Categories
NEWS UPDATE

เตรียมตัวให้พร้อม กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังร้านปิด” มีผลบังคับใช้ 8 พ.ย. 68

กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังเวลาขาย” เริ่มใช้ 8 พ.ย. 2568 ปรับเป็นพินัยสูงสุด 10,000 บาท—ธุรกิจ-ผู้บริโภคปรับตัวอย่างไร

ประเทศไทย, 16 กันยายน 2568 – หลังถกเถียงยืดเยื้อเรื่องการ “ปลดล็อกเวลา” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทยก้าวสู่หมุดหมายกฎหมายครั้งสำคัญเมื่อ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้เมื่อครบ 60 วัน นับแต่ 9 กันยายน 2568 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 โดยสาระใหม่ที่จับตาคือ ห้ามผู้บริโภคดื่มในสถานที่เชิงพาณิชย์ระหว่างเวลาห้ามขาย” ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สะท้อนทิศทางการคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มขึ้นและไปกระทบพฤติกรรม “นั่งแช่” โดยตรง.

เส้นเวลาและภาพรวมกฎหมาย “รีเซ็ต” โครงสร้างกำกับ แต่ยังคงช่วงเวลาห้ามขาย

กฎหมายฉบับใหม่ปรับโครงสร้างอำนาจกำกับหลายส่วน ยืนยันกรอบเวลาห้ามขายตามกฎหมายแม่ปี 2551 และกฎรองที่ออกตามอำนาจเดิม ขณะเดียวกันยัง ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 (พ.ศ. 2515) ที่เคยเป็นฐานเวลาห้ามขายยุคแรก เพื่อทำให้กฎหมายเป็นเอกภาพและทันสมัยขึ้น แต่ “แกนเวลา” ไม่ได้คลายอัตโนมัติ เพราะภาครัฐยืนยันว่า ยังคงใช้ข้อกำหนดเวลาห้ามขายเดิม ตามประกาศนายกรัฐมนตรีและคำสั่งกฎหมายลูกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน.

ประเด็น “ปลดล็อกขายเวลา 14.00–17.00 น.” ที่แพร่ในสื่อสังคม ได้รับการยืนยันว่าเป็นข้อมูลบิดเบือน โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ชี้ชัดว่าไทยยังห้ามขายในช่วงเวลาดังกล่าว (ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย) ภายใต้อำนาจตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. ปี 2551 และประกาศนายกรัฐมนตรีฉบับล่าสุด.

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวของรัฐบาลสรุปสาระสำคัญของประกาศนายกรัฐมนตรีเรื่องเวลาห้ามขายและ กลุ่มกิจการ/พื้นที่ที่ “ได้รับยกเว้น” รวม 18 ประเภท เช่น เขตปลอดอากร ร้านปลอดภาษีในสนามบิน หรือพื้นที่ที่กฎหมายเฉพาะอนุญาต—ข้อมูลนี้ยังคงมีผลหลัง 8 พ.ย. 2568 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง.

หัวใจฉบับใหม่ “ห้ามดื่มในเวลาห้ามขาย” โฟกัสที่ผู้บริโภค

มาตรา 32 (ใหม่) กำหนดชัดว่า “ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขาย/จัดบริการเพื่อประโยชน์ทางการค้า ในเวลาห้ามขาย” จากเดิมที่กฎหมายเน้นควบคุม “ผู้ขาย” เป็นหลัก จึงอุดช่องว่างสถานการณ์ “ร้านปิด แต่ลูกค้ายังนั่งดื่มต่อ” ให้กลายเป็นความผิดโดยตรงในฝั่งผู้บริโภค.

ในแง่บทลงโทษ มาตรา 37/1 (ชุดบทบัญญัติใหม่) ระบุให้ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัย” ไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการทางปกครอง ไม่ใช่คดีอาญา จุดมุ่งหมายคือสร้างวินัยและยับยั้งพฤติกรรมรวดเร็ว ลดภาระกระบวนการยุติธรรม แต่ยังคงน้ำหนักทางกฎหมายเพียงพอให้เกิดการปฏิบัติตาม

สรุปให้ชัด: หลังร้านหยุด “ขาย” ตามเวลาห้ามขายแล้ว ลูกค้า ก็ห้าม “ดื่ม” ในพื้นที่ร้านด้วย การ “นั่งแช่” จึงเสี่ยงถูกเปรียบเทียบปรับทันทีเมื่อกฎหมายมีผลใช้.

