Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ศิลปะต้านฝุ่นเชียงราย สร้างหุ่นไล่กา สื่อผลกระทบเผาป่า

เชียงรายเปิดตัว “ศิลป์ ล่องกอง” รวมศิลปิน 18 อำเภอ ร่วมสร้างงานประติมากรรมร่วมสมัย สะท้อนปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย กลุ่มศิลปินจากทั้ง 18 อำเภอของจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมมือกันจัดแสดงผลงานภายใต้ชื่อ “ศิลป์ ล่องกอง” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและผลกระทบของปัญหาไฟป่าและหมอกควันในภาคเหนือ ผ่านประติมากรรมร่วมสมัย “หุ่นไล่กายักษ์” (Giant Puppet) อันทรงพลังทางศิลปะและความหมาย

กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม โดยโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” ได้รับรางวัลดีเด่นจากการประกวดข้อเสนอโครงการเพื่อพัฒนาเมืองแห่งศิลปะ ปี 2568 และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนสู่การเป็นเมืองแห่งศิลปะประจำปี พ.ศ. 2568

หุ่นไล่กายักษ์ สื่อสร้างสรรค์จากรากวัฒนธรรมสู่สังคมร่วมสมัย

ผลงานหุ่นไล่กายักษ์ทั้ง 18 ชิ้น ถูกออกแบบและสร้างสรรค์โดยศิลปินในแต่ละอำเภอ โดยนำองค์ความรู้และศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นผสมผสานกับการออกแบบร่วมสมัย เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของชุมชน พร้อมกับส่งสารสังคมในประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาหมอกควัน PM2.5 และไฟป่าที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

การจัดแสดงเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเมษายน 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตของการเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และพื้นที่โดยรอบของภาคเหนือ

ศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อม ก้าวใหม่ของเชียงรายสู่เมืองศิลปะระดับประเทศ

ภายในงาน ยังมีการจัดกิจกรรม Art Workshop ภายใต้ชื่อ “หน้ากากแห่งสายลม” ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมเรียนรู้และสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยตนเอง พร้อมทั้งกิจกรรมเสวนา “วงคุย มุมคิด ฟังเสียงไฟ คุยเรื่องฝุ่น” โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญและศิลปินท้องถิ่นมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ

นางเกษร กำเนิดเพ็ชร รองผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือสื่อสารสังคมอย่างสร้างสรรค์ โดยอาศัยพลังจากศิลปินท้องถิ่นเพื่อสะท้อนปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างใกล้ชิดในชีวิตประจำวัน

การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น จุดประกายจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม

ผลงานทั้งหมดได้รับความร่วมมือจากชุมชนในแต่ละอำเภอ ซึ่งได้ให้ข้อมูล วัสดุท้องถิ่น และร่วมแสดงความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผลงานศิลปะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สื่อสารในเชิงสัญลักษณ์ หากยังสะท้อนถึงจิตวิญญาณของผู้คนในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาไฟป่าและหมอกควัน

นายกสมาคมขัวศิลปะ ในฐานะผู้สนับสนุนพื้นที่จัดงาน ระบุว่า การใช้หุ่นไล่กา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องพืชผลจากศัตรูพืชในอดีต มาแปลงเป็น “หุ่นไล่กายักษ์” สื่อถึงการเฝ้าระวังและต่อต้าน “ยักษ์ใหญ่” ที่เป็นปัญหาในยุคใหม่อย่างหมอกควัน PM2.5 และการลักลอบเผาป่า ถือเป็นการตีความใหม่ของสัญลักษณ์แบบมีพลัง

ถนนหอศิลป์ กลายเป็นแกลเลอรีกลางแจ้งของศิลปะเพื่อสังคม

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการ “ศิลป์ ล่องกอง” คือการนำผลงานหุ่นไล่กายักษ์จำนวน 18 ชิ้น จัดแสดงในพื้นที่สาธารณะตลอดแนวถนนหอศิลป์ ซึ่งไม่เพียงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมงานศิลปะ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และตั้งคำถามถึงบทบาทของศิลปะในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม

มุมมองที่แตกต่าง: ศิลปะกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ฝ่ายสนับสนุน มองว่าการจัดงาน “ศิลป์ ล่องกอง” เป็นการใช้พลังของศิลปะท้องถิ่นในการสร้างจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรังอย่างหมอกควันและการเผาป่า ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการรณรงค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยเครื่องมือทางวัฒนธรรมเพื่อสื่อสารกับประชาชนในระดับรากหญ้า

อีกมุมหนึ่ง มีความเห็นว่าศิลปะเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับกลไกเศรษฐกิจและความยากจนที่ผลักดันให้ชาวบ้านบางส่วนต้องพึ่งพาการเผาป่าเพื่อเกษตรกรรม การลงทุนในงานศิลปะจึงอาจไม่คุ้มค่าหากขาดนโยบายที่ชัดเจนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • พื้นที่ป่าในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบจากการเผาในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน ปี 2566 รวมกว่า 15,000 ไร่ (สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย, 2566)
  • ค่าฝุ่นละออง PM2.5 ในอำเภอแม่จัน ช่วงต้นเดือนเมษายน ปี 2567 พุ่งสูงกว่า 165 µg/m³ (กรมควบคุมมลพิษ, 2567)
  • จังหวัดเชียงรายมีศิลปินที่ขึ้นทะเบียนกับสมาคมขัวศิลปะมากกว่า 300 คน จากทั้ง 18 อำเภอ (สมาคมขัวศิลปะ, 2567)
  • โครงการพัฒนาเมืองศิลปะภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในปีงบประมาณ 2568 ได้รับการสนับสนุนกว่า 120 ล้านบาท ทั่วประเทศ (สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย, 2568)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
  • สมาคมขัวศิลปะ จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘เชียงราย’ วิกฤตฝุ่น PM 2.5 เกินค่า เตือนภัยหนัก

เชียงรายเตือนภัยหมอกควัน ฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูง หน่วยงานเร่งรับมือ

เชียงราย, 16 มีนาคม 2568 – รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายออกหนังสือแจ้งด่วน เตือนประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์คุณภาพอากาศ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอชายแดน (แม่สาย, แม่ฟ้าหลวง, แม่จัน, เชียงแสน, เวียงแก่น, เทิง และเชียงของ) หลังจากค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 มีแนวโน้มสูงขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

สถานการณ์จุดความร้อนในพื้นที่

ข้อมูลจาก GISTDA และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2568 พบจุดความร้อนในประเทศไทยรวม 1,288 จุด โดยกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้:

  • พื้นที่ป่าอนุรักษ์ – 550 จุด
  • พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ – 420 จุด
  • พื้นที่เกษตรกรรม – 146 จุด
  • พื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) – 96 จุด
  • พื้นที่ชุมชนและอื่น ๆ – 75 จุด
  • พื้นที่ริมทางหลวง – 1 จุด

ขณะที่ จุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านสูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า โดยพบใน เมียนมา 9,949 จุด, ลาว 2,023 จุด, กัมพูชา 707 จุด และเวียดนาม 550 จุด ส่งผลให้ มลพิษทางอากาศข้ามแดนไหลเข้าสู่ภาคเหนือของไทย

คุณภาพอากาศในเชียงรายอยู่ในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงราย วันที่ 16 มีนาคม 2568 พบว่า ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน ทำให้คุณภาพอากาศโดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ” โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก, ผู้สูงอายุ, สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นอย่างเคร่งครัด

มาตรการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงราย

เพื่อบรรเทาผลกระทบและควบคุมสถานการณ์ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (กอปภ.จ.ชร.) ได้ออกมาตรการเร่งด่วนดังนี้:

  1. ควบคุมการเผาในที่โล่งอย่างเข้มงวด
  • ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดอย่างเด็ดขาด
  • ดำเนินมาตรการ “92 วันปลอดการเผา” ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568
  1. ฉีดพ่นละอองน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ
  • ขอให้หน่วยงานที่มีเครื่องจักรกลสาธารณภัย ฉีดพ่นละอองน้ำ และฉีดล้างถนน ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นสะสมสูง
  • ขอความร่วมมือประชาชน รดน้ำต้นไม้, ฉีดพ่นละอองน้ำบนหลังคาและรอบบริเวณบ้าน เพื่อลดปริมาณฝุ่นในอากาศ
  1. จัดเตรียมสถานพยาบาลรองรับผู้ป่วยจากมลพิษอากาศ
  • เปิด คลินิกมลพิษ และห้องปลอดฝุ่น ในโรงพยาบาลทุกระดับ ตั้งแต่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.), โรงพยาบาลชุมชน, โรงพยาบาลศูนย์, โรงพยาบาลเอกชน และศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัย
  • ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที

เสียงสะท้อนจากประชาชนและผู้เชี่ยวชาญ

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการเข้มงวด

  • นักอนามัยสิ่งแวดล้อมและผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า มาตรการห้ามเผา 92 วัน จะช่วยลดมลพิษได้ในระยะยาว
  • ประชาชนบางส่วนสนับสนุนให้ รัฐบาลร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน

ฝ่ายที่มีข้อกังวล

  • เกษตรกรบางกลุ่มมองว่า มาตรการห้ามเผาอย่างเข้มงวดอาจส่งผลกระทบต่อการเตรียมพื้นที่เพาะปลูก
  • นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนชี้ว่า มลพิษทางอากาศอาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของเชียงราย หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนจุดความร้อนในประเทศไทย (15 มีนาคม 2568): 1,288 จุด (ข้อมูลจาก GISTDA)
  • จำนวนจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้าน: เมียนมา 9,949 จุด, ลาว 2,023 จุด, กัมพูชา 707 จุด, เวียดนาม 550 จุด (ข้อมูลจากดาวเทียม Suomi NPP)
  • ค่าฝุ่น PM 2.5 ในเชียงราย: เกินค่ามาตรฐานและอยู่ในระดับที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ (ข้อมูลจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเชียงราย)
  • มาตรการห้ามเผาในพื้นที่เชียงราย: ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 (ข้อมูลจาก กอปภ.จ.ชร.)

สรุป

ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศจาก จุดความร้อนทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน กำลังส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพ

ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนในการ ควบคุมการเผา, ฉีดพ่นละอองน้ำ, และเตรียมสถานพยาบาลรับมือ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงการหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนในการลดมลพิษข้ามแดน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / GISTDA  / กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

PM 2.5 เชียงราย เทศบาลจับมือสู้ ลงนามความร่วมมือ

เชียงรายเตรียมรับมือฝุ่น PM2.5 เทศบาลนครเชียงรายลงนาม MOU ร่วมกับเทศบาลนครปากเกร็ดและภาคีเครือข่าย

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเร่งรับมือปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่นครเชียงราย โดยล่าสุดได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมแนวทางป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และนายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกเทศมนตรีนครปากเกร็ด เป็นตัวแทนของทั้งสองเทศบาลในการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านความปลอดภัยจากฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานภาคเอกชน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) มหาวิทยาลัยเชียงราย สภาเยาวชน อบจ.เชียงราย และบริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัด โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5

ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในเชียงราย และความจำเป็นในการแก้ไข

ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเผาพื้นที่การเกษตร การจราจรที่หนาแน่น และมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม โดยจากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ในช่วงต้นปี 2568 ค่าเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่เชียงรายสูงเกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญกับปัญหาทางสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคทางเดินหายใจ

ด้วยเหตุนี้ เทศบาลนครเชียงรายจึงเห็นความจำเป็นในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน เพื่อพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

เนื้อหาสำคัญของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)

บันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่ลงนามในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในหลายมิติ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้:

  1. การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยี
    • มหาวิทยาลัยเชียงรายจะเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการในการพัฒนาระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศและแจ้งเตือนประชาชนแบบเรียลไทม์
    • เทศบาลนครเชียงรายจะร่วมมือกับเทศบาลนครปากเกร็ดในการใช้โมเดลการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร
  2. การลดมลพิษจากแหล่งกำเนิด
    • รณรงค์ให้เกษตรกรลดการเผาในที่โล่งและหันมาใช้วิธีการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
    • ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในระบบขนส่งสาธารณะและอุตสาหกรรม
  3. การพัฒนาระบบเตือนภัยคุณภาพอากาศ
    • ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดค่าฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่เสี่ยง
    • ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และแอปพลิเคชันแจ้งเตือนคุณภาพอากาศให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก
  4. การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน
    • ส่งเสริมโครงการ “เชียงรายเมืองปลอดฝุ่น” โดยสนับสนุนให้ประชาชนปลูกต้นไม้และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง
    • จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป
  5. การสนับสนุนด้านงบประมาณและทรัพยากร
    • บริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัด ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการจัดหาหน้ากากกันฝุ่น PM2.5 ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง
    • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) สนับสนุนการจัดหารถพ่นละอองน้ำเพื่อช่วยลดฝุ่นละอองในอากาศ

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝั่ง

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการนี้ มองว่าการลงนาม MOU เป็นก้าวสำคัญในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม การบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาจะช่วยให้เกิดการพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนและภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของเชียงราย

ฝ่ายที่มองว่ายังมีข้อจำกัด ชี้ว่า แม้ว่าการลงนาม MOU จะเป็นก้าวที่ดี แต่ยังคงมีข้อจำกัดในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเผาพื้นที่การเกษตร รวมถึงปัญหาทรัพยากรบุคคลและงบประมาณที่อาจไม่เพียงพอในการดำเนินโครงการในระยะยาว นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงการให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างยั่งยืน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาฝุ่น PM2.5

  • จากรายงานของ กรมควบคุมมลพิษ ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ค่าเฉลี่ย PM2.5 ในพื้นที่เชียงรายสูงถึง 75-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานของไทยที่กำหนดไว้ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสูงกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
  • สาเหตุหลักของฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ มาจากการเผาพื้นที่เกษตรกรรมเป็นสัดส่วนสูงถึง 55% รองลงมาคือการจราจรและอุตสาหกรรม 25% และสาเหตุอื่น ๆ เช่น การก่อสร้างและการเผาขยะ 20%
  • ผลกระทบต่อสุขภาพ ศูนย์วิจัยด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยเชียงราย รายงานว่า อัตราผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจในเชียงรายเพิ่มขึ้น 18% ในช่วงที่ค่าฝุ่น PM2.5 สูงขึ้น โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ

บทสรุป

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างเทศบาลนครเชียงรายและเทศบาลนครปากเกร็ด พร้อมภาคีเครือข่าย ถือเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการป้องกันและลดปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการติดตามและปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง เพื่อให้เชียงรายสามารถก้าวสู่การเป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศดีขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหาร-ป่าไม้เชียงราย ร่วมทำแนวกันไฟ ลด PM 2.5

มณฑลทหารบกที่ 37 บูรณาการร่วมทุกภาคส่วน ทำแนวกันไฟป้องกันไฟป่าในพื้นที่เชียงราย

ปฏิบัติการเชิงรุก ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

เชียงราย, 3 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมมือกับ เจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย จัดกำลังพลดำเนินโครงการ ทำแนวกันไฟ ป้องกันไฟป่า” ณ สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อป้องกันไฟป่า ลดหมอกควัน และแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เป็นปัญหาสำคัญในช่วงฤดูแล้ง

ประกาศมาตรการเข้มงวด ห้ามเผา 92 วัน ลดปัญหาหมอกควัน

จังหวัดเชียงรายได้ออกมาตรการ ห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิดโดยเด็ดขาด” เป็นเวลา 92 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อควบคุมการเกิดไฟป่าและลดปัญหาหมอกควันในพื้นที่ โดยกำหนดให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันสร้างแนวป้องกันไฟป่า และรณรงค์ให้ประชาชนงดเว้นการเผาในที่โล่งทุกประเภท

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและภาคประชาชน

การดำเนินโครงการในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย:

  • มณฑลทหารบกที่ 37 โดยมี ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดปฏิบัติงานประสานการคุ้มครองป้องกันชุมชน สถานีพัฒนาการเกษตรพื้นที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง นำกำลังพลจิตอาสาเข้าร่วม
  • สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเชียงราย
  • ชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนที่ 313 กองกำลังผาเมือง
  • ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าเชียงราย
  • เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่เงิน
  • ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มงานความมั่นคง อำเภอเชียงแสน
  • ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนบ้านธารทอง หมู่ 11

แนวป้องกันไฟป่าและมาตรการเพิ่มเติม

ในครั้งนี้ ทีมปฏิบัติการได้ร่วมกันสร้างแนวป้องกันไฟป่าขนาด 4 – 6 เมตร ความยาว ประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร บริเวณพื้นที่ป่าทึบที่มีภูเขาสูงชัน และพื้นที่แนวเขตชายป่าที่ติดกับพื้นที่เกษตรของประชาชน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงจากการลักลอบเผาป่าเพื่อการเกษตร หรือการเผาเพื่อหาของป่าและล่าสัตว์

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการ ประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่งดเผาทุกชนิด พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างถูกวิธี เช่น การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง แทนการเผา การแยกขยะ และ การเก็บกิ่งไม้ใบไม้เพื่อใช้ประโยชน์แทนการเผา เพื่อช่วยลดการเกิดไฟป่าในระยะยาว

ความสำคัญของแนวกันไฟในการป้องกันปัญหาหมอกควัน

แนวกันไฟเป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันไฟป่าที่อาจลุกลามจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ช่วยลดความเสียหายต่อ ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และสุขภาพของประชาชน จากปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาคเหนือของไทยในทุกปี

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายที่เห็นด้วยกับมาตรการห้ามเผาและทำแนวกันไฟ

  • เห็นว่าการดำเนินมาตรการห้ามเผาและการทำแนวกันไฟเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดปัญหาหมอกควันและป้องกันการเกิดไฟป่า
  • การเข้มงวดเรื่องการเผาเป็นแนวทางที่ช่วยลดฝุ่น PM 2.5 และช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
  • การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการมีส่วนร่วมของประชาชนจะช่วยทำให้มาตรการเหล่านี้ประสบความสำเร็จ

ฝ่ายที่กังวลเกี่ยวกับมาตรการห้ามเผา

  • กังวลว่าการห้ามเผาโดยไม่มีมาตรการสนับสนุนทางเลือกที่เพียงพอ อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ต้องพึ่งพาการเผาเพื่อเตรียมพื้นที่การเกษตร
  • การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเกินไป อาจส่งผลให้ประชาชนบางส่วนไม่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสะดวก
  • มาตรการเหล่านี้ต้องควบคู่ไปกับการให้ความรู้และการสนับสนุนทางเลือกที่เหมาะสมให้กับประชาชน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม:

  • จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ป่ารวมกว่า 4.7 ล้านไร่ คิดเป็น 67.4% ของพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องได้รับการปกป้องจากไฟป่า
  • อัตราการเกิดไฟป่าในภาคเหนือในช่วงฤดูแล้งสูงขึ้นทุกปี โดยในปี 2567 มี จุดความร้อน (Hotspots) กว่า 5,000 จุดทั่วภาคเหนือ โดย เชียงรายติดอันดับ 1 ใน 5 จังหวัดที่มีจุดความร้อนมากที่สุด
  • ค่า PM 2.5 ในภาคเหนือของไทยในช่วงฤดูแล้งมักเกินค่ามาตรฐานของ WHO ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
  • มาตรการห้ามเผา 92 วันของจังหวัดเชียงราย เป็นส่วนหนึ่งของแผนลดปัญหาหมอกควันและไฟป่าของรัฐบาล ที่มีการดำเนินการต่อเนื่องมาแล้วหลายปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช / กรมควบคุมมลพิษ/ กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

“กสว. ร่วมมือ ผู้ว่าฯเชียงใหม่” จัดงบ 150 ล้านบาท แก้ปัญหา PM 2.5

 
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) โดยกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือกองทุน ววน. ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้นำผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิจัย ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เดินหน้านำงานวิจัยภายใต้การสนับสนุนของกองทุน ววน. มุ่งแก้ไขปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และปัญหาไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่อย่างเร่งด่วนตามโจทย์และความต้องการของจังหวัดเชียงใหม่ โดย สกสว.จัดสรรงบประมาณวิจัยภายใต้งบประมาณปี 2566 – 2567 รวม 2 ปี งบประมาณกว่า 150 ล้านบาท คิดเฉลี่ยปีละ  70 กว่าล้านบาท ใน 4 มิติเร่งด่วนสำหรับการลดฝุ่นจากต้นตอแหล่งกำเนิด ได้แก่ การลดไฟในพื้นที่ป่าไม้ การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การลดไฟในพื้นที่เกษตร และการลดฝุ่นข้ามแดน โดยการจัดสรรงบประมาณผ่านสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยทุกภาคส่วนตั้งเป้าผลลัพธ์ทั้งการลดปัญหาที่เกิดซ้ำในแต่ละพื้นที่ การติดตามสถานการณ์ การวางแผนป้องกันและรับมือฝุ่นจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วน เพื่อต่อยอดไปสู่การออกนโยบาย กฎหมาย หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคเกษตรกรรม
 
 
 

ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยว่า แต่ละปีประเทศไทยมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนทั้งปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งรัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับการนำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ หลังการปฏิรูประบบ ววน. ในปี 2562 ได้มีการจัดตั้งกองทุน ววน. ขึ้น โดยมี กสว. ทำหน้าที่กำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย รวมถึงจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณของประเทศให้เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแก้ปัญหาสำคัญของประเทศในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายและทิศทางที่สภานโยบายได้กำหนดไว้

 
 

ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวเสริมว่า กสว. ได้อนุมัติงบประมาณ แก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ ในประเด็น “งานวิจัยนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน ฝุ่นละออง PM 2.5 แบบมุ่งเป้าและบูรณาการ” โดยใช้งบประมาณ 2 ปี รวมจำนวน 155,000,000 บาท แบ่งเป็นงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จำนวน 77,700,000 บาทและปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 77,300,000 บาทรวมทั้งให้ทุนแก่หน่วยงาน/นักวิจัยตามโจทย์สำคัญเร่งด่วน โดยใช้กระบวนการอนุมัติแผนงานสำคัญเร่งด่วนและงบประมาณให้ทันต่อสถานการณ์มองทั้งระยะสั้น กลางและระยะยาว สำหรับการนำผลงานวิจัยไปใช้ในสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในระดับพื้นที่ในแต่ละจังหวัด มีเป้าหมายสำคัญ คือ การเร่งนำงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุน ววน. ไปช่วยแก้ปัญหาวิกฤติ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการกินดีอยู่ดีของประชาชน เพื่อสร้างผลลัพธ์และผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้ร่วมทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น เพื่อให้ทราบถึงโจทย์สำคัญของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และให้สามารถแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับบริบท มีประสิทธิภาพภายในระยะเวลาที่เร่งด่วนหน่วยงานภาควิชาการ ได้เร่งระดมหาทางออกให้กับจังหวัดเชียงใหม่มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมให้เป็นเมืองที่ใช้ประโยชน์จากกองทุน ววน. อย่างเข้มข้น เพื่อสนับสนุนการบริหารท้องถิ่นให้คล่องตัวและสามารถบูรณาการการทำงานบนระบบข้อมูลและงานวิจัยอย่างเข้มข้นมากขึ้น

“ความสำคัญของงานวิจัยจะช่วยให้ผู้ดำเนินงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงความซับซ้อนของปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน นำมาสู่การแก้ไขที่เป็นระบบ รวมทั้งเป็นแนวทางเชิงรุกที่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง การควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที การจำกัดจำนวนการเกิดเหตุไฟป่า การช่วยรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การสร้างความร่วมมือกับชาวบ้านเพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มประสบปัญหาเดียวกันซึ่งจะทำให้งานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนมีความยั่งยืนและมีโอกาสนำไปใช้เป็นวงกว้าง”

 
 
ขณะที่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ช่วงที่จังหวัดเชียงใหม่ต้องเผชิญกับวิกฤติไฟป่า ฝุ่นควันต่างๆ งานวิจัยนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยลดข้อถกเถียงของวิธีแก้ไขที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนระหว่างปฏิบัติงาน อย่างเช่นปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรม งานวิจัยได้ช่วยให้มีบทสรุปขององค์ความรู้ วิธีดำเนินการ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ตรงกับบริบทของพื้นที่ ชีวิตของคนในชุมชน และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติแบบที่ทุกภาคส่วนต้องการ ดังนั้น เมื่อพื้นที่มีองค์ความรู้ที่หลากหลาย สิ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำได้ คือ การเปิดพื้นที่ เชิญหลากผู้รู้จากภาคส่วนต่าง ๆ มาร่วมแลกเปลี่ยน ระดมความคิดเห็น และวิเคราะห์องค์ความรู้ที่มีร่วมกัน จนนำไปสู่การลงมือปฎิบัติจริง นอกจากนี้งานวิจัยยังช่วยให้หลากผู้รู้ยอมรับว่าการตกผลึกขององค์ความรู้ว่าทางออกที่แท้จริงของพื้นที่คืออะไร
 
 
 

ด้านนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การปฏิบัติการแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันกับสกสว. นับเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะทำให้วิกฤติคลี่คลายได้เร็วขึ้น โดยที่ผ่านมาทางเชียงใหม่ได้มีการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้แล้วแต่อาจยังไม่ทั่วถึง และบางนวัตกรรมอาจยังไม่ครอบคลุมกับปัญหาทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดมีความยินดีและมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 16 โครงการวิจัยที่สกสว. และกองทุน ววน. ได้สนับสนุนมานั้นจะไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเฉพาะในระยเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่กำลังเผชิญกับปัญหา และพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยการนำงานวิจัยมาใช้ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้การปกครองส่วนท้องถิ่นเห็นความสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ที่สามารถใช้ควบคู่ไปกับการออกนโยบาย ยกระดับเมืองเชียงใหม่ให้เกิดการใช้งานวิจัยเพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ ที่เป็นบริบทสำคัญของจังวัดได้อย่างเข้มข้น”

 

นายทศพล กล่าวทิ้งท้ายว่า การถอดบทเรียนจากสภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น เพื่อร่วมกันหาแนวทางการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดหวังว่าเมื่อ จ.เชียงใหม่ ได้ทดลองปรับโครงสร้างให้องค์กรส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมนำเทคโนโลยีและงานวิจัยมาใช้ติดตาม วางแผนการรับมือ และแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM 2.5 ภายใต้การสนับสนุบงบประมาณจากกองทุน ววน. จะช่วยให้ จ.เชียงใหม่ ได้รับประโยชน์จากงานวิจัย และเกิดผลกระทบเชิงบวกทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเป็นระบบที่จะเป็นแรงจูงใจไม่ให้เผาและบุกรุกป่า การส่งเสริมความเข้าใจและค่านิยมของประชาชนจากความเข้าใจถึงผลกระทบและช่วยกันลดปัญหาต่าง ๆ ปรับโครงการสร้างการเพาะปลูกเพื่อเข้าสู่วิถีเกษตรไม่เผา และมีทางเลือกสำหรับการทำเกษตรกรรมที่จะมีพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านองค์ความรู้ การร่วมบริหารจัดการและป้องกัน รวมถึงนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศ

 
 
 

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า สกสว. เป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจสำคัญในการจัดทำ และขับเคลื่อนนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของประเทศให้ไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงดำเนินการจัดสรรงบประมาณของกองทุน ววน. ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมให้มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เกิดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สกสว. พร้อมนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. มาร่วมขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเร่งด่วน ในส่วนการดำเนินงานที่ผ่านมา สกสว. โดยกองทุน ววน. ได้มีการสนับสนุนงบประมาณวิจัยในประเด็นปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 และปัญหาไฟป่าในพื้นที่ปฏิบัติการ จ. เชียงใหม่  ภายใต้งบประมาณปี 2566 -2567 เป็นงบประมาณวิจัยปีละกว่า 70 ล้านบาท รวม2ปี  150 ล้านบาท  โดยพิจารณาอนุมัติงบประมาณเป็นแบบรายปี จัดสรรงบประมาณให้แก่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จำนวน 43,050,000 บาท และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) จำนวน 34,650,000 บาท โดยมุ่งขับเคลื่อน 4 มิติเร่งด่วน ดังนี้

 

1.โครงการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่ป่า จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนมีแรงจูงใจในการรักษาผืนป่า มากกว่าเดิมด้วยกลไกการตอบแทนคุณนิเวศ หรือ Payment for Ecosystem Service (PES) ด้วยการศึกษาบริการทางนิเวศและมูลค่าของทรัพยากรเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชนและประชาชนไปใช้สนับสนุนชุมชนในการอนุรักษ์ป่าและป้องกันไฟป่า เช่น การขายคาร์บอนเครดิต การทำวิจัยชุมชนเพื่อพัฒนากิจกรรมการอนุรักษ์และกองทุนอนุรักษ์ระดับชุมชน เพื่อ สร้างรายได้ให้กับชุมชน และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการไฟป่าของชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ ตลอดจนการพัฒนาระบบติดตามและการวิเคราะห์โอกาสความเสี่ยงที่แม่นยำผ่านการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกและงานวิจัย

 

2.การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้า ที่จะช่วยให้ข้อมูลที่มีทั้งหมดสามารถแก้ไขปัญหาไฟป่า – ปัญหาฝุ่นควันที่แต่เดิมมีความซับซ้อน ลดการเกิดการเผาไหม้ซ้ำ ๆ และสามารถนำข้อมูลไปจัดทำแผนและมาตรการต่าง ๆ ได้เพิ่มเติม ได้แก่ ข้อมูลชุดที่ 1 สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ ข้อมูลด้านจุดความร้อน (Hotspot) ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาในปัจจุบัน ข้อมูลชุดที่ 2 ด้านอุตุนิยมวิทยา และสภาพของพื้นที่ ข้อมูลชุดที่ 3 ด้านการป้องกันผลกระทบและวิธีการเยียวยา ข้อมูลชุดที่ 4 ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ การลดสาเหตุ การรองรับการเผชิญเหตุ และรองรับการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ โดยทั้ง 4 ชุดข้อมูลนี้ยังมีโอกาสที่จะเชื่อมโยงไปสู่การกำกับและติดตามค่าฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมทั้งประเทศที่ดำเนินงานโดยกรมควบคุมมลพิษ และพ.ร.บ.อากาศสะอาดและมาตรการสร้างแรงจูงใจในการลดฝุ่น PM 2.5 ของกรรมการร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด

 

3.การแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่เกษตร การทำให้ชุมชนปรับเปลี่ยนระบบเกษตรเป็นการปลูกพืชแบบไม่เผา และมีนวัตกรรม / วิธีทำเกษตรที่สร้างรายได้สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะวิธีการจัดการแปลงก่อนเริ่มทำการเพาะปลูกและหลังกระบวนการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการปรับเปลี่ยนจากพืชล้มลุกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย อะโวคาโด หรือ ไม้ยืนต้นและไม้โตเร็วที่มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน และโครงการวิจัยในกลุ่มนี้ยังมุ่งให้มีการนำเศษวัสดุทางการเกษตรไปทำพลังงานชีวมวลทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ทั้งเกษตรกร ผลผลิต และไร่นาแต่ละพื้นที่มีความยั่งยืนขึ้น

 

4.การลดฝุ่นข้ามแดน ซึ่งจะช่วยให้ประเทศเพื่อนบ้านนำแนวทางการลดฝุ่น (Best Practice) ไปขยายผลกับการผลิตการเกษตรภายในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเกิดการถ่ายอดองค์ความรู้ที่สำคัญที่สามารถใช้ได้ร่วมกันระหว่างสามประเทศ คือ ไทย ลาว เมียนมา และถอดบทเรียนการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน

 

ด้านนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธานกรรมการกำกับติดตามแผนงานการนำ ววน. ไปใช้แก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นละออง PM2.5 กรรมาธิการวิสามัญร่างกฎหมายบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด กล่าวว่า ขณะนี้ (ร่าง) พ.ร.บ. อากาศสะอาด อยู่ในขั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ จำนวน 7 ฉบับ ซึ่งเป็นกระบวนการนี้ต้องการข้อมูลงานวิจัยมาช่วยสนับสนุนการพิจารณาให้เนื้อหามีความสมบูรณ์ และครบถ้วนในทุกมิติ  

 

       การจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศให้เป็นรูปธรรมได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ต้องบูรณาการข้อมูลและส่งต่อผลงานอย่างเป็นระบบ รวมทั้งต้องมีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับผู้ใช้ และผู้ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำความคิดเห็นไปปรับกระบวนการขับเคลื่อนให้ตอบโจทย์และความต้องการมากที่สุด ดังนั้น การหารือในครั้งนี้จะทำให้ กสว. และหน่วยงานทุกภาคส่วนได้รับทราบภาพรวมความคืบหน้าการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. มาขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ รศ.ดร. ปัทมาวดี กล่าวเสริม

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อีก 26 วัน ผู้ว่าเชียงราย สั่งคุมเข้ม ตั้งเป้าให้เกิดจุดฮอตสปอต น้อยที่สุด

 

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่า และ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 9/2567 โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่า และ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย ชั้น1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีนายอำเภอ เจ้าหน้าที่จาก 18 อำเภอ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์


ในที่ประชุมได้รายงานสถานการณ์หมอกควันไฟป่า และ PM 2.5 ของจังหวัดเชียงราย ในห้วงที่ผ่านมา และการรายงานการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการดำเนินงานของทั้ง 18 อำเภอ โดยเฉพาะอำเภอที่เกิดจุดความร้อนสูง และอำเภอที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า ทบทวนถึงปัจจัยการเกิดจุดความร้อน จุดความร้อนที่เกิดซ้ำซาก วางแผนการดำเนินการจัดการจุดความร้อนที่ยากต่อการควบคุม วางแผนการทำงานรับมือสถานการณ์ ห้วงเดือนเมษายนนี้
 
 
นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะอำเภอให้ประสานไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการควบคุมไฟป่า เพิ่มการลาดตระเวน เน้นมาตรการกดดันในพื้นที่เสี่ยง และเฝ้าระวังในเขตรอยต่อ เพื่อป้องกันไฟป่าข้ามแดน เพิ่มความเข้มข้นการปฏิบัติในห้วงเวลาที่เหลือจนถึง 30 เมษายนนี้ พร้อมทั้งจัดกำลังเสริมเข้าไปปฏิบัติงานสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยง หากได้รับความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินจากการปฏิบัติหน้าที่ ให้อำเภอรวบรวมข้อมูลรายงานมายังจังหวัด 
 
 
โดยด่วน และเน้นย้ำการติดตามประเมินสุขภาพของอาสาดับไฟป่า ให้ผู้ที่มีสภาพร่างกายที่พร้อมเท่านั้น ที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ อุปกรณ์ป้องกันผู้ปฏิบัติงานดับไฟป่าชองเจ้าหน้าที่ก็ต้องพร้อมเพื่อการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย นอกจากยังเน้นย้ำให้ทุกอำเภอ ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนได้ทราบถึงช่องทางการรักษาหากได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5
 
 
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยังได้ให้แนวทางการปฏิบัติ โดยให้นำสถิติของปีที่ผ่านมา มาปรับใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนช่วยรักษาสถิติของจังหวัดเชียงราย ซึ่งทำได้ดีในห้วงที่ผ่านมา เน้นให้เกิดจุดฮอตสปอตน้อยที่สุด และให้ลดลงมากกว่า 50% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีนี้หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา พบว่า จังหวัดเชียงรายมีจุดฮอตสปอต ลดลงกว่า 70% โดยขอความร่วมมือประชาชนชาวเชียงราย และทุกภาคส่วน ช่วยกันรักษาและภาคภูมิใจถึงความสมัครสมานสามัคคีในการป้องกันไฟป่าฯ นำไปสู่ความสำเร็จในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าของจังหวัดเชียงราย ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รพ.แม่สาย เร่งเพิ่มเครื่องฟอกอากาศ รับสถานการณ์ PM 2.5

 

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 67 สภาพอากาศพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สาย จ.เชียงราย พบว่ามีฝุ่นละอองและหมอกควันหนาตากว่าที่ผ่านมา และสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที 1 (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน) รายงานว่ามีค่าฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 เกินมาตรฐานตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-5 มี.ค.ครอบคลุมทุกจังหวัดโดย จ.เชียงราย เกินมาตรฐานแล้ว 35 วัน ส่วนกรมควบคุมมลพิษรายงานเวลา 07.00 น.วันเดียวกันว่ามีค่า PM 2.5 สูงถึง 119.3 ไมโครกรัมต่อลูกบาศเมตร และมีค่าคุณภาพอากาศอยู่สูงถึง 245 AQI 

 

ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แตกต่างจากเขต อ.เมืองเชียงราย ที่มีปริมาณ PM 2.5 เพียง 46.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรและค่าคุณภาพอากาศอยู่ที่ 125 AQI ทั้งๆๆ ที่ อ.แม่สาย ไม่พบจุดความร้อนจากการตรวจด้วยดาวเทียมเลยตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.-5 มี.ค.นี้ กระนั้นสำนักงานฯ รายงานว่าดาวเทียมระบุว่าจุดความร้อนพบว่าในพื้นที่รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ติดกับ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ จนเกิดเป็นกลุ่มสีแดงอย่างชัดเจน

 

.
ด้านนายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย กล่าวว่าได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุข จ.เชียงราย ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่อ.แม่สาย จัดทำห้องปลอดฝุ่นพร้อมเครื่องฟอกอากาศ โดยเฉพาะตามศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทุกแห่งให้มีจำนวน 130 แห่ง และได้มอบหมายให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ออกเดินเคาะประตูบ้านให้คำแนะนำกลุ่มเสี่ยงคือเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ป่วยติดเตียง ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง สำหรับประชาชนทั่วไปควรสวมหน้ากากอนามัยที่ป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางเดินหายใจ รวมไปถึงให้อยู่แต่ในพื้นที่ปลอดภัย เช่น ภายในบ้านหรืออาคาร ฯลฯ ที่เป็นพื้นที่ปิดหรือหากมีเครื่องฟอกอากาศควรจะเปิดเอาไว้ตลอดด้วย
 
.
ล่าสุดนางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เดินทางไปดูความพร้อมที่ อ.แม่สาย พบว่าได้มีการเตรียมห้องปลอดฝุ่นไว้แล้ว 130 ห้อง ทั้งในโรงพยาบาลแม่สาย 50 ห้อง มีระบบความดันอากาศ 14 ห้อง สำนักงานสาธารณสุข อ.แม่สาย 1 ห้อง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 12 ห้อง ขณะที่โรงพยาบาลแม่สายได้เพิ่มเครื่องฟอกอากาศจากจำนวน 97 เครื่อง เป็น 205 เครื่องแล้ว โดยนำไปประจำทุกจุดบริการ ขณะที่มีกลุ่มเสี่ยงต่อฝุ่น PM 2.5 เช่น โรคทางเดินหายใจ หัวใจ ฯลฯ รวมจำนวนกว่า 21,825 คน.
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายกำชับห้ามเผาเด็ดขาด ควบคู่ดูแลผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก

 

เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 67 ที่ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่า และ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่าของจังหวัดเชียงราย และประเมินผลการดำเนินงานจากการใช้มาตรการต่างๆ โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ

 

โดยในที่ประชุมฯ ได้หารือพร้อมทบทวนและเพิ่มมาตรการในการปฏิบัติงานเพื่อให้การป้องกันและแก้ไขหมอกควันไฟป่า ในห้วงห้ามเผาเด็ดขาด (15 ก.พ. – 30 เม.ย. 567) อาทิ การจัดชุดลาดตระเวน การจัดทำแนวกันไฟ พร้อมกำชับให้เข้มงวดด้านการบังคับใช้กฎหมาย ให้มีการจับผู้กระทำผิดที่ลักลอบเผา รวมถึงให้รางวัลแก่ผู้นำจับ ผู้แจ้งเบาะแส การใช้กฎระเบียบหมู่บ้าน จับแล้วปรับเงินเข้าหมู่บ้าน ใช้กฎหมายป่าไม้ กฎหมายป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติตามมาตรการสูงสุด พร้อมกำชับตรวจสอบดูแลเกี่ยวกับข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 
 
 
หากตรวจสอบพบให้สืบหาผู้กระทำผิดเพื่อนำมาลงโทษ รวมทั้งมาตรการทางสาธารณสุขให้มีการเตรียมความพร้อม สำรวจบ้านของกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ การจัดทำเซฟตี้โซน รวมถึงแจ้งเตือนให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการดูแลตนเองหากเกิดสถานการณ์หมอกควันไฟป่า โดยให้ท้องถิ่น สำรวจศูนย์เด็กเล็กเพื่อจัดทำห้องปลอดฝุ่นให้ครบทุกแห่ง
 
 
นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยังได้เน้นย้ำให้มีการประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานให้ชัดเจน เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ข้อมูลสถิติในทุกด้านย้อนหลังของปีที่ผ่านมา นำมาเปรียบเทียบสถานการณ์ เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติล่วงหน้า ต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย ระดมทุนถวายผ้าป่า ช่วยผู้ได้รับความเดือดร้อนไฟป่าและ PM 2.5

 

เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานพิธีถวายผ้าป่า “บวร.บรม.ครบ. เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าให้ประเทศชาติและโลกใบนี้” และเป็นการระดมทุนสำหรับใช้ในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อน หรือผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควันไฟป่า และ PM 2.5 ณ วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง ตำบล้วียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมี พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย รอง ผอ.รมน.จังหวัดเชียงราย ปลัดจังหวัดเชียงราย นายอำเภอทุกอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานรํบวิสาหกิจ หอการค้าจังหวัดเชียงราย สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงราย สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ชมรมธนาคารจังหวัดเชียงราย และหน่วนงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนชาวจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมพิธีถวายผ้าป่าในครั้งนี้ด้วย

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย และคณะสงฆ์จังหวัดเชียงราย จัดพิธีทอดผ้าป่าเพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควันไฟป่า และ PM 2.5 ภายใต้ชื่อว่า “บวร. หมายถึง บ้าน วัด ราชการ โรงเรียน บรม. หมายถึง บ้าน ราชการ มัสยิด ครบ. หมายถึง คริสต์ ราชการ บ้าน และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างคณะสงฆ์ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการปัญหาหมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 
 
 
โดยมีหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชน ได้ร่วมสมทบทุนถอดผ้าป่าในครั้งนี้ ยอดรวม 772,428.50 บาท และยังได้รับความเมตตาจาก พระไพศาลประชาทร (วิ) (พบโชค ติสสวังโส) เจ้าอาวาสวัดห้วยปลากั้ง ร่วมสมทบผ้าป่าจำนวน 100,000 บาท และวัดเจ็ดยอด จำนวน 10,000 บาท รวมยอดทั้งสิ้น 882,428.50 บาท
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ปฏิบัติการดับไฟป่าภาค 3 หารือป้องกัน แก้ไขหมอกควันไฟป่า 17 จังหวัดภาคเหนือ

 

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2566 ที่ ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พ.อ.พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หัวหน้ากลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย นำเจ้าหน้าที่ผู้แทนจากหน่วยงานประจำศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมกับศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าภาค 3 โดยมี พ.อ. ณรงค์ฤทธิ์ สนองคุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการดับไฟป่าภาค 3 เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบทางไกล (Zoom Meeting)

 

.
โดยศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย ได้รายงานต่อที่ประชุมถึงการเกิดจุดความร้อน ซึ่งในช่วงเดือนมกราคม ตั้งแต่วันที่ 2 – 8 มกราคม ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงรายเกิดจุดความร้อนขึ้น 58 จุด ส่วนใหญ่พบว่าเกษตรกรมีการเผาในพื้นที่ทางการเกษตรเพื่อเตรียมการเพาะปลูกในฤดูต่อไป และได้วางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ เน้นการสื่อสารเชิงรุก ให้ประชาชนงดเผาเศษวัสดุทางการเกษตร รวมถึงการสนับสนุนโครงการส่งเสริมการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตร โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ได้ถ่ายทอดความรู้พื้นฐานด้านการหยุดเผาในพื้นที่การเกษตรให้แก่เกษตรกรพื้นที่ 7 อำเภอ เป้าหมาย กว่า 270 ราย และดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร การจัดอบรมถ่ายทอดความรู้เชิงปฏิบัติการ การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อลดการเผา และเมื่อสถานการณ์มีแนวโน้มสูงขึ้นหรือเกินค่ามาตรฐาน ให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมบูรณาการ ยกระดับปฏิบัติการตามมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมาย
 
.
ทั้งนี้ ในที่ประชุมยังได้รายงานการปฎิบัติงาน ในการแก้ปัญหาคุณภาพอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งคุณภาพอากาศจังหวัดเชียงรายอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ยังคงต้องเน้นการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้ประชาชนงดเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาเพื่อการเกษตร ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยการจัดทำแผนโต้ตอบภาวะฉุกเฉิน การจัดทำห้องปลอดฝุ่นในพื้นที่โรงพยาบาล พื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จัดทำฐานข้อมูลเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง การจัดเตรียมคลินิกมลพิษ การใช้ อสม. ลงพื้นที่สื่อสารความเสี่ยงแก่ประชาชน การบริการตรวจสุขภาพให้แก่เจ้าหน้าที่ดับไฟป่า การเตรียมความพร้อมหน้ากากอนามัย การจัดทำชุดสาธิตเครื่องฟอกอากาศ DIY เพื่อจัดทำห้องปลอดฝุ่น รวมถึงการติดตามดูแลผู้ป่วยสามกลุ่มโรค เพื่อประเมินและส่งข้อมูลให้ อปท.ในเขตรับผิดชอบดำเนินการช่วยเหลือจัดทำห้องปลอดฝุ่นแก่กลุ่มเสี่ยงต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่าและ PM 2.5 จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News