Categories
NEWS UPDATE

ครม.ทุ่ม 2 พันล้าน ฟื้นฟู ‘ถนนเชียงราย’ พร้อม 16 จังหวัด

ครม.อนุมัติงบกลาง 2,049.69 ล้านบาท ฟื้นฟูถนนเสียหายจากอุทกภัย เน้นเชียงรายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – เวลา 11.35 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 2,049.69 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติใน 17 จังหวัด โดยมีจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการเร่งดำเนินการฟื้นฟู

การจัดสรรงบประมาณแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ กรมทางหลวง 1,619.90 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 429.79 ล้านบาท เพื่อใช้ซ่อมแซมและปรับปรุงเส้นทางคมนาคมหลักและรองที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติในช่วงเดือนพฤษภาคม–ตุลาคม 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

เชียงราย จุดวิกฤตโครงข่ายถนนภาคเหนือ

จังหวัดเชียงรายได้รับการจัดสรรงบประมาณจากทั้งสองหน่วยงานรวมเป็นจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่ง เนื่องจากพบความเสียหายสะสมต่อเนื่องหลายระลอกจากพายุฤดูฝน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม ทำให้ถนนสายหลักอย่างแม่สรวย-เทิง และแม่จัน-เชียงแสน ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง รวมถึงสะพานขาดในหลายจุด

จากข้อมูลของกรมทางหลวง พบว่าในเดือนกันยายน 2567 อิทธิพลจากพายุ “ยางิ” ทำให้พื้นที่ 10 จุดในจังหวัดเชียงรายไม่สามารถสัญจรได้ ดินสไลด์และคอสะพานขาดหลายแห่ง โดยเฉพาะในอำเภอเมือง แม่สาย เวียงแก่นและเทิง ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนและส่งผลต่อภาคขนส่งอย่างกว้างขวาง

กรมทางหลวงชนบทรายงานเพิ่มเติมว่าในปีเดียวกัน มีอย่างน้อย 9 สายทางในเชียงรายถูกน้ำกัดเซาะ ถนนทรุดตัว และสะพานพังเสียหาย ไม่สามารถใช้งานได้ รวมถึงทางเชื่อมไปยังพื้นที่ชายแดนที่มีบทบาททางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น จุดผ่านแดนถาวรแม่สาย

งบกลางฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานเพื่อประชาชน

สำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า การจัดสรรงบกลางครั้งนี้ มุ่งเน้นให้การซ่อมแซมถนนและสะพานเป็นไปอย่างเร่งด่วนภายในปีงบประมาณ 2568 โดยเบิกจ่ายในหมวดงบลงทุนค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และดำเนินการฟื้นฟูในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย เลย ภูเก็ต ยะลา พิษณุโลก อุดรธานี หนองคาย และกาญจนบุรี

ภาพรวมความเสียหายทั่วประเทศ ปี 2567

ในช่วงกลางปี (ก.ค.–ส.ค.) ทช. รายงาน 7 สายทางได้รับผลกระทบในจังหวัดตาก กาญจนบุรี จันทบุรี และตราด โดย 6 สายทางไม่สามารถสัญจรได้ ขณะที่ทล. รายงานความเสียหาย 10 จุดในเชียงรายและแพร่ โดย 9 จุดไม่สามารถใช้งานได้

ช่วงปลายปี (ต.ค.–ธ.ค.) ความเสียหายขยายวงกว้างไปยังภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ทล. รายงานว่า 63 จุดเสียหาย และมี 47 จุดไม่สามารถใช้งานได้ ส่วนทช. รายงาน 97 สายทางได้รับความเสียหายใน 6 จังหวัด โดย 66 สายทางใช้การไม่ได้

ปี 2568 ฟื้นฟูเพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำซาก

รัฐบาลได้เตรียมการฟื้นฟูเชิงรุก โดย ครม. ยังอนุมัติงบกลางปี 2567 เพิ่มเติมอีก 3,017 ล้านบาท สำหรับซ่อมแซมความเสียหายในอีก 39 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนวางระบบบริหารความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติในปี 2568 โดยเน้นการเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น

เชียงรายในฐานะศูนย์กลางฟื้นฟูภาคเหนือ

เชียงรายไม่เพียงได้รับผลกระทบรุนแรงจากภัยธรรมชาติในปีที่ผ่านมา แต่ยังเป็นจังหวัดที่มีบทบาทสำคัญด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจชายแดน การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในเชียงรายจึงเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินการควบคู่กับการส่งเสริมภาคการขนส่ง การท่องเที่ยว และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

สถิติที่เกี่ยวข้อง (ณ วันที่ 6 พฤษภาคม 2568)

  • จังหวัดเชียงราย ได้รับการจัดสรรงบรวมจาก ทล. และ ทช. เป็น 2 ใน 17 จังหวัด
  • ทล. รายงานความเสียหายในเชียงราย 10 จุด ในช่วง พ.ค.–ธ.ค. 2567
  • ทช. รายงานสายทางเสียหายในเชียงราย 9 สายทาง
  • งบกลางปี 2568 ฟื้นฟู 17 จังหวัด รวมวงเงิน 2,049.69 ล้านบาท (ทล. 1,619.90 ล้านบาท / ทช. 429.79 ล้านบาท)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี (แถลงข่าว ครม. 6 พ.ค. 2568)
  • กระทรวงคมนาคม
  • กรมทางหลวง
  • กรมทางหลวงชนบท
  • สำนักงบประมาณ (สงป.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เร่งฟื้นฟูสะพานแม่สาย ไทย-เมียนมาขุดลอก รับมือน้ำท่วม

กรมทางหลวงเร่งบูรณะสะพานมิตรภาพแม่สาย หนุนเศรษฐกิจและความมั่นคงชายแดน

เชียงรายเดินหน้าฟื้นฟูหลังน้ำท่วมใหญ่ ปี 2567

เชียงราย, 23 มีนาคม 2568 – หลังเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงเมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 ได้เร่งดำเนินการฟื้นฟูและซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง

นายอลงกรณ์ กัวตระกูล ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้การดำเนินงานมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยแบ่งภารกิจหลักออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

ซ่อมแซมทางหลวงที่เสียหายจากอุทกภัย

กรมทางหลวงได้ดำเนินการบูรณะถนนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 28 แห่ง โดยซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว 25 แห่ง คงเหลืออีก 3 แห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ การฟื้นฟูดังกล่าวช่วยให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

จัดระเบียบพื้นที่บริเวณด่านชายแดนแม่สาย

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญ คือ การรื้อถอนร้านค้าและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวเขตบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย โดยดำเนินการเสร็จเรียบร้อยตามมติศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเปิดพื้นที่ให้กับการพัฒนาระบบคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานใหม่

เสริมกำลังโครงสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา

กรมทางหลวงได้ดำเนินโครงการเสริมความแข็งแรงของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ด้วยงบประมาณ 15 ล้านบาท เริ่มสัญญาตั้งแต่มีนาคม 2568 และจะแล้วเสร็จภายในตุลาคม 2568 รวมระยะเวลาดำเนินงาน 210 วัน เพื่อยกระดับความปลอดภัยและรองรับการจราจรในอนาคต

ผลกระทบและการปรับตัวของประชาชนในพื้นที่

พ่อค้าแม่ค้าในตลาดดอยเวาบางส่วน ระบุว่า แม้ร้านค้าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะตั้งอยู่บนที่สูง แต่บ้านพักในชุมชนเหมืองแดงซึ่งเป็นที่ลุ่มกลับได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะดินโคลนที่ไหลเข้าบ้านจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้แรงงานในการล้างทำความสะอาดซึ่งมีค่าใช้จ่ายวันละ 400–1,000 บาทต่อคน

แม้จะได้รับเงินเยียวยาเบื้องต้นครอบครัวละ 9,000 บาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย จนล่าสุดรัฐบาลได้อนุมัติเงินค่าล้างโคลนครอบครัวละ 10,000 บาทเพิ่มเติม

รัฐบาลเร่งอนุมัติงบฟื้นฟูคุณภาพชีวิต

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย รายงานว่า จังหวัดได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณทดรองราชการจำนวน 292,143,249 บาท แบ่งเป็น อ.แม่สาย 134,776,273 บาท และ อ.เมืองเชียงราย 157,370,976 บาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านการดำรงชีพและค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน

ไทย-เมียนมา ร่วมขุดลอกแม่น้ำสาย ป้องกันน้ำท่วมซ้ำ

ทั้งสองประเทศเร่งจัดการพื้นที่ริมแม่น้ำสาย โดยดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำและขุดลอกแม่น้ำเพื่อทำแนวพนังกันน้ำ หนึ่งใน 45 จุดที่ต้องรื้อถอนในฝั่งไทยคือบริเวณวัดเกาะทราย ขณะเดียวกันฝั่งเมียนมาก็ได้เร่งเสริมแนวกั้นดินและสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง

ความเห็นของนักวิชาการต่อสถานการณ์แม่น้ำสาย

นายธนพล พิมาน หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านบริหารจัดการน้ำ จากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม ประจำเอเชีย ให้ความเห็นว่า การเกิดน้ำท่วมโคลนในแม่สายเมื่อปี 2567 ส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งทำให้ตะกอนในน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ปี 2568 อาจเกิดโคลนถล่มอีกครั้ง เพราะต้นน้ำเสื่อมโทรมและยังไม่มีหน่วยงานใดลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบโดยตรง

ความท้าทายของการพัฒนาระหว่างประเทศ

การดำเนินโครงการฟื้นฟูและป้องกันน้ำท่วมระหว่างไทย-เมียนมา ต้องอาศัยความร่วมมือและการตกลงร่วมกันในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ โดยเฉพาะการขุดลอกแม่น้ำสายซึ่งต้องมีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางในทุกจุดที่ระบุไว้ หากสามารถดำเนินการแล้วเสร็จทันปลายเดือนมีนาคมหรืออย่างช้าต้นเดือนเมษายน จะช่วยลดความเสี่ยงก่อนฤดูฝนมาถึง

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนจุดที่ต้องรื้อถอนฝั่งไทย: 45 จุด (ข้อมูลจากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1)
  • งบประมาณซ่อมสะพาน: 15 ล้านบาท (กรมทางหลวง)
  • งบประมาณช่วยเหลือประชาชน: 292.14 ล้านบาท (สำนักงาน ปภ.จังหวัดเชียงราย)
  • ความเสียหายเบื้องต้นจากน้ำท่วม: บ้านเรือนกว่า 100 หลัง, ร้านค้าหลายสิบแห่ง (สำรวจโดยอำเภอแม่สาย)
  • ข้อมูลนักวิชาการจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม: ผลกระทบจากเหมืองต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

ความคิดเห็นอย่างเป็นกลาง

ฝ่ายไทยมุ่งเน้นการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่เพื่อความปลอดภัยและเศรษฐกิจ ขณะที่ฝ่ายเมียนมาเน้นการจัดการระบบป้องกันตลิ่งและรุกขุดลอกแม่น้ำตามแผนป้องกันของตน ทั้งสองฝ่ายต่างมีบทบาทสำคัญในการจัดการน้ำและความร่วมมือข้ามพรมแดน ซึ่งหากประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและสร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ถนน 48 กม. ชมวิวสะพานหนองหลวง สายเชียงราย – อ.ขุนตาล เชื่อม ลาว-จีน

 
เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 เพจรมทางหลวง โพสต์แจ้งเปิดวิ่ง! ถนนตัดใหม่ ทล.1421 สายเชียงราย – อ.ขุนตาล จ.เชียงราย ระยะทาง 48 กิโลเมตร เพิ่มประสิทธิภาพคมนาคมขนส่งเดินทางไทย – ลาว – จีน พร้อมจุดชมวิวสะพานข้ามหนองหลวง
 

ความนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยถึง การดำเนินการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงแนวใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อรองรับการคมนาคมและการขนส่งระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้กรมทางหลวงได้ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1421 สายเชียงราย – อ.ขุนตาล แล้วเสร็จตลอดสาย ระยะทาง 48.19 กิโลเมตร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย

 

กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 ได้ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1421 สายเชียงราย – อ.ขุนตาล มีระยะทางทั้งหมด 48.19 กิโลเมตร โดยที่ผ่านมากรมทางหลวงได้ก่อสร้างแล้วเสร็จรวมระยะทาง 29.19 กิโลเมตร และเปิดให้บริการแก่ประชาชนไปแล้ว ยังคงเหลือ ตอน บ.หัวดอย – บ.ใหม่มงคล เป็นช่วงสุดท้าย มีจุดเริ่มต้นที่ กม.0+000 ของทางหลวงหมายเลข 1152 บริเวณบ้านหัวดอย ตำบลท่าสาย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย และสิ้นสุดที่ กม.19+000 บ.ผางาม ต.ผางาม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย รวมระยะทาง 19 กิโลเมตร 
 
 
มีลักษณะการก่อสร้างเป็นแนวทางตัดใหม่และตามแนวทางหลวงหมายเลข 1152 เดิมมีขนาด 2 ช่องจราจร (ไป – กลับ) เป็นแบบมาตรฐานทางชั้นพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจร (ไป – กลับ) ช่องจราจรกว้าง 3.50 เมตร ผิวจราจรและไหล่ทางแบบแอสฟัลต์คอนกรีต แบ่งทิศทางการจราจรแบบเกาะร่องและเกาะกลางแบบยก พร้อมทั้งก่อสร้างสะพานข้ามหนองหลวง จำนวน 2 แห่ง ขนาดความยาว 870 เมตร ความกว้าง 11 เมตร และทางเท้ามีความกว้าง 2.75 เมตร ตลอดแนว ทั้งสองฝั่ง นับเป็นสะพานที่ยาวที่สุดของภาคเหนือที่มีการออกแบบและก่อสร้างจุดจอดรถบริเวณด้านล่างสะพาน พร้อมทางเดินไปจุดเชื่อมต่อขึ้นบันไดไปบนสะพานเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน สามารถเดิน – วิ่งออกกำลังกาย หรือปั่นจักรยาน อีกทั้งเป็นจุดชมทัศนียภาพของนักท่องเที่ยวสร้างมูลค่าต่อท้องถิ่นอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน ทางโครงการฯ ได้ดำเนินการติดตั้งป้ายจราจร ป้ายเตือนต่างๆ รวมทั้งไฟฟ้าแสงสว่างตลอดสายทาง วงเงินงบประมาณ 1,088,088,000 บาท
 
 
ปัจจุบันโครงการได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดใช้บริการให้แก่ประชาชนตลอดสายทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมและการขนส่งในภาคเหนือ ลดระยะเวลาในการเดินทาง สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่การค้าการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่งระหว่างจังหวัดเชียงราย – สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 สู่ประเทศเพื่อนบ้าน (R3A) ไทย – สปป.ลาว – สาธารณรัฐประชาชนจีน (คุณหมิง) และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุลดลง 23% เดือนพฤษภาคม 66

 

กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม โดยสำนักอำนวยความปลอดภัย ได้สรุปรายงานข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศประจำเดือนพฤษภาคม 2566 จากการรายงานอุบัติเหตุทางระบบ HAIMS พบว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางหลวงในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จำนวน 1,197 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 178 คน ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 1,019 คน จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุ 1,829 คัน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของกรมทางหลวงเสียหายประมาณ 12 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุประจำเดือนพฤษภาคม 2565 จำนวนอุบัติเหตุลดลงจากปีที่ผ่านมา 23% 

 – ผู้เสียชีวิตลดลง 1% 

 – บาดเจ็บลดลง 7% 

 – จำนวนรถที่เกิดอุบัติเหตุลดลง 19% 

 

ซึ่งสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุมาจากผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกำหนด 68% (818 ครั้ง) รองลงมาได้แก่ หลับใน 8% (90 ครั้ง) และการตัดหน้าระยะกระชั้นชิด 7% (88 ครั้ง) สำหรับอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง 65% (775 ครั้ง) ทางโค้ง 11% (137 ครั้ง) และทางแยกระดับเดียวกัน 6% (75 ครั้ง) 

ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ 

1.รถปิคอัพบรรทุก 4 ล้อ42% (759 คัน) 

2.รถยนต์นั่ง 25% (454 คัน) 

3.รถจักรยานยนต์ 10% (188 คัน) 

4.รถบรรทุกมากกว่า 10 ล้อ (รถพ่วง) 10% (177 คัน) 

 

ซึ่งหากจำแนกตามภาคของการเกิดอุบัติเหตุพบว่าเส้นทางในภาคเหนือเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 20% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16% และภาคตะวันออก 16% นอกจากนี้ ทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ทางหลวงหมายเลข 7 แขวงคลองสองต้นนุ่น – พิมพา กรุงเทพมหานคร จำนวน 46 ครั้ง  

 

        ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้มีมาตรการแก้ไขที่ได้ดำเนินการร่วมกับตำรวจทางหลวงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะทุกประเภทที่วิ่งบนทางหลวงพร้อมทั้งให้แขวงทางหลวงดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยถนน ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้ง ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางโปรดขับขี่ด้วยความระมัดระวัง พักผ่อนให้เพียงพอและตรวจเช็คสภาพรถก่อนการเดินทางทุกครั้ง  เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ร่วมทางรวมถึงป้องกันและลดอุบัติเหตุให้ได้ประสิทธิผลอีกด้วย  


     หากประชาชนผู้ใช้ทางต้องการแจ้งอุบัติเหตุหรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตำรวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News