เชียงรายร่วมประชุม “กอปภ.ก.” วางยุทธศาสตร์ 4 ด้านรับมือฝุ่นพิษ PM 2.5 เชื่อมแผน “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” ภาคเหนือก่อนเข้าสู่ฤดูวิกฤต
เชียงราย, 9 ธันวาคม 2568 – ที่ห้องประชุมสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัด บรรยากาศเช้าวันที่ 8 ธันวาคม เต็มไปด้วยความตื่นตัวของคณะทำงานด้านไฟป่าและหมอกควันของจังหวัด เมื่อ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำทีมเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานเข้าร่วมการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ผ่านระบบประชุมออนไลน์ เพื่อรับฟังสถานการณ์และแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เริ่มทวีความสำคัญขึ้นอีกครั้งก่อนเข้าสู่ฤดูแล้งและฤดูเผาในหลายพื้นที่ของประเทศ
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้การเป็นประธานของ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยแม้หัวข้อหารือหลักจะเน้นพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครเป็นสำคัญ แต่ข้อเสนอเชิงมาตรการและข้อสั่งการจากส่วนกลางถูกมองว่าเป็น “แผนแม่บท” ที่ทุกจังหวัด รวมถึงเชียงรายจำเป็นต้องนำไปปรับใช้และบูรณาการร่วมกับแผนระดับภูมิภาค โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ “ฟ้าใส” (CLEAR Sky Strategy) ที่ภาคเหนือกำลังเดินหน้าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว และเมียนมา เพื่อจัดการปัญหาหมอกควันและไฟป่าข้ามแดนอย่างจริงจัง
รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุระหว่างการประชุมว่า เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือทั้งฝุ่นควันจากแหล่งกำเนิดในพื้นที่เอง และจากกระแสลมที่พัดพามลพิษจากประเทศเพื่อนบ้านในบางช่วงของปี การได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญในการ “เชื่อมภาพรวมส่วนกลางกับบริบทพื้นที่จริง” เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์
ภาพใหญ่ของปัญหา จากกรุงเทพฯ สู่เชียงราย
ในระดับประเทศ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ถูกยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติหลังจากหลายปีที่ผ่านมาเกิดสถานการณ์ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานซ้ำซาก ทั้งในเขตเมืองใหญ่และพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่อิทธิพลสภาพอากาศ การเผาในที่โล่ง และการสะสมของมลพิษจากการคมนาคมและอุตสาหกรรมทำให้คุณภาพอากาศย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับภาคเหนือ จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญทั้งหมอกควันจากไฟป่าในพื้นที่สูง การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร และหมอกควันข้ามแดน ทำให้แผนการจัดการคุณภาพอากาศของจังหวัดไม่อาจแยกออกจากนโยบายระดับชาติได้ การประชุม กอปภ.ก. ครั้งนี้จึงนับเป็นเวทีสำคัญในการทบทวนมาตรการเดิม เสริมจุดแข็ง และอุดช่องโหว่ของระบบรับมือวิกฤตฝุ่นควันในปี 2568–2569
ยุทธศาสตร์ 4 ด้านรับมือ PM 2.5 จากกระดาษสู่การปฏิบัติ
หนึ่งในหัวใจของการประชุม คือการสรุป “ยุทธศาสตร์ 4 ด้าน” ที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอร่วมกันในการจัดการฝุ่น PM 2.5 โดยมีการเน้นย้ำทั้งมิติการบริหารจัดการในเขตเมือง การควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตร การป้องกันไฟป่า และการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอื่น ๆ ซึ่งจังหวัดต่าง ๆ ต้องนำไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง
ด้านแรก คือ การจัดการในเขตเมือง ซึ่งกรุงเทพมหานครได้นำเสนอแผนในฐานะ “ต้นแบบเมืองใหญ่” ผ่านมาตรการขยายเขตควบคุมมลพิษและการกำหนด Low Emission Zone ให้ครอบคลุม 51 เขต เพิ่มจุดตรวจควันดำรถบรรทุกและรถโดยสาร ควบคุมการก่อสร้างไม่ให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจาย พร้อมทั้งปรับรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home ในช่วงวันที่ค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน แนวทางเหล่านี้แม้จะถูกออกแบบมาสำหรับเมืองหลวง แต่หลักคิดเรื่องการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในเขตเมือง การจัดการจราจร และการสื่อสารเตือนภัยเชิงรุก สามารถนำมาปรับใช้กับเขตเมืองของเชียงราย เช่น พื้นที่ตัวเมืองเชียงราย หรืออำเภอที่มีการจราจรหนาแน่นได้เช่นกัน
ด้านที่สอง คือ การควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตร ภายใต้การนำของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้รายงานสถานการณ์พืชเศรษฐกิจอย่างอ้อยและข้าวโพดที่มักเกี่ยวข้องกับการเผาเศษวัสดุหลังการเก็บเกี่ยว มาตรการสำคัญประกอบด้วยการสนับสนุนเกษตรกรรมแบบไม่เผา การจัดสรรสิทธิ์ช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขห้ามเผา การกำหนดมาตรฐานอ้อยไฟไหม้ไม่เกินร้อยละ 0.06 และการผลักดันการใช้เครื่องจักรทางการเกษตรทดแทนการเผาแปลง การประชุมครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการสั่งการเชิงห้ามปราม แต่ยังมุ่งสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตด้วย
ด้านที่สาม คือ การป้องกันไฟป่าและการเผาในพื้นที่ป่า ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เสนอให้กำหนดช่วง “ห้ามเผาเด็ดขาด” หรือ Zero Burning อย่างน้อยสองเดือนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง ควบคู่กับการเฝ้าระวังจุดความร้อนหรือ Hotspot แบบเรียลไทม์ การจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษดับไฟ และการเตรียมแผนเผชิญเหตุร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เสี่ยง เส้นทางปฏิบัติเหล่านี้สอดคล้องกับประสบการณ์ของเชียงรายที่จำเป็นต้องมีเครือข่ายอาสาสมัครและหน่วยปฏิบัติการในหมู่บ้านห่างไกล เพื่อให้สามารถเข้าไปควบคุมสถานการณ์ไฟป่าได้อย่างทันท่วงที
ด้านสุดท้าย คือ การควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอื่น ๆ ทั้งจากรถบรรทุก รถโดยสาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยหลายหน่วยงานได้เสนอให้เพิ่มความเข้มข้นของการตรวจสอบ การบังคับใช้กฎหมาย และการกำหนดมาตรฐานการปล่อยมลพิษให้ชัดเจนมากขึ้น ควบคู่กับการสื่อสารสร้างการรับรู้ความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน ผ่านระบบแจ้งเตือนคุณภาพอากาศแบบรายพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
ข้อสั่งการจากส่วนกลาง จากตัวเลขมาตรการสู่ความเชื่อมั่นของประชาชน
นอกจากการสรุปภาพรวมมาตรการแล้ว นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน “เร่งนำมาตรการไปปฏิบัติจริง” พร้อมกำชับให้ติดตามผลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นมีแนวโน้มพุ่งสูงเกินมาตรฐาน
หนึ่งในข้อสั่งการสำคัญ คือการมอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์จัดทำสื่อเผยแพร่ในรูปแบบวิดีทัศน์ (VTR) รวบรวมข้อมูลการดำเนินงานและมาตรการของทุกหน่วยงาน เพื่อสื่อสารให้ประชาชนรับรู้ว่า ภาครัฐไม่ได้เพียง “เฝ้าดูตัวเลข” แต่มีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในมิติการป้องกัน การแก้ไข และการเยียวยาผลกระทบ การสื่อสารเชิงรุกนี้ยังช่วยลดความตื่นตระหนก ลดข่าวลือ และสร้างความเข้าใจร่วมว่าการแก้ปัญหาฝุ่นพิษต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป
รมช.มหาดไทยย้ำว่า การลดฝุ่น PM 2.5 ให้ได้ผล ไม่สามารถพึ่งเพียงมาตรการใดมาตรการหนึ่ง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่ต้องเป็น “ชุดมาตรการบูรณาการ” ที่ทำงานไปพร้อมกัน ทั้งในระดับโครงสร้าง เช่น การควบคุมแหล่งกำเนิด และในระดับพฤติกรรมประชาชน เช่น การลดการเผาในที่โล่ง การตรวจสภาพรถ และการป้องกันตนเองเมื่อค่าฝุ่นอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง
เชียงรายในสมการคุณภาพอากาศ บทบาทของจังหวัดชายแดนภาคเหนือ
แม้การประชุม กอปภ.ก. จะเน้นรายงานสถานการณ์ภาคกลาง แต่สำหรับเชียงราย การประชุมครั้งนี้สะท้อน “คำเตือนล่วงหน้า” ว่าฤดูวิกฤตของภาคเหนือกำลังใกล้เข้ามา ขณะที่หลายจังหวัดในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเฝ้าจับตาฝุ่นจากการจราจรและอุตสาหกรรม เชียงรายต้องเตรียมรับมือกับฝุ่นจากไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร และหมอกควันข้ามแดนที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกัน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและคณะทำงานจึงมีภารกิจสำคัญในการนำ “ยุทธศาสตร์ 4 ด้าน” จากส่วนกลาง มาบูรณาการกับ “ยุทธศาสตร์ฟ้าใส” ที่ภาคเหนือกำลังผลักดันอยู่เดิม ทั้งในมิติการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน การเฝ้าระวัง Hotspot บริเวณแนวชายแดน และการสร้างแนวร่วมกับชุมชนบนพื้นที่สูง ซึ่งถือเป็น “ด่านหน้า” ในการป้องกันไฟป่าและการเผาในพื้นที่ป่า
