Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ย้ายชุมชนแม่สาย สู่โครงการ “บ้านมั่นคง” บนที่ดินโรงงานยาสูบ แก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน

ก้าวยาวสู่ความมั่นคง! แม่สายเตรียมย้ายชุมชนริมน้ำ จัดสรรที่ดินโรงงานยาสูบสร้างบ้านใหม่

แม่สายเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจ เชียงรายผลักดันแผนแก้ปัญหาอุทกภัยระยะยาวแบบระบบ ตั้งแต่ “ขยายลำน้ำก่อสร้างคันกันน้ำจัดระเบียบริมตลิ่งย้ายชุมชนเสี่ยง” สู่การตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่าน โครงการบ้านมั่นคง บนที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ)

วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น

  • ตัวเลขชวนคิด: เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สายครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ 304.78 ตร.กม. (ราว 190,487.5 ไร่) เคยมี น้ำท่วมใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 6,000 ล้านบาท; แม่น้ำสายแคบลงจาก 70–80 ม. เหลือ <20 ม. ใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1; พบการรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด (เมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จุด); แผนวิศวกรรมตั้งเป้า “ขยายลำน้ำ ≥50 ม. + คันยกระดับ สูงรวม ~3 ม. กว้าง 9 ม. ระยะทาง 3,960 ม. รองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที” พร้อมกรอบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท และสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท
  • ปมชี้ขาด: ความพร้อมในการ “ย้าย–เยียวยา–จัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่” ของ 843 หลังคาเรือน ริมน้ำ และการประสานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อแก้ที่ ต้นน้ำตะกอนมลพิษโลหะหนัก
  • กุญแจสู่การคลี่คลาย: ใช้ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาล ติดเมือง–พ้นแนวท่วม ทำ “บ้านมั่นคง” (สิทธิอยู่ เช่าที่ราชพัสดุ/กู้สหกรณ์สร้างบ้าน ~280,000–400,000 บาท ต่อหน่วย ขึ้นกับแบบและพื้นที่) โดย พอช. เป็นแม่งานภาคสังคม ร่วมกับ กรมโยธาฯ–กรมธนารักษ์–จังหวัดเชียงราย

 “ขยับเมืองหนีน้ำ” แม่สายเดินหน้าแผนใหญ่ขยายลำน้ำ สร้างคันกันน้ำ ย้ายชุมชนเสี่ยง สู่ ‘บ้านมั่นคง’ บนที่ดินโรงงานยาสูบ

เชียงราย, 24 สิงหาคม 2568 — ยามฝนหลงฤดูซัดกระหน่ำเหนือดอยแม่สายในคืนหนึ่ง น้ำขุ่นจัดไหลทะลักผ่านช่องแคบใต้สะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ก่อนจะแผ่ซ่านเข้าเขตตลาดและชุมชนริมน้ำในเวลาไม่กี่สิบนาที เป็นภาพที่คนในพื้นที่เรียกติดปากว่า “มาเร็ว–ลงไว–ทิ้งโคลน” และเป็นสัญญาณเตือนว่าต้นทุนการอยู่ร่วมกับสายน้ำในเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจแห่งนี้ “เปลี่ยนไป” แล้ว

หนึ่งปีให้หลังจาก เหตุอุทกภัยใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 ที่ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินค่ากว่า 6,000 ล้านบาท แม่สายเดินมาถึงจุดตัดสินใจสำคัญ: จะ “ซ่อมความเสียหาย” เป็นครั้ง ๆ แบบเดิม หรือ “ยกเครื่องทั้งระบบ” แม่น้ำ–ตลิ่ง–เมือง–ชุมชน ให้สอดคล้องกับภูมิประเทศเสี่ยงน้ำและความจริงใหม่ของสภาพภูมิอากาศ

คำตอบเริ่มชัด เมื่อแผนงานชุดใหญ่ที่รัฐบาลมอบหมายให้ กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) เป็นแกนกลาง กำหนดภาพรวมตั้งแต่ ขยายหน้าตัดแม่น้ำสาย ให้กว้าง ไม่น้อยกว่า 50 เมตร, ก่อสร้างคันป้องกันน้ำหลาก–โคลน ระยะทาง 3,960 เมตร ยกระดับความสูงรวมราว 3 เมตร (คันดิน 2 ม. + ผนังคอนกรีต 1 ม.) พร้อม ย้ายรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ และจัดระเบียบพื้นที่ริมตลิ่งทั้งสองฝั่ง เพื่อให้ระบบระบายน้ำรองรับอัตราการไหล ประมาณ 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยวางกรอบงบประมาณก่อสร้างเบื้องต้นราว 2,000 ล้านบาท และวงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท เพื่อเร่งงานเตรียมการในช่วง 8 เดือน ข้างหน้า

“เร่งศึกษารูปแบบก่อสร้างให้จบเร็วที่สุด แต่ย้ำว่านี่เป็น โครงการระยะยาว โดยเฉพาะการย้ายบ้านเรือนกว่า 800 หลัง ไม่อาจแล้วเสร็จภายในฤดูฝนนี้หรือปีหน้า” ข้อความตามการชี้แจงของ นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

เมื่อ “แม่น้ำแคบ–ตะกอนหนา–กิจกรรมมนุษย์เร่งวิกฤต”

หากถอยออกมาดูทั้งลุ่มน้ำ ภาพใหญ่ของแม่สายคือเมืองชายแดนที่ตั้งอยู่บน เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) อันเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากโดยธรรมชาติ เมื่อประกอบกับลักษณะลำน้ำที่ แคบลงต่อเนื่องจาก 70–80 เมตร เหลือ ไม่ถึง 20 เมตร บริเวณใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ความสามารถระบายน้ำย่อมลดฮวบ ขณะเดียวกัน “แรงเร่ง” จากกิจกรรมมนุษย์ทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • การเปิดหน้าดิน–ทำลายป่าต้นน้ำในรัฐฉาน (เมียนมา) เพื่อเกษตรและเหมือง สร้างมวลตะกอนพัดพาลงลำน้ำสาย เมื่อหน้าตัดลำน้ำแคบ–ความลาดชันในช่วงเมืองต่ำ ตะกอนจึง ตกทับถมรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่คนท้องถิ่นเปรียบว่า “สึนามิโคลน” นั่นคือไม่ใช่เพียงน้ำ แต่เป็น น้ำ+โคลน ที่ลากเศษซากลงสู่เขตชุมชน
  • การรุกล้ำลำน้ำ–ก่อสิ่งปลูกสร้างริมตลิ่ง พบจุดรุกล้ำ ฝั่งไทย 45 จุด และ ฝั่งเมียนมา 33 จุด โดย ฝ่ายเมียนมารื้อถอนไปแล้ว 20 จุด ฝั่งไทยก็ประกาศเดินหน้าเช่นกัน การรุกล้ำเหล่านี้ทำให้พื้นที่หน้าตัดลำน้ำหายไป ก่อ “คอขวด” หลายช่วง และเป็นอุปสรรคต่อวิธีแก้ทางวิศวกรรม
  • มลพิษจากเหมืองต้นน้ำ โดยเฉพาะการปนเปื้อน สารหนู (Arsenic) และโลหะหนักในบางจุดของแม่น้ำสาย—ประเด็นที่เกี่ยวพันกับสุขภาพชุมชนและระบบนิเวศ และต้องการความร่วมมือข้ามพรมแดนในการแก้ที่ต้นทาง

 “ขยายลำน้ำ–ย้ายเสี่ยง–สร้างคัน–ตั้งถิ่นฐานใหม่”