ทำไมต้องเข้มขึ้น บทเรียนจากโซเชียลคอสต์และความเสี่ยงสาธารณสุข

หลายงานวิชาการชี้ว่า การจำกัดเวลาขายและลดการบริโภคในช่วงดึกสัมพันธ์กับการลดอุบัติเหตุ อาชญากรรม และภาระสาธารณสุข ตลอดจนความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากแอลกอฮอล์ โดยแนวโน้มการปฏิรูปในต่างประเทศก็เดินในทิศทางเดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุผลเชิงนโยบายที่ไทยเลือก “ย้ายแรงกดดัน” มาฝั่งพฤติกรรมผู้ดื่มในช่วงเวลาเสี่ยง แทนที่จะรับภาระไว้กับผู้ประกอบการเพียงด้านเดียว.

บทสะท้อนจากพื้นที่ท่องเที่ยว ช่วงไฮซีซันต้องจัดระเบียบใหม่

ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ที่พึ่งพายอดขายช่วงหัวค่ำถึงดึก ต้องปรับกระบวนการ ตั้งแต่กำหนด “Last order” ให้ชัด, ปิดบิลก่อนเวลาห้ามขาย, และ ยุติการดื่มในพื้นที่ร้าน ให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้าเผลอทำผิดโดยไม่เจตนา การชี้แจงหน้าร้าน/ในเมนู รวมถึงการฝึกพนักงานจึงเป็น “เส้นเลือดฝอย” สำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่.

ภาคธุรกิจบางส่วนมองว่า รายได้จากลูกค้ากลุ่ม “นั่งยาว” อาจหายไปบ้าง แต่หากสื่อสารและออกแบบประสบการณ์การรับประทานอาหาร เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ หรือกิจกรรมทางเลือกในชั่วโมงท้าย ๆ ก็อาจ แปลงความเสี่ยงเป็นโอกาส โดยเฉพาะร้านที่มีจุดขายเรื่องอาหาร บริการ และดนตรีสดคุณภาพ

กลไกการบังคับใช้ “พนักงานเจ้าหน้าที่” เดินคู่สื่อสารสาธารณะ

การบังคับใช้หลักยังอยู่กับ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกฎหมายใหม่ เพิ่มเครื่องมือทางปกครอง (เช่น การสั่งปรับเป็นพินัย) ควบคู่กับมาตรการด้านโฆษณา/การสื่อสารการตลาดที่เข้มขึ้น ทั้งหมดนี้อาศัยการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน เพื่อลดความสับสนจากข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อสังคม—กรณี “ปลดล็อก 14.00–17.00 น.” คือบทเรียนล่าสุดที่รัฐต้องชี้แจงอย่างเป็นระบบ.

ผลกระทบเป็นวงกว้าง ผู้บริโภครับภาระ “ความรับผิดชอบส่วนบุคคล” มากขึ้น

สำหรับผู้ดื่ม กฎหมายใหม่ เลื่อนจุดรับผิดชอบ มาอยู่กับพฤติกรรมบุคคลอย่างชัดเจน ต่อไปนี้การ “นั่งดื่มต่อ” หลังร้านหยุดขาย ไม่ใช่เพียงเรื่องมารยาทหรือระเบียบภายใน แต่เป็น ความผิดตามกฎหมาย ที่มีค่าปรับชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรู้เวลาและ หยุดดื่มให้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย ขณะที่สำหรับผู้ค้าปลีก การวางระบบหน้าร้าน และการประชาสัมพันธ์ คือกุญแจ ให้ลูกค้าเข้าใจและร่วมมือ

“10 คำถามยอดฮิต” ที่ควรรู้ก่อนกฎหมายมีผล

  1. เริ่มบังคับใช้เมื่อใด8 พ.ย. 2568 (ครบ 60 วันจาก 9 ก.ย. 2568).
  2. ห้ามอะไรเพิ่ม – ห้าม “ดื่มในเวลาห้ามขาย” ในสถานที่เชิงพาณิชย์ เช่น ร้านอาหาร บาร์ ผับ คาราโอเกะ ฯลฯ.
  3. ถ้าฝ่าฝืนปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้บริโภคตามมาตรา 37/1. Multi DOPA
  4. ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. ขายได้หรือไม่ – โดยหลัก ยังห้ามขาย ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายและประกาศนายกรัฐมนตรี.
  5. ร้านปิดบิลทันเวลา แต่ลูกค้ายังจิบ – เมื่อเข้า “เวลาห้ามขาย” แล้ว ห้ามดื่มต่อในพื้นที่ร้าน เพื่อไม่ให้เข้าข่ายความผิดของผู้บริโภค.
  6. สนามบิน/ดิวตี้ฟรี/เขตปลอดอากร – อยู่ในกลุ่ม “ได้รับยกเว้น” ตามเงื่อนไขประกาศที่ยังมีผล.
  7. มีการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ 253 จริงหรือไม่ – จริง แต่โครงสร้างเวลาห้ามขายยังอยู่ผ่านกฎหมาย/ประกาศที่ใช้บังคับปัจจุบัน.
  8. โฆษณา/การตลาดเข้มขึ้นอย่างไร – ฉบับใหม่เพิ่มข้อห้ามและอำนาจกำกับด้านสื่อสารการตลาดมากขึ้น รายละเอียดจะตามกฎหมายลูก.
  9. ใครบังคับใช้ – พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ปี 2551–2568 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานตำรวจในทางปฏิบัติเมื่อจำเป็น.
  10. ธุรกิจควรทำอะไรทันที – ปรับ SOP เวลา “Last order/เคลียร์โต๊ะ”, ป้ายแจ้งลูกค้า, อบรมพนักงาน,

คืนสุดท้ายก่อนยุคใหม่

ลองนึกภาพเย็นศุกร์ย่านท่องเที่ยวเหนือสุด—เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ก่อนพนักงานเดินมาบอกรอบสุดท้าย “อีกสิบนาทีเข้าช่วงห้ามขายนะคะ” ลูกค้าบางโต๊ะยกมือขอเช็กบิล ขณะอีกโต๊ะเปลี่ยนเป็นม็อกเทลและของหวาน ร้านเปิดเพลงช้าลง แต่บรรยากาศยังคลอด้วยบทสนทนา กฎหมายไม่ได้ปิดไฟเมือง แต่ชวนทุกฝ่าย ขยับจังหวะ ให้พอดีกับกรอบกติกาใหม่ เมืองยังสนุกได้—อย่างรับผิดชอบ

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์

  • ผู้ประกอบการ: ทำ “คู่มือ 1 หน้า” ติดหน้าร้าน อธิบายเวลาห้ามขาย/ห้ามดื่ม และขั้นตอนเคลียร์โต๊ะ ฝึกทีมงานให้สื่อสารสุภาพแต่ชัดเจน
  • ผู้บริโภค: วางแผนการดื่มตามเวลา แปลง “ชั่วโมงท้าย” เป็นของหวาน/เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
  • ภาครัฐ: สื่อสารสม่ำเสมอ ลดความสับสน และจัดทำ FAQ กลางหลายภาษาในพื้นที่ท่องเที่ยว พร้อมประเมินผลหลังบังคับใช้ 3–6 เดือน

 

นี่ไม่ใช่เพียงการขยับถ้อยคำในกฎหมาย แต่คือการ ย้ายสมดุลความรับผิดชอบ จากผู้ขายมาสู่ผู้บริโภคในชั่วโมงเสี่ยง เป็นการ “รีเซ็ตมารยาทสังคม” เชื่อมเศรษฐกิจท่องเที่ยวกับสาธารณสุขให้เดินไปด้วยกัน เมื่อ 8 พ.ย. 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ราชกิจจานุเบกษา: พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 – ประกาศ 9 ก.ย. 2568, มีผลหลัง 60 วัน.
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (สำนักนายกรัฐมนตรี/กระทรวงดิจิทัลฯ)
  • iLaw
  • สำนักงานกฎหมาย/ราชการที่เผยแพร่สรุปกฎหมาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ชาวบ้านคัดค้านกฎหมายป่าใหม่ กระทบวิถีชีวิตรัฐบาลต้องฟังเสียง

ชาวบ้านรวมตัวคัดค้าน พ.ร.ฎ. ป่าอนุรักษ์กว่า 5,000 คน ชุมนุมศาลากลางเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ‘สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า’ (สชป.) พร้อมชาวบ้านกว่า 5,000 คนรวมตัวแสดงพลังคัดค้านการออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยยื่นหนังสือเรียกร้องต่อ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ผู้แทนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 1.8 ล้านคนที่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ

ประเด็นปัญหาและข้อเรียกร้อง

นายวิชิต เมธาอนันต์กุล ผู้แทน สชป. ระบุว่า พ.ร.ฎ. ดังกล่าวมีข้อบัญญัติหลายมาตราที่กระทบสิทธิชุมชน เช่น

  • มาตรา 5: จำกัดการอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์เพียง 20 ปี ขัดต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน
  • มาตรา 10: กำหนดพื้นที่ใช้ประโยชน์ครัวเรือนละไม่เกิน 40 ไร่
  • มาตรา 11: ผู้มีสิทธิต้องไม่มีที่ดินนอกเขตอุทยานฯ ส่งผลต่อครอบครัวที่มีที่ดินหลายแห่ง

ทั้งนี้ สชป. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการ 4 ประการ ได้แก่

  1. ยุติการประกาศใช้ พ.ร.ฎ. ทั้งสองฉบับ
  2. จัดตั้งคณะทำงานรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์
  3. แก้ไข พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้อง โดยมีส่วนร่วมจากชุมชน
  4. ชะลอการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 23 แห่ง

การเจรจาและผลสรุป

หลังการยื่นหนังสือ ผู้แทนรัฐบาล นำโดย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ได้เจรจากับแกนนำผู้ชุมนุม โดยมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลรับหลักการทั้ง 4 ข้อ และจะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต่อไป

สมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ชี้แจงว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาที่ชาวบ้านเผชิญ และพร้อมปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน

ปฏิกิริยาหลังเจรจา

หลังจากเจรจาเสร็จสิ้น แกนนำ สชป. ได้อ่านแถลงการณ์ยืนยันเจตนารมณ์และแจกบันทึกข้อตกลงแก่ผู้ชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนในชุมชนติดตามและร่วมผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง

จุดเริ่มต้นสำคัญ

การชุมนุมครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการขับเคลื่อนปัญหาสิทธิชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ โดยผู้แทน สชป. ได้เน้นย้ำให้ประชาชนร่วมมือกันต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : lannernews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ออสเตรเลียแบนโซเชียลเด็กต่ำกว่า 16 ควบคุมด้วยค่าปรับมหาศาล”

รัฐบาลออสเตรเลียเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี พร้อมค่าปรับสูงถึง 49.5 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศ Reuters รายงานว่า รัฐบาลฝ่ายซ้ายกลางของออสเตรเลียได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ต่อรัฐสภา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยมีบทลงโทษสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ละเมิดกฎหมาย ด้วยค่าปรับสูงสุดถึง 49.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท

แผนการยืนยันอายุที่เข้มงวดที่สุด

รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนทดลองใช้ ระบบยืนยันอายุ ที่อาจรวมถึงการใช้ข้อมูลทางชีวภาพ เช่น การสแกนนิ้ว หรือ การยืนยันด้วยข้อมูลจากรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์สามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้ ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ที่สำคัญ กฎหมายดังกล่าวกำหนดเกณฑ์อายุไว้ที่ 16 ปี โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเยาวชนที่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือเยาวชนที่มีบัญชีใช้งานอยู่ก่อนแล้ว

ส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มหลัก

มาตรการใหม่นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น อินสตาแกรม (Instagram) และ เฟซบุ๊ก (Facebook) ของบริษัทเมตา (Meta) รวมถึง ติ๊กต็อก (TikTok) ของไบต์แดนซ์ (ByteDance), X ของอีลอน มัสก์ และ สแนปแชท (Snapchat) โดยกฎหมายจะกำหนดให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ต้องมีมาตรการยืนยันอายุและป้องกันการเข้าถึงของเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี

ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความปลอดภัย

นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี กล่าวว่า การใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไปสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเยาวชน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่อาจได้รับผลกระทบจากเนื้อหาเกี่ยวกับรูปร่างและความงามที่เป็นอันตราย และเด็กผู้ชายที่อาจเผชิญกับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังต่อเพศหญิง

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรียืนยันว่า เด็ก ๆ ยังคงสามารถใช้งานแอปพลิเคชันส่งข้อความ เกมออนไลน์ และบริการเพื่อการศึกษา เช่น Headspace, Google Classroom และ YouTube ได้ตามปกติ

กฎหมายที่ยุติธรรมและปกป้องความเป็นส่วนตัว

รัฐบาลเน้นย้ำว่ากฎหมายนี้ไม่ได้มุ่งลงโทษเด็กหรือผู้ปกครอง แต่เป็นการกำหนดมาตรฐานสำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อให้มีมาตรการยืนยันอายุที่เหมาะสม พร้อมทั้งกำหนดข้อบังคับด้านความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด เช่น การกำหนดให้แพลตฟอร์มทำลายข้อมูลที่รวบรวมไว้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้

เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ

การเสนอกฎหมายของออสเตรเลียครั้งนี้ถือว่าเข้มงวดที่สุดในโลก โดยกำหนดอายุขั้นต่ำที่ 16 ปี ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส ที่เคยเสนอจำกัดอายุการใช้งานโซเชียลมีเดียไว้ที่ 15 ปีเมื่อปีที่ผ่านมา และ สหรัฐอเมริกา ที่มีการขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีมานานหลายทศวรรษ

เสียงสะท้อนและความร่วมมือจากฝ่ายต่าง ๆ

พรรคฝ่ายค้านในออสเตรเลียสนับสนุนร่างกฎหมายนี้อย่างเต็มที่ ในขณะที่พรรคกรีนและกลุ่มอิสระเรียกร้องให้รัฐบาลให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมาย

ในส่วนของผู้ประกอบการ นาย นีล ฟาร์มิโล เจ้าของร้านอาหาร Kiwi Kitchen ในเมืองวังเวียง ประเทศลาว ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม กล่าวว่า แม้การใช้มาตรการเหล่านี้อาจสร้างความกังวลในช่วงแรก แต่เขาหวังว่าจะช่วยปกป้องเยาวชนในระยะยาว

สรุป

การเสนอกฎหมายแบนโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีของออสเตรเลียเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องเยาวชนจากผลกระทบด้านลบของการใช้งานโซเชียลมีเดีย แม้จะมีความท้าทายในการดำเนินการ แต่เป้าหมายของรัฐบาลคือการสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางจิตใจสำหรับเด็กและเยาวชนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Reuters

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ครม.ไฟเขียวร่างกฎหมายใหม่ ปลดล็อกที่ดินทำกินในอุทยานฯ

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ ที่เสนอโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้แถลงข่าวหลังการประชุม

สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับ

ร่างพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับนี้ประกอบด้วย:

  1. ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562
  2. ร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 ของ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562

ร่างพระราชกฤษฎีกาเหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่ออนุญาตให้ประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ดังกล่าวก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ โดยรัฐไม่ได้ให้สิทธิ์ในที่ดิน แต่ให้สามารถอยู่อาศัยและทำกินได้อย่างถูกกฎหมาย พร้อมกับมีหน้าที่ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้น ๆ

การอนุญาตให้ใช้ที่ดินทำกิน

ครม. ได้กำหนดให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในระยะเวลา 20 ปี โดยจะมีการกำหนดเขตที่อยู่อาศัยและที่ทำกินให้ชัดเจน โดยไม่ขยายพื้นที่เพิ่มเติม

พื้นที่ที่ครอบคลุมภายใต้โครงการนี้ ได้แก่:

  • อุทยานแห่งชาติ จำนวน 4 แห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว (เพชรบูรณ์) และอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ (จันทบุรี)
  • เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จำนวน 1 แห่ง เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง (เพชรบูรณ์)
  • เขตห้ามล่าสัตว์ป่า จำนวน 1 แห่ง เช่น เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ (ลพบุรี)

การช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่

สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ จะได้รับการสำรวจสิทธิ์โดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งกำหนดให้แต่ละครอบครัวถือครองที่ดินไม่เกิน 20 ไร่ และหากมีครัวเรือนร่วมทำกิน จะถือครองได้ไม่เกิน 40 ไร่ ทั้งนี้ การโอนสิทธิ์หรือยินยอมให้บุคคลภายนอกเข้าใช้ที่ดินไม่ได้

การปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายภูมิธรรม เวชยชัย ระบุว่าครม. ได้มอบหมายให้ คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมมือกันจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามและทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้มีความยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเสริมว่า ร่างพระราชกฤษฎีกานี้เป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่อาศัยและทำกินได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ละเมิดกฎหมาย

ความสำคัญของการแก้ไขกฎหมาย

นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้กล่าวถึงหลักการสำคัญในการแก้ไขกฎหมายนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถทำมาหากินในพื้นที่ป่าโดยไม่ถือเป็นความผิดทางอาญาอีกต่อไป พร้อมทั้งย้ำว่าการแก้ไขครั้งนี้เป็นการช่วยบรรเทาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายเดิม

“เป้าหมายสำคัญคือให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าอย่างมีความสุขและถูกต้องตามกฎหมาย” นายปกรณ์กล่าวทิ้งท้าย พร้อมเน้นว่าการแก้ไขกฎหมายนี้จะช่วยสร้างความเป็นธรรมและลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีต

สรุปผลการประชุม

ครม. ได้เห็นชอบให้ดำเนินการตามร่างพระราชกฤษฎีกา 2 ฉบับนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสนับสนุนการใช้ที่ดินทำกินอย่างยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของชุมชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE