Categories
TOP STORIES

‘อนุทิน’ สั่งผู้ว่าฯ ภาคเหนือ ถึงเวลาใช้กฎหมาย ‘ห้ามเผาเด็ดขาด’

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่แม่แจ่ม มอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

มอบนโยบายแก้ปัญหาไฟป่าแม่แจ่ม

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 เวลา 08.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย เดินทางลงพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพบปะผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่

นายอนุทินพร้อมคณะได้ลงจอดเฮลิคอปเตอร์ที่โรงเรียนบ้านเนินวิทยา ก่อนเดินทางต่อไปยังสหกรณ์การเกษตรแม่แจ่ม จำกัด เพื่อพบปะและมอบแนวทางการแก้ไขปัญหา พร้อมเยี่ยมชมกิจกรรมในพื้นที่ เช่น การทำปุ๋ยจากเศษพืช การอัดก้อนเปลือกข้าวโพด และการทำอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

 

ความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อลดปัญหาหมอกควัน

นายอนุทินกล่าวถึงการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร ตำรวจ ไปจนถึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อป้องกันการเผาในที่โล่ง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของหมอกควันและฝุ่น PM2.5

“หมอกควันไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่มาจากการกระทำของมนุษย์ เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำเกษตร เช่น การไถกลบฟางข้าวโพดแทนการเผา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” นายอนุทินกล่าว

กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว

นอกจากการป้องกันไฟป่า นายอนุทินยังกล่าวถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของแม่แจ่มเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว “เราต้องเปลี่ยนตอซังข้าวโพดเป็นโอกาส ให้ธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ของเราเป็นจุดขาย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน”

ทั้งนี้ นายอนุทินยังได้กล่าวถึงการสร้างความร่วมมือกับผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ช่วยลดมลภาวะ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการพัฒนาชุมชนในลักษณะยั่งยืน

คณะผู้บริหารร่วมสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหา

การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นต้น พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ

เน้นย้ำความสำคัญของกฎหมายและการบังคับใช้

นายอนุทินย้ำว่า การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดในระดับพื้นที่ พร้อมกระตุ้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันการเผาในที่โล่ง

“เราไม่สามารถปล่อยให้ประเทศไทยเจอปัญหาภัยพิบัติทุกปี ทั้งฝุ่นละออง น้ำท่วม และภัยแล้ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ เราต้องร่วมกันแก้ไขเพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลาน”

การสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการลงพื้นที่ครั้งนี้คือการสร้างความตระหนักรู้ในหมู่เกษตรกรและประชาชน โดยมีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรที่ลดการเผาและส่งเสริมการใช้วัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล และคณะลงพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อมอบนโยบายการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน พร้อมผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการทำเกษตรแบบยั่งยืน โดยมีการเน้นย้ำความสำคัญของการบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ENVIRONMENT

UN เตือนโลกรับมือภาวะโลกร้อนยังไม่พอ

โลกยังห่างไกลจากการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเหมาะสม – UN

องค์การสหประชาชาติระบุว่าความพยายามทั่วโลกในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นยังห่างไกลจากความสำเร็จ ข้อมูลใหม่เผยให้เห็นว่าก๊าซเรือนกระจกกำลังสะสมในชั้นบรรยากาศในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่มีอยู่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีผลกระทบที่สำคัญในการลดมลพิษภายในปี 2030 ส่งผลให้ความพยายามในการรักษาอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียสในศตวรรษนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

อัตราการสะสมก๊าซเรือนกระจกเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

รายงานใหม่จากองค์การสหประชาชาติชี้ว่า ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้นกว่า 11% ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2023 ซึ่งมีการสะสมในระดับที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาใด ๆ ในอดีต นักวิจัยยังแสดงความกังวลว่าป่ากำลังสูญเสียความสามารถในการดูดซับคาร์บอน ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นในระดับที่เป็นประวัติการณ์

แผนการลดคาร์บอนของประเทศต่าง ๆ ยังไม่เพียงพอ

องค์กร UN Climate Change หน่วยงานของสหประชาชาติที่รับผิดชอบการแก้ไขปัญหานี้ ได้วิเคราะห์แผนการลดการปล่อยคาร์บอนที่ได้รับจากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแผนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการปล่อยคาร์บอนจะลดลงเพียง 2.6% ภายในปี 2030 เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งห่างไกลจากการลดลงที่จำเป็น 43% ภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อให้โลกสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050

ไซมอน สตีล เลขาธิการบริหารของ UN Climate Change กล่าวถึงรายงานนี้ว่า “ผลการวิจัยในรายงานนี้น่าตกใจแต่ก็ไม่เกินความคาดหมาย แผนการด้านภูมิอากาศของประเทศต่าง ๆ ในปัจจุบันยังไม่ถึงระดับที่เพียงพอในการหยุดยั้งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ที่จะทำลายเศรษฐกิจและสร้างความเสียหายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก”

ความคาดหวังในแผนใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น

องค์การสหประชาชาติคาดหวังว่าประเทศต่าง ๆ จะนำเสนอแผนใหม่ที่มีความเข้มข้นมากขึ้นภายในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ซึ่งการหารือเพื่อเพิ่มความมุ่งมั่นในความพยายามเหล่านี้จะเป็นประเด็นสำคัญเมื่อผู้นำโลกมาร่วมประชุมในงานการประชุมสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 29 (COP29) ที่จะจัดขึ้นในอาเซอร์ไบจานในเดือนหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การสหประชาชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

คอสตาริกาติดท็อป 10 ประเทศอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระดับโลก

คอสตาริกาติดอันดับท็อป 10 ประเทศที่มีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลก

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 The tico times หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชั้นนำของคอสตาริกา รายงานว่า ประเทศคอสตาริกาได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 10 ประเทศชั้นนำด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลก ตามรายงานล่าสุดจาก Nature Conservation Index ซึ่งเป็นดัชนีที่ประเมินประเทศต่าง ๆ จำนวน 180 ประเทศ โดยพิจารณาจากความพยายามในการปกป้องระบบนิเวศและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คอสตาริกาเป็นประเทศเดียวในลาตินอเมริกาที่ติดอันดับท็อป 10 ด้วยคะแนน 64.4 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 10 ของดัชนี

การจัดอันดับประเทศที่มีความมุ่งมั่นสูงในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

การจัดอันดับครั้งนี้ นำโดยประเทศลักเซมเบิร์กซึ่งมีคะแนนสูงสุดที่ 70.8 คะแนน แสดงถึงความทุ่มเทในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างสูง ในขณะที่คอสตาริกาได้รับการยกย่องเป็นพิเศษในด้านการอนุรักษ์ที่ดิน โดยมีการนำเสนอการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่คุ้มครองที่มีประสิทธิภาพ และการจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน ดัชนีนี้พัฒนาโดยสถาบัน Goldman Sonnenfeldt School of Sustainability and Climate Change แห่งมหาวิทยาลัยเบนกูเรียนแห่งเนเกฟร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร BioDB.com ซึ่งใช้ตัวชี้วัดจำนวน 25 ตัวในการประเมินประสิทธิภาพการอนุรักษ์ของแต่ละประเทศ

ความสำเร็จในการอนุรักษ์ของคอสตาริกา

คอสตาริกามีการจัดสรรพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติกว่า 25% ของประเทศ ทำให้เป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในการอนุรักษ์ธรรมชาติ การผสมผสานระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างลงตัวช่วยให้คอสตาริกาสามารถเดินหน้าพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ทำให้ประเทศนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในระดับโลกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถควบคู่กับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมได้

ตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินดัชนีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

Nature Conservation Index ใช้ตัวชี้วัดหลายประการเพื่อให้ได้ภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและการจัดการสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ ตัวชี้วัดเหล่านี้ประกอบด้วยจำนวนชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ขอบเขตของพื้นที่คุ้มครอง รวมถึงคุณภาพของกฎหมายและนโยบายด้านการอนุรักษ์ การวัดค่าตัวชี้วัดเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าประเทศต่าง ๆ มีการจัดการและรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด

ประเทศใน 10 อันดับแรกของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

นอกเหนือจากคอสตาริกาและลักเซมเบิร์กแล้ว ยังมีประเทศอื่น ๆ ที่ติดอยู่ในอันดับท็อป 10 ได้แก่ เอสโตเนีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สหราชอาณาจักร ซิมบับเว ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ และโรมาเนีย ประเทศเหล่านี้มีการลงทุนและส่งเสริมการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านกฎหมายและการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ

การที่คอสตาริกาติดอันดับท็อป 10 นั้นสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรและความตั้งใจในการสร้างประเทศให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่สร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลกถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The tico times

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

วิกฤตความหลากหลายชีวภาพโลก: ความเสี่ยงสูญพันธุ์เพิ่มขึ้นทุกวัน

วิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพของโลก: มุมมองเชิงสถิติและแนวทางแก้ไขในที่ประชุม COP16

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 รายงานจาก The Japan Times เผยถึงข้อมูลที่ชี้ว่าวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกกำลังเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามนุษย์คือปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งส่งผลให้ประชุม COP16 ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ณ เมืองกาลี ประเทศโคลอมเบีย เข้าสู่สัปดาห์ที่สอง โดยมุ่งประเมินความก้าวหน้าและกำหนดเป้าหมายใหม่เพื่อยับยั้งและฟื้นฟูธรรมชาติภายในปี 2573 ตามกรอบ Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework ที่ได้ลงนามไว้เมื่อสองปีก่อน