หัวใจของแผนแม่สายไม่ได้มีเพียงคันกันน้ำ แต่เริ่มจากการ คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ ผ่านการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ มากกว่า 843 หลังคาเรือน และ ขยายหน้าตัด ลำน้ำให้ได้มาตรฐานทางไฮดรอลิก ก่อนเสริมด้วยคันป้องกัน–ผนังคอนกรีต เพื่อ ลดโอกาสน้ำทะลัก เข้าพื้นที่เศรษฐกิจ–ชุมชนสำคัญ

จุดชี้เป็นชี้ตายของการ “คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ” คือ จัดหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว—และนั่นนำไปสู่การพิจารณาใช้ ที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ) ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย เพื่อจัดทำชุมชนใหม่ภายใต้ โครงการบ้านมั่นคง” ซึ่ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) รับบทเป็นแกนกลางการทำงานกับชุมชน

“ที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างด่านพรมแดนราว 1.5 กม. ห่างที่ว่าการอำเภอเพียง 300 ม. ใช้เป็นสวนสุขภาพและ ไม่เคยท่วม จึงเหมาะสำหรับตั้งถิ่นฐานใหม่” สาระจากคำอธิบายของ นายวิเชียร พลสยม ผอ.พอช. ภาคเหนือ

บ้านมั่นคง แบบสิทธิภาระผ่อน

บ้านมั่นคง เป็นโมเดล “สิทธิอยู่อาศัย” ที่ให้ประชาชนเช่าที่ราชพัสดุจาก กรมธนารักษ์ (สิทธิรวมกลุ่มตามเงื่อนไขโครงการ) แล้วใช้กลไก สหกรณ์ออมทรัพย์ชุมชน เป็นแหล่งสินเชื่อเพื่อก่อสร้าง/ปรับปรุงบ้าน โดยมี แบบบ้านหลายขนาด รองรับครัวเรือนต่างบริบท ตัวอย่างเช่น ห้องแถว/ทาวน์เฮาส์ขนาดเล็ก ≤30 ตร.ม. ต้นทุนก่อสร้างประมาณ 280,000–300,000 บาท (ในเมืองใหญ่) และ 350,000–400,000 บาท ในต่างจังหวัดสำหรับครอบครัว ~5 คน ทั้งนี้สิทธิในโครงการเน้น ประชาชนสัญชาติไทย (เลข 13 หลัก) และ ครอบครัวขยาย ที่ได้รับการรับรองจากชุมชน เพื่อลดข้อขัดแย้งและป้องกันการเก็งกำไรสิทธิ

ทำไม “ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ” จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ

พื้นที่โรงงานยาสูบในแม่สายเคยถูกหยิบยกใน ปี 2559 ภายใต้นโยบาย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครอบคลุมที่ราชพัสดุ 3 แปลง รวม ~870-3-5 ไร่ ใน ต.โป่งผา ทำเลติดถนนพหลโยธิน ใกล้ด่านศุลกากรแม่สายแห่งที่ 2 ราว 4 กม. แต่การพัฒนาติดเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินเดิม (เช่าปลูกข้าวโพด–ยาสูบ) การนำ บางส่วน ของที่ดิน “ที่พ้นแนวท่วม” มาใช้เพื่อแก้ปัญหาสาธารณะตั้งถิ่นฐานให้ผู้ย้ายจึงเป็น ทางเลือกใหม่ ที่น่าจับตา และหากเดินหน้าได้จริง จะช่วย “ลดแรงต้าน” ในภาคสนาม เพราะชุมชนใหม่อยู่ ไม่ไกล จากที่ทำกิน–ที่ทำงานเดิม

เสียงจากสนามจริง ใครได้–ใครเสีย–จะเดินต่ออย่างไร

ฝ่ายได้ประโยชน์

  1. ชาวแม่สายในระยะยาว: ลดความเสี่ยงชีวิต–ทรัพย์สิน เศรษฐกิจเมืองชายแดนมีเสถียรภาพมากขึ้น
  2. ครัวเรือนที่ย้ายเข้าโครงการ: เข้าถึงที่อยู่อาศัยมั่นคง ถูกกฎหมาย มีระบบสาธารณูปโภคครบถ้วน
  3. แม่น้ำ–สิ่งแวดล้อม: คืนหน้าตัดระบายน้ำ ลดการกัดเซาะ–ทับถม และเปิดทางสู่การฟื้นฟูคุณภาพน้ำ
  4. ภาพลักษณ์ชายแดน: ด่าน–ริมน้ำเป็นระเบียบ เพิ่มความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว–การค้า

