Categories
ENVIRONMENT

อิสราเอลกังวลเรื่องสภาพภูมิอากาศ เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

คนอิสราเอลส่วนใหญ่กังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลสำรวจเผย

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 The Jerusalem Post รายงานว่าผลสำรวจล่าสุดจาก สถาบันวิจัยนโยบายสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเบนกูเรียนแห่งเนเกฟ (BGU) เปิดเผยว่า คนอิสราเอลส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการศึกษานี้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,180 คน เกี่ยวกับความรู้และทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ การสำรวจนี้จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 26-30 มิถุนายน 2024 โดยมี ดร.โยสซี เดวิด และ ดร.อัฟเนอร์ กรอส เป็นผู้วิจัย

คนอิสราเอลพร้อมปรับพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม

จากผลสำรวจพบว่า หนึ่งในสาม ของผู้เข้าร่วมยินดีที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม โดย 36% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพร้อมลดการบริโภคอาหารที่มาจากสัตว์, 33% พร้อมเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น, 24% ยินดีลดการเดินทางด้วยเครื่องบิน และเพียง 13% ยอมจ่ายภาษีที่สูงขึ้นเพื่อสนับสนุนการปกป้องสิ่งแวดล้อม

ความกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศและภัยธรรมชาติ

คนอิสราเอลส่วนใหญ่แสดงความกังวลเกี่ยวกับ มลพิษทางอากาศ ที่เกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความกังวลต่อภัยธรรมชาติ เช่น ไฟป่า คลื่นความร้อน และน้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศเช่นกัน

ทามาร์ แซนด์เบิร์ก หัวหน้าสถาบันวิจัยนโยบายสภาพภูมิอากาศแห่งชาติและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าประชาชนจะพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากกว่าที่รัฐบาลคาดคิด”

ความเชื่อเกี่ยวกับผลกระทบจากมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แม้ว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่ามนุษย์เป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบด้วย 62% ของผู้ตอบเชื่อว่ามีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแฝงอยู่เบื้องหลังการกล่าวอ้างเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, 58% เชื่อว่ามีผลประโยชน์ทางการเมือง และ 40% เชื่อว่าวงการวิทยาศาสตร์ยังมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนี้

คนอิสราเอลเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์มากกว่าสื่อสังคมออนไลน์

ผลสำรวจยังพบว่า คนอิสราเอล 63% เชื่อมั่นในข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากนักวิจัยมากกว่าข้อมูลที่มาจากสื่อสังคมออนไลน์ โดย 59% ให้ความสำคัญกับคำแนะนำจากเพื่อนและครอบครัว ขณะที่ 40% แสดงความเชื่อมั่นต่อกระทรวงสิ่งแวดล้อม และเพียง 14% เชื่อมั่นในสื่อสังคมออนไลน์

ดร.กรอส อธิบายว่า “ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ และความสามารถของข้อมูลเหล่านี้ในการเปลี่ยนทัศนคติของสาธารณชน”

ความแตกต่างทางเพศและการเมืองในการตอบสนองต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศ

ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและนโยบายที่ส่งเสริมการลดผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ กลุ่มผู้สนับสนุนทางการเมืองฝ่ายซ้ายยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศมากกว่าฝ่ายขวา แต่ความแตกต่างระหว่างกลุ่มการเมืองในอิสราเอลนั้นยังไม่ชัดเจนเท่ากับในประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา

ดร.เดวิด กล่าวว่า “ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าประเด็นปัญหาสภาพภูมิอากาศในอิสราเอลยังไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างเต็มที่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกพรรคการเมืองสามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างนโยบายที่แข็งแกร่งในการแก้ไขปัญหา”

ประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจัง

ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า คนอิสราเอลส่วนใหญ่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ และรัฐบาลควรดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหา แซนด์เบิร์ก สรุปว่า “ข้อสรุปของเราคือ ไม่เพียงแต่เป็นไปได้ แต่ยังจำเป็นที่ต้องคิดหามาตรการเพิ่มเติมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะประชาชนกำลังรอการเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติทั้งในระดับบุคคลและระดับชุมชน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : The Jerusalem Post

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ENVIRONMENT

หมีขั้วโลกเสี่ยงติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 วารสาร Public Library of Science (PLOS ONE) ได้รายงานผลการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับหมีขั้วโลก โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในเขตอาร์กติกกำลังเพิ่มความเสี่ยงที่หมีขั้วโลกจะติดเชื้อโรคต่าง ๆ มากขึ้นกว่าช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา การศึกษานี้นำเสนอโดย Karyn Rode และ Caroline Van Hemert จากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ (U.S. Geological Survey) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตมีโอกาสแพร่เชื้อไปยังสัตว์ป่าในเขตอาร์กติกมากขึ้น

การวิจัยครั้งนี้ได้ทำการตรวจสอบตัวอย่างเลือดของหมีขั้วโลกในทะเลชุคชี (Chukchi Sea) ระหว่างปี 1987–1994 และเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่เก็บได้ระหว่างปี 2008-2017 โดยมุ่งเน้นการตรวจหาภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค 6 ชนิด พบว่า 5 ใน 6 เชื้อโรคดังกล่าวมีการแพร่กระจายเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลัง ได้แก่ ปรสิตที่ก่อให้เกิดโรคท็อกโซพลาสโมซิส (toxoplasmosis) และนีโอสโปโรซิส (neosporosis) แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคไข้กระต่าย (rabbit fever) และบรูเซลโลซิส (brucellosis) รวมถึงไวรัสโรคหัดสุนัข (canine distemper virus)

การเพิ่มขึ้นของเชื้อโรคเหล่านี้นับเป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วที่สุดในเรื่องการสัมผัสเชื้อโรคที่เคยมีการรายงานในหมีขั้วโลก การศึกษานี้ยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ทำให้ความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรวมถึงปัจจัยทางด้านอาหารและเพศ พบว่าหมีขั้วโลกเพศเมียมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคมากกว่าเพศผู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมีขั้วโลกเพศเมียที่ตั้งครรภ์มักจะหลบซ่อนตัวบนพื้นดินเพื่อเลี้ยงลูก ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคที่มาจากสัตว์อื่น ๆ มากขึ้น

ในเขตอาร์กติกที่กำลังเผชิญกับภาวะโลกร้อนเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเกือบสี่เท่า การสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยของหมีขั้วโลกซึ่งเป็นน้ำแข็งทะเล เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โรคติดเชื้อต่าง ๆ กลายเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อชุมชนมนุษย์ที่อาศัยในเขตนี้ด้วย เนื่องจากบางกลุ่มในชุมชนดังกล่าวนิยมล่าหมีขั้วโลกเพื่อนำมาเป็นอาหาร และเชื้อโรคหลายชนิดที่พบในการศึกษานี้สามารถแพร่ระบาดสู่มนุษย์ได้

นักวิจัยระบุว่าหมีขั้วโลกกำลังเผชิญกับปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้พวกมันตกอยู่ในภาวะความเครียดมากขึ้น และเนื่องจากหมีขั้วโลกเป็นแหล่งอาหารสำคัญในพื้นที่นี้ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบประชากรหมีขั้วโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามสัญญาณของโรคติดเชื้อ นักวิจัยยังเสริมว่า “สำหรับเชื้อโรคบางชนิด จำนวนน้ำเหลืองของหมีขั้วโลกที่มีผลบวก ซึ่งแสดงถึงการสัมผัสกับเชื้อโรค มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และเป็นระดับที่สูงที่สุดที่เคยพบในประชากรกลุ่มนี้ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าเส้นทางการแพร่เชื้อโรคในระบบนิเวศของอาร์กติกได้เปลี่ยนแปลงไป”

จากการศึกษาพบว่า หมีขั้วโลกต้องเผชิญกับการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยในน้ำแข็งทะเลอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกมันต้องปรับตัวและเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่มากขึ้น ด้วยภาวะโลกร้อนที่ทำให้สิ่งแวดล้อมในอาร์กติกเปลี่ยนแปลงไป นักวิจัยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องศึกษาติดตามการแพร่กระจายของเชื้อโรคในระบบนิเวศของอาร์กติกอย่างใกล้ชิด เพื่อปกป้องทั้งหมีขั้วโลกและชุมชนมนุษย์ในเขตนี้จากโรคติดเชื้อ

การศึกษานี้เปิดเผยถึงการเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและการแพร่กระจายของเชื้อโรคในสัตว์ป่า โดยเฉพาะหมีขั้วโลกซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศในอาร์กติก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Public Library of Science

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินน้ำท่วม ปี 2567 สูง 30,000 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567 สูงถึง 3 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เปิดเผยการประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมในปี 2567 ว่ามีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.16% ของ GDP ของประเทศไทย หากสถานการณ์น้ำท่วมลากยาวหรือขยายพื้นที่ ผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นถึง 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP

การประเมินผลกระทบจากน้ำท่วม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการประเมินว่าผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2567 จะเกิดขึ้นอย่างหนักในภาคเกษตรและรายได้ของครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลต่อการบริโภคและเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ภัยพิบัติจากน้ำท่วมมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคเกษตร

น้ำท่วมปีนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เช่น เชียงรายและเชียงใหม่ ที่น้ำท่วมซ้ำหลายรอบ นอกจากนี้ รายได้ของครัวเรือนและภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก ทำให้การบริโภคลดลงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

การขยายพื้นที่น้ำท่วมและความเสียหายที่เพิ่มขึ้น

หากสถานการณ์น้ำท่วมขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองของภาคกลางและภาคใต้ ผลกระทบจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP การขยายพื้นที่น้ำท่วมยังส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนทรุด สะพานขาด และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในพื้นที่

การเตรียมรับมือกับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนทำให้ภัยพิบัติจากน้ำท่วมมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น การวางแผนรับมือเช่น การมีระบบเตือนภัยที่เข้าใจง่าย แผนปฏิบัติการฉุกเฉิน การทำประกันภัย และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากน้ำท่วมในอนาคต

การประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและการเคลื่อนย้ายพื้นที่เสี่ยง

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้ประเมินว่าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันจะเคลื่อนจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางในเดือนกันยายนและตุลาคม มาเป็นภาคกลางและภาคใต้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม การเคลื่อนย้ายพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมนี้ทำให้ต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ใหม่

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจ

น้ำท่วมปี 2567 ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก ถนนทรุด สะพานขาด และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจและการเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ ภาคการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้การผลิตหยุดชะงักและส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม

การฟื้นฟูหลังน้ำท่วมและบทบาทของภาครัฐและเอกชน

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย การฟื้นฟูพื้นที่จะต้องพึ่งพางบประมาณของภาครัฐและการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมการก่อสร้างและการตกแต่งบ้าน แต่ในขณะเดียวกัน ครัวเรือนก็อาจจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ส่งผลให้มีการกดดันการใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ของครัวเรือน

บทสรุป

น้ำท่วมปี 2567 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก โดยเฉพาะในภาคเกษตรและรายได้ของครัวเรือน การวางแผนรับมือและการฟื้นฟูพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมในอนาคต การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ภาคเหนือปีนี้ผลผลิต ‘ลำไย’ เพิ่ม แต่หนาวไม่พอทำ ‘ลิ้นจี่’ ไม่ติดดอก

 
เมื่อวันที่ 20 มีนาคมคม 2567 นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สศก. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และผู้แทนเกษตรกรดำเนินการจัดทำข้อมูลพยากรณ์ปริมาณการผลิตไม้ผลภาคเหนือ ลำไยและลิ้นจี่ ปี2567 พบว่า ลำไยใน8จังหวัดภาคเหนือ (เชียงราย พะเยา ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ตาก แพร่ และน่าน) มีเนื้อที่ให้ผลในภาพรวมลดลงเล็กน้อย โดยมีจำนวน1.243 ล้านไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 1.244 ล้านไร่ (ลดลงร้อยละ0.10)เนื่องจากเกษตรกรโค่นลำไยเพื่อเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ทุเรียน ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และบางส่วนโค่นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย
 
 

โดยจะให้มีปริมาณผลผลิต1.047ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.949 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ10.24)แบ่งเป็นผลผลิตรวมในฤดู0.702 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.627 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ12.04)และผลผลิตรวมนอกฤดู0.344 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.323 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ6.73)

 

ด้านผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลในภาพรวมอยู่ที่842กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 763 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ10.35)เนื่องจากราคาลำไยในปีที่แล้วอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นลำไย จัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอเพื่อรับมือกับสภาพอากาศร้อนและราดสารโพแทสเซียมคลอเรตเพื่อชักนำการออกดอก ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตลำไยคุณภาพและเกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่มาทำลำไยนอกฤดูมากขึ้น โดยผลผลิตลำไยในฤดูจะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน และออกสู่ตลาดมากในเดือนสิงหาคม ประมาณร้อยละ38.72หรือ4.05แสนตัน

 

สำหรับลิ้นจี่4จังหวัดภาคเหนือ (เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ และน่าน)เนื้อที่ให้ผลมีจำนวน 7.30 หมื่นไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 7.52 หมื่นไร่ (ลดลงร้อยละ2.86)เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทุเรียน เงาะ ยางพารา โดยให้ผลผลิตรวม2.72 หมื่นตัน ลดลงจากปี 2566 ที่มีปริมาณผลผลิต 3.32 หมื่นตัน (ลดลงร้อยละ18.14)โดยผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลอยู่ที่372กิโลกรัมต่อไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 442 กิโลกรัมต่อไร่ (ลดลงร้อยละ15.84)

เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศร้อนสลับหนาว และอากาศหนาวเย็นไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการออกดอกติดผล เพราะลิ้นจี่เป็นพืชที่อาศัยความหนาวเย็นในการชักนำการออกดอก และจากสภาพอากาศไม่เหมาะสม ทำให้ลิ้นจี่บางส่วนแตกใบอ่อนแทนการออกดอก

 

ประกอบกับหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรไม่ดูแลรักษา เนื่องจากลิ้นจี่เป็นพืชที่ดูแลยาก ทำให้ต้นไม่สมบูรณ์ ช่อดอกไม่สามารถพัฒนาเป็นผลได้ โดยในปีที่แล้วลิ้นจี่ออกสู่ตลาดกระจุกตัวอยู่ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งปีนี้ลิ้นจี่แทงช่อดอกช้าคาดว่าปี2567จะมีผลผลิตลิ้นจี่ออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนเมษายน – กรกฎาคม และจะออกสุดมากในเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน รวมประมาณร้อยละ93.03หรือ2.53หมื่นตัน

 

ทั้งนี้ ข้อมูลนี้จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการไม้ผลในที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) และนำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ทั้งนี้ สศก. จะได้ติดตามสถานการณ์การผลิตอย่างต่อเนื่องต่อไปและจะรายงานผลพยากรณ์รอบต่อไปให้ทราบเป็นระยะ เนื่องจากผลไม้มีความอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับกระทรวง กรม และจังหวัดได้นำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการผลไม้ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News