Categories
TRAVEL

สวนนงนุชยกระดับ! เปิดอาณาจักรพุทธศิลป์รวมองค์แทนพระพุทธเจ้าจากทั่วโลก

สวนนงนุชพัทยาเปิด “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้พุทธศิลป์นานาชาติ” รวมองค์แทนพระพุทธเจ้า หวังปลูกฝังความรู้และศรัทธาให้เยาวชน

พัทยา, 15 กันยายน 2568 — สวนนงนุชพัทยาเดินหน้าวิสัยทัศน์ “อาณาจักรแห่งแหล่งเรียนรู้ครบวงจร” เปิดพื้นที่การเรียนรู้ด้านพระพุทธศาสนาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดสร้างและรวบรวม “องค์แทนพระพุทธเจ้า” จากหลากหลายประเทศ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้ทำความเข้าใจความงดงามของพุทธศิลป์ในบริบทวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังย้ำบทบาทสวนนงนุชในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงการศึกษาเคียงข้างสวนพฤกษศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และสวนสัตว์ปูนปั้น ซึ่งเป็น 5 เสาหลักของแผนพัฒนาเชิงเนื้อหาที่วางไว้

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ยกเหตุผลสำคัญว่า โครงการนี้ตั้งใจ “ทำให้เด็กๆ เข้าถึงพระพุทธศาสนาในรูปแบบที่น่าสนใจ เข้าใจง่าย และเห็นความงามของพุทธศิลป์จากนานาชาติ” ด้วยความเชื่อว่าการเห็นของจริงในบริบทย่อส่วน จะช่วย “ปลูกฝังความรัก ความศรัทธา และความเข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้อง” ตั้งแต่วัยเยาว์ และติดตัวไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต (อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารที่สอดคล้องกับข่าวเผยแพร่ล่าสุดของสวนนงนุชพัทยาและสื่อท้องถิ่น)

จาก “สวนสวย” สู่ “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” โครงเรื่องที่สวนนงนุชอยากเล่า

เรื่องราวเริ่มที่คำถามง่ายๆ ว่า “เราจะทำให้พระพุทธศาสนาน่าสนใจสำหรับเด็กและคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร” คำตอบของสวนนงนุชคือการยก “โลกของพุทธศิลป์” มาไว้ในพื้นที่เดียว ให้ผู้ชมเดินผ่านเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ รูปทรง และสุนทรียะ จากหลากหลายภูมิภาค แล้วเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างด้วยสายตาตนเอง

แนวคิดนี้สอดรับกับทิศทางการเป็น “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้ครบวงจร” ของสวนนงนุช ซึ่งมี 5 ด้านหลัก ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ปูนปั้น ศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย และพระพุทธศาสนา โดยด้านสุดท้ายถูกต่อยอดให้ชัดเจนขึ้นผ่าน “องค์แทนพระพุทธเจ้า” ที่ทำหน้าที่เหมือนห้องเรียนภาคสนามกลางแจ้ง ผู้ชมจึงไม่ได้เพียง “ดู” หากแต่ “เชื่อมโยง” ข้อมูลศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน (ข้อมูลทิศทางจากเว็บไซต์สวนนงนุชและบทความแนะนำพิพิธภัณฑ์พุทธคุโณปการ)

ความคืบหน้าโครงการ 5 องค์แล้วเสร็จ และ 11 องค์อยู่ระหว่างดำเนินการ

สวนนงนุชระบุว่า ขณะนี้ได้จัดสร้างองค์แทนพระพุทธเจ้าจากนานาชาติแล้ว 5 องค์ ได้แก่

  • พระโพธิสัตว์กวนอิม
  • พระศรีอริยเมตไตรย (อ้างอิงแรงบันดาลใจจากวัดในเกาหลีใต้)
  • พระสังกัจจายน์
  • พระพุทธรูป “เลจุน เซจาร์” จากเมียนมา
  • พระพุทธรูป “ไดบุตสึ” จากญี่ปุ่น

