร. ไม่ได้ถูกกล่าวถึงเพียงในฐานะสถานที่ แต่คือ แหล่งความรู้ ที่สามารถเสริมภารกิจจังหวัดได้ เช่น ห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพน้ำ–ดิน–อาหาร, โครงการวิจัยระบบการผลิตพืชในพื้นที่สูง–พืชเศรษฐกิจ, หลักสูตรสั้นสำหรับเกษตรกร/ผู้นำชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม–การตลาดดิจิทัล, และบทบาทเป็น แพลตฟอร์ม TZD เพื่อตามเก็บเด็ก–เยาวชนให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา/อาชีพ
แนวคิด “ครูคือพ่อแม่คนที่สอง” ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการย้ำ ทำให้ สวัสดิการ–คุณภาพชีวิตครู กลายเป็น “เงื่อนไขโครงสร้าง” ของการพัฒนาคน เมื่อครูมั่นคง ห้องเรียนมั่นคง คุณภาพการเรียนรู้ก็จะมั่นคง
เสียงจากเวที–ภาพจากพื้นที่ เมื่อรัฐ–ท้องถิ่น–ประชาชนขยับพร้อมกัน
นายก อบจ.เชียงราย กล่าวถึงศักยภาพเชิงพื้นที่ที่รอการ “จุดระเบิด” ด้วยงบลงทุนที่แม่นยำและทันเวลา ขณะที่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ชี้ช่อง “ประตูการค้า–การลงทุนลุ่มโขง” ที่จะขยายโอกาส หากปัญหาพื้นฐาน น้ำ–สิ่งแวดล้อม–ราคาเกษตร ได้รับการเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม
ในอีกมุม “โฉนด–พันธุ์พืช–กล้ากาแฟ” ที่ถูกมอบ เป็นภาพเล็กที่บอกเรื่องใหญ่—ความพร้อมของชุมชน ที่อยากกลับมายืนได้ด้วยขาตนเอง หากมีน้ำพอ–ต้นทุนลด–ตลาดชัด–เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมหมู่บ้าน–หนองหลวงเป็นจุดหมายใหม่—วงจรเศรษฐกิจฐานรากก็มีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง
จาก “ปัญหาน้ำ” สู่ “วาระจังหวัด” และ “การทูตน้ำ”
เรื่องราวที่เริ่มจาก “สารปนเปื้อนในแม่น้ำ” ถูกยกระดับเป็น “วาระจังหวัด” ผ่าน คณะกรรมการแก้ปัญหา และ “วาระแห่งชาติ” ผ่าน คณะรัฐมนตรี ซึ่งจะเปิดหน้าต่างไปสู่ “การทูตน้ำ” กับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน คำมั่น 3 เดือน ให้ราคาข้าว–โค–ผลผลิตเกษตรขยับขึ้น ก็เป็นแรงขับภายในที่บังคับให้ทุกหน่วยต้อง บูรณาการ–ทำจริง–วัดผลได้ บททดสอบครั้งนี้จึงไม่ใช่โจทย์เดี่ยวของกระทรวงเกษตรฯ หากเป็น โจทย์รวม ของ เกษตร–ทรัพยากร–ต่างประเทศ–มหาดไทย–ศึกษา–ท้องถิ่น–ชุมชน และ มหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าทำสำเร็จ เชียงรายจะไม่เพียง “ผ่านพ้นวิกฤตน้ำ” แต่จะมี “สัญญาใหม่กับอนาคต”—น้ำสะอาด–ราคายุติธรรม–ท่องเที่ยวยั่งยืน–เด็กไม่หลุดจากระบบ—ที่ทุกฝ่ายร่วมเป็นเจ้าของ
“เราจะตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมาดูแลปัญหานี้โดยเฉพาะ…เพราะนี่คือความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง”
— ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- กระทรวงศึกษาธิการ
- ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
- องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย