Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เปิดมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 ยกระดับท่องเที่ยวสุขภาวะปลอดบุหรี่ 100%

สายนทีแห่งศรัทธา” ทูลกระหม่อมหญิงฯ เสด็จเปิดมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
พลิกโฉมเมืองดอกไม้สู่เมืองท่องเที่ยวสุขภาวะ หนุนเศรษฐกิจฐานรากในยุคท่องเที่ยวโลกชะลอตัว

เชียงราย, 25 ธันวาคม 2568 – ในห้วงเวลาที่ภาคการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด จังหวัดเชียงรายเลือกตอบโจทย์ด้วย “ดอกไม้ ศิลปะ และสุขภาวะ” ผ่านการจัดงาน มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 (Chiang Rai Flower and Art Festival 2025)” ที่ไม่เพียงเป็นเทศกาลชมดอกไม้ฤดูหนาว หากยังถูกออกแบบให้เป็นกลไกฟื้นเศรษฐกิจฐานราก เชื่อมโยงอัตลักษณ์ 19 กลุ่มชาติพันธุ์กับมาตรการพื้นที่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 100% เพื่อยกระดับภาพลักษณ์เชียงรายสู่ “เมืองท่องเที่ยวคุณภาพที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ” อย่างเป็นรูปธรรม

ภาพใหญ่ท่องเที่ยวไทยปลายปี ตัวเลขชะลอ แต่เชียงรายเดินเกมสวนกระแส

รายงานวิเคราะห์ของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินว่า ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2568 – 4 มกราคม 2569 การท่องเที่ยวไทยยังมีปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่ฟื้น ส่งผลให้รายได้ท่องเที่ยวรวมคาดอยู่ที่ราว 38,500 ล้านบาท ลดลงประมาณ 3.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 23,500 ล้านบาท (ลดลง 6%) และรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศราว 15,000 ล้านบาท (เติบโตเพียง 1.2%)

ในขณะที่ภาพรวมประเทศเผชิญแรงกดดัน ตัวเลขจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชี้ว่าเดือนธันวาคม 2568 คาดว่าจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยจะอยู่ที่ราว 19.04 ล้านคน-ครั้ง ลดลงประมาณ 1% และรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศราว 108,766 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ยอดสะสมทั้งปีจะยังขยายตัวอยู่บ้าง แต่ทิศทางเดือนส่งท้ายปีสะท้อนสัญญาณชัดเจนว่า นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมใช้จ่ายรัดกุมมากขึ้น

ในบริบทเช่นนี้ งานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียง “เทศกาลฤดูหนาวยอดนิยม” แต่คือยุทธศาสตร์สำคัญที่จังหวัดนำมารองรับเม็ดเงินท่องเที่ยวช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยอาศัยจุดแข็งด้านภูมิอากาศเย็นสบาย ทิวทัศน์ริมแม่น้ำกก และทุนวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมาก ผสานกับนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีกับการเดินทางสู่จังหวัดเมืองรอง ซึ่ง ttb analytics ประเมินว่าจะช่วยดันรายได้ภาคโรงแรม จากเดิมที่คาดหดตัว 0.4% ให้กลับมาขยายตัวได้ราว 1.6% โดยเฉพาะในจังหวัดเมืองรองที่มีสัดส่วนรายได้ราว 28% ของทั้งประเทศ

เชียงรายจึงเลือกใช้ “เทศกาลดอกไม้” เป็นเวทีหลักในการแปลงเม็ดเงินนโยบายสู่เศรษฐกิจจริงของชุมชน

พิธีเปิด “สายนทีแห่งศรัทธา” ศิลปะดอกไม้ที่เชื่อมสถาบันพระมหากษัตริย์กับหัวใจคนเมืองเหนือ

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 บรรยากาศริมแม่น้ำกกที่สวนไม้งาม อำเภอเมืองเชียงราย ถูกแต่งแต้มด้วยดอกไม้หลากสีสันต้อนรับพระราชอาคันตุกะสำคัญ เมื่อ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ท่ามกลางการเฝ้ารับเสด็จของข้าราชการ ทหาร ตำรวจ แม่บ้านมหาดไทย ผู้นำชุมชน ประชาชน และสื่อมวลชนจำนวนมาก

งานปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก สายนทีแห่งศรัทธา ธ สถิตในใจตราบนิจนิรันดร์” เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและงานหัตถศิลป์ไทยอย่างกว้างขวาง

ในพิธีเปิด นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคเหนือคนล่าสุด ได้กราบทูลรายงานว่า จังหวัดเชียงรายมุ่งพัฒนาเมืองท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ควบคู่กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยใช้เทศกาลดอกไม้ครั้งนี้เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานรากกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมของกว่า 19 กลุ่มชาติพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ในจังหวัด

นอกจากข้าราชการระดับสูงแล้ว ยังมีตัวแทนจากภาคประชาสังคมและสื่อท้องถิ่นเข้าร่วมในพิธี อาทิ มนรัตน์ ก.บัวเกษร ประธานกรรมการบริหารสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ ซึ่งได้รับเข็มที่ระลึกภายในงาน สะท้อนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐกับสื่อท้องถิ่นในการประชาสัมพันธ์เชียงรายสู่สายตานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

งานมหกรรมถูกกำหนดจัดระหว่างวันที่ 18 ธันวาคม 2568 – 7 มกราคม 2569 ครอบคลุมช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยของจังหวัดอยู่ในระดับเย็นสบาย เหมาะกับการท่องเที่ยวพักผ่อนรับลมหนาว

“Reflect of Seasons” 4 ฤดูกาล 1 พื้นที่ริมกก ดึงศิลปะ–ชาติพันธุ์–เศรษฐกิจฐานรากมาบรรจบกัน

หัวใจของงานปีนี้คือการออกแบบพื้นที่จัดแสดงในธีม “Reflect of Seasons” แบ่งสวนดอกไม้ออกเป็น 4 โซนตามฤดูกาล ได้แก่ Summer, Rainy, Winter และ Spring ถ่ายทอดความงดงามของไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ ผ่านการจัดภูมิทัศน์ แสง สี เสียง และงานศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนอัตลักษณ์ล้านนา

ผู้มาเยือนสามารถเดินชมดอกไม้ท่ามกลางลวดลายลายไทยประยุกต์ ศิลปะจัดวาง และมุมถ่ายภาพที่ออกแบบให้รองรับทั้งนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว กลุ่มคู่รัก นักท่องเที่ยวเชิงศิลปะ ไปจนถึงกลุ่ม Content Creator ที่ต้องการภาพถ่ายคุณภาพสูงสำหรับเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์

ภายในงานยังมี

  • นิทรรศการพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
  • เวทีการแสดงจากเยาวชนและกิจกรรม “Chiang Rai Talent” เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่แสดงความสามารถ
  • ตลาดสินค้าชุมชนและผลิตภัณฑ์ OTOP จากทุกอำเภอ
  • โซน Food Truck และร้านอาหารพื้นถิ่นที่เปิดให้บริการทั้งกลางวันและกลางคืน

ความโดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ การขยายพื้นที่กิจกรรมไปยัง อำเภอเวียงชัย และ อำเภอแม่สาย ผ่านสวนไม้ดอกและกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมที่ถ่ายทอด “เรื่องเล่าท้องถิ่น” ของแต่ละพื้นที่อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การแสดงชาติพันธุ์ลีซูในข่วงวัฒนธรรม และการจำหน่ายสินค้าชุมชนที่ผูกโยงกับเอกลักษณ์ชนเผ่า

การออกแบบงานในลักษณะนี้ ทำให้เทศกาลไม้ดอกไม่จำกัดตัวเองอยู่เฉพาะ “สวนดอกไม้ริมกก” แต่กลายเป็น “เครือข่ายเทศกาล” ที่กระจายรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวออกไปสู่ชุมชนโดยรอบ เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และกลุ่มชาติพันธุ์สามารถเข้าถึงรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น

ปฏิบัติการ “งานใหญ่ปลอดบุหรี่” เชียงรายยกระดับมาตรฐานสุขภาพนักท่องเที่ยว

อีกหนึ่งมิติที่สะท้อนการมุ่งสู่เมืองท่องเที่ยวสุขภาวะคือ การยกระดับมาตรการ งานใหญ่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 100%” ภายในพื้นที่จัดงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข และ นายวิมล รู้ทำนอง รองปลัด อบจ. พร้อมบุคลากรกองสาธารณสุข ให้การต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่จาก กรมควบคุมโรค, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่, สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย และ กรมการปกครองจังหวัดเชียงราย ในการลงพื้นที่ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายตาม พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560

การดำเนินงานเชิงรุกดังกล่าวครอบคลุมทั้ง

  • การตรวจเตือนร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม และจุดให้บริการต่าง ๆ
  • การประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจำหน่ายและการสูบผลิตภัณฑ์ยาสูบ รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะ
  • การจัดระเบียบพื้นที่สูบบุหรี่และป้ายเตือนให้ชัดเจน

เป้าหมายไม่ใช่เพียงการป้องกันการกระทำผิดตามกฎหมาย แต่เพื่อสร้างบรรยากาศของงานให้เป็น “เขตปลอดควัน” ที่เอื้อต่อสุขภาพของเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม สอดคล้องกับแนวทาง “Chiang Rai Wellness City” ที่จังหวัดประกาศชูเป็นยุทธศาสตร์หลักในช่วงปลายปี 2568

มาตรการดังกล่าวยังช่วยเสริมภาพลักษณ์เชียงรายในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานสุขภาพและความปลอดภัยของพื้นที่จัดงานขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นเกณฑ์สำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวในยุคหลังโควิด

อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้รับเลือกเป็น ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคเหนือ

เศรษฐกิจฐานราก–ศิลปะ–ท่องเที่ยว ฟันเฟืองเล็กจำนวนมากที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์ใหญ่ของจังหวัด

เบื้องหลังทุ่งดอกไม้และแสงสีที่สวยงาม คือโครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่ถูกออกแบบให้ได้ประโยชน์จากเทศกาลนี้มากที่สุด

  1. การกระจายรายได้สู่ชุมชน
    การจัดพื้นที่ตลาด OTOP และโซน Food Truck ภายในงาน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกร และกลุ่มชาติพันธุ์นำผลิตภัณฑ์เข้ามาจำหน่าย ตั้งแต่อาหารพื้นถิ่น งานหัตถกรรม ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป การขยายกิจกรรมไปยังอำเภอเวียงชัยและแม่สายยิ่งช่วยให้รายได้จากนักท่องเที่ยวถูกแบ่งปันไปยังชุมชนรอบนอก ไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะในตัวเมือง
  2. การใช้ทุนวัฒนธรรม (Cultural Capital) เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
    การแสดงลีซูที่ข่วงวัฒนธรรม การสาธิตงานหัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และการเล่าเรื่องผ่านนิทรรศการ ทำให้ “วัฒนธรรม” ไม่ได้ถูกวางแสดงในฐานะสิ่งของโบราณ หากแต่กลายเป็นประสบการณ์ที่นักท่องเที่ยวพร้อมจ่ายเงินเพื่อสัมผัส เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการต่อยอด เช่น โฮมสเตย์ การนำเที่ยวชุมชน หรือเวิร์กช็อปศิลปะ
  3. พลังบูรณาการของภาครัฐ–เอกชน–สถาบันศึกษา
    การจัดงานครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลากหลาย ตั้งแต่ อบจ.เชียงราย ททท. สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด หน่วยงานสาธารณสุข สถาบันการศึกษา ไปจนถึงภาคธุรกิจและสื่อท้องถิ่น ความร่วมมือในลักษณะเครือข่ายเช่นนี้ช่วยลดต้นทุนในการจัดงาน กระจายความเสี่ยง และสร้างฐานข้อมูลร่วมที่สามารถนำไปใช้วางแผนเทศกาลในปีต่อ ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้านนโยบายมหภาค ttb analytics ประเมินว่า มาตรการ “เที่ยวดีมีคืน 2568” สามารถสร้างเม็ดเงินเพิ่มเติมเข้าสู่ภาคโรงแรมและท่องเที่ยวไทยราว 5,900 ล้านบาท โดยคาดว่า SMEs โรงแรมและที่พักในเมืองรอง ซึ่งกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ รวมถึงเชียงราย จะเป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์สำคัญ รายได้อาจขยับเพิ่มขึ้นถึง 3.5% เมื่อเทียบปีก่อน หากสามารถดึงดูดทั้งตลาดประชุม–สัมมนา และนักท่องเที่ยวทั่วไปได้อย่างต่อเนื่อง

เทศกาลไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 จึงทำหน้าที่เป็น “ท่อส่ง” เม็ดเงินส่วนหนึ่งจากมาตรการของภาครัฐลงสู่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวในพื้นที่จริง

บทบาท อบจ.เชียงราย จากผู้จัดงานดอกไม้สู่ผู้นำเมืองท่องเที่ยวสุขภาวะ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา “มหกรรมไม้ดอกเชียงราย” เคยถูกมองในฐานะงานเทศกาลชมดอกไม้ฤดูหนาวที่มีชื่อเสียง แต่การปรับโฉมเป็น มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ภายใต้การนำของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ทำให้งานนี้ก้าวไปไกลกว่านั้น

การเป็นนายก อบจ.ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง ประธานสมาพันธ์องค์การบริหารส่วนจังหวัดภาคเหนือ สะท้อนบทบาทของ “นายก นก” ในการเชื่อมโยงเชียงรายกับเครือข่ายจังหวัดอื่น ๆ ในภูมิภาค ซึ่งเปิดโอกาสให้เชียงรายนำเสนอศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมในเวทีระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

คำกล่าวเชิญชวน “มาเชียงรายรอบนี้ ได้ครบทั้งดอกไม้ ของกิน ของฝาก และวัฒนธรรม” ไม่ได้เป็นเพียงสโลแกนเชิงการตลาด หากแต่สะท้อนวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมืองให้เป็น แพ็กเกจประสบการณ์” ที่รวบทุกมิติของการท่องเที่ยวไว้ในจังหวัดเดียว ตั้งแต่ธรรมชาติ ศิลปะ อาหาร ไปจนถึงสุขภาวะและความปลอดภัย

ในระยะยาว หากเชียงรายสามารถรักษามาตรฐานเทศกาลดอกไม้ให้มีคุณภาพสูง ควบคู่กับการยกระดับมาตรการด้านสุขภาพและการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เมืองแห่งนี้ย่อมมีศักยภาพก้าวสู่การเป็นหนึ่งใน “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสุขภาวะ” ของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้ไม่ยาก

ดอกไม้ ศรัทธา และความยั่งยืนของเมืองท่องเที่ยว

“มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” จึงมิใช่แค่ภาพจำของทะเลดอกไม้ริมกก หากแต่เป็นภาพแทนของ “สายนทีแห่งศรัทธา” ที่เชื่อมสถาบันพระมหากษัตริย์ ชุมชนท้องถิ่น ศิลปะชาติพันธุ์ และนโยบายสาธารณะเข้าด้วยกัน ท่ามกลางกระแสการท่องเที่ยวโลกที่ผันผวน

บทความข่าวชิ้นนี้จัดทำขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลที่เผยแพร่สาธารณะ รายงานวิจัยเชิงเศรษฐกิจ และคำชี้แจงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้มีสถานะเป็นงานวิชาการหรือบทความเชิงวิจัย หากมีข้อคลาดเคลื่อนในเชิงวิชาการหรือข้อมูลใดไม่ครบถ้วน ผู้เขียนยินดีอย่างยิ่งหากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวจะเข้ามาเพิ่มเติมและเสนอแนะ เพื่อให้การใช้ “ดอกไม้และศิลปะ” เป็นเครื่องมือฟื้นเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเชียงราย เดินไปบนเส้นทางที่มั่นคงและยั่งยืนยิ่งขึ้นในอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • ttb analytics
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

1,406 กม. ข้ามจังหวัด เจ้าของฟาร์มสเตย์ระนอง พาทีม 50 คนเที่ยวเชียงราย กระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรอง

จากระนองสู่เชียงราย เมื่อเจ้าของฟาร์มสเตย์พาทีม 50 คนเดินทาง 1,406 กม. สร้างปรากฏการณ์ท่องเที่ยวเมืองรอง

เชียงราย, 1 พฤศจิกายน 2568 – ในยุคที่การท่องเที่ยวกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น การตัดสินใจของผู้ประกอบการธุรกิจที่พักแห่งหนึ่งจากจังหวัดระนอง ที่เลือกนำพนักงานทั้ง 50 คนเดินทาง ระยะทางเหมือนข้ามประเทศ จากจังหวัดทางใต้สู่ล้านนาภาคเหนือ กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับจังหวัดปลายทาง แต่ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ศักยภาพการท่องเที่ยวของเมืองรองอย่างเชียงรายไปยังกลุ่มผู้ท่องเที่ยว ที่มีฐานผู้ติดตามโซเชียลกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศและทั่วโลกในครั้งนี้

จากป่ารกร้างสู่ฟาร์มสเตย์ดัง พลังของการสื่อสารดิจิทัล

วิโรจน์ ฉิมมี หรือที่คนรู้จักในนาม “เบส” เจ้าของ “บ้านไร่ ไออรุณ” ฟาร์มสเตย์ในอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เล่าถึงที่มาของการเดินทางครั้งนี้ว่า เริ่มจากความตั้งใจที่จะให้รางวัลกับพนักงานทุกคน หลังจากที่ทุกคนร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจที่เคยเป็นเพียงป่ารกร้าง ให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย

“ผมหยอดกระปุกสะสมเงินมาได้ 1 ล้านบาท เพื่อจะพาพนักงานไปเติมพลัง ไปมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง” วิโรจน์โพสต์ในช่องทาง บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun  “อยากพาทุกคนไปไกลสุดในประเทศนี้ เท่าที่จะทำได้ ปีนี้เราจะไปอุดหนุนชาวจังหวัดเชียงรายกัน”

การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงานเพียง 50 คน โดยต้องปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 28-31 ตุลาคม 2568 และกลับมาเปิดบริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งหมายถึงการสูญเสียรายได้ช่วงปลายเดือนที่เป็นช่วงท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

1,406 กิโลเมตร ข้ามน้ำข้ามทะเล จากใต้ริมทะเลสู่เหนือสุดทะเลหมอก

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นจากสนามบินระนอง ที่อยู่ห่างจากบ้านไร่เพียง 28 กิโลเมตร คณะเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย โดยใช้งบประมาณค่าตั๋วเครื่องบินทั้งหมด 4 แสนบาท เดินทางไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เชียงราย ระยะทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร

“ครั้งแรกในชีวิตที่ทุกคนได้เดินทางมาที่จังหวัดนี้” วิโรจน์เล่า “หลายคนในทีมเป็นชาวบ้านที่เพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก ได้เห็นท้องฟ้า ท้องทะเล จากภาคใต้มาถึงเมืองเหนือ”

สิ่งที่น่าสนใจคือ สนามบินระนองในปัจจุบันมีเที่ยวบินให้บริการถึง 2 ไฟลต์ต่อวัน ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางออกจากพื้นที่ได้มากขึ้น สะท้อนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน

เส้นทางท่องเที่ยว สัมผัสเชียงรายในทุกมิติ

โปรแกรมการเดินทาง 4 วัน 3 คืน ที่วิโรจน์วางแผนไว้ ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวสำคัญของเชียงราย เริ่มจากมื้อแรกที่ร้านข้าวซอยวิจิตตรา ร้านอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ พร้อมเมนูข้าวซอยและน้ำเงี้ยวที่ทุกคนประทับใจ

คืนแรกพักกลางทุ่งดอกไฮเดรนเยียบนยอดดอย ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย พร้อมหมูกระทะที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนที่จะออกเดินทางสำรวจจุดท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ ผาฮี้-ผาหมี, ไร่สิงห์ปาร์ค, อาข่า ฟาร์มวิว, สวนดอกไฮเดรนเยีย ดอยช้าง, ไร่ชาฉุยฟง และดอยตุง แต่ละจุดล้วนมอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ความงามของธรรมชาติ ไร่กาแฟบนภูเขาสูง ฟาร์มแกะที่มีนักท่องเที่ยวต่อคิวซื้อบัตรเข้าชม ไปจนถึงดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์

คืนที่สองเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย พักที่โรงแรม The Riverie by Katathani ริมแม่น้ำกก ซึ่งทีมงานของโรงแรมได้ต้อนรับด้วยพวงมาลัยและการ์ดที่เขียนวางไว้บนเตียงทุกห้อง แม้จะไม่ได้แจ้งความเป็นพิเศษล่วงหน้า แต่การบริการที่เป็นเลิศทำให้ทุกคนประทับใจ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น มากกว่าตัวเลข

การเดินทางของคณะ 50 คนจากระนองสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเชียงรายในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว ค่าเช่ารถ ไปจนถึงการซื้อของฝากจากชุมชนต่างๆ

หากประมาณการอย่างหยาบจากงบประมาณ 1 ล้านบาท หักค่าตั๋วเครื่องบิน 4 แสนบาท คงเหลืองบประมาณ 6 แสนบาท ที่ใช้จ่ายในพื้นที่เชียงราย เฉลี่ยคนละประมาณ 12,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่าที่พัก 2 คืน ค่าอาหาร 4 วัน ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือมูลค่าทางการตลาดที่เกิดขึ้น เมื่อเจ้าของธุรกิจที่มีผู้ติดตามถึง 1 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย โพสต์ภาพและเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวเชียงราย กลายเป็นการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังมหาศาลโดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด

“การลงทุนของจังหวัดเชียงราย แค่การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ยิ้มแย้ม ก็เป็นการสร้างกำไรในระยะยาว” วิโรจน์กล่าว “แม้จะมีบางคนมองว่า ทางร้านก็จะได้การลดหย่อนภาษี 1.5 เท่า แต่เราก็ต้องดูว่าทำไมต้องเลือกเดินทางมาไกลจากระนองถึงเชียงรายมากกว่า 1,406 กม.”

เชื่อมโยงกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “เที่ยวดี มีคืน”

การเดินทางของคณะบ้านไร่ ไออรุณ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลเพิ่งเปิดตัวมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “เที่ยวดี มีคืน” ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ประชาชนผู้เสียภาษีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้รับสิทธิประโยชน์จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ

สำหรับมาตรการสำหรับบุคคลธรรมดา ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 15 ธันวาคม 2568 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาทสำหรับการท่องเที่ยวในเมืองรอง (1.5 เท่าของค่าใช้จ่าย) และ 20,000 บาทสำหรับเมืองหลัก (1 เท่าของค่าใช้จ่าย) ครอบคลุมทั้งค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มาตรการสำหรับบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่สามารถหักค่าใช้จ่ายในการจัดอบรมหรือสัมมนาให้กับพนักงานได้ถึง 2 เท่าสำหรับเมืองรอง และ 1.5 เท่าสำหรับเมืองหลัก ซึ่งตรงกับกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่นำพนักงานเดินทางไปเพื่อเติมพลังและเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

การเรียนรู้ที่คุ้มค่ากว่าเงิน

วิโรจน์เปิดเผยว่า ธุรกิจของเขาเป็นเพียงกิจการเล็กๆ ที่ผลประกอบการไม่ได้มีกำไรเหลือเงินเยอะ แต่เขาเลือกที่จะลงทุนกับคน ด้วยความเชื่อว่าการพาพนักงานออกไปสัมผัสประสบการณ์ภายนอก จะช่วยพัฒนาทักษะและทัศนคติในการทำงาน โดยเฉพาะธุรกิจบริการอย่างฟาร์มสเตย์

“เราเลือกใช้วิธีนี้ในการพัฒนาคนมาหลายปีแล้ว ปีละ 1 ครั้ง” เขากล่าว “อยากพาทุกคนออกเดินทางมาพัก มาชาร์จพลัง มาเป็นผู้ใช้บริการ มาเห็นว่าที่อื่นเค้าทำอะไรกัน ในสถานที่ที่เราไม่เคยไป”

ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับนั้นครอบคลุมทุกมิติของการท่องเที่ยว ตั้งแต่การได้นั่งเครื่องบิน ได้เห็นการบริการของแอร์โฮสเตส ได้นั่งรถขึ้นดอยที่มีคนขับคอยเล่าประวัติสถานที่ ได้เห็นโฮมสเตย์ที่ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ได้สัมผัสการบริการที่ยอดเยี่ยมจากที่พักต่างๆ ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่จะนำมาต่อยอดในการพัฒนา “บ้านไร่ ไออรุณ” ของตัวเองให้ดีขึ้น

“ประสบการณ์ในการเดินทางครั้งนี้ จะเป็นพลังบวกให้เราทุกคนกลับไปพัฒนาบ้านไร่ เพื่อกลับไปเป็นผู้ให้บริการที่ดีขึ้น” วิโรจน์กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ภาคเหนือยุคใหม่ พร้อมรับนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวภาคเหนืออย่างเป็นทางการ ภายใต้แคมเปญ “Season of North 2026 : สุขทันที…ฤดูนี้ฤดูเหนือ” พร้อมเผยกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อกระตุ้นการเติบโตของการท่องเที่ยว

นายขจรเดช อภิชาติตรากุล ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. เปิดเผยว่า แม้ตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2568 จะทรงตัว แต่คาดการณ์ว่า 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้การท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลายและมีกิจกรรมปลายปีที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยตั้งเป้าหมายว่าภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปี 2568 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2569 ททท. ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อยกว่า 25 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 178 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้า

กลยุทธ์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเมืองรอง

ททท. ได้วางกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวภาคเหนือ ประการแรกคือการใช้พลังของรีวิวและโซเชียลมีเดีย การตลาดแบบ “ตามรอยรีวิว” และการบอกต่อจากอินฟลูเอนเซอร์ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งกรณีของบ้านไร่ ไออรุณที่มีผู้ติดตาม 1 ล้านคนนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังทางการตลาดแบบนี้

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบิน ผู้ประกอบการและสายการบินมีแผนเพิ่มเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่เริ่มมีสายการบินตรงจากต่างประเทศเข้าสู่พื้นที่ ทำให้การเข้าถึงง่ายขึ้นและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ประการสุดท้ายคือการกระจายนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง ซึ่งพบว่ามีการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองมากขึ้น เช่น เชียงราย แพร่ น่าน ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนต่างๆ อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ททท. ยังเน้นการขยายตลาดต่างชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เช่น ไต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และญี่ปุ่น เพื่อชดเชยความผันผวนของตลาดหลักและสร้างความหลากหลายของนักท่องเที่ยว

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เทศกาลและกิจกรรมตลอดทั้งปี

แคมเปญ Season of North 2026 มุ่งเน้นให้ภาคเหนือเป็นจุดหมายที่ “เที่ยวได้ทุกฤดู” ผ่าน 3 มุมความสุขหลัก คือ ฤดูแห่งการให้รางวัลแก่ชีวิต (พักผ่อน/สุขภาพ) ฤดูแห่งการเฉลิมฉลอง (ความสุข/ฮีลใจ) และฤดูแห่งการแบ่งปัน (บอกเล่าเรื่องราวความเป็นเหนือ)

ในช่วงฤดูกาลนี้ ภาคเหนือมีกิจกรรมหลากหลายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลทุเรียนอุตรดิตถ์ งานสีสันดอยตุงและเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม งานแพร่คราฟต์ และเทศกาลใหญ่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน อาทิ ยี่เป็งเชียงใหม่ โคมแสนดวงที่เมืองลำพูน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟสุโขทัย ลอยกระทงสายตาก และนมัสการพระธาตุดอยกองมู แม่ฮ่องสอน

บทเรียนและแรงบันดาลใจ

กรณีของบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นหลายมิติของการท่องเที่ยวยุคใหม่ ทั้งในด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลผ่านประสบการณ์จริง การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ การเชื่อมโยงระหว่างเมืองรองด้วยกัน และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบกระจายรายได้สู่ชุมชน

วิโรจน์เล่าถึงที่มาของความฝันในการสร้างบ้านไร่ที่บ้านเกิดว่า “ผมคุยกับพ่อตลอดถึงสิ่งที่อยากทำ แต่กับแม่ผมต้องอ้างไปก่อนว่าจะกลับมาทำงานเป็นสถาปนิกในตัวเมืองระนอง เพราะแม่เป็นแม่ค้าในตลาด ถ้าเพื่อนที่เป็นแม่ค้าด้วยกันรู้เข้า ทุกคนจะแห่ถามแม่ว่า ลูกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ใช่เหรอ แล้วกลับมาทำอะไรที่บ้าน ผมไม่อยากให้แม่ต้องกังวลกับคำถามเหล่านี้ ก็เลยบอกแม่ไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจกลับมาสร้างบ้าน”

ความตั้งใจนั้นประสบผลสำเร็จ จากป่ารกร้างกลายเป็นฟาร์มสเตย์ที่ผสมผสานที่พัก คาเฟ่ ร้านอาหาร และขายของฝากงานแฮนด์เมด กลางสวนผักและผลไม้ เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8.00-20.00 น. และที่สำคัญคือการสร้างทีมงานที่เข้มแข็ง มีพนักงาน 50 คนที่เติบโตไปพร้อมกับธุรกิจ

“ผลลัพธ์ที่ได้มัน คือความสุขทางใจ ไม่ใช่แค่พนักงานนะ นายจ้างอย่างผมใจมันก็ฟูไปด้วย” วิโรจน์กล่าวถึงการพาพนักงานเดินทาง “เดินคนเดียวไปได้ไว แต่เดินได้ไกล ก็ต้องไปด้วยกัน”

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

มาตรการเสริมอื่นๆ ที่หนุนการท่องเที่ยว

นอกจากมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลแล้ว รัฐบาลยังมีมาตรการเสริมอื่นๆ อีก 3 มาตรการ ได้แก่ การเร่งรัดเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายภาครัฐด้านการฝึกอบรม (Front Load) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 – 31 มกราคม 2569 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการในจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองเป็นลำดับแรก และกำหนดให้เร่งรัดการเบิกค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 60% ของวงเงิน

มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรมที่พัก ระหว่าง 29 ตุลาคม 2568 – 31 มีนาคม 2569 ให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการได้ 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายจริง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่พักมีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพที่พัก

และมาตรการลดอัตราภาษีกิจกรรมบันเทิง ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2569 สำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ อาทิ ไนต์คลับ ดิสโกเทค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ จาก 10% เป็น 5% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกลางคืนและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

ความท้าทายและโอกาสข้างหน้า

แม้ว่าการท่องเที่ยวภาคเหนือจะมีศักยภาพสูง แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการแข่งขันกับจุดหมายปลายทางอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ความผันผวนของสภาพอากาศ โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูแล้ง และการพัฒนาคุณภาพการบริการให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม โอกาสก็มีมากมาย ทั้งการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวจีนและเอเชียตะวันออกที่กำลังฟื้นตัว แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อประสบการณ์ที่ดี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม และความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

การมีอินฟลูเอนเซอร์และผู้ประกอบการอย่างวิโรจน์ ที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมากและเลือกมาท่องเที่ยวเชียงราย ถือเป็นโอกาสทองในการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะเป็นการสื่อสารแบบ organic ที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม

ภาพ : บ้านไร่ ไออรุณ baan rai i arun จังหวัดระนอง

เชียงราย แบบจำลองของการท่องเที่ยวเมืองรองที่ประสบความสำเร็จ

เชียงรายถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรอง จากจังหวัดที่เคยถูกมองว่าเล็กที่สุดในภาคเหนือ กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ด้วยจุดเด่นหลายประการ

ประการแรกคือความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติอันงดงามบนพื้นที่ภูเขาสูง วัดวาอารามที่มีสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ ไร่กาแฟและไร่ชาบนดอยสูง ฟาร์มแกะและสวนดอกไม้นานาพันธุ์ และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ประการที่สองคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสนามบินที่เริ่มมีเที่ยวบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ถนนและการคมนาคมที่สะดวกขึ้น และที่พักหลากหลายรูปแบบตั้งแต่โรงแรมระดับหรูจนถึงโฮมสเตย์ชุมชน

ประการที่สามคือคุณภาพการบริการที่ดี ดังที่วิโรจน์ให้ความเห็นว่า “พี่ๆพนักงานที่โรงแรม น่ารักมากดูแลพวกเราเป็นอย่างดี มีพวงมาลัยรอต้อนรับ มีการ์ดเขียนวางไว้บนที่นอนทุกห้อง ทุกคนประทับใจในงานบริการมากครับ” การบริการที่เป็นเลิศนี้คือสิ่งที่สร้างความประทับใจและทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาอีก

บทส่งท้าย เมื่อการท่องเที่ยวกลายเป็นการลงทุนในคน

เรื่องราวของวิโรจน์และทีมงาน 50 คนจากบ้านไร่ ไออรุณ สะท้อนให้เห็นมิติใหม่ของการท่องเที่ยว ที่ไม่ได้เป็นเพียงการพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการลงทุนในการพัฒนาคน การเรียนรู้ และการสร้างแรงบันดาลใจ

การเดินทาง 1,406 กิโลเมตร ข้ามจากจังหวัดเล็กที่สุดในภาคใต้มาสู่เมืองรองของภาคเหนือ ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขระยะทาง แต่เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายการท่องเที่ยวระหว่างเมืองรองด้วยกัน การสร้างความเข้าใจและแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ต่างๆ และที่สำคัญคือการประชาสัมพันธ์ที่มีพลังผ่านโซเชียลมีเดีย

จากผู้ติดตาม 1 ล้านคน ที่ได้เห็นภาพความสวยงามของเชียงราย ความอบอุ่นของการต้อนรับ และรอยยิ้มของทีมงานที่มีความสุขกับการเดินทาง กลายเป็นแรงจูงใจให้คนอื่นๆ อยากมาสัมผัสประสบการณ์เดียวกัน นี่คือพลังของการท่องเที่ยวแบบ storytelling ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบเดิมๆ

ด้วยการสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐอย่าง “เที่ยวดี มีคืน” ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดถึง 1.5 เท่าสำหรับเมืองรอง และแคมเปญ “Season of North 2026” ที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ย่อมเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะทำให้เกิดกรณีศึกษาแบบนี้มากขึ้นในอนาคต

สำหรับวิโรจน์และทีมงาน พวกเขาได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 พร้อมจัดดอกไม้และตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเยือน บ้านไร่ ไออรุณ ในจังหวัดระนอง ด้วยการบริการที่ดียิ่งขึ้น จากประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้

“โคตรภูมิใจ” คำพูดสั้นๆ ที่วิโรจน์ใช้สรุปทริปนี้ สะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการรายเล็กที่กล้าตัดสินใจลงทุนในคน และได้เห็นรอยยิ้มความสุขของพนักงานทุกคนที่ได้ออกไปสัมผัสโลกกว้าง ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีวันลืม บนยอดดอยแห่งเชียงราย จังหวัดเมืองรองเหนือสุดของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News