นอกจากนี้ยังมี 11 องค์ อยู่ระหว่างทำงาน ซึ่ง 3 องค์ แรกที่แล้วเสร็จและทยอยเปิดให้ชม ได้แก่ พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน), พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) และ พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน—ในฐานะองค์แทน/การระลึกถึง) รายละเอียดดังกล่าวยืนยันในข่าวเผยแพร่ของสื่อไทยท้องถิ่นและเว็บไซต์ข่าวเชิงสาธารณะ ซึ่งระบุวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก เยาวชน และนักท่องเที่ยวเข้าถึงความหลากหลายของพุทธศิลป์โลกในพื้นที่เดียว

“เมื่อได้เห็นความงดงามของพุทธศิลป์จากหลายประเทศ เด็กๆ จะเกิดความรู้สึกชอบ เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงเกิดความรักและความศรัทธาในหลักคำสอนที่ถูกต้อง” — นายกัมพล ตันสัจจา (อ้างอิงตามเนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์)

ทำไมต้อง “องค์แทน” บทเรียนเชิงบริบทและการเทียบเคียง

การจัดสร้าง “องค์แทน” มิได้เป็นเพียงการจำลองรูปเคารพ หากคือการ “ย่อโลก” ของคติ ความเชื่อ และรูปแบบศิลป์ที่สะท้อนรากวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาคให้มาอยู่ในระยะสายตาเดียวกัน เด็กและผู้ชมจึงสามารถเทียบเคียง “ภาษาศิลป์” ได้โดยตรง ว่าทำไมพระพุทธรูปจากญี่ปุ่นจึงหนักแน่นเรียบง่าย เหตุใดพระโพธิสัตว์ในจีนจึงอ่อนช้อย และเหตุใดรูปเคารพจากหิมาลัยจึงเต็มไปด้วยรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์ เมื่อมองผ่านเลนส์นี้ “องค์แทน” กลายเป็นตำราเรียนที่เดินเข้าไปอ่านได้

เปิดเลนส์ดู 3 สัญลักษณ์สำคัญ ภูฐาน–ทิเบต–อัฟกานิสถาน

1) พระพุทธรูปดอร์เดนมา (ภูฐาน) — ความศรัทธาที่โอบล้อมเมืองหลวง

Great Buddha Dordenma ตั้งอยู่บนเนินเขาในทิมพู สร้างด้วย สำริดปิดทอง สูงราว 54 เมตร ก่อสร้างระหว่างปี 2006–2015 ภายในบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กกว่า หนึ่งแสนองค์ ตามคติศรัทธา การมีอยู่ขององค์พระซึ่งมองเห็นได้เด่นชัดราวคุ้มครองเมืองทั้งเมือง จึงมีนัยทั้งเชิงสัญลักษณ์และทัศนภูมิประเทศที่น่าสนใจต่อการเรียนรู้ด้านภูมิสถาปัตยกรรมศาสนา

2) พระโจโวศากยมุนี (ทิเบต) — ศูนย์กลางศรัทธาที่โยกย้ายมิได้

Jowo Shakyamuni ประดิษฐานในวัดโจกัง เมืองลาซา และถูกยกย่องว่าเป็น “พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทิเบต” ความสำคัญอยู่ที่บทบาททางจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของทิเบต มากกว่าขนาดหรือวัสดุ การศึกษาองค์นี้ช่วยเปิดมุมมองว่า “คุณค่าทางศาสนา” อาจวัดจากความทรงจำร่วมของสังคม และบทบาททางพิธีกรรม มิใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก

3) พระพุทธรูปแห่งบามิยัน (อัฟกานิสถาน) — อนุสรณ์แห่งการคุ้มครองมรดกโลก

พระพุทธรูปยักษ์สององค์ที่หน้าผาหุบเขาบามิยันถูกทำลายเมื่อปี 2001 จนเหลือเพียง “โพรงว่าง” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์เตือนใจโลกให้ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกของยูเนสโก ในชื่อ Cultural Landscape and Archaeological Remains of the Bamiyan Valley การสร้าง “องค์แทนเพื่อระลึกถึง” จึงมีนัยเชิงการศึกษา ว่าความสูญเสียทางวัฒนธรรมส่งผลอย่างไร และโลกเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนี้

สวนนงนุชในฐานะ “สะพาน” เชื่อมศิลป์–ศรัทธา–สังคม

เมื่อองค์แทนจากภูมิภาคต่างๆ มาวางอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ผู้ชมจะเห็นว่า ศิลปะไม่ใช่สิ่งแช่แข็ง หากสัมพันธ์กับภูมิอากาศ วัสดุท้องถิ่น ประวัติศาสตร์การเมือง ศาสนาท้องถิ่น และการตีความคำสอน ทั้งหมดนี้ทำให้ “ศิลป์” กลายเป็น “กระจก” สะท้อนสังคม และทำให้ “ศรัทธา” กลายเป็น “บทสนทนา” ระหว่างคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสง่างาม

สำหรับการท่องเที่ยวเชิงการศึกษา โครงการนี้เพิ่ม “ชั้นความหมาย” ให้การมาเยือนพัทยาและชลบุรี ซึ่งเดิมเป็นจุดหมายพักผ่อนตามธรรมชาติและวัฒนธรรมร่วมสมัย ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้ครู นักเรียน มหาวิทยาลัย และชมรมศิลปะ เข้ามาใช้พื้นที่เรียนรู้แบบ hands-on โดยผูกเรื่องกับรายวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ สังคมศึกษา และพลเมืองโลก

มาตรฐานการเล่าเรื่องและความอ่อนน้อมต่อศาสนา

สวนนงนุชตระหนักถึง “ความอ่อนไหวทางศาสนา” จึงวางกรอบการสื่อสารเชิงความรู้ควบคู่มารยาทการเยี่ยมชม เช่น การแต่งกายสุภาพ การเว้นระยะเหมาะสม การไม่ปีนป่ายหรือสัมผัสองค์แทนโดยไม่จำเป็น รวมถึงการจัดป้ายความรู้สองภาษา เพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจที่มา ความหมาย และบริบทของแต่ละองค์อย่างเคารพ ซึ่งแนวปฏิบัติทำนองนี้ปรากฏในเอกสารแนะนำเชิงนิทรรศการของสวนนงนุชที่เน้นบทบาท “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต” และ “ห้องเรียนกลางแจ้ง”

ความต่อเนื่องของภารกิจ “ปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์”

ใจกลางของโครงการคือคำว่า “เข้าถึงง่าย” เด็กจำนวนมากรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะบุคคลสำคัญทางศาสนา แต่ยังไม่รู้ว่า “พุทธศิลป์” ในแต่ละประเทศต่างกันอย่างไร การได้เห็นองค์แทนจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เมียนมา ภูฐาน ทิเบต ไปจนถึงอนุสรณ์แห่งบามิยันในอัฟกานิสถาน จะช่วยกระตุ้นให้ตั้งคำถามและค้นคว้า เช่น ทำไมกวนอิมจึงมีบุคลิกอ่อนโยน ทำไมไดบุตสึจึงเน้นความสุขุมมั่นคง หรือทำไมโจโวจึงเป็น “หัวใจของทิเบต” คำถามเหล่านี้คือเชื้อเพลิงของการเรียนรู้ระยะยาว

“เราต้องการให้เด็กรู้สึกชอบก่อน แล้วความรักและความศรัทธาที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจจะตามมาเอง” — นายกัมพล ตันสัจจา กล่าวในทิศทางเดียวกับข่าวเผยแพร่

อนาคตข้างหน้า จากองค์แทน สู่เครือข่ายการเรียนรู้ระดับภูมิภาค

เมื่อองค์แทนชุดแรกทยอยเปิดครบ สวนนงนุชมีแนวโน้มจะขยายกิจกรรมประกอบผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ เช่น เวิร์กช็อปนำชมเชิงลึก การบรรยายสั้นสำหรับครอบครัว เสวนาเชิงวิชาการกับมหาวิทยาลัย และการพัฒนา guidebook ขนาดพกพา เพื่อช่วยครูและนักเรียนเตรียมตัวก่อนมาเยือน หากเกิดขึ้นจริง พื้นที่นี้จะค่อยๆ กลายเป็น “โหนดความรู้” เชื่อมโยงโรงเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าหากัน

ในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ องค์แทนยังเปิดโอกาสต่อยอดสู่งานออกแบบของที่ระลึกเชิงความรู้ คอนเทนต์ดิจิทัลแบบสั้น และสื่ออินเทอร์แอ็กทีฟที่เล่าความหมายของรูปทรงและสัญลักษณ์ ซึ่งจะทำให้เด็กและผู้ใหญ่ “เรียนรู้ซ้ำ” ได้แม้กลับถึงบ้านแล้ว โดยไม่ลดทอนความเคารพต่อศาสนา

มองผ่านเลนส์เมืองท่องเที่ยว พัทยาที่ซับซ้อนกว่าเดิม

พัทยาในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติอาจถูกมองด้วยภาพจำจำกัด โครงการแบบนี้ช่วย “ปรับโทน” เมืองให้ลุ่มลึกขึ้น เพิ่มมิติการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสอดรับพฤติกรรมผู้เดินทางรุ่นใหม่ที่แสวงประสบการณ์มีความหมาย การมีแลนด์มาร์กเชิงการศึกษาในพื้นที่สวนระดับโลกอย่างสวนนงนุช ซึ่งเดิมโดดเด่นด้านภูมิสถาปัตยกรรมและคอลเลกชันพืช ก็ยิ่งทำให้พัทยาเป็นปลายทางที่ครบเครื่องขึ้น (ข้อมูลภาพรวมแหล่งท่องเที่ยวจากบทความแนะนำการท่องเที่ยวพัทยาที่กล่าวถึงบทบาทสวนนงนุช)

องค์แทนที่ “แทน” ได้มากกว่ารูปเคารพ

โครงการ “องค์แทนพระพุทธเจ้านานาชาติ” ของสวนนงนุชพัทยาไม่ใช่แค่การจัดวางรูปเคารพให้คนมาถ่ายรูป หากเป็น “บทเรียนมีชีวิต” ที่วางอยู่กลางเมืองท่องเที่ยว เพื่อให้เด็ก เยาวชน และผู้มาเยือนเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างเคารพ เข้าใจ และเท่าทันโลก

ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือการใช้ “พุทธศิลป์” เป็นภาษากลางเชื่อมประวัติศาสตร์ ศรัทธา และสังคม จากภูฐานและทิเบตถึงอัฟกานิสถาน จากจีนและญี่ปุ่นถึงเกาหลีและเมียนมา แล้วนำทั้งหมดมาบอกเล่าที่พัทยา เมืองที่กำลังสร้างบทใหม่ของการท่องเที่ยวคุณภาพ เมื่อโครงการเดินหน้าครบถ้วน พื้นที่แห่งนี้จะยืนอยู่ได้ด้วยความรู้ ความอ่อนน้อม และบทสนทนา ซึ่งคือหัวใจของคำว่า “อาณาจักรแห่งการเรียนรู้” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

สวนนงนุชพัทยานั่งแท่นที่ปรึกษาภูมิทัศน์เมืองให้รัฐบาลบรูไน รับฉลองครองราชย์ 60 ปี

สวนนงนุชพัทยา “ส่งออกความเชี่ยวชาญ” นั่งที่ปรึกษาภูมิทัศน์ให้รัฐบาลบรูไนฯ ปรับโฉมเมืองรับฉลองครองราชย์ 60 ปี

ชลบุรี/บันดาร์เสรีเบกาวัน — บนผืนดินเขตร้อนของเกาะบอร์เนียว คณะทำงานจากเมืองพัทยาเดินสำรวจแนวถนนสายหลัก ละแวกสวนสาธารณะ และพื้นที่สีเขียวสำคัญในกรุงบันดาร์เสรีเบกาวันอย่างเป็นระบบ ระหว่างวันที่ 17–20 สิงหาคม 2568 ภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่ทริปดูงาน แต่คือ “งานจริง” ที่รัฐบาลบรูไนดารุสซาลามเชิญ สวนนงนุชพัทยา ไปทำหน้าที่ ที่ปรึกษาด้านภูมิทัศน์และพัฒนาพื้นที่สีเขียว เพื่อยกระดับภาพลักษณ์เมืองและความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนพิธีเฉลิมฉลอง ครองราชย์ครบ 60 ปี ของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนฯ ซึ่งกำหนดจัดในปี พ.ศ. 2570

ภารกิจนำโดย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิทัศน์และพฤกษศาสตร์ ได้รับการต้อนรับโดย นายยาง เบอร์โฮมัต ดาโต๊ะ เสรี เซเตีย อาวัง ฮาจี มูฮัมหมัด จูอันดา บิน ฮาจี อับดุล ราชิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนา (Ministry of Development) และผู้บริหารระดับสูงของบรูไนฯ จุดประสงค์ตรงกัน—รีดีไซน์เมือง” ให้สวยงาม เป็นระเบียบ และเป็นมิตรต่อผู้คน ภายใต้กรอบความร่วมมือที่ตั้งชื่อเรียบง่ายแต่กินใจว่า “Friendship Garden” หรือ “สวนแห่งมิตรภาพ”

“Friendship Garden” จากแนวคิดสู่แผนปฏิบัติ 12 ถนนหลัก–4 สวนสาธารณะ–1 สวนสัตว์–1 สวนพฤกษศาสตร์

สาระการทำงานที่สรุปร่วมกันในเบื้องต้นสะท้อน “โจทย์ครบวงจร” ของการพัฒนาพื้นที่สีเขียวระดับเมือง ได้แก่

  • ปรับปรุงภูมิทัศน์ถนนสายหลักอย่างน้อย 12 สาย: เลือกชนิดไม้ที่เหมาะกับอากาศชื้นร้อนและสภาพดิน เพิ่มร่มเงาแต่ไม่บดบังทัศนวิสัย ออกแบบคอร์ริดอร์สีเขียวที่ต่อเนื่อง (green corridor) และกำหนดจุดพักสายตา/จุดพักคน
  • พัฒนาพื้นที่สาธารณะ “แกนกลางเมือง” 4 แห่ง: ปรับฟังก์ชันสวนสาธารณะให้รองรับครอบครัว ผู้สูงวัย และการละหมาดกลางแจ้ง ปรับระบบทางเดิน–จักรยานให้เข้าถึงได้จริง
  • ยกเครื่องสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์: เสริมบทบาทด้านการอนุรักษ์ การเรียนรู้สาธารณะ และเส้นทางตีความธรรมชาติ (interpretive trail) ที่เล่าเรื่องพืชพรรณเขตร้อนและภูมิปัญญาอาเซียน
  • พัฒนาคนก่อนพัฒนาพื้นที่: เปิดช่องให้บุคลากรกรมสิ่งแวดล้อมของบรูไนฯ มาฝึกปฏิบัติงานที่สวนนงนุชพัทยา—เรียนรู้ตั้งแต่เพาะชำ คัดเลือกพันธุ์ ปลูก–ตัดแต่ง–บำรุงรักษา ไปจนถึงวางแผนบูรณะเชิงระบบ

สิ่งที่สาธารณชนจับต้องได้ในช่วงเริ่มต้น คือภาพการร่วม ปลูกต้นไม้เชิงสัญลักษณ์ ระหว่างคณะไทย–บรูไนฯ เพื่อประกาศความร่วมมือระยะยาว ก่อนปิดท้ายภารกิจด้วยการจัดทำ “แนวทางปฏิบัติ” (implementation note) ส่งให้รัฐบาลบรูไนฯ ใช้เป็นกรอบออกแบบเชิงพื้นที่ต่อไป

ทำไม “สวนนงนุชพัทยา” ถึงถูกวางใจให้ทำงานเมืองในอาเซียน

ชื่อของสวนนงนุชไม่ใช่ผู้เล่นใหม่ในเวทีนานาชาติ จุดแข็งที่ต่างประเทศให้การยอมรับประกอบด้วย

  1. ฐานความรู้พฤกษศาสตร์และคอลเลกชันพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่
    สวนนงนุชสะสมและแลกเปลี่ยนพันธุ์ไม้จากหลากถิ่นกำเนิดมายาวนาน มีบทบาทในเครือข่ายอนุรักษ์ทั้งไม้ปาล์ม ไซแคด และไม้วงศ์อื่นๆ การคุมคุณภาพ nursery, การเพาะเลี้ยง, และการจัดการแปลงภาคสนาม ทำให้ “ความสวย” ของภูมิทัศน์ยืนบน “วิทยาศาสตร์ของพืช” ไม่ใช่แค่จินตนาการ
  2. ผลงานออกแบบภูมิทัศน์ที่เป็นระบบ
    จาก “สวนท่องเที่ยว” สู่ “โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว” (green infrastructure) สวนนงนุชชำนาญการบูรณาการองค์ประกอบแข็ง (hardscape) กับองค์ประกอบพืช (softscape) ให้ใช้งานได้จริง ดูแลง่าย และยั่งยืนในงบประมาณรัฐ
  3. พรีเมียมคิวเรชันด้านพันธุ์พืชหายาก
    ในเชิงการสื่อสาร หน่วยงานเคยเผยแพร่กรณีศึกษาการอนุรักษ์พันธุ์พืชเฉพาะถิ่นและหายากเพื่อนำมาเป็น “ตัวแทนเรื่องเล่า” ให้สาธารณชนสัมผัสบทบาทสวนพฤกษศาสตร์ยุคใหม่—การอนุรักษ์ควบคู่การเรียนรู้ (หมายเหตุ: ตัวเลขอายุและรอบการออกผลของบางชนิดพืชเป็นข้อมูลจากการสื่อสารของสวนนงนุชฯ เอง ต้องตรวจสอบเชิงวิชาการประกอบก่อนใช้นโยบาย)

กล่าวโดยสรุป ความงาม–ความรู้–ความสามารถในการส่งต่อความรู้” คือสามขายึดที่ทำให้เอกชนไทยรายนี้กลายเป็น “ที่ปรึกษาได้” เมื่อประเทศเพื่อนบ้านต้องการยกระดับพื้นที่สีเขียวในเมือง

งานภูมิทัศน์ = งานเมือง = งานคุณภาพชีวิต

การปรับภูมิทัศน์ ไม่ใช่แค่ “จัดสวน” แต่คือการลงทุนใน คุณภาพชีวิต–สุขภาพเมือง–ภาพลักษณ์ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรูไนฯ เตรียมฉลองวาระสำคัญระดับชาติเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในปี 2570

  • คุณภาพชีวิตและสุขภาพ: ร่มเงาที่ดีช่วยลด “อุณหภูมิเกาะความร้อน” (urban heat island) เส้นทางสีเขียวที่ต่อเนื่องสนับสนุนการเดินและจักรยาน ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ
  • เศรษฐกิจเมืองและการท่องเที่ยว: ภูมิทัศน์ที่มีเอกลักษณ์และกิจกรรมสาธารณะที่ดี ดึงดูดนักท่องเที่ยว–การจัดงาน–กิจกรรมชุมชน เพิ่มการใช้จ่ายในเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ความทรงจำร่วมของสังคม: สวนสาธารณะคือ “ลานกลาง” ที่คนทุกวัยใช้ร่วมกันได้ เป็นเวทีให้ภาคประชาชนมีบทบาทกับเมืองของตน

บรูไนฯ วางบทเรียนเหล่านี้ไว้ในแผนงาน ขณะที่ฝ่ายไทยเสนอ “เครื่องมือดำเนินงาน” เช่น catalog พันธุ์ไม้ ที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและการบำรุงรักษา, คู่มือมาตรฐานงานดูแล (maintenance SOP), และ ปฏิทินฤดูกาล สำหรับการปลูก–ตัดแต่ง–ให้น้ำ–ป้องกันศัตรูพืชอย่างปลอดสาร ตามแนวคิด “ถูกต้น–ถูกที่–ถูกเวลา”

เมื่อถนน–สวน–สถาบัน เชื่อมเป็นเรื่องเดียว

พิธีเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ต้องการ “เวทีของเมือง” ที่เป็นหน้าต่างสู่สายตาโลก ภูมิทัศน์จึงไม่ใช่เพียงฉากหลัง หากคือ ตัวละครหลัก ที่เล่าเรื่องอัตลักษณ์บรูไนฯ—วัฒนธรรมมลายูอิสลามราชวงศ์ (MIB), ความเคร่งครัดแต่เรียบง่าย, และความพิถีพิถันในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ

ถนนหลัก 12 สาย ที่จะถูกปรับภูมิทัศน์ให้เป็น “ทางเดินของเรื่อง” (narrative path) นำสายตาจากสนามบินสู่ศูนย์กลางเมือง ผ่านสวนสาธารณะ 4 แห่ง ที่ชุบชีวิตด้วยกิจกรรมตลอดวัน ไปจนถึง สวนพฤกษศาสตร์ และ สวนสัตว์ ที่อธิบายความหลากหลายของผืนป่าบอร์เนียว การออกแบบที่ดีทำให้ผู้มาเยือน “อ่านเมืองได้” โดยไม่ต้องใช้คำอธิบายมาก

ความท้าทายที่ต้องวางแผน ให้สวย “วันแรก” และสวย “ทุกวัน”

งานเมืองที่ดีไม่ได้จบที่พิธีเปิด สิ่งที่ทีมที่ปรึกษาและรัฐบาลเจ้าของพื้นที่ต้องคุยกันตั้งแต่ต้น คือ ต้นทุนบำรุงรักษา และ ตัวชี้วัดผลลัพธ์ ที่ตรวจวัดได้จริง ตัวอย่างเช่น

  • แผนบำรุงรักษา 3–5 ปี: วางงบและคนให้พอ—กำลังคนสวน, รถ–เครื่องมือ, งบพืชสำรอง–น้ำ–ปุ๋ยอินทรีย์
  • ตัวชี้วัดเมืองสีเขียว: พื้นที่ร่มเงาเฉลี่ยในคอร์ริดอร์, จำนวนผู้ใช้สวน (ผ่านเซ็นเซอร์/การสำรวจ), สัดส่วนพืชพื้นถิ่นเทียบพืชต่างถิ่น, ระยะเวลา “ซ่อม–เปลี่ยน” ที่สั้นลงเมื่อเกิดเหตุ
  • การมีส่วนร่วมภาคประชาชน: กลไก “เพื่อนสวน” (Friends of the Park) อาสาสมัครโรงเรียน–ชุมชน ช่วยดูแล/เฝ้าระวัง พร้อมกิจกรรมเรียนรู้พืชพรรณเป็นรายเดือน

สำหรับไทย ภารกิจนี้ชี้ให้เห็นโอกาสของอุตสาหกรรม บริการองค์ความรู้ (knowledge service export) ที่ซ่อนอยู่—จากพัทยาสู่บันดาร์เสรีเบกาวัน ไทยไม่ได้ “ส่งออกต้นไม้” แต่ “ส่งออกวิธีคิด–วิธีทำงานสวนเมือง”

เชื่อมต่อภูมิภาคมิติความร่วมมือไทย–บรูไนฯ และอาเซียน

การยอมรับของรัฐบาลบรูไนฯ สะท้อนความไว้วางใจต่อศักยภาพภาคเอกชนไทย และเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในมิติที่จับต้องได้—สิ่งแวดล้อม เมือง และชุมชน ความร่วมมือนี้ยังสอดรับกรอบความร่วมมืออาเซียนที่ให้ความสำคัญกับเมืองยั่งยืน การปรับตัวต่อสภาพอากาศ และสีเขียวเมือง (urban greening) การมี “โครงการที่เห็นผล” ก่อนวาระสำคัญระดับชาติ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ทั้งสองประเทศ