ฝ่ายได้รับผลกระทบ

  1. ครัวเรือนที่ต้องย้าย: แม้มีทางออก “บ้านมั่นคง” แต่การย้ายคือการเปลี่ยนชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะได้รับชดเชยเฉพาะ ค่าบ้าน ไม่รวมที่ดิน
  2. เกษตรกรผู้เช่าที่ในเขตโรงงานยาสูบ: หากนำบางส่วนของที่ดินมาใช้ตั้งถิ่นฐาน อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทำกิน
  3. ผู้ประกอบการค้าริมน้ำที่รุกล้ำ: เช่น บางส่วนของตลาด–แผงค้า จำเป็นต้องรื้อ/ย้าย ไปสู่รูปแบบพื้นที่ค้าขายใหม่
  4. ภาครัฐ: แบกรับภาระงบฯ ทั้งศึกษาความเหมาะสม–รับฟังความเห็น–ชดเชย–ก่อสร้าง (ประเมินเบื้องต้น ค่าประนีประนอม ~200 ล้านบาท + ค่าก่อสร้าง ~2,000 ล้านบาท) และต้องบริหาร ความไว้วางใจสาธารณะ อย่างใกล้ชิด

ท่าทีจังหวัด ด้าน นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ “รับทราบความจำเป็นต้องย้าย” เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว และจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ ข้อมูลครัวเรือนกว่า 1,500 หลังคาเรือน ที่อยู่ในแนวต้องเคลื่อนย้าย เพื่อกำหนด ลำดับ–มาตรการเยียวยา–แบบชุมชนใหม่ ให้เหมาะสม

ข้ามพรมแดนเพื่อแก้ที่ต้นเหตุ: ขุดลอก–คุมตะกอน–ลดมลพิษ

ปัญหาแม่สายไม่สิ้นสุดที่ฝั่งไทย เพราะ ต้นน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเมียนมา รัฐบาลไทยจึงเดินหน้าเจรจา ขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก, ตั้ง คณะทำงานวิชาการร่วม เพื่อจัดการมลพิษข้ามแดน โดยเฉพาะ โลหะหนักจากกิจกรรมเหมือง และการ อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ แม้ความคืบหน้ายังผูกกับสถานการณ์ภายในเมียนมา แต่กรอบความร่วมมือถือเป็น ก้าวแรกที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มาตรการปลายน้ำของไทย “รับภาระลำพัง”

เส้นเวลา–สิ่งที่จับตาจากแบบบนกระดาษสู่สนามจริง

  • 1–2 เดือน: กรมโยธาฯ ใช้งบกลางเริ่มศึกษารูปแบบก่อสร้าง–โครงสร้างป้องกัน
  • ภายใน ~8 เดือน: สำรวจ–ออกแบบ–รับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (งบ 24 ล้านบาท)
  • ระยะก่อสร้าง: ผูกกับผลการออกแบบ รายการเวนคืน/รื้อย้าย และ ฤดูกาลฝน ซึ่งอาจต้อง “ก่อสร้างเป็นช่วง ๆ”
  • กระบวนการสังคม: สำรวจสิทธิ–เข้าโครงการบ้านมั่นคง–จัดผังชุมชน–สาธารณูปโภค—เป็น “งานใหญ่” ไม่แพ้โครงสร้างทางวิศวกรรม

หมุดเช็กความก้าวหน้า ที่สาธารณะควรถามซ้ำทุกไตรมาส คือ
(1) แผนผัง “แนวเขตเวนคืน/รื้อย้าย” โปร่งใสเพียงใด
(2) รายชื่อ–สถานะ “ผู้มีสิทธิ์เข้าบ้านมั่นคง” ชัดแค่ไหน
(3) ตารางการขุดลอก–เพิ่มหน้าตัดลำน้ำ เดินตามแบบหรือไม่
(4) ความคืบหน้าความร่วมมือข้ามแดนด้านตะกอน–มลพิษ

เมืองที่ยืนอยู่ได้บน “สายน้ำที่ยอมรับความจริง”

แม่สายเป็นหนึ่งใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่สำคัญ ครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ ~304.78 ตร.กม. เศรษฐกิจชายแดนเติบโตเร็วแต่ความเปราะบางก็ขยายตาม หากปล่อยให้น้ำท่วมเป็น “เหตุการณ์พิเศษ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมืองจะสูญเสียทั้ง ความเชื่อมั่นเสถียรภาพ และ โอกาส ในการเป็นศูนย์กลางการค้า–ท่องเที่ยวของภาคเหนือ

แผน “ขยายลำน้ำ–สร้างคัน–ย้ายเสี่ยง–บ้านมั่นคง” จึงคือการเลือก ยอมรับความจริง ของภูมิประเทศ และปรับเมืองให้เข้ากับสายน้ำ มากกว่าบังคับให้สายน้ำ “เดินตามเมือง” การจะสำเร็จได้ จำเป็นต้องมีทั้ง วิศวกรรมที่ดี และ วิศวกรรมสังคมที่ละเมียดสื่อสารโปร่งใส เยียวยาเป็นธรรม ประสานผลประโยชน์ และ “จับมือกันข้ามพรมแดน” กับเมียนมาในประเด็นตะกอน–มลพิษ

ท้ายที่สุด หาก “บ้านหลังใหม่” ของ 843 ครัวเรือนเกิดขึ้นจริงบนที่ดินที่ ไม่ท่วม–ไม่ไกล–มีงาน–มีโอกาส และหากแม่น้ำสายกลับมามีหน้าตัดตามหลักไฮดรอลิก เมืองแม่สายก็จะไม่ได้เพียง “หนีน้ำ” แต่ “อยู่กับน้ำได้”—อย่างมั่นคง และเดินหน้าบทบาทเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) — กรอบแนวทางออกแบบ–ก่อสร้างคันกันน้ำ/ผนังคอนกรีต–การขยายหน้าตัดลำน้ำสาย ระยะทางรวม 3,960 ม., ขีดความสามารถรองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที, วงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท, กรอบงบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท
  • สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) – พอช. (สำนักงานภาคเหนือ) — โมเดล โครงการบ้านมั่นคง: หลักเกณฑ์สิทธิ, กลไกสหกรณ์สินเชื่อ, ช่วงราคาก่อสร้างต่อหน่วย ~280,000–400,000 บาท, หลักเกณฑ์การรับรองสมาชิก
  • กรมธนารักษ์ — หลักการใช้ประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และการเช่าที่เพื่ออยู่อาศัยภายใต้กรอบโครงการบ้านมั่นคง
  • จังหวัดเชียงราย / ที่ว่าการอำเภอแม่สาย — ข้อมูลพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย (8 ตำบล, 304.78 ตร.กม. / ~190,487.5 ไร่), สถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 และการตั้งคณะทำงานสำรวจครัวเรือน ~1,500 หลังคาเรือน
  • หน่วยงานชายแดนไทย–เมียนมา (คณะกรรมการร่วม) — ข้อมูลจุดรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด และความคืบหน้าการรื้อถอนฝั่งเมียนมา 20 จุด
  • หน่วยงานสิ่งแวดล้อม/สาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง — ข้อมูลเบื้องต้นด้านคุณภาพน้ำ กรณีการปนเปื้อน สารหนู/โลหะหนัก จากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน (เมียนมา) ที่ส่งผลข้ามพรมแดน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่จันพ้นน้ำท่วม กรมโยธาฯ เร่งสร้างระบบระบายน้ำ

โครงการป้องกันน้ำท่วมแม่จัน เดินหน้าออกแบบระบบระบายน้ำระยะยาว

ประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการระบบป้องกันน้ำท่วมแม่จัน

วันที่ 1 เมษายน 2568 เวลา 9.30 น. กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดประชุมชี้แจงรายละเอียดโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วม ณ ห้องประชุมสำนักงานเทศบาลตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

ในการประชุมครั้งนี้ นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมตัวแทนหน่วยงานราชการ ผู้นำท้องถิ่น บริษัทที่ปรึกษา และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟัง และแสดงความเห็นอย่างคับคั่ง

แม่จันยังเผชิญปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก

แม่จัน จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน การดำรงชีวิต และระบบสาธารณูปโภคของประชาชน รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการวางแผนระยะยาวอย่างเป็นระบบ

รายละเอียดโครงการระยะที่ 5 เฟส 2

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคเหนือ ระยะที่ 5 โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนแม่จันและพื้นที่ต่อเนื่องในเฟสที่ 2 โดยเน้นการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน

บริษัทโปรเกรส เทคโนโลยี คอนซัลแท็นส์ จำกัด ได้รับมอบหมายให้ศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย คันป้องกันน้ำท่วม ท่อระบายน้ำ คลองระบายน้ำ ถนน อาคารชลศาสตร์ รวมถึงสถานีสูบน้ำและประตูน้ำ

เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน

การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชี้แจงโครงการ แต่ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกในการอภิปราย ได้แก่ ความกังวลเรื่องการเวนคืนพื้นที่ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความเหมาะสมของแบบก่อสร้างในแต่ละจุด

เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการฯ ยืนยันว่า โครงการจะพยายามลดผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด และเปิดรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อปรับแผนให้เหมาะสมกับชุมชนในทุกขั้นตอน

เป้าหมายหลักของโครงการ

  1. ลดความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ซ้ำซาก
  2. ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนแม่จันและพื้นที่ใกล้เคียง
  3. สนับสนุนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
  4. เสริมสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในระยะยาว

การบริหารจัดการอย่างบูรณาการ

โครงการนี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้หลักการบูรณาการจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการในระยะยาว

ความเห็นจากสองมุมมองของภาคประชาชน

ในเวทีประชาคม มีเสียงสะท้อนหลากหลายจากประชาชนในพื้นที่ บางส่วนเห็นว่าโครงการนี้จำเป็นและควรเร่งดำเนินการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นมายาวนาน

ในขณะเดียวกัน ประชาชนอีกกลุ่มแสดงความกังวลเรื่องการเวนคืนที่ดิน และผลกระทบต่อวิถีชีวิตเดิมของชุมชน ซึ่งทางผู้รับผิดชอบโครงการให้คำมั่นว่าจะมีมาตรการรองรับและเยียวยาอย่างเป็นธรรม

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ปี 2567 ระบุว่า พื้นที่อำเภอแม่จันเกิดน้ำท่วมซ้ำซากเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความเสียหายรวมกว่า 420 ล้านบาท และมีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 3,500 ครัวเรือน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังระบุว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งใน 10 จังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมมากที่สุดในประเทศไทย

สรุปภาพรวมเชิงนโยบาย

โครงการระบบป้องกันน้ำท่วมแม่จัน เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญในยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ เน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ และออกแบบอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนหากสามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบและโปร่งใส

ทิศทางต่อไป

หลังการประชุมชี้แจง กรมโยธาธิการและผังเมืองจะสรุปความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมด เพื่อนำไปปรับปรุงแผนโครงการให้เหมาะสม ก่อนเข้าสู่กระบวนการวางงบประมาณและเตรียมการดำเนินการก่อสร้างในระยะถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE