Categories
ECONOMY

วิกฤตภาษีสหรัฐฯ ผู้ว่าฯ ธปท. เตือน SME เร่งปรับตัว

ประเทศไทยเผชิญพายุภาษีสหรัฐฯ มุมมองผู้ว่าการแบงก์ชาติและทางออกเพื่ออนาคต

กรุงเทพฯ, 12 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ ในงาน “Meet the Press: ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน ครั้งที่ 1/2568” เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจไทยท่ามกลาง “พายุ” ทางเศรษฐกิจ พร้อมนำเสนอแนวทางรับมือที่เน้นความยั่งยืนและการปรับโครงสร้างเพื่ออนาคต

ความไม่แน่นอนจากพายุภาษีสหรัฐฯ

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย นโยบายนี้สร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลก โดย ดร.เศรษฐพุฒิ เปรียบสถานการณ์นี้เป็น “พายุ” ที่อาจกินเวลานานและไม่คลี่คลายง่าย ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ จะเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีออกไป 90 วัน แต่การเจรจากับหลายประเทศที่มีจำนวนมากทำให้มองเห็นความท้าทายในการหาข้อสรุปที่ชัดเจน

“พายุลูกนี้จะใช้เวลานาน ไม่น่าจะจบเร็ว การเจรจาคงไม่ง่าย และอาจไม่จบลงด้วยดีในทุกกรณี” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวในงานแถลงข่าว

ผลกระทบจากมาตรการภาษีนี้คาดว่าจะเริ่มชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 โดยจุดต่ำสุดของผลกระทบอาจอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าผลกระทบในครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าวิกฤตโควิด-19 หรือวิกฤตการเงินปี 2540 แต่ก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากความลึกและระยะเวลาของผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยและความเปราะบางของ SME

ธปท. ประเมินว่ามี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับผลกระทบหนักจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในปริมาณสูง ได้แก่:

  1. เครื่องใช้ไฟฟ้า
  2. ยานยนต์และชิ้นส่วน
  3. ยางล้อ
  4. อาหารแปรรูป
  5. อิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่อเนื่องไปยังสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังจีนหรือเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่มุ่งสู่สหรัฐฯ

อีกหนึ่งความกังวลสำคัญคือการที่สินค้าจากต่างประเทศอาจ “ทะลัก” เข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด เนื่องจากสินค้าราคาถูกจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย

“การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจกระทบ SME ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ภาครัฐควรใช้มาตรการทางการค้า เช่น การตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว

นโยบายการเงินและการคลังที่ต้องแม่นยำ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพื่อรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบจากพายุภาษีในขั้นต้น แต่หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด ธปท. พร้อมทบทวนนโยบายเพิ่มเติม

“กระสุนทั้งฝั่งนโยบายการเงินและการคลังมีจำกัด ต้องใช้อย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ดร.เศรษฐพุฒิ เน้นย้ำ

ในด้านนโยบายการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. แนะนำว่ารัฐบาลควรหลีกเลี่ยงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “ปูพรม” เช่น การแจกเงินผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากผลกระทบจากพายุภาษีมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน การกระตุ้นการบริโภคอาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงินไปยังสินค้านำเข้า ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดดุลการค้า

“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตควรได้รับการทบทวนในแง่ความคุ้มค่าและประสิทธิผล โดยเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น สินค้าต่างชาติที่อาจทะลักเข้ามา” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชื่นชมรัฐบาลที่รับฟังข้อเสนอของ ธปท. และยอมทบทวนโครงการดังกล่าว

ในส่วนของมาตรการเฉพาะเจาะจง ธปท. สนับสนุนการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น SME ในอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องออกแบบให้ตรงจุดและไม่ครอบคลุมกว้างเกินไป เพื่อป้องกันการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

