Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พลเอก ณัฐพล ตรวจเชียงราย! แนวกันน้ำแม่สายคืบ 93% พร้อมรับมือฝน

เชียงรายรับมือภัยพิบัติ! รัฐเร่งเดินหน้าแนวป้องกันน้ำหลากแม่สาย-แม่น้ำกก

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามการดำเนินงานโครงการป้องกันและลดผลกระทบจากดินโคลนถล่มและน้ำหลาก โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย ซึ่งประสบอุทกภัยใหญ่ในปี 2567

ประชาชนในพื้นที่ชุมชนถ้ำผาจม, บ้านไม้ลุงขน และเกาะลอย ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมแสดงความขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่เร่งสร้างแนวป้องกันแบบกึ่งถาวร เพื่อรองรับฤดูฝนปีนี้

แนวกันน้ำกึ่งถาวรแม่สาย คืบหน้าแล้ว 93.63%

พลเอก ณัฐพล ได้ตรวจสอบความคืบหน้าโครงการเสริมพนังป้องกันน้ำหลากบริเวณแม่น้ำสาย ระยะทางกว่า 2.3 กิโลเมตร ครอบคลุม 6 ชุมชน เขตแม่สาย โดยใช้โครงสร้างแบบผสมผสานระหว่างแนวกันน้ำเดิมและวัสดุก่อสร้างเสริมแรง

โครงการดังกล่าวคืบหน้าแล้วกว่า 93% และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์กลางเดือนกรกฎาคมนี้

ขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย เดินหน้าเต็มกำลัง 32 กิโลเมตร

อีกภารกิจหลักของกองทัพคือการขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย ตั้งแต่บ้านสบสาย ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย ไปจนถึงบ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน รวมระยะทางกว่า 32 กิโลเมตร

แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ช่วง ได้แก่

  • กองทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบช่วงต้นทาง 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่างรับผิดชอบอีก 18 กิโลเมตร

ขณะนี้มีความคืบหน้าแล้วกว่า 81.67% คาดว่าจะเสร็จภายในวันที่ 21 กรกฎาคม

ตรวจแม่น้ำกก ชื่นชมความสำเร็จขุดลอกแล้วเสร็จ 100%

จากแม่สาย พลเอก ณัฐพล เดินทางต่อไปยังหาดเชียงราย อำเภอเมือง เพื่อตรวจโครงการขุดลอกแม่น้ำกก ซึ่งมีเป้าหมายลดความเสี่ยงน้ำท่วมและส่งเสริมภูมิทัศน์ท่องเที่ยว

งานขุดลอกดำเนินการแล้วเสร็จครบ 4 จุด รวมปริมาณดินขุดกว่า 189,108 ลูกบาศก์เมตร ใช้งบประมาณกว่า 12.1 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 55 วัน

ห่วงพื้นที่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ยังไม่ได้รับการจัดการ

แม้แม่น้ำกกจะขุดลอกแล้วเสร็จ แต่รัฐมนตรีช่วยฯ ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับจุดต้นน้ำและปลายน้ำที่ยังไม่มีการดำเนินการ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในภาพรวม

จึงได้สั่งการให้ประสานงานกับกระทรวงเกษตรและกระทรวงคมนาคม เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในจุดที่ยังขาดการพัฒนา

รัฐเดินหน้าเตรียมรับมือฝนเดือนกันยายน

พลเอก ณัฐพล เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรับมือฤดูฝน โดยเฉพาะเดือนกันยายนซึ่งคาดว่าอาจมีฝนตกหนักอีกครั้ง โดยร่วมมือระหว่างมณฑลทหารบกที่ 37 กับจังหวัดเชียงราย เพื่อบริหารจัดการและเตรียมแผนเผชิญเหตุอย่างมีระบบ

ยุทธศาสตร์เชิงรุกสู้ภัยธรรมชาติ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การตรวจงาน แต่เป็นสัญญาณสำคัญของรัฐบาลต่อการบริหารความเสี่ยงจากภัยพิบัติ

  1. ยกระดับมาตรการฉุกเฉินสู่โครงการระยะยาว

โครงการแนวกันน้ำแบบกึ่งถาวรถือเป็นระยะเร่งด่วน ในขณะที่แนวกันน้ำถาวรจะเริ่มก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2572 เพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาว

  1. บูรณาการภาครัฐ-ท้องถิ่น-ทหาร

การทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพ, หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35, กรมการทหารช่าง และจังหวัดเชียงราย แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้น และประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว

  1. ความพร้อมของแผนสำรอง

แม้จะมีแผนหลักครบถ้วน แต่รัฐยังต้องวางแผนสำรอง และมีระบบเตือนภัยที่ทันสมัย เพื่อรับมือภัยธรรมชาติที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ความมั่นใจของประชาชนขึ้นอยู่กับ “การลงมือทำ”

การลงพื้นที่ของ พลเอก ณัฐพล ไม่เพียงแต่ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และประชาชน แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความจริงจังของภาครัฐ ที่ต้องการให้ทุกโครงการเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

ด้วยความคืบหน้าที่ชัดเจนของแต่ละโครงการ ชาวเชียงรายจึงเริ่มรู้สึกมั่นใจว่าจะสามารถผ่านพ้นฤดูฝนปีนี้ไปได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงกลาโหม
  • กรมการทหารช่าง
  • กองทัพภาคที่ 3
  • หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กระทรวงคมนาคม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ช่องบกคลี่คลาย! ทหารกัมพูชากลบหลุม-ถอยกำลัง หวังเจรจา JBC

ทหารเขมรถอยทัพจากช่องบก ไทยเดินหน้ากลไก JBC ลดตึงเครียดชายแดน

สถานการณ์ชายแดนช่องบกคลี่คลาย ไทย-กัมพูชาเห็นพ้องถอยกำลัง

อุบลราชธานี,8 มิถุนายน 2568 – ที่บริเวณ “ช่องบก” พื้นที่รอยต่อชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์ที่ตึงเครียดจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนเริ่มคลี่คลาย หลังการเจรจาระดับสูงระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา ส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังแนวเดิมตามที่เคยตกลงกันไว้ในปี 2567

ย้ำแนวทางสันติวิธี กลบคูเลตคืนสู่สภาพธรรมชาติ

จากการหารือระหว่าง พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พลโท สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้ข้อสรุปว่าฝ่ายกัมพูชาจะถอยกำลังจากบริเวณต้นพญาสัตบรรณกลับไปยังแนวศาลาตรีมุข และดำเนินการกลบ “คูเลต” ที่มีลักษณะเป็นร่องแนวการวางกำลังคืนให้สภาพพื้นที่เดิม

ใช้กลไก TBC สร้างความเข้าใจ ลดความเข้าใจผิด

ทั้งสองฝ่ายตกลงใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เป็นช่องทางหลักในการพูดคุย เพื่อป้องกันเหตุการณ์เข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าในอนาคต โดยจะมีการพบปะกันของกำลังทหารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ลดการยั่วยุ และเปิดพื้นที่ให้กับแนวทางสันติ

28 พ.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร
8 มิ.ย.68 ทหารฝ่ายกัมพูชา ปิดกลบคูเลต ปรับพื้นที่ อยู่ในสภาพเดิม ทำให้ปัจจุบันกองกำลังทั้งสองฝ่าย ได้ถอยกำลัง กลับไปยังจุดเดิมแล้ว

รัฐบาลย้ำไทยรักสงบ แต่ไม่ยอมให้รุกล้ำอธิปไตย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีความพยายามลดความตึงเครียดและหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารไทยที่อดทน อดกลั้น และยึดหลักสันติภาพ โดยกองทัพบกไทยได้ออกลาดตระเวนร่วมกับกัมพูชา ตรวจสอบการถอยทัพและการกลบคูเลตตามที่ตกลงไว้

นายกรัฐมนตรีหญิงโพสต์ย้ำความคืบหน้า สันติภาพคือเป้าหมาย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านสื่อโซเชียลว่ารัฐบาลไทยได้หารือร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาและมีความคืบหน้าในการลดบรรยากาศการเผชิญหน้า โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะใช้กลไก JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย ซึ่งจะมีการหารือในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ย้ำมาตรการกดดันต่อในพื้นที่อื่นที่ยังตึงเครียด

แม้สถานการณ์ช่องบกจะคลี่คลายลง แต่ยังมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชายังคงวางกำลังในจุดอื่นตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะเดินหน้ากดดันต่อผ่านการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์และการทูต ทั้งนี้ กองทัพยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมรับมือหากเกิดเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

แนวโน้มการเจรจา JBC ความหวังใหม่ของสันติภาพ

การประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะสามารถยุติความขัดแย้งในจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้ และวางแนวทางจัดการเขตแดนร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลไทยตั้งเป้าว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ความร่วมมือคือคำตอบของอนาคต

การถอยทัพของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ไม่เพียงลดความตึงเครียดในพื้นที่พิพาท แต่ยังเป็นสัญญาณบวกถึงการเปิดใจพูดคุยของทั้งสองประเทศ เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาเขตแดนอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของความเคารพอธิปไตยและสันติภาพระหว่างกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทัพบกไทย (Army PR Department)
  • กระทรวงกลาโหม
  • สำนักงานคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา (JBC)
  • โพสต์ทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร
  • รายงานข่าวจากกองกำลังสุรนารี วันที่ 8 มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยจำใจคุมชายแดน กัมพูชาเสริมกำลัง หลังเหตุปะทะช่องบก

กระทรวงการต่างประเทศแถลงจุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุปะทะช่องบก ยืนยันใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง พร้อมเปิดกลไกเจรจาทวิภาคี

ประเทศไทย, 7 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จนส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแถลงจุดยืนต่อสาธารณชน โดยย้ำเจตนารมณ์ในการรักษาอธิปไตย ควบคู่กับการแสวงหาทางออกอย่างสันติ และยืนยันความพร้อมในการเปิดเวทีเจรจาแบบทวิภาคี

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนภาคตะวันออก

เหตุปะทะชายแดนและจุดยืนไทยในการป้องกันประเทศ

นายนิกรเดช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เป็นผลจากการที่ฝ่ายทหารไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและชอบธรรม เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวทางปฏิบัติสากล ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการอย่างอดทนอดกลั้น และพยายามหาทางคลี่คลายปัญหาด้วยการสื่อสารและเจรจาทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดสถานการณ์ให้อยู่เฉพาะบริเวณจุดปะทะเท่านั้น โดยมีกระบวนการหารือผ่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการกองทัพของทั้งสองฝ่าย

“แม้ฝ่ายไทยจะใช้ความอดทนและเน้นการเจรจาเป็นหลัก แต่การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา กลับไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์สันติภาพ” นายนิกรเดช กล่าว

กัมพูชาปฏิเสธแนวทางลดความตึงเครียด ขัดข้อตกลง MOU 2543

ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการประชุมหารือระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการปรับลดกำลังทหารกลับสู่ระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเผชิญหน้าทางทหาร และลดผลกระทบต่อประชาชนบริเวณชายแดน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยทันที และยังคงเสริมกำลังทหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปฏิเสธการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่วางแนวทางไว้สำหรับการเจรจาอย่างสันติ ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศมองว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดเจตจำนงร่วมในการยุติความขัดแย้ง

ไทยตอบสนองด้วยมาตรการควบคุมชายแดนแบบขั้นตอน

ภายใต้สถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะขยายตัว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง โดยมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรีและตราด กำหนดแนวทางควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตามความเหมาะสมและสภาพการณ์

พล.ต.วินธัย สุวารี ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน เริ่มจากการจำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การรักษาพยาบาล หรือการศึกษา จากนั้นจะมีการควบคุมช่วงเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน และอาจดำเนินมาตรการ “Selective Closure” หรือการปิดบางจุดผ่านแดนชั่วคราวในพื้นที่เสี่ยง สุดท้ายหากสถานการณ์รุนแรงถึงระดับวิกฤต อาจมีการปิดแนวชายแดนทั้งหมดในระยะสั้น

“แม้จะมีคำสั่งให้ควบคุมชายแดน แต่กองทัพยังคงประสานงานกับทุกหน่วยเพื่อไม่ให้กระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนโดยไม่จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

กระทรวงกลาโหมยืนยันยังยึดสันติวิธี รัฐบาลไทยพร้อมเปิดเวทีเจรจา

พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ กล่าวเสริมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับหน่วยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และยืนยันว่าฝ่ายไทยยังไม่ปิดโอกาสการเจรจา โดยยังคงยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และความร่วมมือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี อาทิ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน (JBC) ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าการดำเนินการของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน โดยจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้มาตรการควบคุมกระทบต่อการค้า วิถีชีวิต หรือความสัมพันธ์ของประชาชนตามแนวชายแดน

สรุปสถานการณ์

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนตะวันออก แม้จะมีร่องรอยความรุนแรงจากเหตุปะทะ แต่รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางที่รอบคอบบนพื้นฐานของสันติวิธี มุ่งเน้นการรักษาอธิปไตย ควบคู่ไปกับความพยายามลดผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนและความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชน อนาคตของเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา และประสิทธิภาพของกลไกเจรจาทางการทูตที่ทั้งสองประเทศได้วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย, แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ 7 มิถุนายน 2568
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
  • กองทัพบกไทย
  • สำนักข่าวความมั่นคงชายแดนภาคตะวันออก
  • บันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 ไทย-กัมพูชา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News