วิกฤตเชิงสถิติ: การเสื่อมโทรมของมหาสมุทรและพื้นผิวโลก

จากข้อมูลของ IPBES หน่วยงานวิทยาศาสตร์และนโยบายระดับรัฐบาลระหว่างประเทศด้านความหลากหลายทางชีวภาพพบว่า พื้นที่บนผิวโลกกว่าสามในสี่ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และสองในสามของมหาสมุทรได้รับผลกระทบจากการบริโภคของมนุษย์ที่ไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ยังพบว่า พื้นที่ชุ่มน้ำในแผ่นดินลดลงกว่า 1 ใน 3 ตั้งแต่ปี 2513 ถึง 2558 ซึ่งเร็วกว่าอัตราการลดลงของป่าไม้ถึงสามเท่า รายงานของ IPBES ยังระบุว่าการเสื่อมโทรมของดินที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์กระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างน้อย 3.2 พันล้านคน และการฟื้นฟูสภาพธรรมชาติจะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าอย่างน้อย 10 เท่าของต้นทุนในการดำเนินการ

หนึ่งในเป้าหมายหลักของกรอบความหลากหลายทางชีวภาพ Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework คือ การฟื้นฟูพื้นที่ดินที่เสื่อมโทรม พื้นที่น้ำในแผ่นดิน พื้นที่ชายฝั่งทะเล และระบบนิเวศทางทะเลให้ได้ 30% ภายในปี 2573

ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของสายพันธุ์นับล้าน

จากการประเมินขององค์การสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) พบว่าสายพันธุ์พืชและสัตว์มากกว่าหนึ่งในสี่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ และจากรายงานของ IPBES ระบุว่าสายพันธุ์จำนวนถึงหนึ่งล้านสายพันธุ์กำลังตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะแมลงผสมเกสรที่มีบทบาทสำคัญในการขยายพันธุ์พืชและให้ผลผลิตทางการเกษตรถึงสามในสี่ของอาหารที่มนุษย์บริโภค

นอกจากนี้ ปะการังซึ่งเป็นที่พึ่งพิงของชีวิตกว่า 850 ล้านคนที่ทำอาชีพเกี่ยวกับทะเลก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่ากังวล ปะการังเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะหายไปหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม อุณหภูมินี้เป็นเกณฑ์ที่โลกพยายามไม่ให้เกินตามข้อตกลงปารีส ปี 2558 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน

ห้าปัจจัยหลักที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

สหประชาชาติได้กำหนดห้าสาเหตุหลักที่เป็นภัยต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ การทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย (เพื่อการเกษตรและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) การใช้ทรัพยากรอย่างเกินควร เช่น การใช้น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตที่รุกราน ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะกลายเป็นปัจจัยหลักที่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพภายในปี 2593 หากไม่มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

เศรษฐกิจโลกพึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพถึงครึ่งหนึ่งของ GDP

จากรายงานของ PwC บริษัทตรวจสอบบัญชีระดับโลก พบว่า 55% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของโลก หรือประมาณ 58 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและบริการของธรรมชาติอย่างหนัก โดยภาคการเกษตร ป่าไม้ ประมง และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ บริการจากธรรมชาติที่มีค่าเช่น การผสมเกสร แหล่งน้ำสะอาด และการควบคุมโรค ล้วนเป็นประโยชน์ที่ธรรมชาติมอบให้แก่เศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก

จากการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย Pavan Sukhdev พบว่าการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพมีต้นทุนต่อปีอยู่ที่ระหว่าง 1.75 ล้านล้านถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

เงินอุดหนุนกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับอุตสาหกรรมที่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม

รายงานของ Earth Track ในเดือนกันยายนระบุว่าเงินอุดหนุนที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีมูลค่ามากถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 2.5% ของ GDP โลก ซึ่งมากกว่าเป้าหมายของกรอบ Kunming-Montreal ที่ตั้งเป้าในการระดมทุนปีละ 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อการปกป้องธรรมชาติ

อุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์จากเงินอุดหนุนเหล่านี้ ได้แก่ การประมง เกษตรกรรม และผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล กรอบความหลากหลายทางชีวภาพนี้ยังมีเป้าหมายที่จะลดเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2573

การรวมพลังเพื่อหยุดยั้งวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพ

การประชุม COP16 ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่เมืองกาลีในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการระดมความร่วมมือจากหลายภาคส่วนเพื่อรับมือกับปัญหาความหลากหลายทางชีวภาพที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก การสร้างความตระหนักและการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อหยุดยั้งการทำลายธรรมชาติและการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้อนาคตของโลกยังคงมีความหลากหลายทางชีวภาพที่มั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The Japan Times

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News