โอกาสท่ามกลางวิกฤตและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่าพายุภาษีสหรัฐฯ เป็นโอกาสให้ประเทศไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว หากประเทศไทยยังยึดติดกับรูปแบบการเติบโตแบบเดิม เช่น การพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรหรืออุตสาหกรรมหนัก อาจทำให้การเติบโตชะลอตัวลงในอนาคต การปรับตัวในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม

หนึ่งในแนวทางที่ผู้ว่าการ ธปท. เสนอคือการยกระดับภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เน้นมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมสูงวัยทั้งในไทยและทั่วโลก ตลาดนี้มีศักยภาพเติบโตสูงและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ของประเทศ

“ในช่วงที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง การทำธุรกิจที่ ‘ขาวสะอาด’ มีความสำคัญ การพัฒนากาสิโนอาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดู ‘สีเทา’ ซึ่งไม่เหมาะสมในบริบทปัจจุบัน” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชี้ว่า การพัฒนาศูนย์สุขภาพจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าและสอดคล้องกับจุดแข็งของไทย

นอกจากนี้ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การลงทุนในเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว โครงการอย่าง “Financial Landscape” และ “Open Data” ที่ ธปท. กำลังผลักดัน จะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน

ความท้าทายในอนาคตการเปลี่ยนผ่านผู้ว่าการ ธปท.

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุภาษีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ ดร.เศรษฐพุฒิกำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ในวันที่ 30 กันยายน 2568 การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากผู้ว่าการคนใหม่จะต้องรับมือกับความท้าทายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการประสานงานกับรัฐบาลที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน

คณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. นำโดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน 2568 ผู้สมัครที่มีศักยภาพ ได้แก่:

  1. ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ผู้มีประสบการณ์ยาวนานในนโยบายการเงินและการพัฒนาภูมิทัศน์ทางการเงิน
  2. ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และตลาดทุน
  3. ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ผู้มีประสบการณ์บริหารทั้งในภาครัฐและเอกชน
  4. ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อบาคัส ดิจิทัล ผู้มีเครือข่ายทางการเมืองและประสบการณ์ในวงการการเงิน
  5. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ อดีตรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการวิจัย
  6. ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ผู้มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติ

การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของไทยในช่วงเวลาที่ท้าทาย ผู้ว่าการคนใหม่จะต้องมีความสามารถในการประสานงานกับรัฐบาล ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นอิสระของ ธปท. เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบจากพายุภาษีสหรัฐฯ และสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ:
    • ในปี 2567 การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 17% ของการส่งออกทั้งหมด
    • อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 2.2% ของ GDP ประเทศไทย
    • แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  2. ผลกระทบต่อ SME:
    • SME ในประเทศไทยมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด แต่มีเพียง 30% ที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นทางการ
    • การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจทำให้ SME ในภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดถึง 20-30%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  3. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย:
    • อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ถูกปรับลด 2 ครั้งในปี 2568 จาก 2.50% เหลือ 2.00%
    • การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  4. หนี้ครัวเรือน:
    • หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2567 อยู่ที่ 90.8% ของ GDP ลดลงเล็กน้อยจาก 91.3% ในปี 2566
    • โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีผู้เข้าร่วมกว่า 500,000 ราย ณ เดือนเมษายน 2568
    • แหล่งอ้างอิง: ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

พายุภาษีสหรัฐฯ เป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปี 2568 แต่ก็เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่แม่นยำ การปกป้อง SME จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการลงทุนในภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าพายุครั้งนี้ไปได้

สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ แนะนำให้ติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน ส่วนรัฐบาลและ ธปท. ควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เหนือ-อีสานหนัก ร้านอาหาร ยอดขายหาย 50% เร่งรัฐบาลแก้

 

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้ออกมาเปิดเผยถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อของรัฐบาล โดยเรียกร้องให้มีการลงรายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีเพียงนโยบายที่กล่าวถึงในเชิงทั่วไป และยังขาดรายละเอียดเชิงลึกที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถเข้าใจและปรับตัวได้

นางฐนิวรรณแสดงความเห็นว่า ภาคธุรกิจเอสเอ็มอียังคงเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีธุรกิจจากต่างชาติเข้ามาแข่งกับคนไทย เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ภาคธุรกิจภายในประเทศได้รับผลกระทบอย่างมาก เธอเรียกร้องให้รัฐบาลควรมีการรับฟังเสียงของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย

3 ประเด็นเร่งด่วนที่ภาคธุรกิจร้านอาหารต้องการให้รัฐบาลดำเนินการ

  1. ทบทวนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ:
    นางฐนิวรรณระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยต้องดำเนินการตามกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี เนื่องจากการขึ้นค่าแรงทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้อาจส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็กต้องรับภาระหนักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา การขึ้นค่าแรงจึงควรพิจารณาตามบริบทเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละพื้นที่
  2. ลดหรือตรึงค่าพลังงาน:
    ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้า นางฐนิวรรณเสนอว่ารัฐบาลควรพิจารณามาตรการในการลดหรืออย่างน้อยควรตรึงราคาพลังงาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้กับผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้
  3. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567-2568:
    นางฐนิวรรณชี้ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณที่รวดเร็วจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจร้านอาหาร การที่รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น

สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารยังซบเซา

นางฐนิวรรณเปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจร้านอาหารยังคงประสบปัญหาด้านกำลังซื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรวมยอดขายของร้านอาหารไม่ถึง 50% ในบางจังหวัด เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานการณ์แย่ลงมากยิ่งขึ้น สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ต่ำลง ผู้ประกอบการหวังว่ารัฐบาลจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ที่คาดว่าจะเริ่มในเดือนกันยายนนี้

นางฐนิวรรณยังได้เสนอให้รัฐบาลกำหนดให้ผู้ได้รับเงินดิจิทัลสามารถใช้จ่ายเงินนี้ในร้านอาหารได้ เพื่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและเป็นการฟื้นฟูกำลังซื้อในภาคธุรกิจร้านอาหาร

ความคาดหวังต่อมาตรการรัฐบาล

นางฐนิวรรณกล่าวปิดท้ายว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการที่สามารถบรรเทาผลกระทบในด้านค่าแรงและต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ การสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นกลุ่มใหญ่ในภาคเศรษฐกิจจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

สรุปสถานการณ์:
นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในเดือนตุลาคมนี้อาจจะซ้ำเติมธุรกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่ละเอียดและชัดเจนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อให้สามารถฟื้นฟูและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เชียงรายเชื่อม SME เหนือ สู่ตลาด รัฐ-เอกชน THAI SME-GP Road Show

 
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 67 ที่ห้องประชุม อาคารคชสาร องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน THAI SME-GP Road Show จ.เชียงราย มุ่งขยายโอกาส SME พื้นที่ภาคเหนือตอนบนเข้าสู่ตลาดภาครัฐ โดยมี ดร.อภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ( สสว.) กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ผู้เข้าร่วมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมงาน

 

นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวว่า จังหวัดเชียงรายรวมถึงกลุ่ม จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน น่าน พะเยา และ แพร่ เป็นพื้นที่ที่มี SME เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างการเติบโตและพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ โดยเพาะเชียงรายเป็นหนึ่งใน จังหวัดศูนย์กลางทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของภูมิภาค โดยมี SME จำนวน 65,128 กิจการ เกิดการ จ้างงาน 173,686 คน ที่สำคัญมีส่วนในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในกิจการที่เป็นนิติบุคคล คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 59,941 ล้านบาท

 

ในส่วนของตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ จังหวัดเชียงราย ยังเป็นศูนย์รวมของผู้ซื้อภาครัฐ ที่มีทั้งส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา ฯลฯ จำนวน 1,062 หน่วย ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ มีการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการรวมมูลค่าถึง 10,757 ล้านบาท ซึ่งร้อยละ 48.5 เป็นการจัดซื้อจัดจ้างจาก SME ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ THAI SME-GP ของ สสว.