การเน้นย้ำเรื่อง Zero Burning อย่างน้อยสองเดือนในพื้นที่ภาคเหนือจึงไม่ได้หมายถึงเพียงการออกคำสั่งห้ามเผา หากแต่ต้องมาพร้อมมาตรการรองรับ เช่น การจัดหางานทดแทนให้กับผู้มีรายได้จากการเผาไร่ การสนับสนุนเครื่องจักรและเทคโนโลยีการเกษตรแบบไม่เผา รวมถึงการจัดงบประมาณเพื่อดูแลเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครดับไฟป่าที่ต้องทำงานในพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
จากตัวเลขสู่ชีวิตคนเชียงราย ทำไมการประชุมครั้งนี้จึงสำคัญต่อชุมชน
แม้รายละเอียดเชิงเทคนิคเกี่ยวกับเขตควบคุมมลพิษ จุดตรวจควันดำ หรือมาตรฐานอ้อยไฟไหม้ อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับประชาชนทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติ มาตรการเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของคนเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
หากมาตรการด้านการจราจรและการควบคุมการก่อสร้างถูกนำมาปรับใช้ในเขตเมืองเชียงรายอย่างเหมาะสม ประชาชนก็มีโอกาสหายใจอากาศที่สะอาดขึ้นในช่วงที่ฝุ่นจากไฟป่ากำลังปกคลุม หากการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรสามารถลดพื้นที่เผาได้จริง ผลกระทบจากหมอกควันในช่วงเก็บเกี่ยวก็จะเบาบางลง และหาก Zero Burning ทำได้ตามแผนร่วมกับการดับไฟป่าที่รวดเร็ว ภาคเหนือก็จะมีโอกาสเห็นท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งนานกว่าที่เคย
เช่นเดียวกับบทบาทของกรมประชาสัมพันธ์และสื่อมวลชนในพื้นที่ การสื่อสารที่ชัดเจนและต่อเนื่องเกี่ยวกับค่าฝุ่น มาตรการของรัฐ และวิธีป้องกันตนเอง จะช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนการทำงาน การเดินทาง หรือแม้แต่การดูแลสุขภาพของคนในครอบครัวได้อย่างมีข้อมูลรองรับ ไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ตระหนักรู้และปรับตัวอย่างเหมาะสม
ก้าวต่อไปของเชียงราย จากห้องประชุมสู่ภาคสนาม
หลังจากการประชุม กอปภ.ก. เสร็จสิ้น ภารกิจของจังหวัดเชียงรายไม่ได้จบลงที่การ “รับทราบมติ” หากแต่เพิ่งเริ่มต้นกระบวนการแปลงนโยบายให้เป็นการปฏิบัติจริงในพื้นที่ ขั้นตอนต่อไปคือการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับจังหวัดที่เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ 4 ด้านกับยุทธศาสตร์ฟ้าใส การกำหนดช่วงห้ามเผา การเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า การสำรวจพื้นที่เกษตรเสี่ยงเผา และการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศรายตำบลหรือรายอำเภอ
ในขณะเดียวกัน การสร้างแนวร่วมกับภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โรงงานและผู้ประกอบการจำเป็นต้องร่วมมือในการลดการปล่อยฝุ่นจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยและโรงเรียนสามารถเป็นฐานข้อมูลและฐานความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่เครือข่ายชุมชนและอาสาสมัครในหมู่บ้านสามารถทำหน้าที่เป็น “ตาและหู” ในการแจ้งเตือนจุดความร้อนและการเผาในที่โล่งได้อย่างทันท่วงที
การประชุมออนไลน์เพียงครั้งเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่สะสมมานานหลายปีได้ แต่สำหรับเชียงราย การมีส่วนร่วมในเวที กอปภ.ก. ครั้งนี้คือการยืนยันว่า จังหวัดไม่ได้ยืนอยู่ลำพังในสมรภูมิฝุ่นควัน หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดการภัยพิบัติระดับชาติที่พยายามเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน
เมื่อฤดูหมอกควันหวนกลับมาอีกครั้ง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “ค่าฝุ่นวันนี้เท่าไร” หากแต่คือ “มาตรการที่ประกาศไว้ได้ถูกนำไปใช้จริงเพียงใด และประชาชนได้รับการปกป้องมากน้อยแค่ไหน” ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าแผนยุทธศาสตร์ 4 ด้าน และยุทธศาสตร์ฟ้าใสที่เชียงรายกำลังเดินหน้า จะสามารถเปลี่ยนภาพจากท้องฟ้าหม่นหมอก ไปสู่ฟ้าใสที่ยั่งยืนได้หรือไม่ในระยะยาว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) กระทรวงมหาดไทย
- กระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์
- สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
- กรุงเทพมหานคร (มาตรการเขตควบคุมมลพิษและ Low Emission Zone)
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นโยบายเกษตรกรรมแบบไม่เผาและมาตรฐานอ้อยไฟไหม้)
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (มาตรการ Zero Burning และการเฝ้าระวัง Hotspot)
- กรมประชาสัมพันธ์ (ภารกิจจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์มาตรการ PM 2.5)

