ไทม์ไลน์คร่าวๆ สู่ปี 2570 จากแบบร่างสู่เมืองที่พร้อมต้อนรับโลก

  1. ไตรมาส 3/2568: สำรวจพื้นที่–วิเคราะห์ข้อมูล–ข้อเสนอแนวคิดหลัก (concept) รายจุด
  2. ไตรมาส 4/2568–ไตรมาส 1/2569: ออกแบบรายละเอียด–จัดทำแบบปลูก–กำหนดสเปกพันธุ์ไม้และระบบน้ำ–คำนวณบำรุงรักษา
  3. ไตรมาส 2–4/2569: เริ่มงานก่อสร้าง/ปรับปรุงเฟสแรกในคอร์ริดอร์สำคัญและสวนศูนย์กลางเมือง พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากร
  4. ต้นปี 2570: เก็บงานรายละเอียด–ทดสอบระบบรดน้ำ–ไฟ–ป้ายตีความ–ทางเดิน/จักรยาน ก่อนเข้าสู่ช่วง “ใช้งานจริง” รับงานเฉลิมฉลอง

(ไทม์ไลน์ข้างต้นเป็นกรอบเชิงหลักการ อาจปรับตามแผนงานของรัฐบาลบรูไนฯ)

มุมมองเชิงนโยบายบทเรียนที่ไทยควรเก็บเกี่ยว

  • Soft Power จาก “ภูมิทัศน์และความรู้”: ไทยสามารถใช้เอกชน–สถาบันความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ เป็นทูตเชื่อมความร่วมมือในภูมิภาค ควบคู่ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
  • ยกระดับมาตรฐานสวนสาธารณะไทย: นำบทเรียนการกำหนดตัวชี้วัดเมืองสีเขียว–การมีส่วนร่วม–การบำรุงรักษา ไปใช้กับเมืองไทยเอง สร้างมาตรฐานเดียวกันข้ามจังหวัด
  • ต่อยอดเศรษฐกิจสร้างสรรค์สีเขียว: บ่มเพาะธุรกิจออกแบบ–เพาะชำ–วิจัยพืช–สตอรีเทลลิง เพื่อเป็น “ชุดบริการครบ” ที่ขายได้ในตลาดภูมิภาค

จากพัทยาถึงบันดาร์เสรีเบกาวัน—สวนแห่งมิตรภาพที่งอกงาม

โครงการ Friendship Garden ทำให้เห็นว่าภูมิทัศน์ไม่ได้เป็นแค่ภาพสวย แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีของเมือง เมื่อ สวนนงนุชพัทยา นำความเชี่ยวชาญไปผสานกับโจทย์เมืองของบรูไนฯ เราได้เห็น “ห่วงโซ่คุณค่า” ที่โยงคนสวน นักพฤกษศาสตร์ วิศวกรเมือง ไปจนถึงครอบครัวที่พาเด็กๆ มาเล่นในสวน—ทุกคนคือเจ้าของเมือง ความร่วมมือครั้งนี้จึงมิได้จบลงที่การปลูกต้นไม้หนึ่งต้น แต่เริ่มต้น “ปลูกความสัมพันธ์” ที่จะเติบโตเข้มแข็งไปพร้อมกับเมืองในวาระเฉลิมฉลองครองราชย์ 60 ปี ที่กำลังจะมาถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สวนนงนุชพัทยา (Nong Nooch Tropical Garden, Pattaya)
  • กระทรวงการพัฒนา (Ministry of Development), รัฐบรูไนดารุสซาลาม
  • กรมสิ่งแวดล้อม รัฐบรูไนดารุสซาลาม —
  • สำนักงานโครงการฉลองวาระครองราชย์ 60 ปี (ข้อมูลสำนักรัฐบาลบรูไนฯ)
  • เอกสารแนะนำด้านสวนพฤกษศาสตร์/ภูมิทัศน์ของสวนนงนุชพัทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News