 

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้ซื้อ ได้พบกับ SME ที่เป็นผู้ขายสินค้าและบริการ จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้ SME สามารถขยายโอกาสเข้าสู่ตลาดภาครัฐได้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่หน่วยงานได้มีโอกาสเพิ่มพูนความรู้ เพื่อช่วยให้การทำงานด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพในการร่วมส่งเสริม สนับสนุน SME ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ต่อไป

 

ด้าน ดร.อภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า ตามที่ สสว. ได้ร่วมกับกรมบัญชีกลาง ดำเนินมาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ภายใต้กฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับ ที่ 2) พ.ศ.2563 ซึ่งเริ่มดำเนินการนับตั้งแต่ปลายปี 2563 เป็นต้นมา เพื่อสร้างโอกาสให้ SME เข้าสู่ตลาดภาครัฐที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 1.2-1.5 ล้านล้านบาทต่อปี โดยมาตรการ THAI SME-GP เป็นการให้สิทธิประโยชน์กับ SME ในรูปแบบของแต้มต่อในการแข่งขัน ซึ่ง SME ที่ขึ้นทะเบียน THAI SME-GP กับ สสว. โดยจะได้รับแต้มต่อไม่เกินร้อยละ 10 และหากผู้ประกอบการ THAI SME-GP ขายสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จะได้รับแต้มต่อไม่เกินร้อยละ 15 นอกจากนี้การจัดซื้อจัดจ้างที่มีวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ประกอบการ SME เป็นลำดับแรกก่อน

 

สำหรับพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ตัวเลข ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 มี SME ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ THAI SME-GP จำนวน 2,997 ราย ในปี 2566 SME ที่ขึ้นทะเบียน ได้เป็นคู่ค้าภาครัฐจำนวน 1,548 ราย รวมมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้าง 7,453 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อจัดจ้างจากหน่วยงานของรัฐใน พื้นที่เชียงราย คิดเป็นร้อยละ 41.04 และจากพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ คิดเป็นร้อยละ 59.96

 

ดังนั้น เพื่อช่วยขยายโอกาส SME ให้เข้าสู่ตลาดภาครัฐเพิ่มขึ้น ในปี 2567 สสว. ดำเนินการเสริมสร้างความพร้อมให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในพื้นที่ทั่วประเทศ สำหรับพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพ SME ด้วยการอบรมความรู้ ให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก และจัดงานส่งเสริม เชื่อมโยงตลาดภาครัฐ หรืองาน THAI SME-GP Roadshow เพื่อเปิดโอกาสให้ SME ซึ่งเป็นผู้ขาย ได้พบกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ที่เป็นผู้ซื้อ ซึ่งภาคเหนือ กำหนดจัดงาน 2 ครั้ง จังหวัดเชียงรายเป็นครั้งแรก และจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก ใน วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ SME ที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพ มีโอกาสนำเสนอสินค้าและบริการให้หน่วยงานภาครัฐ- ภาคเอกชน สำหรับ SME ที่ร่วมออกบูธแสดงสินค้าในครั้งนี้มีจำนวนกว่า 30 กิจการ มีสินค้าและบริการ อาทิ ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เครื่องใช้อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเขียน เฟอร์นิเจอร์ การบริการติดตั้งระบบไฟฟ้า เป็นต้น

 

ภายในงานยังมีกิจกรรมเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนกับสถาบันการเงิน อาทิ ธนาคารออมสิน ธนาคาร SME D Bank ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) หน่วยงานพันธมิตร อาทิ สำนักงานพาณิชย์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการบรรยายพิเศษ และเสวนาให้ความรู้ด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยวิทยากรจากสำนักงานคลังจังหวัดเชียงราย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ภูมิภาคที่ 8 สำนักงาน ป.ป.ช. จังหวัดเชียงราย และ สรรพากรพื้นที่ มาร่วมถ่ายทอดความรู้ เพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ประสบความสำเร็จในการขยายโอกาสเข้าสู่ตลาดภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจในระดับพื้นที่และระดับประเทศต่อไป

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News